...พฤศจิกา....วันประชาวิบัติ...

นายหมอดี(แท้)

24 พ.ย.2555 กิเลศ ยังไม่จางหายไป ในวงการการเมือง
แต่ละกลุ่มก๊วน...ต่างแสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ....
คือ...ยังคงยึด ติดแน่น กับ โลภะ โทสะ โมหะ...อยู่ทุกถ้วนทั่วตัวคน..
สโลแกน... เพื่อบรรลุเป้าหมาย ไม่คำนึงถึงวิธีที่ใช้
หรือ...ไม่ได้ด้วยเลห์ ก็ต้องด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็ต้องด้วยคาถา
...เหล่านี้กิเลศชักนำให้ถูกนำมาใช้ในทุกยุคทุกสมัย เพื่อ
...เป็นวิธีการที่จะได้เข้าสู่...อำนาจรัฐ อำนาจการเมือง
พศ.2475 เมื่อวัฒนธรรมทางการเมืองของโลกตะวันตกแผ่ขยายเข้าสยาม
กลุ่มก้าวหน้าก็ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ในช่วงนี้จึงน่าจะเรียกว่ายุค"อำนาจเก่า"
พ.ศ.2555 นี่ สามารถเรียกเป็นยุค"อำนาจใหม่"
อำนาจเก่าพยายามรักษาอำนาจไว้ จึงเปลี่ยนจากการก้าวหน้า มาเป็นอนุรักษ์นิยมไป แต่ก็ต้านโลกาภิวัตน์ไม่ไหว "พ่ายแพ้"เรื่อยมา
กลุ่มอนุรักษ์ฯนี้พยายามเข้าสู่วงการการเมืองเองโดยการตั้งพรรคการเมืองหรือ ปฏิวัติ รัฐประหาร หรืออยู่เบื้องหลัง หรือใช้พรรคการเมือง"บางพรรค"
แต่เมื่อเกิด"การค้าเสรี"กระบวนการตกขอบจึงเกิดขึ้น กลายเป็น
"ผู้สูญเสียอำนาจดั้งเดิม"ให้กับ"พ่อค้า"ไป....
การต่อสู้ระยะหลังๆ ทั้ง อำนาจเก่าและใหม่ นิยมใช้ มวลชน เพื่อจุดชนวน ในการเข้าสู่อำนาจรัฐ
ประเด็นของ"คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต"จึงเกิดขึ้น
ผู้นำฝ่ายความมั่นคง "ตายในที่รบ"
จึงเกิดการ"แก้แค้น"ลอบกัดผู้นำฝ่ายรากหญ้าและฆ่าหญ้าไปเกือบร้อย..
มาครานี้ พลพรรคของฝ่ายผู้นำรากหญ้าที่ถูกลอบสังหารคงคิดว่าได้เวลาแล้วในการแก้แค้นแทนลูกพี่ โดยตีกระทบ ตีฝาก ด้วยการจัดการกับ
มวลชน"ทุกกลุ่ม"ที่อยู่ในอาณัติของอำนาจเก่า
..นี่คือ"มือที่สาม" ที่หลายฝ่ายมองข้ามไป..
ตำรวจ รักษาความสงบภายในก็คุมเข้ม ให้มวลชนทั้งของอำนาจเก่า อำนาจใหม่ ตำรวจ "ปราศจากอาวุธ" ส่วนทหาร ก็ให้อยู่ในกรมกอง
ทีนี้ คนห้าหมื่น โดนโจมตีครั้งเดียว ก็แตกซ่าน ไร้คนบงการ
ก็จะถูก"สอย"เวลาหนี โดย โม่งดำ ผู้ติดอาวุธ ไล่ต้อน"ผู้ไร้อาวุธ"
อย่างกับ"หมาป่าไล่ขย้ำลูกแกะ"
นี่คือฟ้าลิขิตให้มีการกระทำที่ไร้การสั่งการ แต่เป็นการทำ"จากใจ"
พอเวลาผ่านไป มาทบทวนจึงรู้ว่า การพลีชีพ การแก้แค้นนี่ ไม่มีใครสามารถคุมได้ เพราะ"คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต"
ขอให้วิเคราะห์ผิดทีเถิด...เพี้ยง...