เนื่องจากได้รับเมล จากพี่ป้ากันนา น่าจะเป็นฟอร์เวิดเมล แต่เห็นเข้าท่าดีนะครับ ขอมาลงที่กระทู้นี้ละกัน ไม่ได้มีเจตนาว่ากระทบผู้ใดทั้งสิ้น แต่เห็นว่าเป็นหัวข้อที่ดี..อิอิ ออกตัวไว้ก่อนเรา.. ................. ถ้าทำได้ ก้อเป็นสุขแล้ว รับรองไม่เครียดแน่ ๆ ทำอย่างไร ให้พ้น โทสะ โมหะ โลภะ สามพญามาร #################################### อีกระดับของความคิด ในการใช้ชีวิตอย่างสุขใจได้ ลองนำไปใช้ในชีวิตประจำวันนะครับ เป็นแนวคิดที่ดีมากเลย อักโกสกสูตร ' ทำอย่างไรเมื่อถูกคนอื่นด่า ' ในชีวิตประจำวันเรามักถูกคนด่าว่า หรือนินทาให้เสียหาย ทั้งๆที่บางทีเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด บางท่านทนไม่ได้ก็อาจด่าตอบ หรือนินทาตอบเพื่อให้หายแค้น บางท่านก็ทำใจได้ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย ก็ดีไปอย่าง มีพระสูตรหนึ่งชื่อ อักโกสกสูตร น่าจะนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันเราไม่น้อย เรื่องมีว่า... ครั้งหนึ่งมีพราหมณ์คนหนึ่งไม่รู้ว่าโกรธแค้นพระพุทธเจ้าแต่ปางไหน พบพระพุทธองค์ก็เข้าไปด่าเลยแบบไม่ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว ด่าว่าอย่างไรไม่ได้ให้รายละเอียดไว้ บอกแต่ว่า 'อสพุภาหิ ผรุสาหิ วาจาหิ อกุโกสติ ปริภาติ' ด่าและบริภาษด้วยวาจาหยาบคายอันไม่ใช่ของสุภาพบุรุษ เมื่อเขาด่าจนพอแล้ว พระพุทธองศ์ตรัสถามว่า 'พราหมณ์ที่บ้านท่านมีญาติมิตรมาเยี่ยมบ้างไหม' พราหมณ์บอกว่า 'มีสิ ข้าพเจ้ามิใช่คนสิ้นญาติขาดมิตรนี่' พระองศ์ตรัสถามว่า 'เวลาเขามา ท่านเอาอะไรต้อนรับเขา' พราหมณ์บอกว่า 'ก็เอาน้ำดื่ม ของเคี้ยว ของกินมาต้อนรับ' พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามต่อ 'ถ้าแขกที่มาที่บ้านท่าน ไม่กินไม่ดื่มของต้อนรับเหล่านั้น ของเหล่านั้น จะเป็นของใคร' 'ก็ตกเป็นของข้าพเจ้าตามเดิมสิ ' พราหมณ์ตอบ พระองศ์ตรัสต่อไปว่า ' เช่นเดียวกันนั้นแหละพราหมณ์ ท่านด่าเราเราไม่รับคำด่านั้น คำด่านั้นก็ตกเป็นของท่านสินะ ' โดนเข้าไม้นี้อีตาพราหมณ์นิ่งอึ้งเลย พระพุทธองศ์ตรัสสอนต่อว่า 'ผู้โกรธตอบคนที่ด่า เลวกว่าคนด่าเสียอีก คนที่ไม่โกรธตอบคนที่ด่านับว่าชนะสงครามที่ชนะได้แสนยาก คนที่มีสติยับยั้งชั่งใจ ไม่โกรธเวลาเขาด่า นับว่าทำประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนอื่น แต่คนเช่นนี้ คนที่ไม่เข้าถึงธรรม มักจะหาว่าเป็นคนโง่ ' พราหมณ์สำนึกผิดว่าตนได้ด่าผู้ที่ไม่สมควรด่าอย่างยิ่ง จึงปฏิญาณตนนับถือพระรัตรตรัย ทูลขอบวช ในพระพุทธศาสนา หลังจากบวชไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ที่มา: ธรรมะนอกธรรมาสน์ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต
12 พฤศจิกายน 2552 21:36 น. - comment id 25398
ขออนุญาต พี่ป้านะครับ
12 พฤศจิกายน 2552 21:43 น. - comment id 25399
คนที่ชอบด่า ว่าคนอื่น ลองวิเคราะห์ ดูค่ะ 1 เพราะนิสัยชอบด่า 2 เพราะอารมณ์พาไป ไม่ทันยั้งคิด พอด่าเสร็จ หากมีสำนึกก็จะรู้สึกเสียใจ คร่ำครวน โถ...ไม่น่าเลยเรา อิอิ 3 ด่าไปก่อน เพราะกลัวแพ้ คนประเภทนี้ น่าระอามากกว่าน่าคบ ห่างๆไว้ดีกว่า สรุป ใครด่าเรา หากเราไม่รับก็เข้าตัวเหมือน ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสกัยพราหมณ์นั่นแหละค่ะ ปู่ๆๆ ตกลงเรียกมาเนี่ย ใครด่าใครคะ อิ อิ เดี๋ยวจะไปสวัสดีงามๆ ไปนอนแระเด๊ยวอาการกำเริบ ฝันดีจ้า
12 พฤศจิกายน 2552 21:45 น. - comment id 25400
อ้อ เมล์ฉบับนี้อ่านแล้วเตือนสติดีมากๆจ้า ขอบคุณพี่ป้าด้วยค่ะ
12 พฤศจิกายน 2552 21:57 น. - comment id 25401
อ่านแล้วเห็นสมค่ะ ถ้าอารมณ์ไม่กระฉูดเสียก่อน จะพึงระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ ขอบคุณที่นำมาให้อ่านนะค่ะ
12 พฤศจิกายน 2552 22:02 น. - comment id 25402
ขออนุโมทนาสาธุกับคนที่นำมาเผยแพร่ครับ ^ ^
13 พฤศจิกายน 2552 00:51 น. - comment id 25406
สาธุครับ
13 พฤศจิกายน 2552 03:27 น. - comment id 25407
โมทนาค่ะ เป็นกุศลที่บอกต่อนะคะ หากทำได้เยี่ยงนี้ไซร้ จิตสุขถ่องแท้ นพคุณค่ะ
13 พฤศจิกายน 2552 09:20 น. - comment id 25411
คุณแบม..ขอบคุณที่มาร่วมแจมกระทู้นี้ครับ คุณประการังสีฟ้า...เป็นปกติสามัญของนิสัยมนุษย์นะครับ เพราะย่อมมีอารมณ์ ชอบ ไม่ชอบ ด้วยกันทั้งนั้น ครับ หากรู้จักวิธียับยั้งจะดีกันมาก แต่ปัจจุบัน อารมณ์คนเราในปัจจุบัน มันเปรียบเหมือน เส้นเชือกที่เป็นสปริงครับ พออะไรเข้ามากระทบ มันก้อจะเด้งย้อนเท่ากับแรงกระทบที่ตกมา..ขึ้นอย฿กับแรงกระทบนั้นๆ...แต่หากเชือกสปริงนั้นมีอีกเส้นที่คอยรั้ง สภาวะการเด้งกลับย่อมลดระดับลงครับ..ขอบคุณนะครับ คุณธันวันตรี หากยังซึ่งประโยชน์โดยแท้จริงต้องขอบคุณพี่ป้ากันนาแล้วละครับ อิอิ คุณรัมณีย์ น้องต้าถึงกับสาธุเลยรึ อิอิ เพราะพี่กิ่งโดยส่วนมาก ..บางทีก้อยั้งไม่อยู่เช่นกัน เพราะดันไปรับเอาอันที่เขาด่าเรามา... คุณปรางทิพย์ ...ผมเองอยากทำได้แบบนี้ครับ ..แต่มันได้ชั่วประเด๋วเท่านั้น
13 พฤศจิกายน 2552 09:58 น. - comment id 25412
อิอิ...ได้อ่านแล้วเหมือนกันค่ะ เป็นข้อคิดที่ดีมากๆเลยค่ะถ้านำมาปฏิบัติเนาะ
13 พฤศจิกายน 2552 10:02 น. - comment id 25413
ป้าโค..เอ๊ยคุณฝน อิอิ กิ่งโศ ก้อนำเสนอต่อเท่านั้นครับ อยากทำได้นะครับ แต่ว่าอารมณ์นี้มันช่างควบคุมความอดกลั้นได้น้อย... อ่อ ขอบคุณที่ช่วยหาเพลงของหม่อมถนัดศรีครับ..
13 พฤศจิกายน 2552 13:32 น. - comment id 25422
ถ้าทำได้ก็คงดีเนาะ..แต่ในบางสถานการณ์ อ้อยว่ามันก็ยากเหมือนกัน...สรุปคงต้องใข้ "ความสงบสยบความเคลื่อนไหว" แล้วกัน
13 พฤศจิกายน 2552 15:04 น. - comment id 25425
เฌอ ไม่รับเลยแหละ ถ้าคำชมน่ะเหรอ เท่าไหร่เท่ากันแบบว่าชอบกินลูกยออ่ะ
13 พฤศจิกายน 2552 19:35 น. - comment id 25433
แถวบ้านผมเขานิยม บ่งหนามด้วยหนามครับ มาแนวธรรมะ ดีครับ การสนทนาธรรม ตามกาล เป็นมงคล หนึ่งใน 36 มงคลครับ ขอให้มีความสุขครับ
13 พฤศจิกายน 2552 19:45 น. - comment id 25435
ต้องพิจารณาตัวเองว่าทำตัวน่าให้เขาด่ารึเปล่า คนไทยพวกควายเหลืองส่วนมากชี้นิ้วด่าคนอื่น ตัวเอง พวกของตัวเองดีหมด ถูกหมด มันตลก
13 พฤศจิกายน 2552 20:35 น. - comment id 25444
ขออภัยนะครับ สำหรับใครที่มีเจตนามาชวนทะเลาะในนี้..จะด่าหรือตีกันยังไง..ก้อต้องขอกราบๆงามๆ ละครับ..ขออนุญาตลบ เม้นที่ ดูแล้วขัดกับ กระทู้นะครับ..หากไม่ลบเด๋วมีคนรับนะครับ... ขออภัย
13 พฤศจิกายน 2552 20:56 น. - comment id 25449
แปลกแฮะ บ้านเมืองนี้คนพูดความจริงไม่ได้ ชอบแต่เรื่องโกหกตอแหล ตลก แฮะ
13 พฤศจิกายน 2552 20:58 น. - comment id 25450
จะบอกหน่อยไม่ไดเร้อะว่า สิ่งที่พูดมันผิดตรงไหนเร้อะ
13 พฤศจิกายน 2552 21:23 น. - comment id 25454
ผิดไม่ผิดคงต้องพิจารณาเองละครับ ว่าสมควรมีถ้อยคำหยาบหรือไม่อย่างไร
13 พฤศจิกายน 2552 21:37 น. - comment id 25456
อ้อ รู้แล้วหล่ะ พันทมารชั่วทำลายชาติด่าหลวงพ่อพยอมชั้นเจ้าคุณ อย่างหยาบคาย นี่ไม่หยาบแฮะ เข้าใจแล้ว บ้านเมืองนี้คำด่ามีไว้ใช้พูดได้เฉพาะคนพวกพันทมารชั่วทำลายชาติ หากคนอื่นพูดไม่ได้เด็ดขาด เจริญจังเลยเน้อะประเทศนี้ เนี่ยลูกข้าวนึ่งกำลังพิจารณาอยู่นะ คงต้องไปเรียน ป ๔ ใหม่แล้วละเน้อะตัวเรา ช่างไม่รู้เลยว่าคำไหนหยาบ
13 พฤศจิกายน 2552 21:39 น. - comment id 25458
เอ...สงสัยว่าเราคนบ้านนอกเรียนตำราภาษาไทย ป ๔ มาคนละเล่มกับพวกควายเหลืองแฮะ รึยังงัยเนี่ย
13 พฤศจิกายน 2552 21:48 น. - comment id 25460
ถูกด่า ได้ยินก็อย่าใส่ใจ ปล่อยให้คนด่า ด่าเสียให้เข็ด... เดี๋ยวเหนื่อยก็หยุดเองค่ะ อิอิ ยิ่งด่าก็ยิ่งแสดงความไม่น่ารักออกมา
13 พฤศจิกายน 2552 21:57 น. - comment id 25461
พี่เสื้อแดง หรือพี่รากหญ้าเมื่อรู้ตัวแบบนั้นก้อขอบคุณครับ
14 พฤศจิกายน 2552 21:53 น. - comment id 25469
อ้อ รู้ตัวว่าคุณโง่เหรอ เออจริงสินะ
14 พฤศจิกายน 2552 21:55 น. - comment id 25470
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คนรากหญ้า รู้ว่าพวกควายเหลืองโง่ ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกเอิ๊กกกกกกกกกกกกกก
14 พฤศจิกายน 2552 22:17 น. - comment id 25476
ในตัวอย่างเนี้ย ท่านหมายถึงคนชั่วมาด่าคนดีมีคุณธรรม แต่หากคนดีตำหนิคนชั่วนั้นมันเรื่องถูกต้อง
15 พฤศจิกายน 2552 08:23 น. - comment id 25575
ทีแรกตั้งใจจะลบนะครับ...เห็นใจท่านครับ ไม่ลบหรอก อย่างน้อยหากพื้นที่นี้ พอจะ ที่จะเป็นที่ปลดเปลื้องพี่รากหญ้าได้ นั่นนับว่าคือกุศลครับ อีกอย่าง ตามหัวข้อกระทู้ครับ เมื่อเราไม่รับ มันจะเป็นของใครละ สุขสวัสจงเป็นของทุกๆ คนครับ
13 มิถุนายน 2554 16:18 น. - comment id 33625
การย้อนสู่กาลอดีต ในห้วงความนึกคิด หากเป็นเรื่องปีติสุข ก็ย่อมทำให้ชื่นใจอยู่ไม่สร่างซา เลยทีเดียว หากแต่เป็นเรื่องที่ทุกข์ท้อ หรือเจ็บปวดย่อม ก่อให้เกิดแต่ความกำสรดอาดูร ทั้งสองอารมณ์ย่อมถูกความทรงจำบัยทึกไว้ แม้ว่าบางครั้งเลอะเลือนไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าบันทึกนั้นจะหดหาย เพียงรอจังหวะ ที่จะถูกดึงให้นึกถึงตามช่วงแห่งกาลนั้นๆ ช่วงนี้ฝนตกถี่มาก รถก็เลอะเปื้อนโคลนดินบ่อย ทำให้ต้องปล่อยปละละเลย ตามประสาติ๊ก ..ประสากิ่งโศก ผู้อนุรักษ์สิ่งที่เป็นปัจจัยแห่งกาลเวลา (เก่า) ณ..คาบเพลานี้ ตามเส้นทางสัญจรไม่ว่าเป็นถนน ทางเดิน ในตรอก ลึกแค่ไหน ป้ายท่านผู้มีเกียรติ ติดรกเต็มไปหมด ภาพในสื่อต่างๆ ท่านผู้ทรงเกียรติเหล่านั้น ขี่เกวียน ดำนา นอนวัด สารพัดเขาทำได้หมด ไม่น่าเชื่อเลย พนมมือแต้ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกัน ไหว้สลอนไปหมด ...ตอนนี้เราประชาชนน่าจะภูมิใจนะ มีท่านผู้มีเกียรติมายกมือไหว้ ดูข่าวท่าน อ.สุขุม นวลสกุล เล่าไว้สมัยก่อน กกต. ไม่เฮี๊ยบขนาดสมัยนี้นั้น เมื่อก่อนมีแจกรองเท้าหาเสียงด้วย แจกข้างเดียว พอได้แล้วค่อยเอามาให้อีกข้าง ..หุหุ ทำให้นึกถึงเพลงเสียดสีการเมือง...ไม่ว่าจะเป็นเพลงมนต์การเมืองของคำรณ สัมปุณณานนท์ (สมัยไม่รุอะ) หรือเพลงของน้าแอ๊ด คาราบาว ...หรือแม้แต่ นิค นิรนาม เพลงคนกินแดด ที่ร้องไว้ว่า คงจะดีถ้าหนึ่งปีเลือกผู้แทนทุกเดือน หุหุหุ ที่มองนักการเมืองนั้นดั่งพวกกินบ้านกินเมือง เป็นผู้ร้ายในคราบผู้ดี มองระบบประชาธิปไตยแบบ อสูรครองเมือง ปานนั้น แต่มางวดนี้ (ไม่ใช่หวย) จะย้อนยุคเพลงสมัย รวมดาว ( หักมุมหน่อย) เพลงคู่ มนต์รักอสูร เพลงนี้น่าจะมาจากนิยาย มนต์รักอสูร ที่สมัยก่อนดังมาก พิศาล กับ นาตยา (น่าจะใช่) ที่แสดงไว้เป็นภาพยนต์ ลองมาฟังกันนะครับ มนต์รักอสูร ชุดรวมดาว เกร็ดของเพลงนี้ ได้นำบทประพันธ์ของโคลงโลกนิติ ท่อนแรกมาดัดแปลง ๐ รูปแร้งดูร่างร้าย..............รุงรัง ภายนอกเพียงพึงชัง........ชั่วช้า เสพสัตว์ที่มรณัง.............นฤโทษ ดั่งจิตสาธุชนกล้า...........กลั่นสร้างทางผล ...................................................................................... มนต์รักอสูร ช) รูปแร้งดูร่างร้าย รุงรัง ภายนอกเพียงพึงชัง ชั่วช้า เสพสัตว์ที่มรณัง นฤโทษ สาธุชนนั้นอ้า เลิศด้วยดวงใจ ญ) โอมเอย อย่าเป่ามาเลยมนต์รักอสูร รักยิ่งเพิ่มพูนเทียมโขดเขินเนินไศล รังสีอสูรบ่สดใส ผิว์ดำผิวนอกแต่ในผ่องเนื้อนพคุณ ช) ดวงใจผูกอยู่ภายในความรักแน่นหนา รักเทพธิดาแผ่เมตตามาเปรียบบุญ นางฟ้าองค์ไหนไม่นำหนุน โอ้ความรักดังอรุณ รุ่งฟ้าแล้วมาสูญสิ้น ญ) สายลมกระซิบมาเบาๆ ช) พัดเอากลิ่นเนื้อเจือบางๆ ญ) มนต์รักแว่วเลือนลางไม่จางจากให้ใจถวิล ช) สวยเอยเทพธิดาลาวัณย์ ญ) สัมพันธ์อสูรทูนเทวินทร์ ช) มนต์รักดังเพลงพิณ ผืนดินอาบแสงทองผ่องพรรณ พร้อม) โอมเอย เป่าผ่านไปเลยความรักสลาย ขอรักหญิงชายรุ่งเรืองคล้ายดาวสวรรค์ ความรักอันแท้อย่าแปรผัน เปรียบรังสีแวมแจ่มจันทร์ เช่นกันมนต์รักอสูร บทท้ายแห่งลำนำ กิ่งโศก ฝากงานฝึกเขียน พร้อมรับคำติชมด้วยครับ งานนี้หัดเขียนฉันท์เป็นครั้งแรก ครับ ๏.. ลำนำ อสุรีครองนาคร.. ๏ มาณวกฉันท์ ๘ ๏ ฤาอสุรา .......... คร่าสุรเสียง ก้องดะเผดียง ......... ย่ำอฏวี มืดนภกว้าง ............ ด่างเลอะฤดี ดำลุธุลี ................. ป่นสวะบุญ ๚ะ ๏ ฝูงสฤคาล ......... พล่านแสยะผลุน ไล่นรกุล .............. เปิงแบะปริไป ขู่แขวะกระสา ......... ฆ่าปรลัย ทัณฑ์อริไล้ ........... พือคุนคร ๚ะ ๏ ทรงนรศีล ......... ปีนละสลอน งัน ณ ขนอน .......... นิ่งแสะศิลา ปล่อยมนวาง .......... บ้างเยาะยถา- กรรมบ่คณา ............ ใช่ธุระเรา ๚ะ ๏ รอยเปรอะเลอะทั่ว ....... กลั้วสติเขลา เลือดประทุเงา ................ แง้มแงะแคะครืน ชั่วทุรชน ................... กลก็บ่ขืน เข่นตละกละกลืน ............. ฆาตพรกาล ๚ะ ๏ เย้ยเทวะเจ้า ............ เนา ณ วิมาน ผู้ตริผิศานต์ .................. ครองศศิธร แลทะลุข้าม ................. ลามอดิศร ย่ำศิวะพร ................ หมิ่นสวภู ๚ะ ๏ เพลิงกุกระพือ ....... มือศตคู้ งอเจาะเลาะชู ........... ฉีกฉะระล้วง นบสุรผู้ ............. ปูชยบวง กฤษณะสรวง .......... สืบอวตาน ๚ะ ๏ ล้างอริราบ ........... ปราบมิติมาร เข็นสิริกาล ............. สู่เสนาะเนา ธรรมจะลุร้อย .......... สร้อยสิเฉลา แสงศศิเกลา ........... ท่วมหฤทัย ๚ะ๛ + กิ่งโศก + -ขอบคุณภาพ จากGoogle
16 มิถุนายน 2554 14:37 น. - comment id 33672
img src=http://www.bloggang.com/data/blueberrycpie/picture/1134603581.jpg> ....................ความครึกครื้น ย่อมสนองกระตุ้นความคึกคัก กระปรี้กระเปร่าในหัวใจ ได้ดีนักนะครับ ความครึกครื้นบางครั้งมาจากอารมณ์รื่นเริง หรือมาจากการฟังเพลงสนุกสนาน เพลงสนุกสนานนั้นอยู่ที่จังหวะเร็วๆหรือไม่เนิบนาบ สมัยนี้คงเรียกจังหวะแด๊นซ์ ส่วนสมัยก่อน จังหวะที่สนุกสนาน พวกชะชะช่า สามช่า บิกิน ตลุง ฯลฯ หรือย้อนไปให้ไกลเข้าไปอีก ยุคผู้นำเผด็จการ ก็ยังชอบเพลงจังหวะรำวง กันอย่างขนานหนัก เลยมีการกำหนด เพลงรำวง ท่ารำวงมาตรฐานต่างๆ กลายเป็นเพลงรำวงประจำชาติไปเลย คนที่อายุสักสามสิบอัพ คงพอจะได้เรียน หรือไม่ได้เรียนรำวงมาคงพอ จะจับจีบมือ ออกท่าเป็นวง (ไม่ใช่วงสวิงนักตีกอล์ฟ) ได้สวย เต้นให้จังหวะไปกับเสียงกลอง และเสียง หรืออาจจะเห็นตามแห่งานบวช มีรำวงแตรวง แห่แหนนาคเข้าวัด แต่ตอนนี้ยุคสมัย จะมีแต่เพลงรำวงมันจะโบราณจัด เลยมีแต่แตรวง จังหวะแดนซ์ คนสูงอายุ มาเต้นคงหอบซี่โครงบาน เลย วันนี้อยากนำเสนอเพลงรำวง แต่เป็นรำวงทางพี่น้องชาวที่ราบสูง นั่นคือ รำวงสาวบ้านแต้ ชุดเดิมที่ขับร้องไว้เป็นของสุนทราภรณ์ ที่บันทึกร้องโด่งดังในปี 2511 ทั้งๆที่เพลงนี้ เขียนไว้ 2502 สมัยจอมพลสฤต กิ่งโศกชอบในทำนองเพลงรำวง นี่แหละ การประสานเสียงร้องหมู่ก็แสนจะได้อารมณ์แห่งความสามัคคี ( อยากจะให้คนในชาติสามัคคีกันแบบนี้สักเรื่อง) แต่ที่สดุดหู น่าจะเป็นคำร้อง ที่คงความเป็นภาษาท้องถิ่นไว้เกือบทั้งหมด คนภาคอื่นอาจจะงง เช่นกิ่งโศก แต่ก็พยายามนึกๆ ตาม แต่บางคำ ก็แปลไม่ออก หรือ บางคำไม่แน่ใจว่า เป็นของคนอีสานหรือไม่ เช่นคำว่า... วันตี้ห้า ดือนกันยายน....คำว่าตี้ห้า..แปลเป็นภาษาภาคกลางคือวันที่ ๕ นั่นเอง..คำว่าตี้ ที่ส่วนมากจะเป็นคนเหนือ ใช้แทนคำ..ที่ เลยทำให้สับสน หรือ สวีวี่วี... แต่พอไปหาประวัติ ที่มาเพลงนี้เกิดจากการไปนำเพลงท้องถิ่นทางภาคอิสาน มาดัดแปลงเป็นเพลงของวงสุนทราภรณ์ ที่จริงบทเพลงร้องโต้ตอบ ชายหญิงแบบนี้ เพลงท้องถิ่นจะมีกันทุกภาค เช่นเพลงเหย่ย เพลงฉ่อย เพลงเรือ อีแซว ค่าว ซอ หมอลำ ผญา ฯลฯ วันนี้ ขอเสนอในเวอร์ ของ รวมดาว หรือ 18 กระรัต นี่แหละ ลองฟังกันดูนะครับจะรู้ว่า ม่วน มาก รำวงสาวบ้านแต้ คำร้อง ธรรมนูญ แสงรังษี ทำนอง ธนิต ผลประเสริฐ (สร้อย) พร้อม) เดี่ยนสามนกกาเหว่ามันฮ้อง ยูงทองมันมาฮ้องไหว้วอน หมู่หญิง) จากไปสวีวี่วี หมู่ชาย) จากไปสวีวี่วี หมู่หญิง) ถ้าบุญเฮามีคงจะได้เจอกัน หมู่ชาย) ถ้าบุญเฮามีคงจะได้เจอกัน หญิง) จากไปตั้งแต่วันตี้ห้า หมู่หญิง) วันตี้ห้าเดือนกันยายน หญิง) พอศอสองสี่เก้าเก้า หมู่หญิง) พอศอสองสี่เก้าเก้า หญิง) เจ้าสิอ่งไล้เด้อเฮ็ดเพ้อเซ่อถือกระด้งฟัดข้าว เจ้าสิอ่งไล่แม่สาวบ้านแต่ขี่ซักขะยาน หมู่หญิง) สาวบ้านแต่ขี่ซักขะยาน ชาย) จดหมายไปสองซาบับ ได้ฮับหรือเปล่าคนดี จากไปสวีวี่วี หมู่ชาย) จากไปสวีวี่วี ชาย) ถ้าบุญสันมีคงจะได้เชยชม หมู่ชาย) ถ้าบุญสันมีคงจะได้ชมเชย ซ้ำ (สร้อย) ชาย) สายัณห์ตะวันแล่แล่ สาวบ้านแต้ขี่รถซักขะยาน ขี่ไปทุกถิ่นสถาน หมู่ชาย) ขี่ไปทุกถิ่นสถาน ชาย) ขี่รถซักขะยานไปกะสันไหมเธอ หมู่ชาย) ขี่รถซักขะยานไปกะสันไหมเธอ หญิง) เสียใจบ้านอยู่ไกลไปหน่อย กล้วยอ้อยเป็นแต่ป่าสอนลอน ขี่ไปจนหัวเข่าเหนื่อยอ่อน หมู่หญิง) ขี่ไปจนหัวเข่าเหนื่อยอ่อน หญิง) เป็นป่าสอนลอนคือเกษตรสมบูรณ์ หมู่หญิง) เป็นป่าสอนลอนคือเกษตรสมบูรณ์ ๏ .. ลำนำ..สวีวี่วี .. ๏ ด้วย อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑ ๏ ยามจรระอุจิต พิเคราะห์พิษคุพองแผล ตรึงบั่นผลิบิแบ ก็ประสบภวังค์วาย ๏ ภาพหลังก็เราะเร้า สติเหง้าละงันหงาย เจ็บเอยอุระกลาย มนแตกฤดีดาล ๏ แผลเป็นเพาะพุชู บมิรู้สิสำราญ รอป่นมละมาน ทิวะล่วงลุกลืนโลม ๏ หันหลังมิพะว้า กิริยายะเยงโคม ลี้พายุตะโบม ประทุไล่มิวายเว้น ๏ ลับลา-บหวนคืน สรดื่นจะล่วงเห็น รอยร้าวคุลำเค็ญ จะอบายพิบัติดล ๏ ฝากไว้ประจุจาร วจะขานพจีผล จำตรึงตริกมล รติต่างสะอางองค์ ๏ ล่วงผ่านอธิบาย ก็ประกายจุบรรจง วางปลดคณะปลง ขณะบ่ายขจรลา ๏ โอจอมเทวะโลก ลุวิโมกข์และทุกขา ปัดเป่าผิประดา ปะทุเถ้าสลายทัณฑ์ ๚ะ๛ + กิ่งโศก + -ขอบคุณภาพ จากGoogle
16 มิถุนายน 2554 14:45 น. - comment id 33673
๏ ยามจรระอุจิต ........ พิเคราะห์พิษคุพองแผล ตรึงบั่นผลิบิแบ ......... ก็ประสบภวังค์วาย ๏ ภาพหลังก็เราะเร้า ..... สติเหง้าละงันหงาย เจ็บเอยอุระกลาย ........... มนแตกฤดีดาล ๏ แผลเป็นเพาะพุชู ...... บมิรู้สิสำราญ รอป่นมละมาน ........... ทิวะล่วงลุกลืนโลม ๏ หันหลังมิพะว้า ........ กิริยายะเยงโคม ลี้พายุตะโบม ............. ประทุไล่มิวายเว้น ๏ ลับลา-บหวนคืน ....... สรดื่นจะล่วงเห็น รอยร้าวคุลำเค็ญ .......... จะอบายพิบัติดล ๏ ฝากไว้ประจุจาร ....... วจะขานพจีผล จำตรึงตริกมล .............. รติต่างสะอางองค์ ๏ ล่วงผ่านอธิบาย ........ ก็ประกายจุบรรจง วางปลดคณะปลง ............ ขณะบ่ายขจรลา ๏ โอจอมเทวะโลก ...... ลุวิโมกข์และทุกขา ปัดเป่าผิประดา .............. ปะทุเถ้าสลายทัณฑ์ ๚ะ๛
17 พฤศจิกายน 2554 15:02 น. - comment id 36170
น้ำอดน้ำทน ของคนนั้นอยู่ที่พื้นฐานอารมณ์ และพื้นฐานจิตใจ ว่ามีความหนักแน่น ใจเย็นเพียงไร เมื่อมีแรงกระทบ จังหวะของความอดทน จะสำแดงให้ประจักษ์ หากเด้งมาก แสดงว่าความอดทน อดกลั้นบางเบา มาก หากเด้งน้อย หรือแค่พอสั่นๆ พอแค่รับรู้ หรือนิ่งดุษฎีย์ นั่นคือเป็นคนที่ ควบคุมอารมณ์ได้ดีเยี่ยม การแสดงออกของความอดทน มักจะสื่อ ออกมาจาก ท่าทาง หรือ สีหน้าแววตา หรือคำพูด น้ำเสียง หรือไม่เว้นแม้แต่น้ำตา ส่วนมากมักสื่อมาทางสายตา ว่ากร้าวแข็ง อ่อนโยน หรือน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก หรือนิ่มนวลอ่อนหวาน หรือแม้แต่ทางน้ำตาที่หลั่งเป็นสายเมื่อมีความปีติดีใจอย่างมากมาย หรือเสียใจอย่างสุดซึ้ง หากคนไร้ความอดทน มันก็จะขยับขั้นไปสู้ความท้อถอย ไร้พลังกาย ไร้พลังใจ แทบจะขยับเขยื้อนร่างกายไม่ไหว อาจมีเพียงลมหายใจแผ่วๆ ร่างกายคล้ายไม่มีความรู้สึกต่อสรรพสิ่งรอบตัว จิตใจดุจวางกอง หรืออยู่ในหลุมดำใหญ่ ๆ บางคนบอกปลิดชีพฉันเถิดไม่อยากอยู่ดูโลก ที่มีแต่ความโหดร้ายนี้อีกแล้ว ตายเสียดีกว่าอยู่ โอ เดวะเจ้า ใยไม่นิมิตรโลกอันสว่างไสวให้ข้าบ้าง ใยปล่อยจอมมารบัญชาชีวิตข้าทำไม ....นั่นคือความรู้สึกที่ประสบพบของคนที่อยู่ในภวังค์อ้างว้าง เหลียวแลทางใดคล้ายดำมืดไปหมดทุกทิศทุกทาง ทรัพย์ศฤงคารอันกองท่วมหัว แลโภชนาอาหาร วางเรียงด้วยรอลิ้มชิมรส กับมิอาจจะสนองตอบ ต่อภาวะอันทดท้อนี้ได้ ข้าวสวยบนจานพูน เนื้อสัตว์ปรุงแต่งความโอชา เมรัยกลิ่นหอมกรุ่น เหล่านี้ยังไม่ยั้งรั้งดึงอารมณ์ในความท้อแท้ได้ การอัตนิบาตกรรมตัวเองนั้น ทางพุทธศานาแล้วย่อมคือบาปมหันต์ บาปยิ่งกว่าการทำร้ายเข่นฆ่าชีพอื่น นรกย่อมเปิดรออ้า พาเจ้าไปลงทัณฑ์ ดังนั้นเรามาขจัด ความท้อแท้ และรู้จักการอดกลั้นอดทน วางอารมณ์ไว้ ในช่องฟิช ให้เย็นเข้าไว้ ณ โยมนะ อันที่จริงแค่เบสิกปฏิบัติเช่นการนับเลข แค่นับหนึ่งถึงสิบก็ช่วยได้มากแล้วคือ ช่วยไม่ให้อารมณืเราพุ่งพรวด จิตจะไม่ซัดส่าย เมื่อจิตไม่ซัดส่าย อารมณ์แห่งแรงโกรธ เกลียด ร้าย จะหยุดชลอการพุงออกไป กิ่งโศก ที่จริงก็เป็นคนมีอารมณ์โลภ โกรธ หลงอยู่ เพียงแต่อาศัยว่า มีความโกรธช้า คือจะนึกก่อนว่าเอ จะโมโห โทโส ทำไม ได้อะไร คือ มองในมุม ว่า ได้อะไร ที่กล่าวมาก็หาใช่ทำได้ทุกครั้งนะครับ ก็มีหลุดบ่อย ๆ อิอิ งั้นครานี้เรามาลองฟังเพลง ที่เหล่าผู้คนที่คิดจะปลงกับชีวิตตัวเอง ไม่อยากอยู่ดูโลกใบนี้แล้ว เพราะอยู่ไป อาจไม่อยากเผชิญความเลวร้ายของมนุษย์ที่จ้องจะทำร้ายกันอย่างไร้ศิลไร้ธรรม มองแต่ประโยชน์ตน คนอื่นเดือดร้อนก็ช่างศรีษะใครปะไร ????? อยากล้มฟ้าล้มดิน ก็ ช่างเผือกปะไร ????? แลสังคมในทุกสังคมการฝ่าฝืนกติกา หรือกฎประเพณีใดๆกลายเป็นเรื่องปกติ ..โอ???? .อีแบบนี้ ฆ่าฉันให้ตายเถอะ เหอะๆๆๆ...หรือใครที่ถูกเชิดเป็นแค่ตุก๊ตา เดินตามหมากเกมส์อย่างเดียว เหนือ ใต้ออกตก อิฉันม่ายรู้ อิฉันม่ายเห็น หรือเห็นแล้วจนอดกลั้นไม่ไหว แอบร้องไห้ พร้อมบ่นว่า ฆ่าตรูให้ตายเทีเต๊อะ 5555 มามะ เพลงนี้ ชื่อ ฆ่าฉันให้ตายดีกว่า เอาแบบต้นฉบับเลยนะครับ สวลี ผกาพันธ์ ร้องไว้ขณะที่กิ่งโศก ยังไม่ลืมตาดูโลกเลยมั้ง อิอิ เชิญ...สดับรับฟัง เถิดพี่น้อง.... ชื่อเพลง : ฆ่าฉันให้ตายดีกว่า ขับร้อง : สวลี ผกาพันธ์ ฆ่าฉัน ฆ่าฉัน ให้ตาย ดีกว่า ใย ถึงไม่ เข่นฆ่า และไม่ ใยดี ทิ้งฉัน ขื่นขม สมใจ ผละหนี ฝากไว้ คือความ บัดสี ราคี ติดกาย ฆ่าฉัน ฆ่าฉัน ให้ตาย ดีกว่า ให้ พื้นดิน กลบหน้า พอจะ หลบอาย เศร้านัก ชาตินี้ รู้ดี เมื่อสาย เจ็บรัก หักทรวง สลาย โหดร้าย สิ้นดี ไม่ ปรารถนา แล้วมารักกัน ทำไม ฉันเลว อย่างไร ฉันเลว แค่ไหน กันนี่ ถึง สลัด รัก-ไม่ ปรานี ทำเสีย ป่นปี้ เหมือนฉัน ไม่มี หัวใจ ฆ่าฉัน ฆ่าฉัน ให้ตาย ดีกว่า ชีวิตนี้ ไร้ค่า จะมอง หน้าใคร ไม่รัก มาผลาญ ฉันใช่ เหล็กไหล อนิจจา ฉัน ทนไม่ไหว ต้องตาย ต้องตาย สักวัน ฆ่าฉัน ฆ่าฉัน ให้ตาย ดีกว่า ชีวิตนี้ ไร้ค่า จะมอง หน้าใคร ไม่รัก มาผลาญ ฉันใช่ เหล็กไหล อนิจจา ฉัน ทนไม่ไหว ต้องตาย ต้องตาย สักวัน... กิ่งโศก คนยากฝากถ้อย ร้อยความส่งท้าย ลำนำ..เถิดลงทัณฑ์... ๏ เถือด้วยทัณฑ์บั่นเศียรให้เหี้ยนกุด เหลือกอตอข้อคุดจนสุดขวัญ อย่าเร่เหลือเนื้อนามเศษกำนัล ฟอนไฟเกรียมประลัยกัลป์เถ้าผลาญกอง๚ะ๛ ๏ เถือทัณฑ์บั่นเถิดเงื้อ.......ศาสตรา ยกสับยับเยินสา.........นบชี้ พรากพิษฤทธิพา....ผลอยล่วง ราบแล อนาถอัดอั้นถี้(ที่)......อกท้อถ้อยถาง ๏ ชีพหวังสร้างวัฎซ้อน.....ส่อวาย มุ่งสู่หมู่สิหมาย.........ภพหน้า ปัจจุสมัยมลาย........มอดลับ รอเฮย จุติจิตจ่อจ้า.......เกิดแจ้งกำจาย ภพนี้สิหน่ายพ้อง......ภาพเนา ค่อนย่ำคำย้อนเขลา...ยอกคั้น พรูหลั่งพลั่งลู่เผา......ผลาญรุก รุมเนอ กรอกห่อกุมเหงกลั้น.....ก่นไห้กลายหน ๏ โลโภลาภะล้วน.......พูนรัง กระเซอะกระเซิงซัง....กุดฉ้อ- ฉลกลลุแก่ฝัง...... การใฝ่ เหตุแฮ จักสลัดสะบัดห้อ.....ห่อบ้ายหายบัน ๏ ลงทัณฑ์บั่นเถิดเงื้อ.......หงายคม คำเฮย สิ้นขาดธาตุสิ้นสม.......แส่ม้วย ใช่อาจผงาดเผลอ-งม....โง่ยิ่ง ยอมปลดปลงโยงย้วย.....บาปย้ำดำโดย ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ขอบคุณ ภาพ จากอินเทอเนตล้วนๆจ้า Test"""
17 พฤศจิกายน 2554 15:05 น. - comment id 36171
24 พฤศจิกายน 2554 11:49 น. - comment id 36268
Find The Volunteer Inside You ปลุกจิตอาสาในตัวคุณ ป้ายข้อความด้านบนแลเด่นเหมือนดังสำแดงพลังกระตุ้นหัวใจให้ฮึกเหิม เมื่อคราวที่ได้สัมผัสสู่จักษุ ถูกแขวนติดไว้ที่ผนังทางเข้าชั้นหนึ่งตรงทางขึ้นตึกขวามือของสภากาชาด ใต้ภาพคือรูปหัวใจดวงโตๆบ่งบอกสื่อนัย ความดีงาม ผสานกับที่คราคร่ำรด้วยจำนวนคนประชาชนคนไทย และคนต่างชาติร่วมรวมด้วยหัวใจที่ถูกปรุงเจือรสพลังความเสียสละ และจิตอาสาต่างหลั่งไหลมารวมกัน ณ สถานแห่งนี้ ภาพคนเดินหมุนเวียนกันไปมาไม่ขาดสาย เหล่าน้องๆ นิสิตนักศึกษา นักเรียน เยาวชน รวมทั้งคนเพศทุกวัย ดูประหนึ่งงานเทศกาลใดเทศกาลหนึ่งจึงดูวุ่นวาย เซ็งแซ่ดังอึงคนึง ประสานเสียงไปพร้อมๆเสียงคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ สภากาชาด เถิด..ภายใต้ใบหน้าทุกผู้ทุกคนเหล่านั้นยังแต้มไปด้วยรอยยิ้มแย้ม ดูจะตรงกับป้ายคล้ายต้อนรับทุกคน ว่า Volanteer Inside You อรุณรุ่งยามเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ 20 พฤศจิกายน 2554 ในเวลาปกติย่อมเป็นช่วงการใช้เวลาอยู่กับฟุกที่นอน หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า นอนอุตุ อย่างสุขโขสโมสรเชลซี จนถึงแมนยู นั่นแหละขอรับ 555 กิ่งโศก จับ(ไม่ได้จี้)รถแท็กซี่มาในเวลา หกโมงเช้ากว่าๆ บอกสารถีโชว์เฟอร์ ที่ดูว่าแกเพิ่งตื่นเช่นกัน ทั่นจึงบงการยานพาหนะของทั่นเพียงชั่วเวลาแค่ลัดนิ้วมือ ก็พากิ่งโศกที่นั่งตัวเกร็งมาตลอด มาถึงจุดหมายปลายทาง โอ้..พระเจ้า เราคงอยู่ครบอาการสามสิบสอง ที่หมาย อา..สภากาชาดไทย (มีเครื่องหมายบวกตัวโตๆ สีแดง) เป้าหมายในการเดินครั้งนี้นั้นก็เพียงเพื่อเพราะมีนัดหมายกับเพื่อนๆ ณ สถานสภากาชาดวนเวลาโดยประมาณ 7 โมงเช้า เพื่อขอขันอาสาเพื่อออกนอกพื้นที่เพื่อไปแจกถุงยังชีพในพื้นที่ภัยภิบัติให้กับพี่น้องคนไทยที่กำลังเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม อันที่จริงยังมีกิจกรรมอื่นๆในสถานสภากาชาดมากมายให้ช่วยกันทำ เช่น กรองน้ำดื่มส่ขวด ทำอาหาร แพ็คถุงยังชีพ ขนของขึ้นรถบรรทุกเพื่อนำไปบริจาค และ ทีมอาสาไปบริจาค ซึ่งวันนี้พวกเราต่างจะขออาสาออกนอกพื้นที่กัน เจ็ดโมงเช้าจวนเกือบจะเจ็ดโมงครึ่ง พวกเราจำนวน 3 คนหลังจากที่ได้พบปะเสวานากันพอหายความคิดถึง หุหุ จึงได้ไปเข้าแถวต่อขบวนเพื่อลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอออกพื้นที่ไปแจกถุงยังชีพ กับเจ้าหน้าที่เช้านี้มีคนอาสากันมาเข้าแถวกันเยอะมาก ซึ่งครั้งนี้เขารับจำนวนจำกัด แต่เทพีแห่งโชคเข้าข้างพวกเราพวกเราจึงได้ไป ครั้งนี้สภากาชาดไทยได้จัดรถเพื่อขนของไปบริจาคจำนวน 5 คันรถบรรทุก พร้อมๆจำนวนถุงยังชีพประมาณ 1500 ถุง ข้าวสารขนาด 5 กิโลกรัม 1500 ถุง น้ำดื่มจำนวน 1500 แพ็ค อาสาประจำรถ ชาย 4 หญิง 2 ต่อรถหนึ่งคัน ต่อถุงยังชีพ 300 ชุด เป้าหมายในครั้งนี้คือแถวๆบริเวณคลองมหาสวัสดิ์ รวมๆ แล้วเรามีบรรดาเหล่าจิตอาสาที่ไปกันประมาณ 30 คน ไม่รวมเจ้าหน้าที่สภากาชาด และคนขับรถ สีหน้าแววตาบ่งบอกความพร้อมอย่างเต็มเปี่ยมแลล้นปปรี่เลยเชียวละท่านเอ๋ย เพียงรถบรรทุกคนใหญ่ที่บรรจุถุงยังชีพและพวกเราอาสาอีก 6 ชีวิต เลี้ยวแล่นมาถึงถนนเส้นบางบัวทอง สุพรรณบุรี พวกเราก็รับรู้ประจักษ์แจ้งในสายตาถึงทะเลน้ำจืด ท้องน้ำที่ยังทอดขังเอ่อ กระจายขยายท่วม ตามถนนเส้นดังกล่าวเป็นระยะ ๆโดยเฉพาะที่เป็นพื้นที่ลุ่ม เราแลพบรถเสียจอดแช่น้ำ เราแลเห็นผู้คนสัญจรจากยวดยานเรือพายและเรือยนต์ บนท้องถนนที่รถยนต์เคยวิ่ง ยิ่งลึกเข้าไปในซอยนับจากถนนระดับน้ำ ยังนองเนืองพวกเรานั่งอยู่บนรถบรรทุกด้านบน มองไปพบเห็นน้ำที่ท่วมขังในระดับเอว วัดจากคนที่กำลังเดินลุยน้ำ บ้านช่องห้องนอนยังจมอยู่ใต้ผืนน้ำ ชาวบ้านต่างออกมายืนชะเง้ออยู่บนชั้นสอง บนระเบียงด้านบน บางคน ตระโกนร้องขอถุงยังชีพ ...แต่..เนื่องจากถุงยังชีพบนรถของเราจำต้องไปแจกอีกยังชุมชนหนึ่ง ลึกไปข้างใน และได้ระบุจำนวนมาเรียบร้อยนั่นก็คือจะมีผู้นำชุมชนเช่น ผู้ใหญ่ บ้าน กำนัน อบต. ทำการแจกคูปองให้แต่ละครอบครับรอรับของล่วงหน้าอยู่แล้ว เราจึงได้แต่มองด้วยความเห็นใจซึ่ง อาจจะมีเสียงบ่น แว่วมาให้ได้ยินตามหลัง .. ครั้นเมื่อพวกเราไปถึงชุมชนในซอยที่มีน้ำท่วมขังรถบรรทุกเคลื่อนลุยสายน้ำเข้าไปแล้วจอด มื่อถึงที่หมายแล้ว นั่นก็คือแจกกันตรงกลางสายน้ำนั่นเลย ดีว่ามีการจัดทำระบบในการแจกเป็นคูปอง จึงพอจะดูเป็นระเบียบบ้างหมู่ผู้คนชาวบ้านต่างนั่งอยู่บนเรือเรียงแถวกันสลอน รอรับของแจก..ดูจากสีหน้าพวกเขาแล้วเราพบว่ายังคงอมทุกข์หม่นหมอง แต่เมื่อรับของพวกเขายังพอยิ้มแย้มได้บ้าง ..เหนื่อยครับงานนี้ แต่ภูมิใจมาก คุ้มค่ากับพละกำลังท่ได้ทุ่มเทไป และเจ้เพ็ญ (อิอิ พี่เพ็ญ) เจ้าหน้าที่สภากาชาดไทย เจ้ท่านยังคงประสานงานได้ดี และคอยแก้ปัญหา เมื่อมีชาวบ้านโวยวาย เพราะบางรายไม่ได้รับของแจกสืบเนื่องจากไม่มีคูปองและไม่มีชื่ออยู่ในกลุ่มที่แจก แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่สภากาชาดได้กระทำ และเป็นการควรค่าแก่การปฏิบัติหน้าที่ได้เต็ม นั่นคือเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทยที่ได้กล่าวแก่ชาวบ้านที่มารอรับถุงบริจาคเพื่อยังชีพ ประทับใจกิ่งโศกคนยากคนนี้เป็นอย่างที่สุด นั่นคือถุงยังชีพเหล่านี้ของสภากาชาดนั้นเป็นสิ่งของพระราชทานโดยองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทั้งสองพระองค์ท่านทรงประทานมอบให้ กับ ลูกๆ ของพระองค์ที่เดือดร้อน เรา (สภากาชาดไม่ใช่มาจากรัฐบาล) มาในนามพพระราชดำริของพระองค์ทั้งสอง ขณะพูดทำให้สถาพที่กำลังจอแจวุ่นวาย คืนสู่ความสงัดสงบเงียบ ทุกคงน้อมรับฟังอย่างพร้อมเพรียงกัน ชาวบ้านบางคนบ่นกับกิ่งโศกว่า หน่วยงานรัฐไม่เคยมาเหลียวแลเลยร้องขอร้องเรียนไปก็แล้วแต่ไร้การตอบรับ (ประหนึ่งปลายสายไม่มีผู้รับ หุหุ) ส่วนมากจะมีแต่หน่วยงานอิสระ ภาคเอกชน หรือสถานีของทีวี ที่มาบริจาค กิ่งโศกก็คงได้แต่ปลอบใจปลอบโยนเขา ว่าคงอีกไม่นานก็คงมาช่วยเอง ขออย่าได้ท้อ สู้ๆๆ นะ วันนั้นรถคันกิ่งโศกและเหล่าเพื่อนๆจิตอาสา ได้แจกถุงยังชีพเป็นคันแรก กิ่งโศก ความประทับใจอีกด้านหนึ่งนั่นก็คือประทับใจในเพื่อนๆ จิตอาสาในกลุ่ม และในคันอื่นๆ ที่ลุยน้ำ มาช่วยจัดของส่งกันเป็นทอดๆ ..ภาพเหล่านี้คงตรึงและตราไว้ในใจกิ่งโศก ทั้งภาพประทับใจแลภาพชวนน่าเวทนา ผู้เดือดร้อนเหล่านี้ยังคงรอรับธารน้ำใจที่จะมาช่วยขับช่วยไล่น้ำครำที่กลายเป็นน้ำคร่ำ ให้เบาบาง เถิดเชิญชวนศรัทธาแห่งการเกื้อหนุนจุนเจือแด่คนทุกข์ยาก มาจับมาจูงพวกเขาให้มีที่ยึดถือพยุงชีพ ขณะที่เขากำลังถูกยื้อชีพ กันเถิดครับ สัปดาห์หน้าพวกเราคิดกันและหารือกันว่าคงจะได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศแบบนี้อีก ว่าแล้วก็พยายามหาบทเพลงที่เกี่ยวข้องกับคูคลองหนองน้ำ ร่ำเสียงสำเนียงกล่อม หาชื่อเพลงที่พูดถึงงบคลองมหาสวัสดิ์ แต่ก็หามีไม่ อีกยังไม่เคยได้ยินได้สดับเมื่อครั้งใด จึงไม่รู้จะหาเพลงอะไรดี วันนี้มาคลองมหาสวัสด์ จึงขอจัดเพลงแห่งลำน้ำ เกี่ยวกับลำคลอง วันนี้เสนอเพลงอันคงความอมตะนิรันดร์กาล ชื่อเพลง คลองบางกอกน้อย คนร้องนั่นแทบจะไม่รู้จักชื่อเลยขอรับ หุหุหุ เพลง บางกอกน้อย ชัยชนะ บุญนะโชติ ขับร้อง พิพัฒน์ บริบูรณ์ คำร้อง/ทำนอง สุดคลองบางกอก น้อย พายเรือตามหาบัวลอย จนเหงื่อพี่ย้อยโทรมกาย ปากพี่ตะโกนกู่ ถึงยอดชู้เพื่อนร่วมกาย ไม่รู้ว่าเจ้าจมหาย ลอยไปแห่งใดเล่า หนา ใจพี่แทบขาดแล้ว มือคง ยังจ้ำยังแจว ตามหานางแก้วดวงตา ศพน้องเจ้าลอยล่อง อยู่ใต้ท้อง สุธารา หรือว่าลอยออกนอกเจ้าพระยา จึงค้นหาไม่ พบศพบัวลอย โถ เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ยังลงว่ายเล่น เพียงเห็นชื่นเย็นนิดหน่อย น้ำเชี่ยวยิ่งเหลือ เจ้าจึงเป็นเหยื่อ คลองบางกอกน้อย จิตใจพี่ให้เศร้าสร้อย ถึงบัวลอย แม่จอมขวัญ สุดหล้า สุดฟ้าเขียว เธอเป็นแม่พระองค์เดียว ที่เหนี่ยวใจรักคงมั่น เจ้าสิ้นใจต่อหน้า ด้วยพี่คว้าเจ้าไม่ทัน เหมือนพี่พิฆาตเด็ดดวงชีวัน จอมขวัญนงนุช สุดบูชา กิ่งโศกคนยาก ฝากถ้อยท้าย.. ๏ ชลาร้อนเชี่ยวแล้ว ........... ลาสรวง เปลื้องขัดขจัดปวง ............ ป่วนเร้า กมลสติดวง- ................ ประทีป ด่างดูรา คำรบจบความเคล้า ...... ทุกข์คล้อยถอยคลาน ๚ะ๛ ๏ ชลจะเชี่ยวเจนเชิง........... จึ่งบ่าเทิงบทเริงทุ่ง น้ำฝั้นทะยานฟุ้ง ................... โลดแกมแล่นก้าวแดนรุก ๚ะ ๏ น้ำตายิ่งเต่อต่าง .............. รินหยาดยางเบื้องทางขุก- เข็ญย้อยระห้อยยุค- ............. กาลละล้างพึงม้างลาม ๚ะ ๏ แจรงกลบสยบเจ้า ....... ระดีเคล้าจวนเจียนขาม- เข็ดข้อระย่อคาม .............. ยับกี่แคว้นเยินเกินอยู่ ๚ะ ๏ เปื้อนเปรอะเลอะแปรรก.... สาดสาทกน้ำลายสู อาสาสร้างประตู .................... เหล่าผู้ศักดิ์ตระหนักโก้ ๚ะ ๏ บรรเลงบนเดือนร้อน.......... ระงมก้อนก่นบทโง่ เนื้อแท้บนถาดโป ..................... ปลดลอกเปลือกจนแปรโปรย ๚ะ ๏ ชนรู้ซึ้งนิสัย ................ ตะแบงไบบิดบอกโบ้ย โถเอ๋ยเผยจะโกย .............. คิดจะแค่แส่จะยำ ๚ะ ๏ เทวษเวทนา ............... ปวงประชาสุดเจียนช้ำ พยักเพยิดกรรม............... ยับเยินยิ่งประวิงวาร ๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ภาพจิตอาสา เมื่อ 20 พ.ย.2544 ย่านคลองมหาสวัสดิ์
2 ธันวาคม 2554 11:36 น. - comment id 36394
2 ธันวาคม 2554 11:03 น. - comment id 36431
img src=http://www.facebook.com/#!/media/set/?set=a.2350338001886.2115983.1353182433&type=3>
2 ธันวาคม 2554 11:04 น. - comment id 36432
2 ธันวาคม 2554 11:34 น. - comment id 36434
Find The Volunteer Inside You ปลุกจิตอาสาในตัวคุณ อักษรป้ายนี้ ยังคงดึงตรึงน้าวหัวใจกิ่งโศกให้พลังประจุความฮึกห้าวอยู่เป็นนิจ อันสืบเนื่องมาจากเมื่อคราวครั้งแรกที่ได้ร่วมลงแรงกายแรงใจอันเต็มยิ่งนั้นในวันที่ได้ขันนำพาแสดงความเป็นจิตอาสา เพื่อที่จะแบ่งเบาบรรเทาทุกข์พี่น้องที่ยังคงได้รับความเดือดร้อน และเป็นอีกครั้งที่ได้ถูกบันทึกไว้เป็นครั้งที่สองให้บังเกิดความเบิกพองในหัวใจคงเบ่งเพ่งบานตระการไม่หยุด เมื่อสมในสิ่งที่ตั้งใจยอจิตไว้หรือข้อตกลงได้ถูกส่งไปยังเป้าหมาย นั่นย่อมส่งสำเร็จการนั้นก็ด้วยพื้นฐานของหัวใจที่เปี่ยมและทรงพลังขับเคลื่อนจากตัวเราเอง จึงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2554 สมาชิกหน้าเดิมและหน้าใหม่อันมีหัวใจตรงกันเหมือนกัน จึงพร้อมหัวก้าวขาพาใจกายสู่โหมดจิตอาสา ตลุยในพื้นที่ที่เดือดร้อนอีกครั้ง คราวนี้พวกเรายังคงได้ไปในสถานที่น้ำท่วมขังเช่นเคยแต่ก็ขยับไกลออกไป คือ ย่านเมืองปทุมธานี ครั้งนี้ ปริมาณจำนวนถุงยังชีพในสาย ในกลุ่มกิ่งโศกรับผิดชอบ มีจำนวน 8 คนพร้อมกับของบริจาค 700 ชุด ถูกบรรทุกไปจำนวน 2 คันรถใหญ่ๆ ย่อมถือได้ว่าค่อนข้างจะหนักแรงพอสมควร หุหุ แต่ยามเมื่อใจบ่ยั่นแล้วกายย่อมมิเกรงเช่นกัน ฉันท์ใด ใจคือนาย กายคือบ่าว งานนี้ ลุยอย่างเดียว...... หลังขบวนรถได้แบ่งแยกสายกัน ขบวนของกิ่งโศก 2 คันรถบรรทุกจึงม่งไปยังที่หมาย ความผ่อนคลายยังฉายแววเปล่งในดวงตาของแต่ละคน ที่คงระริกระเริงสนุกสนานเฉกเช่นเดิม ในระหว่างของการเดินทาง ท่านพี่โชว์เฟอร์คนขับรถบรรทุก ได้พาเราตะเวณ เลี้ยวไปเลี้ยวมาตามถนนสายต่างๆ ชวนให้งง แกมกังขา อยู่นาน หุหุ (ปรากฎว่า รถได้วิ่งผิดเป้าหมายไปหน่อย คือหลง นะแหละ หุหุ ) แต่สุดท้ายก็เจอป้ายข้างทางที่ตั้งแอบอยู่ในซอยลึกจนได้ สภาพที่เห็นยังคงเป็นท้องน้ำที่ท่วมขังในซอยและบริเวณอบๆ ยังมีะดับน้ำที่ยังสูง ดังนั้นการสัญจรเดินทางในซอยก็คงจะต้องเดินกันบนคันดินกั้นน้ำ หรือไม่ก็ต้องเรือพาย เป็นหลัก รถยนต์ก็เป็นประเภทล้อสูง คุณแต๋น สิบล้อ หกล้อ แบบนี้ ในซอยที่หมายนั้นรถลุยน้ำเข้าไปในเส้นทางก็แสนจะแคบ และอีกด้านมีหลุมท่อน้ำอยู่เต็มแต่มีการปักเสาไม้ไว้เพื่อ บอกจุดตำแหน่งให้ระมัดระวัง ฉะนั้นรถบรรทุกของพวกเราที่เข้าไปจึงวิ่งแบบ เอียงๆ น่ากลัวเหมือนกัน ระหว่างทางยังคงพบเห็นชาวบ้านร้องขอถุงยังชีพเช่นเคย เราเองก็ยังคงไม่ให้เช่นเคย 55 เพราะต้องไปแจกยังที่กำหนดไว้ชัดเจนแล้ว หน่วยงานอันดับแรกที่เจอก่อนจะถึงที่หมายเราพบท่านปลัด อบต. (ห้ามแปล) รอพบรถบรรทุกของพวกเราอยู่ข้างทางและแจ้งว่าขอนำไปแจกที่วัด จำนวน 50 ชุด พวกเราจึงได้ออกแรงกันเป็นจุดแรก สมาชิกทั้งหมดของพวกเราทั้งหมดทั้ง2 คันรถบรรทุกจึงช่วยกันลำเลียง ถุงยังชีพ ข้าวสาร น้ำดื่ม เข้าไปในวัดที่ทอดวางสะพานไม้แคบๆ กิ่งโศกอาศัยมาดแมน อาสาแบกถุงข้าวสาร น้ำหนัก 50 กิโลกรัม (เห็นน้องหนุ่มคนหนึ่งแบกลิ่วคล้ายดั่งปุยนุ่น) แต่ ขอบอก...หนักมาก เหอๆๆๆ แต่กิ่งโศกก็แบกไปถึงที่แบบตลอดรอดฝั่งบนสะพายไม้ จากนั้นก็ได้นำถวายพระสงฆ์ที่ศาลา รับศิล รับพร หายเหนื่อยกันไป และออกเดินทางต่อไป ครั้นเมื่อพอมาถึงยังที่หมายซึ่งดีหน่อยในคราวนี้เพราะไม่ได้ลุยน้ำแจก เพราะรถบรรทุกถุงยังชีพไปจอดบนสะพานประตูระบายน้ำ กลางแจ้งและแสงแดดร้อนมาก คล้ายเมฆจะเป็นใจไม่บดบังแสงสุรีย์ ประหนึ่งจะชี้ให้เห็นเป็นประจักพยานในกุศลกรรมในครั้งนี้แด่พวกเรา จึงทอแสงแรงกล้าแผดเผาผิวเพื่อให้ได้จดจำ สภาวะการณ์ในครั้งนี้ให้นานเท่านาน ฉะนั้นแล มีผู้คนชาวบ้านร่วม700 คน เด็กเล็ก จนวัยหนุ่มสาวยันเฒ่าแก่ชรา ต่างมาเข้าแถวรับของแจก บางคนถึงกับหน้ามืดเป็นลม ส่วนกิ่งโศกก็รับจับ หยิบสิ่งของส่งมอบให้คล้ายร่างกายเป็นเครื่องจักรกล ใบหน้าจึงแต้มยิ้มพร้อมๆกับพุดปลอบใจฝูงชนที่กำลังแย่งลำดับที่ (แซง) กัน ว่าอย่างไรก็จะได้ของกันทุกคนนะคร๊าบพี่ป้าน้าอา ใจเย็นๆครับ คงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีภาพชุนละมุน แต่ยังดีที่มีผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ปลัด ท่านรองนายก อบต. เข้ามาช่วยกระนั้นก็ทำเอาจิตอาสา หน้ามืดกันไปหลายคนเหอๆๆ งานนี้เหนื่อยหนักกว่าคราวที่ผ่านมา แต่ก็หาได้ระย่อกันไม่ อิอิ จากช่วงระยะการเริ่มแจกถุงยังชีพจำนวนกว่า 700 ชุดตั้งแต่เพลาเช้า สิบโมงกว่าๆ จนถึง เกือบบ่ายโมง ทุกอย่างจึงสำเร็จลงได้ กระนั้นพวกเราก็ยังได้รับรอยยิ้มและคำขอบคุณจากชาวบ้านมากมาย แค่นี้ก็เป็นหยาดทิพย์โอสภ ชูพลังให้หายเหนื่อยได้ดี ก่อนที่ขบวนรถเปล่าของพวกเราจะกลับท่าน รองนายกหญิง คนเก่ง คงเห็นอาสาแต่ละคนระโหยหิวจึงขอเลี้ยงก๋วยเต๋ยวพวกเราเพื่อเป็นการตอบแทน ซึ่งพวกเราก็หามีใครค้านเลยสักเสียงไม่(ก็มังเลยเวลามื้อเที่ยงแย้วนี่) เหอๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวที่ว่าก็คือศาลาพักข้างทางนั่นเอง เจอเจ้าของร้านที่ ท่อนบนไร้อาภรณ์ใดๆ คลุมกายเพราะใส่เสื้อหนัง (ไม่ใส่เสื้อ) บอกพวกเราด้วยน้ำเสียงที่คงดวดน้ำจั๊บเลี้ยงมาแล้ว ว่าดีโชคนะว่ที่เพิ่งจะกำลังเก็บร้านอยู่ม่ายงั้นอด หุหุ ...พวกเราหลายคน คงนึกหายหิวเป็นแน่ เพราะเจอสภาพสถานที่และ เจ้าของร้านแบบนี้อีกทั้งบริเวณด้านล่างของศาลาร้านก๋วยเตี๋ยวมีน้ำท่วมเจิ่งนอง ไปหมดแต่ด้วยความหิว และไม่ขัดศรัทธา ท่านรองหญิง จึงต่างตานั่งรอและรอ ระหว่างนั้นก็ชม ลีลาเจ้าร้านที่แก ขยันพูดคุยด้วยไมตรีอยู่เป็นนิจ แถมโชว์ทักษะแห่งเชพมือวางอันหนึ่ง(มีแกคนเดียว)ควงและโยนตะหลิวควงไปในอากาศ ใส่เกลียวครึ่งรอบ แล้วเอื้มมือไปรับให้ชมกันหลายตลบแบบไม่พลาด สงสัยฝึกบ่อย พ่อครัวหัวป่าแกปรุงก๋วยเตี๋ยวด้วยความคล่องแคล่ว ผิดกับอาการที่ดูเหมือนกรึ่มๆ ด้วยฤทธิ์เมรัย 555 ก็ถือว่าได้ทานก๋วยเตี๋ยวไป ดูการเอนเตอร์เทรนไป อาจจะดีกว่าดูโชว์ในโรงละครอันระโหฐานก็เป็นได้ ครั้นเมื่อก๋วยเตี๋ยวถูกปรุงสำเร็จพอชิมลิ้มรส ต่างก็ตาลุกตาพอง พร้อมยกนิ้วโป้งให้ ว่าโคตระอร่อยมาก บางท่านมีเบิ้ลเลย เล่นเอาเจ้าของร้านมานพหนุ่ม ผู้ช่างเจราจายิ้มแก้มปริดีที่แกไม่โชว์ตีลังกาให้ดู หุหุ จากนนั้นพวกเราก็ร่ำลาท่านรองนายกหญิงตามประสางานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกเพราะอิ่มท้องแล้ว เส้นทางตอนขากลับก็ยังมีสภาพทุลักทุเลเหมือนขาไป แต่พวกเราต่างก็นั่งห้อยขาบนท้ายรถสบายใจเฉิบ แม้นจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ..ระหว่างรถลุยน้ำมาช้าๆ มีชาวบ้านริมข้างทางเขาวิ่งและยื่น ปลาย่างมาให้ไม้หนึ่ง กิ่งโศกขอบอกว่า เป็นปลาปิ้ง ที่เลอรส หอมหวานด้วยเนื้อปลาสดๆอร่อยมากครับ ( กิ่งโศกต้องทานคนเดียว คนอื่นมิเอาด้วย 55 ) ในงานครั้งนี้นั้นต้อง ขอขอบคุณ สหายทุกท่านมิตรทุกคนที่พวกเราต่างทอนอายุ ให้มาเท่ากัน ขอบคุณเจ้าหน้าที่กาชาด ขอบคุณโชว์เฟอร์เท้าผี อิอิ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทุกท่าน ที่ทำให้วันนี้ วันที่พวกเรามา เป็นวันที่ควร จดจำไว้ตลอดไป ดอกแห่งความงดงามของดวงใจจะผลิเบ่งบานไสวประดับดวงจินต์ของแต่ละคน..ด้วยความขอคาราวะอย่างแท้จริงของกิ่งโศก คนยากคนนี้ บทเพลงประกอบรายการในวันนี้ ด้วยขอภาวนาให้น้ำแห้งเร็ววันเร็วคืนดังนั้นต้องเพลงนี้เลย....นกกระปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย .ปูดๆๆๆๆๆ..ชื่อเพลง น้ำลงนกร้อง นักร้องรุ่นคุณปู่คุณย่าท่านบรรยายภาพไว้ในคีตแห่งบทเพลงท้องทุ่ง ให้แจ่มแจ้งแดงแจ๋ หลับตาคราใดคงเห็นเด่นในดวงแด ลองฟังลองสัมผัสเถิดแล้วจักเพลิดเพลินอย่างแท้จริง เพลง : น้ำลงนกร้อง นักร้อง : พรไพร เพชรดำเนิน (นกกระปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย) (นกกระปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย) .น้ำ ลง น้ำลงเมื่อเดือน ยี่ .น้ำลง ปีนี้ .อก ของพี่กลัดหนอง .พอน้ำลง นกกระปูด มันร้อง .พอน้ำลง นกกระปูด มันร้อง .น้ำแห้งขอดถึงก้นคลอง .มองเห็นปลา ติดตรม .น้ำ ลง พี่ลุยน้ำเพียงน่อง .น้ำลง นกร้อง .อกพี่ต้อง ขื่นขม .คำสัญญา มาแปรเปลี่ยน เลิกล้ม .พี่ต้องเงียบเหงาเศร้าตรม .ซมเหมือนนก กระปูดมันร้อง .... .น้ำลงครั้งใดหัวใจแทบหลุด .เสียงนก กระปูดร้องมา .คิดถึงขวัญตาเนื้อ ทอง .สอง เราเคยนั่ง ริม ฝั่งคลอง .พี่หนุน ตักน้อง.ฟังนกร้อง เมื่อน้ำ ลง .น้ำ ลง น้ำลงเห็น คลองแห้ง .เหมือนใจ นางแล้ง .แห้งเหมือนดัง เศษผง .ใจ เลอะเลือน .เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง .ใจ เลอะเลือน .เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง .น้ำเดือนสิบสองว่าทรง .ยังไหลลงเหมือนกับใจน้อง Solo 10 Bars...9... 10.น้ำ ลง น้ำลงเห็น คลองแห้ง .เหมือนใจ นางแล้ง .แห้งเหมือนดัง เศษผง .ใจ เลอะเลือน .เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง .ใจ เลอะเลือน .เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง .น้ำเดือนสิบสองว่าทรง .ยังไหลลงเหมือนกับใจน้อง (นกกระปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย) (นกกระปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย) กิ่งโศกคนยาก ฝากถ้อยท้าย.. ๏ แลโชนฉายบ่มชี้ กลางกมล บ่งบอกยกสถล จิตสะท้อน อันเกิดแก่แต่ตน ตะบะ โชติเฮย ยั้งสู่รู้เย็นร้อน เดชเรื้องดำรงค์ ๚ะ๛ ๏ ให้มันโชนฉานฉายบ่มใจชี้- ปลุกเปลวเพลิงอัคคีเข้าคลี่ข่ม- เข้าเติมแรงฤทธิ์ล้าที่อ้าล้ม- ตะแคงข้างฝังถมจวนจมทัณฑ์ ๏ พร้อมประจุปีกหางกางขยับ- ยกร่อนหลีกปีกขับลอยรับขวัญ- โบยละลิ่วเริงฟ้าเหนืออารัญ- กว้างใหญ่ร้อนสุริยันต์มิพรั่นย้ำ- ๏ ยออารมณ์โอมเสาะจำเหมาะเสก- ระบำฟ้าบทเอกบนเมฆอ่ำ อวดอ่อนฟ้อนกรีดข้อยักคอค้ำ- เคียงเสียงร่ำมโหรีพิรี้พิไร- ๏ เฉกปักษีว่ายฟ้าอารมณ์ฝั้น- เกลียวเรียวปั้นปลุกคลื่นหาขืนไข- ขานสนองสนานสนุกนัย- ระริกแรงความไคล้หทัยครื้น ๏ วิหกห้อล้อลมขย่มเร่- หันเลี้ยวโล้โอ้เห่โด่เด่ดื่น- ด่ำอิสระเสรีรดีรื้น- ครั้นยำค่ำย้ำตื่นมิขืนตาม- ๏ ตริพร้อมตรองพร่องรู้ว่าสู้แล้ว เด่นดวงตาฉายแววดุจแก้วหวาม- โชติทั่วตัวเต่งเยิ้มถ้วนเพิ่มยาม- ฉานบานเบ่งถ้วนท่ามอร่ามท้น ๏ ปรุงแต่งใจไสวสวยด้วยสวัสดิ์- แลบอกบ่ายป่ายปัดขจัดป่น- แปลงพร้อมเปลี่ยนดีหมายกลางกมล- ยกเทินหัวเถิดชนจักพ้นพา-๚ะ๛ + กิ่งโศก+ ภาพจิตอาสา เมื่อ 27 พ.ย.2554 สถานที่ ชุมชนบ้านกระแชงปทุมธานี