4 กรกฎาคม 2548 11:00 น.
บางคนเรียกทะเลสีน้ำเงิน
โพล้เพล้นั้น
ความเงียบสร้างความรู้ในด้านที่ไม่คิดหมายได้มากนัก...
นี่กระมังครับ หลายคนจึงเตือนฝากไว้ คนเหงาง่ายอย่าอยู่กับเงียบให้นานนัก
...
เมื่อฟ้าสิ้นแววแห่งระวีแล้ว
ช่วงเวลาแห่งรัตติฯก็มาเยือน
ดั่งมีรัตติกรมาปลอบปลุก ประคองความหวั่นนัยก่อนค่ำนี้
...
มองออกไปไกล ณ ปลายฟ้าเบื้องหน้า
มิตรผู้มากด้วยความรู้สึกแห่งวาสนาแห่งการเจอเคยกล่าวไว้สั้นๆในการออนไลครั้งก่อน
ว่าการได้รู้ว่าได้ทำสิ่งเดียวกันกับอีกหนึ่งดวงใจ
แม้อยู่ไกลกัน ก็เป็นความสุขครับ
...
ราตรีกาลนี้เราคงนั่งมองดาวดวงเดียวกันนะคุณคนไกล...
...
ในรัติกาลหนึ่งคงมีอีกหลายชีวิตกระมัง ที่มานั่งปล่อยจินตนาไปไกลๆเช่นนี้
และคงมีไม่น้อยที่พบความงามง่ายใต้รัตติการนั่น...
ท่านทั้งหลายก็คงเคยเป็น
แต่บางรัติกาลบางคนอาจกำลังจดจ่อกับการงาน หรืออยู่บนท้องถนนที่มีแต่ดวงดาวสองฝั่งฟาก
ไม่มีเวลาแหงนหน้าไปดูความสวยงามบนฟ้านั่น...
คุณทั้งหลายก็เช่นกัน อาจมี
เหนื่อยนักก็พักกันนะครับ...
ขออวยพรให้ดวงใจสวยๆทุกดวง ได้สัมผัสกับทุกรัตติกาลที่หมายใจ พิเศษเฉพาะคุณคนซึ่งในรัติกาลหนึ่งกำลังทำบางประการเพื่อคนที่คุณรักดุจกว่าชีวิต... ดวงใจคุณสวยจัง
ด้วยรัติกาลแห่งอารมณ์
ที่นี่...กรุงเทพมหานคร....
ข้าพบว่าความเหว่ว้า
ช่างท้นทรมา
บางคราก็งดก็งาม
มนต์ขลังดั่งฟ้านิยาม
พิศดาววาววาม
ล่องลอยไปตามจินตนา
แสงแห่งรัตติกาลจารทา
นุ่มนวลยวนตา
อวลไอทรมาพลันหาย
เก็บดาวพราวตามาราย
ร้อยเป็นสร้อยสาย
มาลัยไว้คล้องใจตัว
อาการหวั่นไหวใจรัว
หวั่นหวาดขลาดกลัว
ท่วมทั่วทั้งหัวใจนั้น
พลันพิศมาลัยแห่งจันทร์
อุ่นอิ่มอัศจรรย์
หยุดท้อทรมานทรมา
.............................
จึ่งพบว่าความเหว่ว้า
เพียงปล่อยจินตนา
บางคราก็งดก็งาม
............................
มนต์ขลังดั่งฟ้านิยาม
พิศดาววาววาม
ล่องลอยไปตามจินตนา
แสงแห่งรัตติกาลจารทา
นุ่มนวลยวนตา
อวลไอทรมาพลันหาย
เก็บดาวพราวตามาราย
ร้อยเป็นสร้อยสาย
มาลัยไว้คล้องใจตัว
อาการหวั่นไหวใจรัว
หวั่นหวาดขลาดกลัว
ท่วมทั่วทั้งหัวใจนั้น
พลันพิศมาลัยแห่งจันทร์
อุ่นอิ่มอัศจรรย์
หยุดท้อทรมานทรมา
ข้าพบว่าความเหว่ว้า
เพียงปล่อยจินตนา
บางคราก็งดก็งาม
...........................
มนขลังดั่งฟ้านิยาม ฯลฯ...
ดวงดาวดวงเดือนที่บ้านคุณจะงดงามและอบอุ่นเหมือนที่นี่ไหมหนอ
22 มิถุนายน 2548 14:00 น.
บางคนเรียกทะเลสีน้ำเงิน
คือพุธหนึ่งที่ ๒๒ มิถุนาแล้ว ปี ๔๘...
คือธารใสหัวใจดั่งมีปีก
คือคิดถึงซึ่งจะหลีกก็ไม่ไหว
คือรู้สึกลึกล่วงด้วยห่วงใย
คือจริงใจส่งไปให้คนรอ
คือถ้อยคำที่ย้ำทุกคำคิด
คือทุกถ้อยร้อยลิขิตตามชิดต่อ
คือสร้อยพจรสฝากที่หลากออ
คือความพ้อที่เอ่อทอยามท้อใจ
คือหวั่นไหวในใจที่ไหวสั่น
คือทุกความเชื่อมั่นแม้หวั่นไหว
คือความสุขแท้ทุกรอยังท้อใจ
คือละมุนกรุ่นละไมแม้ไกลเกิน
คือคำปลอบที่เขียนมอบปลอบให้อุ่น
คือตัวคุณไว้แนบหนุนยามห่างเหิน
คือความฝันเอาไว้เสพย์ให้สุขเพลิน
คือความทุกข์ที่บังเอิญเผชิญเจอ
คืออารมณ์ห่อห่มบ่มให้สุข
คือความทุกข์ที่เร้ารุกทุกเสมอ
คือความหมายร้ายดียังมีเธอ
คือละมุนอุ่นเอ่อเพ้อใจคอย
.................................................
...ตอบได้เพียงนี้
...ไม่ว่าสุขไม่ว่าทุกข์ก็ระลึกนึกถึง
...ไม่มีเหตุผลอื่น มีเพียงเหตุผลเดียว
...ไม่ใช่เพราะโลกนี้มีคุณ หรือมีผม
...แต่เพราะโลกนี้มีเรา เรา และเรา....
...............................................
21 มิถุนายน 2548 10:59 น.
บางคนเรียกทะเลสีน้ำเงิน
..แค่รู้สึกว่ารักอยู่ที่ใด
ก็งดงามยิ่งใหญ่ในใจนี้
ไม่คิดข้ามถึงฝั่งฝันอันอยากมี
เพียงเท่านี้รู้สึกดีก็เพียงพอ
ไม่เคยถามถึงวันหนึ่งวันนั้น
ทุกความปัจจุบันที่ร้องขอ
เพียงสะกดจิตสกิดใจที่ไหวรอ
ไม่ให้ทุกข์สุขท้อทรมา
เมื่อได้รักก็จะรักภักดีมั่น
ไม่ไหวหวั่นไปกับแรงปรารถนา
รักจะยังงดงามทุกจินตนา
ขอบคุณโชคชะตาพาพบเธอ....
รักแสนรักภักดีมิมีเปลี่ยน..
แม้กาลเวียนผ่านผันมั่นเสมอ
ด้วยศรัทธาพรพรหมได้มาเจอ
ให้ใจเพ้อพร่ำหวนถึงแววดาว
แม้มองฟ้าไร้แสงชโลมจิต
ยามมืดมิดแห่งฤดูอันเหน็บหนาว
แม้ดวงใจที่เพียรหวังจักปวดร้าว
ทุกเรื่องราวในรักเรายังจดจำ
ยังคงยิ้มอิ่มงามกับเงาเงียบ
ในมุมเชียบห้วงหทัยของคืนค่ำ
ยังคงร่ำรินใจเป็นลำนำ
ร้อยถ้อยคำสัมพันธ์ถึงนวลนาง
ฝากสายลมหอบไปถึงน้องเจ้า
บทกวีคนเหงาเนาเคียงข้าง
ปลอบขวัญใจด้วยรักมิเคยจาง
มิร้างห่างจากกมลจนนิรันดร์
.................................
ทะเลสีน้ำเงิน
ยอดหญ้า
ปล...อาจไม่รื่นนัก เขียนใจเอาอารมณ์ครับ คิดถึงน้องจัง ยอดหญ้าบนดอยนั่น คงเห็นฝั่งทะเลสีน้ำเงิน
20 มิถุนายน 2548 12:31 น.
บางคนเรียกทะเลสีน้ำเงิน
กลอนเจ็ด...
ค่ำหนึ่งพระอาทิตย์ที่ ๑๙
®โพล้เพล้พลบค่ำ รำงำเงียบ
เย้าเยียบเฉียบเย็น แทบเป็นบ้า
เหงาง่ายเจ็บง่าย ธรรมดา
หยดหยาดทรมา เหว่ว้านัก
®เกิดแสงแห่งดาว พราวสวรรค์
ผลิค่ำรำงัน ผันหน่ายหนัก
ส่องสวยสรวงฟ้า มาทายทัก
ลึกล่วงห้วงรัก ถักทอกาล
®เก็บสายสร้อยฟ้า มาร้อยสรวง
วาดดวงดาวขาว ที่พราวผ่าน
กระซิบรินร่ำ เล่าตำนาน
หมื่นล้านผสานเสียง จินตนา
®ดั่งรสบทกวี ที่รินรื่น
ฉ่ำชื่นคืนใจ เคยปวดปร่า
เพียงเพลงบรรเลง ดาริกา
ดารดาษดารา บุพผาเพ็ญ
®กล่อมใจให้ห้อม หอมห่อห่ม
พรายพรหมห่มใจ ให้ไหวเต้น
ดาวเคลื่อนเดือนคล้อย ยังลอยเด่น
พินิจพิศแสงเย็น เพ็ญจันทร์ราย
®เพ่งพิศยิ่งคิด ยิ่งพิศพบ
งดงามสงบ แต่เรียบง่าย
ความมียังมี ไม่มีคลาย
เพียงโยกย้อนย้าย ไปตามกาล
®สาดสวยสดใส ในราตี
ดั่งว่าวนาลี คลี่ผสาน
โอบอ้อมห้อมอุ้ม คลุมผืนธาร
ฉ่ำชื่นชื้นบาน ก่อนต้านลม
®รัตติกาลผ่าน รัตติกร
หนุนนอนผ่อนคลาย คล้ายผวยห่ม
อุ่นไอใจช้ำ ระบำบ่ม
คืนขมคืนขื่น ในคืนนี้
................................
ถึงดวงดาวดวงที่ ๗๙๗๒๗๙๗๔๗๙๗๖๗๐๗๙ ฟากฟ้าทะเลไกล
17 มิถุนายน 2548 17:12 น.
บางคนเรียกทะเลสีน้ำเงิน
อยากจะซับน้ำตาให้คลายหมอง
ทอข่ายทองคล้องรักสลักฟ้า
ร้อยถ้อยรสพจสร้อยอักษรา
ผ่านเขาเขินเนินพนาไปหานาง
ส่งไปทุกความปรารถนามี
ถึงฝั่งฟากฟ้าที่แม้ไกลห่าง
ด้วยคะนึงถึงเจ้าไม่จบจาง
ส่งข่าวให้รู้บ้างเป็นอย่างไร
ว่าในความเหนื่อยหนักในวันนี้
เธอจะมีรู้สึกระลึกไหม
ว่าอีกฟากฝั่งนี้ที่ฟ้าไกล
มีอีกความห่วงใย...มอบให้เธอ
ความเจ็บปวดแม้รวด จนปวดร้าว
จะบอกเล่าทุกอย่างกระจ่างเสมอ
อย่าสงสัยหัวใจในมือเธอ
และอย่าเพ้อเผลอทิ้งทุกสิ่งนั้น
อยากจะซับน้ำตาให้คลายเศร้า
ในทุกข์ความรุมเร้าที่หวามหวั่น
เห็นไหมหนอนั้นหนึ่งความ อัศจรรย์
ที่ขอบฟ้าไกลนั่นฉันทอดาว
อยากให้เงยหน้าพริ้มยิ้มอย่างเก่า
อย่าซึมเศร้าเหงาโศกดั่งโลกร้าว
ในคืนมืดแม้มันจะยืดยาว
แต่ต้องมีวันเช้าในพรุ่งนี้
เงยหน้าพริ้มยิ้มเถิดเมื่อเกิดทุกข์
จะได้เข้าใจสุขมากกว่านี้
พี่จะกล่าวปรารถนาอย่างไรดี
นอกจากฝากถ้อยวลีนี้มาหา
หวังจะแต้มแก้มเศร้าเย้าให้ยิ้ม
หวังจะเห็นเรียวอิ่มพริ้มดวงหน้า
หวังปลุกปลอบให้คลายท้อทรมา
เสมือนข้ามขอบฟ้ามาดูแล