22 สิงหาคม 2551 15:56 น.
บัวบัว
สมัยยังเด็กอาศัยอยู่กับญาติ ที่หลังบ้านก็ทำเป็นสวนผัก มี ผักกาดขาว คะน้า ผักบุ้ง มันเทศ ข่า ตะไคร้ อื่นๆอีกเพียบ หน้าที่ของเราก็คือคอยรดน้ำใส่ปุ๋ย ซึ่งเวลาทำกับข้าวก็ได้ผลิตผลจากสวนเราเองนี่แหละประหยัดเงินตั้งเยอะ ส่วนเนี้อสัตว์นั้นจะเป็นปลาซะส่วนใหญ่ พูดถึงเรื่องปลาแล้วเรามีเรื่องขำๆจะเล่าให้ฟัง ตอนนั้นประมาณประถมต้น คุณทวดจะทำอาหารเย็น ก็บอกให้เราเอาปลาในตุ่มน้ำไปปล่อย เราก็งง เอ๊..พูดผิดหรือเปล่าเนี่ย ลองถามใหม่ซิ แต่คุณทวดก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าให้เอาไป "ปล่อย" เรากับพี่ก็เลยเอาเจ้าปลาตัวนั้นไปปล่อยในบ่อน้ำข้างบ้าน พอถึงบ้านคุณทวดก็ถามว่าเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย เราก็ว่าเรียบร้อยแล้ว คุณทวดว่าเอาไว้ไหน เราก็บอกว่าอยู่ในบ่อน้ำข้างบ้าน เท่านั้นแหละพี่น้องคะ คุณทวดโวยวายลั่นบ้านเลย จนญาติคนอื่นๆต้องออกมาถามเป็นอะไร พอเราบอกให้ฟังพวกเขาพากันหัวเราะกันใหญ่เลย เราก็งงว่าทำไมคุณทวดต้องโวยวายและเขาหัวเราะกันทำไม จนคุณยายต้องอธิบายว่า "ปล่อย" ของคุณทวดหมายถึง "จัดการ" มันซะเพื่อจะเอามาทำกับข้าว แต่ที่ต้องพูดแบบนั้นเป็นเพราะว่าคุณทวดอยู่ในช่วงถือศีลตอนเข้าพรรษา (แล้วหนูจะรู้มั้ยเนี่ย) นึกถึงเรื่องนี้ที่ไรเป็นต้องขำทุกที
ตอนยังเด็กยังเลือกของกินไม่ได้ ผู้ใหญ่ให้อะไรก็ต้องกิน จนโตเรียนอยู่ปวช.ก็เรื่มเลิกกินเนื้อวัวเนื้อควาย เหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน แค่สงสารมันเท่านั้นเอง คือว่าเราเห็นมันอยู่บนรถที่จะเอาไปโรงฆ่าสัตว์ พวกมันน้ำตาไหลเป็นทางเลย คงรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน (มันเป็นสัตว์กินพืชนะทำไมต้องถูกกินเนื้อด้วย) เราตัดใจเลิกกินเดี่ยวนั้นเลยทั้งๆที่เราชอบกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อมากโดยเฉพาะเอ็นตุ๋น ชอบมากกกกกกกกกก ปัจจุบันก็เลิกกินเนื้อหมูด้วย เริ่มเมื่อปลายปีนี้เองเหตุผลก็คล้ายๆกัน คือเราเห็นมันบนรถขนเพื่อไปโรงฆ่าสัตว์ พวกมันก็อยู่ในกรงปกติแต่พอรถจะเลี้ยวเข้าโรงฆ่าสัตว์พวกมันพากันร้องระงมไปหมด ก็เออเนาะ ชีวิตใครใครก็รัก ถ้าเป็นเราถูกเขาต้อนไปทำแบบนั้นบ้างเราจะเป็นยังงัยหนอ
ถ้าให้เลือกได้คิดว่าคงไม่มีใครอยากกินชีวิตคนอื่นเพื่อต่อชีวิตตัวเอง แต่บางครั้งมันก็ไม่มีทางให้เลือกมากนัก
หนึ่งปีมี365วัน ที่เราต้องเบียดเบียนและกินชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง และถ้าแค่ 9 วันที่เราจะหยุด ไม่ต้องกิน ไม่ต้องเบียดเบียนชีวิตคนอื่นจะได้ไหมคะ
20 สิงหาคม 2551 11:35 น.
บัวบัว
ตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ สิ่งที่ฉันตามหาและโหยหายิ่งนัก นั่นคือ ความรัก
การขาดพ่อตั้งแต่เด็ก และอยู่ในความเลี้ยงดูของญาติโดยลำพัง ทำให้ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าการถูกรักเป็นยังไง จนเมื่อฉันโตขึ้นก็เริ่มรู้จักคบเพื่อนชายแต่ทั้งนี้ไม่มีอะไรเกินเลยเป็นเพียงการคบกันธรรมดาแค่ได้พูดคุยอยู่ใกล้ๆกัน แค่นี้ก็มีความสุขนักแล้ว เธอและฉันต่างรู้สึกดีต่อกันแต่ว่าเราก็ไม่สามารถที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ให้ไปไกลกว่านั้นได้ ฉันรู้สึกเสียใจแต่ก็ไม่เท่าไหร่ ต่อมาเมื่อทำงานก็ได้พบคนรักคนใหม่ เขาช่างเป็นอะไรที่ถูกใจเหลือเกิน รู้สึกว่ารักมาก อะไรก็ยอม แต่ถึงขนาดนั้นก็ยังรักษาความรักนี้ไม่ได้เหมือนเดิม เสียใจมากสุดๆ แต่วันเวลาก็ผ่านพ้นไป ความเจ็บในใจเริ่มจางหาย พร้อมกับความรักครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้ถูกใจแต่เป็นเพราะเหงา ไม่มีใคร และทุกอย่างก็ไม่ราบรื่นและทำท่าว่าจะต้องจบซ้ำกับที่ผ่านมา
ทีแรกก็สงสัยว่าทำไมนะ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ มีรักครั้งไหนก็ไม่ราบรื่นสมหวังซักที พอลองนั่งนึกทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านๆมา ก็ทำให้ได้รู้ว่า ความรักนั้นยิ่งเราตามหาและคาดหวังมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งจะวิ่งหนีและซ่อนเร้น ความรักที่เราขาดทำให้เราไม่รู้ว่าการที่จะรักใครเป็นยังไง มันมากกว่าการเป็นเจ้าของและการเอาแต่ใจ การยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นไม่ใช่สิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น การยอมรับว่าชีวิตนี้เป็นความจริงไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่เจ้าหญิงกับเจ้าชายในนิยาย
จงรีบตื่นจากฝันเพื่อจะได้มีรักที่สมหวัง