บ้านเกิดเมืองนอน

ลักษมณ์

บ้านเกิดเมืองนอน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เป็นเพลงของวงสุนทราภรณ์ ประพันธ์ ทำนองโดย เอื้อ สุนทรสนาน และคำร้องโดย แก้ว อัจฉริยะกุลเป็นเพลงจังหวะฟร็อกทร็อต ชนะการประกวดการแต่งเพลงปลุกใจ เมื่อปี 2488 ในอดีตเพลงนี้ขับร้องโดย มัณฑนา โมรากุล-ชวลีย์ ช่วงวิทย์-สุปาณี พุกสมบุญ-เพ็ญศรี พุ่มชูศรี แต่ไม่ได้บันทึกเป็นแผ่นเสียงไว้
เนื้อเพลง
บ้านเมืองเรารุ่งเรืองพร้อมอยู่ หมู่เหล่า 
พวกเราล้วนพงศ์เผ่า ศิวิไลซ์ 
เพราะฉะนั้นชวนกันยินดี 
เปรมปรีดิ์ดีใจเรียกตนว่า ไทย 
แดนดินผืนใหญ่มิใช่ทาสเขา 
ก่อนนี้มีเขตแดนนับว่ากว้างใหญ่ 
ได้ไว้พลีเลือดเนื้อแลกเอา 
รบ รบ รบ ไม่หวั่นใคร 
มอบความเป็นไทยให้พวกเรา 
แต่ครั้งนานกาลเก่า 
ชาติเราเขาเรียก ชาติไทย 
บ้านเมืองควรประเทืองไว้ดั่งแต่ก่อน 
แน่นอนเนื้อและเลือดพลีไป 
เพราะฉะนั้นเราควรยินดีมีความภูมิใจ 
แดนดินถิ่นไทยรวบรวมไว้ได้แสนจะยากเข็ญ 
ยากแค้นเคยกู้แดนไว้อย่างบากบั่น 
ก่อนนั้นเคยแตกฉานซ่านเซ็น 
แม้กระนั้นยังร่วมใจ 
ช่วยกันรวมไทยให้ร่มเย็น 
บัดนี้ไทยดีเด่นร่มเย็นสมสุขเรื่อยมา 
อยู่กินบนแผ่นดินท้องถิ่นกว้างใหญ่ 
ชาติไทยนั้นเคยใหญ่ในบูรพา 
ทุกทุกเช้าเราดู ธงไทยใจจงปรีดา 
ว่าไทยอยู่มาด้วยความผาสุกถาวรสดใส 
บัดนี้ไทยเจริญวิสุทธิ์ผุดผ่อง 
พี่น้องจงแซ่ซ้องชาติไทย 
รักษาไว้ให้มั่นคง 
เทิดธงไตรรงค์ให้เด่นไกล 
ชาติเชื้อเรายิ่งใหญ่ 
ชาติไทย บ้านเกิดเมืองนอน 
หมายเหตุ เนื้อเพลง 2 ท่อนสุดท้ายเกิดในยุคกรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีน ฝรั่งเศส บันทึกเสียงขับร้องโดยนักร้องหญิง 4 คนของวงสุนทราภรณ์คือ ศรีสุดา รัชตะวรรณ, มาริษา อมาตยกุล, บุษยา รังสี และวรนุช อารีย์
แหล่งข้อมูลอื่น
http://www.2519.net
http://websuntaraporn.com/suntaraporn/lyric/postlyric.asp?GID=250
http://76.nationchannel.com/playvideo.php?id=22102
ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99".
หมวดหมู่: เพลงปลุกใจ
หน้านี้แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2553 เวลา 17:49 น. 
อนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน; เงื่อนไขอื่นอาจใช้ประกอบด้วย โปรดศึกษาเงื่อนไขการใช้งาน
Wikipedia® เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของมูลนิธิวิกิมีเดีย
..............................................................................................................
http://www.youtube.com/watch?v=LOSwSXuyFkI
เพลงบ้านเกิดเมืองนอน 
SuperSSFB | July 18, 2010 
แผ่นดินไทยคือบ้านเกิดเมืองนอนของเราทุกคน เกิดเป็นคนไทยต้องร่วมแรงร่วมใจทำนุบำรุงปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของเรา
http://www.youtube.com/watch?v=L8a9b7R0aCM
เพลงบ้านเกิดเมืองนอน 
paisalvision | May 13, 2009 
เพลงบ้านเกิดเมืองนอน เป็นเพลงที่ปลุกใจผองชนชาวไทยให้รักห่วงหวงแหนบ้านเกิดเมืองนอน ที่มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในแทบทุกด้าน				
comments powered by Disqus
  • pad

    3 สิงหาคม 2553 04:50 น. - comment id 31938

  • pad

    3 สิงหาคม 2553 04:39 น. - comment id 31939

    เนโกะ neko chan รักพ่อหลวง
    วัฏจักร และ จุดจบของโลก ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา Share
     Friday, July 23, 2010 at 11:55am
    
    วัฏจักร และ จุดจบของโลก ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา
    
    39160_125660404145686_100001051819841_15
    
    วัฏจักร และ จุดจบของโลก ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา ขอตั้งสมมติฐานว่า
    
    
    จุดจบของโลกอยู่ที่ ๖๐๐๐ ล้านปี และ จุดจบของโลก กับ จุดจบของสัตว์ที่มีวิญญาณครองต่างกัน
    โดยมีเหตุผลและอรรถาธิบาย ยกหลักฐานจากพระคัมภีร์ มาประกอบดังนี้
    
    
    
    
    
    
    - ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์บอกว่า โลกใบนี้เกิดมาแล้ว ประมาณ ๔๕๐๐ ล้านปี
    - พระพุทธเจ้าตรัส ว่า ในภัทรกัปนี้ โลกใบนี้เคยมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแล้ว ๔ พระองค์ คือ ๑. พระกกุสันธะ ๒. พระโกนาคมนะ ๓. พระกัสสปะ ๔. พระโคดม(พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)[14] นั่นก็เท่ากับว่า ประมาณ ๑,๑๕๐ ล้านปีมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๑ พระองค์ หลัง จากนั้น โลก
    จะ ล้าง เพราะนํ้าท่วม,ไฟใหม้ (ภูเขาไฟระเบิด)เป็นยุค ๆไป[15] (แต่โลกยังไม่แตก) ขณะที่โลกถูกไฟไหม้ และนํ้าท่วมนั้น มนุษย์ส่วนมากจะไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม(ไปอยู่กับพระเจ้า) เมื่อภูมิ อากาศและผืนดินอุบัติขึ้นใหม่ ก็จะกลับมาเกิดในโลกอีก[16] พระพุทธเจ้าตรัสบอกอีกว่า ในกัปของโลกนี้ จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเพียง 5 พระองค์[17] แล้วโลกก็จะแตกพินาศไป เพราะไฟ ( ดวงอาทิตย์เรียงกัน ๗ ดวง[18] )
    นั่นก็แสดงว่า อีกประมาณ ๑๕๐๐ ล้านปีข้างหน้าโลกจะแตกพินาศ หลังจากพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ คือ พระศรีอริยเมตตรัย อุบัติแล้ว ๑๐๐๐ ล้านปี
    แต่ สรรพสัตว์มิได้มีจุดจบอยู่แค่นั้น หลังจากโลกพินาศแล้ว สัตว์ส่วนมากจะไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม เมื่อโลกอุบัติขึ้นใหม่ ก็จะกลับมาเกิดเป็นสรรพสัตว์ในโลกอีก ดูรายละเอียดได้ใน อัคคัญญสูตรพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐
    
    โลกล้าง กับโลกแตกแตกต่างกัน
    
    อีก ประมาณ ๕๐๐ ล้านปีโลกจะล้าง เพราะนํ้าท่วม และไฟไหม้จนมนุษย์ตายหมดโลก ....แต่โลกยังไม่แตก หลังจากนั้น..ภูมิอากาศของโลกก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ..มนุษย์ที่ตาย ไปเกิดในอาภัสสพรหม..(ไปอยู่กับพระเจ้า..) ก็จะกลับมาเกิดในโลกอีกครั้ง..แล้วจะเข้าสู่ยุคอยู่พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ คือ พระศรีอริยเมตตรัย.... หลังจากยุคพระศรีอริยเมตตรัย..ประมาณ ๑๐๐๐ ปี โลกจึงจะแตก...
    เมื่อโลกแตก....สัตว์มี วิญญาณทั้งหลายก็จะเกิดโลกดวงใหม่ต่อไปอีก....สรรพสัตว์ก็จะกลับมาเกิดในโลก ดวงใหม่ต่อไปอีก... เป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
    ใน เมื่อธรรมชาติเป็นเช่นนี้ การได้ไปอยู่บนสรรค์กับพระเจ้า..ก็ยังมิใช่ที่ปลอดภัย...เพราะ..??? เพราะเมื่อหมดบุญแล้วก็ต้องกลับไปเกิดในอบายภูมิเป็นส่วนมาก ปรากฏความในพระคัมภีร์ว่า
    ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้ปลายพระนขา(เล็บ)ช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ..ภิกษุทั้งหลาย เธอเข้าใจความข้อนี้อย่างไร ฝุ่นที่เราใช้ปลายเล็บช้อนขึ้นมากับแผ่นดินใหญ่นี้อย่างไหนจะมากกว่ากัน
    ภิกษุ ทูลตอบว่า ....ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นที่ปลายพระนขามีเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่แล้ว คำนวนไม่ได้ เทียบกัน ไม่ได้ หรือไม่ถึงส่วนเสี้ยว
    ภิกษุ ทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติเทวดามาเกิดในเทวดามีจำนวนน้อย ส่วนเทวดาที่เคลื่อนจากสวรรค์แล้วไปเกิดในนรก ไปเป็นเปรตมีจำนวนมากกว่า พวกเทพชั้น เวหัปผลาที่ไม่ได้สดับพุทธธรรมมีอายุประมาณ ๕๐๐ กัป เมื่อสิ้นอายุให้ระยะเวลาที่เป็นกำหนดอายุหมดไปแล้ว ไปสู่นรกบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้าง[19]
    
    พระองค์ตรัส เปรียบเทียบให้พระภิกษุฟังว่า....  เมื่อพรหมเคลื่อนจากภพของตนแล้ว ที่จะได้กลับไปเกิดเป็นพรหมอีกหรือไปเกิดในภูมิที่ตํ่าลงมามีจำนวนน้อยแต่ เทวดาที่ต้องไปตกนรกมีจำนวนมาก... เทียบได้กับจำนวนฝุ่นที่ปลายเล็บกับผืนดินทั้งปฐพี ฉะนั้น
    
    สรุป ว่า ถ้ายังไม่บรรลุอรหันต์เข้าถึงพระนิพพาน ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่าไป โดยไม่ขึ้นกับศาสนา หรือศาสดาองค์ใด เพราะนี่คือกฎธรรมชาติ ถึงไม่มีใครเชื่อก็ยังคงเป็นอย่างนี้ เพราะนี้คือ กฎธรรมชาติ
    
    note.php?note_id=137377976292692&id=1000
    
    ------------
    ที่มา: http://www.watklaikangwon.org/index....cle&Id=5378092Updated about a week ago · Report Note
    เนโกะ neko chan รักพ่อหลวง กฏธรรมชาตินั้นมีอยู่แล้ว และดำรงอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม
    
    นี่คือธรรมชาติ และนี่ก็คือกฏของธรรมชาติ 
    
    สาธุ
    July 23 at 11:58am · In this note
    
    http://www.facebook.com/note.php?note_id=137377976292692&id=100001051819841
  • pad

    3 สิงหาคม 2553 04:30 น. - comment id 31941

    Phun Peter's Photos - ทรงพระเจริญ
    Photo 1 of 1   Back to Album · Peter's Photos · Peter's Profile
    
    39229_1534808331583_1276058024_1486959_3
    
    พระราชหัตถเลขาในสมเด็จพระนางเจ้าฯสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ทรงชื่นชมคุณนภัส ณ ป้อมเพ็ชร์
     
    Credit: Kris Kiattisak
     
    http://www.facebook.com/?ref=home#!/photo.php?pid=1486959&id=1276058024
  • pad

    3 สิงหาคม 2553 01:40 น. - comment id 31943

    มาทำหน้าที่ ใช้หนี้แผ่นดินเกิด
    
    16.gif
  • ลักษมณ์

    3 สิงหาคม 2553 01:25 น. - comment id 31944

    เพลงบ้านเกิดเมืองนอน
    http://www.youtube.com/watch?v=LOSwSXuyFkI
    แผ่นดินไทยคือบ้านเกิดเมืองนอนของเราทุกคน เกิดเป็นคนไทยต้องร่วมแรงร่วมใจทำนุบำรุงปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของเรา
  • ..

    6 สิงหาคม 2553 20:48 น. - comment id 31972

    46.gif
  • pad

    7 สิงหาคม 2553 01:42 น. - comment id 31976

    Rattawoot Pratoomraj: ข้อเสนอต่อรัฐบาล อ้างอิงความเห็น Kamnoon Sidhisamarn
    
    ข้อเสนอต่อรัฐบาล อ้างอิงความเห็น Kamnoon SidhisamarnShare
     Yesterday at 1:07pm
    via Kamnoon Sidhisamarn สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำคือ
    (1) ขออนุมัติรัฐสภาเลิกMoU43 ทันที
    (2) ขอคืนพื้นที่
    (3) ชวนกัมพูชามาทำMoUใหม่โดยยึดยึดหลักอนุสัญญา 1904 และสนธิสัญญา 1907 คือสันปันน้ำเท่านั้น แล้วเดินสำรวจและใช้เทคโนโลยียุคใหม่ที่ตกลงกัน ณ พื้นที่จริงเพื่อจัดทำหลักเขตแดน
    
    อ้างอิง
    ประเด็น(1)
    - เหตุผล(๑)
    จากข้อความใน MOU ปี พ.ศ. 2543 
    "...จะร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาให้เป็นไปตามเอกสารต่อไปนี้...
    
    ...(ค) แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 กับสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ.1907 และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 กับสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ.1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส..."
    
    ดังนั้น MoU43 จึงเปิดโอกาสให้กัมพูชา อ้างได้ว่ามีพื้นที่ทับซ้อน ทั้งที่ประเทศไทยได้ยืนยันยึดหลักสันปันน้ำในการกำหนดเขตแดน (ตามตัวบทสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ๑๙๐๔ และ ๑๙๐๗ มาโดยตลอด)
    
    - เหตุผล(๒)
    การปล่อยให้กัมพูชานำเสนอหลักฐาน เท็จ(แผนที่ ระวางดงรัก Annex I มาตราส่วน 1:200000) ซึ่งผิดจากความจริง จะทำให้แผนที่ดังกล่าว มีความชอบธรรม ที่กัมพูชาจะนำไปใช้อ้างอิงการกำหนดเขตแดนทางทะเลต่อไป จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมชาติมหาอำนาจ จึงสนับสนุนกัมพูชา บนเวที UNESCO ซึ่งแท้จริงต้องการผลประโยชน์จากแหล่งพลังงานที่กัมพูชาเอื้อให้ 
    
    - เหตุผล(๓)
    หากตัดคำพิพากษาของศาลโลกที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา เมื่อปี 2505 ปมขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ก็น่าจะมีร่องรอยตั้งแต่สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ที่ได้ไปลงนามตกลงกับกัมพูชาเรื่องปัญหาเขาพระวิหาร เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2543 โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ปี 2543 โดยเป็นการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่ฝ่ายเดียว 
    
    ประเด็น(2)
    - เหตุผล(๑)
    ...ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือถึงกัมพูชาจะเสนอแค่ตัวปราสาท แต่ สภาพความเป็นจริง กัมพูชายังไม่ถอนทหาร หรือนำคนที่บุกรุกออกจากพื้นที่ฝั่งไทยประมาณ 800 คนที่มาตั้งชุมชนตั้งแต่ปี 2546 และทำให้เกิดปัญหาน้ำเสีย ปัญหาขยะ จะมีการจัดการอย่างไรกับการรุกล้ำของคนกลุ่มนี้ในฝั่งไทย
    กรุงเทพธุรกิจ ๒๐ มิ.ย. ๒๕๕๑ http://www.bangkokbi...znews.com/2008/06/20/news_268881.php
    
    ในทางพฤตินัย ทหารกับคนเขมร มาตั้งรกรากอยู่ในดินแดน(ที่ไทยอ้างสิทธิ์ และอยู่มาตลอด จนเมื่อ 7-8ปีที่แล้ว คนไทยถูกไล่ออกจากพื้นที่ตัวเอง) ดังนั้นต้องถือว่าเขมรรุกรานดินแดนไทย บนพื้นฐาน MoU43 ที่ไปรับรองแผนที่ ๑ ต่อ๒แสน (พูดง่ายๆ ถ้าไม่มีการรับรองแผนที่ ๑ ต่อ ๒แสน โดย MoU43แล้ว เขมรก็ไม่รู้จะอ้างอะไร ในการอยู่ๆก็บุกเข้ามาตั้งรกราก)
    
    - เหตุผล(๒)
    จากหลักฐานในอดีต จะเห็นได้ว่าเขมรได้เคยพยายามรุกเข้าดินแดนไทย ตามหลักฐานในปี ๒๕๔๓ (ปีที่ไทยทำ MoU2543 กับเขมร) แต่ถูกไทยยิงฮ.ตก ตามหลักฐานอ้างอิงรูปซากเฮลิคอปเตอร์ของเขมร ที่โดนทหารไทยยิงตก เพราะรุกล้ำน่านฟ้าไทยในบริเวณใกล้ตัวปราสาทพระ วิหารจุดตกอยู่ตรงบริเวณรั้วลวด หนาม ก่อนถึงเป้ยตาดี (ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2543)►ปัจจุบันบริเวณนี้ มีกองกำลังเขมร ยึดครองอยู่ ทหารไทยไปไม่ได้อีกแล้ว ทั้งที่เป็นเขตไทย http://bit.ly/buRhGC
    
    - เหตุผล(๓)
    แผนที่ แสดงการจัดการมรดกโลกร่วมระหว่าง ไทย-กัมพูชา จัดทำเอกสารโดยกัมพูชาแสดงให้เห็นว่าไทยต้องเสียดินแดน 4.6 ตร.กม. อยู่ดีและจากเริ่มมากกว่านั้นไปอีกในไม่ช้า เพราะ จะมี 7ชาติมาร่วมบริหารการจัดการแผ่นดินไทย 
    
    ประเด็น(3)
    - เหตุผล(๑)
    ตามสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 กำหนดให้แนวเส้นเขตแดนไปตามสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรักฝั่งบนเป็นฝั่งไทย ฝั่งล่างเป็นฝั่งกัมพูชา ซึ่งเป็นหน้าผาสูงชัน ปราสาทเขาพระวิหารอยู่บนเนิน ส่วนทางขึ้นปราสาทนั้นอยู่ทางฝั่งไทย โดยจะกันตัวปราสาทเขาพระวิหารไว้ในฝั่งไทย แต่แผนที่มาตรา 1:200,000 ของพันตรีแบร์นาร์ กลับลากเส้นเขตแดนไม่สอดคล้องกับสนธิสัญญาดังกล่าว ดังนั้น การที่ไทยและกัมพูชามีข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหารขึ้น จึงมีสาเหตุจากการที่เส้นเขตแดนในแผนที่ไม่ตรงกับที่เขียนไว้ในสนธิสัญญา 
    
    - เหตุผล(๒)
    แผนที่ ระวางดงรัก ๑ ต่อ ๒แสน (ที่ฝรั่งเศสทำเมื่อ ๑๐๓ ปีที่แล้ว ซึ่งไม่ถูกต้องตามภูมิประเทศจริง) และศาลโลก ไม่รับรองเมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๐๕ แต่เป็นหลักฐานที่เขมรใช้ในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งเท่ากับการแสดงหลักฐานเท็จ เพราะอ้างว่าศาลโลกรับรอง 
    
    แผ่น ระวางดงรัก มาตราส่วน 1: 200,000 ฉบับนี้ น่าจะเป็นฉบับที่ 2 ซึ่งเพิ่งพิมพ์ขึ้นใหม่ที่กรุงปารีส ในระหว่างฤดูร้อน ค.ศ. 1908 โดยฝรั่งเศสจัดทำขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อแสดงเส้นเขตแดนที่เกิดขึ้นใหม่ (หลังการแลกดินแดน) ตามพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 คือ ช่วงจากหลักเขตแดนที่ 1 ที่ช่อง...สะ งำ ซึ่งเป็นบริเวณรอยต่อ จ.ศรีสะเกษ กับ จ.สุรินทร์ ลงไปทาง จ.บุรีรัมย์ จ.สระแก้ว จ.จันทบุรี สิ้นสุดที่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ซึ่งเป็นหลักเขตแดนที่ 73
    
    แต่แผนที่ฉบับนี้ไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการ ผสมสยาม-ฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 เพราะคณะกรรมการผสมชุดดังกล่าว ได้ถูกยุบเลิกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1907 ก่อนจะมีการจัดทำแผนที่ฉบับนี้นานถึง 1 ปี
    อ้างอิง:
    http://wms.cfcambodge.org/mambo/images/stories/CartePreahvihear.jpg
    http://pirun.ku.ac.th/~g4685035/CartePreahvihear.jpg
    
    อ่านเพิ่มเติม
    
    - เหตุผล(๓)
    ประเทศไทยควร คัดค้านไม่ใช้แผนที่โบราณ ไม่ถูกต้องนี้ และนำเสนอเทคโนโลยีปัจจุบันในการสำรวจ ปักปันและกำหนดเขตแดน เช่น
    
    แผนที่ทหาร มาตราส่วน ๑ ต่อ ๕หมื่น(ได้รับการช่วยเหลือเทคโนโลยีจากอเมริกา) ซึ่งถูกต้องตรงความเป็นจริง ใช้ในหน่วยราชการต่างๆของไทย
    
    
    ภาพถ่ายดาวเทียม เช่น Google Earth 
    
    เทคโนโลยีระบุตำแหน่งแบบ GPS(Global Positioning System) ซึ่งได้รับการยอมรับและใช้งานกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก
    
    
    http://www.facebook.com/profile.php?id=100000979050044#!/note.php?note_id=134522206589130&id=1464618327&ref=mf
ชื่อเรื่องสั้น-นิยาย

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน