“ฮิวแมนไรท์” (องค์การฮิวแมนไรท์วอตช์ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลคุ้มครองผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล)

ลักษมณ์

ฮิวแมนไรท์ ประณามรัฐบาลชักใย ม็อบถ่อย จี้เอาผิดกราวรูด 
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 กรกฎาคม 2551 19:14 น. 
 
 
 
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น 
 
ที่มา : www.hrw.org 
 
 
 
  องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศออกแถลงการณ์อัดรัฐบาล หุ่นเชิด ไม่เคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน จี้ดำเนินคดีต่อม็อบถ่อยอุดรฯ และกลุ่มที่รัฐให้การสนับสนุนหยุดทำร้ายประชาชนที่ชุมนุมอย่างสันติ ชี้เป็นพฤติกรรมป่าเถื่อนรวมทั้งให้ดำเนินการตามกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
       
       วันนี้ (26 ก.ค.) องค์การฮิวแมนไรท์วอตช์ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลคุ้มครองผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลไม่ให้ถูกทำร้ายจะต้องมีการสืบสวนเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงโดยกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล
       
       ทั้งนี้ แถลงการณ์ ระบุว่า นับตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลได้ใช้กำลังเข้าโจมตีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ มากกว่า 10 ครั้ง โดยหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นที่อุดรธานี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยให้มีการทำลายทรัพย์สิน และทำร้ายร่างกาย จนทำให้ผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมของพันธมิตรฯได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 13 ราย
       
       นางอีเลน เพียร์สัน รองผู้อำนวนการแผนกเอเชียขององค์การฮิวแมนไรท์วอตช์ กล่าวว่า ทางการไทยไม่ได้คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเกี่ยวกับการชุมนุมอย่างสันติ การที่รัฐบาล และทางการไทยปล่อยให้กลุ่มอันธพาลที่สนับสนุนรัฐบาลสามารถใช้ความรุนแรงได้อย่างเสรีเช่นนี้ เป็นการคุกคามต่อประชาธิปไตย
       
       ทางการไทยควรเร่งสืบสวนเหตุการณ์ที่มีการใช้กำลังเข้าโจมตีการชุมนุมของพันธมิตร เพื่อนำตัวผู้ที่รับผิดชอบ และเจ้าหน้าที่ที่เพิกเฉยต่อการป้องกันเหตุการณ์เหล่านั้นมาลงโทษตามกฎหมาย
       
       แถลงการณ์ยังระบุว่า เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร และนายอุทัย แสนแก้ว น้องชายของนายธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรและสหกรณ์ และส.ส. จังหวัดอุดรธานี พรรคพลังประชาชน ได้นำกลุ่มประชาชนมากกว่า 1,000 คนจากเครือข่ายของชมรมคนรักอุดรเข้าใช้กำลังทำร้ายร่างกาย และทำลายทรัพย์สินของผู้เข้าร่วมการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประมาณ 200 คน ที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ อำเภอเมือง อุดรธานี โดยกลุ่มประชาชนที่มาจากฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลมีดาบ ขวาน มีด แท่งเหล็ก ท่อนไม้ และหนังสติ๊กเป็นอาวุธ ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดความรุนแรงนั้น สถานีวิทยุ FM 97.5 อุดรธานี ได้ออกอากาศปลุกเร้ากระตุ้นให้มีการใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาตั้งแต่ช่วงเช้า
       
       ทั้งนี้ จากหลักฐาน ภาพข่าวและปากคำของพยานที่อยู่เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาสาสมัครรักษาดินแดนประมาณ 500 นายนั้น ไม่ได้พยายามที่จะป้องกัน และยุติความรุนแรงอย่างจริงจังแต่อย่างใด ถึงแม้จะเห็นผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรถูกรุมทำร้ายจนเกือบเสียชีวิตอยู่ต่อหน้าต่อตาก็ตาม และเจ้าหน้าที่ยังปล่อยให้อันธพาลจากกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลเผาทำลายทรัพย์สินของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกด้วย
       
       นับตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม เป็นต้นมา ประชาชนหลายหมื่นคนเข้าร่วมการชุมนุมของพันธมิตรฯ ซึ่งกล่าวหารัฐบาลของนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชว่า ฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ และมีพฤติกรรมไม่รักชาติ ถึงแม้การชุมนุมของพันธมิตรจะใช้ภาษาที่รุนแรง และมีการปิดถนนเพื่อชุมนุมยืดเยื้อในกรุงเทพฯ รวมทั้งการปิดถนนบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน แต่การชุมนุมส่วนใหญ่ก็ดำเนินไปโดยปราศจากความรุนแรง
       
       อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ ส.ส.พรรครัฐบาลได้ใช้กำลังเข้าโจมตีการชุมนุมของฝ่ายพันธมิตรถึง 11 ครั้ง ที่กรุงเทพฯ อุดรธานี สกลนคร เชียงใหม่ ศรีสะเกษ เชียงราย มหาสารคาม และบุรีรัมย์ ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหาย ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม นายการุณ ใสงาม อดีตส.ว. ต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะ เพราะถูกยิงด้วยหนังสติ๊ก
       
       จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ทางการไทยมีความจริงจัง และจริงใจที่จะดำเนินการใดๆ ต่อผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์รุนแรงเหล่านั้น ถึงแม้บางครั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่จะรับปากว่าจะสืบสวน และจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายก็ตาม
       
       นางเพียร์สัน กล่าวว่า รัฐบาลของนายสมัครควรคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมอย่างสันติ ซึ่งเป็นส่วนประกอบเบื้องต้นของระบอบประชาธิปไตย และเป็นสิทธิที่ได้รับการรับประกันโดยรัฐธรรมนูญของไทย
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000087996				
comments powered by Disqus
  • ลักษมณ์

    27 กรกฎาคม 2551 05:53 น. - comment id 21253

    Thailand: Protect Opposition Rallies From Attack
    Investigate Violence by Pro-Government Groups
    (New York, July 26, 2008)  Thai authorities should ensure that opposition political rallies are protected from attack by pro-government groups, Human Rights Watch said today.
    
     By allowing pro-government thugs free rein to unleash violence, the authorities are putting Thailands fragile democracy at risk. Officials should investigate these attacks and hold to account those responsible for the violence, as well as any officials who failed to stop it. 
    
    Elaine Pearson, deputy Asia director at Human Rights Watch 
        
      
     
    Related Material
    
    Thailand: Beheadings, Burnings in Renewed Terror Campaign
    Press Release, July 7, 2008 
    
    Thailand: End Official Cover-Up in Lawyers Disappearance
    Press Release, March 11, 2008 
    
    More Information about Human Rights in Thailand
    Country Page 
     
    Free Email Newsletter
     
     
    Since late May 2008, pro-government groups have attacked about a dozen rallies across Thailand organized by the Peoples Alliance for Democracy (PAD), a coalition of groups critical of the government. On July 24, 2008, in the most serious incident to date, police stood by while pro-government thugs beat and critically injured at least 13 PAD supporters and destroyed public property at a rally in Udorn Thani province.  
     
    Thai authorities have failed to protect their citizens basic right to peaceful assembly, said Elaine Pearson, deputy Asia director at Human Rights Watch. By allowing pro-government thugs free rein to unleash violence, the authorities are putting Thailands fragile democracy at risk. Officials should investigate these attacks and hold to account those responsible for the violence, as well as any officials who failed to stop it.  
     
    On July 24, Kwanchai Praipana and Uthai Saenkaew, the younger brother of Agriculture Minister Theerachai Saenkaew, led some 1,000 members of the pro-government Khon Rak Udorn Club to forcibly break up a peaceful rally of about 200 PAD supporters at Nong Prajak public park in Muang district, Udorn Thani province. Local radio station FM 97.5 reportedly urged pro-government supporters to carry out violence against the rally. Pro-government supporters were armed with swords, axes, knives, iron clubs, wooden clubs, and slingshots.  
     
    News footage and eyewitness accounts show that local authorities made no effort to stop the violence. Some 500 police and district defense volunteers at the rally did not try to perform their duties  even when thugs beat PAD supporters nearly to death right in front of them. And they made no attempt to arrest those who destroyed property at the rally.  
     
    Since May 25, tens of thousands of people have joined the PAD in rallies in Bangkok and across the country to express opposition for the administration of Prime Minister Samak Sundaravej. The PAD has accused the government of corruption, abuse of power, and being unpatriotic, among other criticisms. Although the PAD often uses strong language to criticize the government and has staged lengthy roadblocks in Bangkok, most of its activities have been peaceful. On June 20, PAD supporters tried to force their way through police barricades to seize the Government House where the Cabinet sits.  
     
    On at least 11 occasions in Bangkok, Udorn Thani, Sakol Nakhon, Chiang Mai, Sri Saket, Chiang Rai, Mahasarakham, and Buriram provinces, pro-government groups that are often associated with members of parliament from the ruling party have attacked PAD supporters, causing scores of injuries and damaging public property. In one instance, at a PAD rally in Mahasarakham province on July 23, former senator Karun Sai-Ngarm was on the stage when he was hit in the face with a marble from a slingshot and had to be rushed to hospital.  
     
    To date Thai authorities have failed to take action against those responsible for the attacks. In some cases, local police and provincial governors have promised to investigate the attacks and arrest those responsible but there is no evidence that this has occurred.  
     
    The government of Prime Minister Samak should uphold the right to peaceful assembly as a basic component of democracy guaranteed in the Thai Constitution, said Pearson. 
     
    http://hrw.org/english/docs/2008/07/26/thaila19473.htm
  • เบื่อจัง

    27 กรกฎาคม 2551 07:07 น. - comment id 21254

    ใช้เนื้อที่ผิดวัตถุประสงค์หรือเปล่า 
    
    บ่อย ๆ กลายเป็นรำคาญ
    
    ทุกวันนี้เสพย์สื่อจนจะ 
    51.gif
  • L

    28 กรกฎาคม 2551 05:24 น. - comment id 21268

    เห็นชอบ
    11.gif
  • แมวคราว...

    28 กรกฎาคม 2551 11:28 น. - comment id 21271

    จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่ต้องรอให้ต่างชาติออกมาประณามให้อับอายขายขี้หน้า..แต่เป้นเพราะว่า
    รัฐบาลเองไม่จริงใจจะปกป้องหรือดูแล
    ประชาชนอยุ่แล้ว....ทุกวันนี้ประชาชนดูแล
    ตัวเองทุกเรื่อง...ไม่ว่าการกินอยู่ ยาดจน
    หรือความปลอดภัย...คนถ่อย เถื่อน  จึงได้
    กำเริบขนาดนี้....อยากหนีไปนอกโลกจังครับ
    
    ขออ๊วกด้วยคน..บ้านเมืองนี้51.gif
    ขอบคุณคุณลักษณ์ที่นำเรื่องนี้มาลงครับ...36.gif46.gif
  • ผู้หญิงช่างฝัน

    28 กรกฎาคม 2551 17:22 น. - comment id 21272

    ขอ  51.gif  ด้วยคน..    
    
    46.gif  ล้อเล่นนะคะ..
  • L

    28 กรกฎาคม 2551 19:51 น. - comment id 21273

    เห็นชอบ
    11.gif
  • L

    29 กรกฎาคม 2551 01:09 น. - comment id 21276

    พระราชกรณียกิจอันยิ่งเท่านั้นที่จะหยุดยั้ง...ก่อนเกิดสงครามกลางเมือง 
     
    โดย เพชรอริยะ  28 กรกฎาคม 2551 15:53 น. 
     
     
           การที่กลุ่มคนรักอุดร ได้ยกพวกเข้าทุบตีร่างกาย ทำลายทรัพย์สินของมวลชนกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างโหดเหี้ยม ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ต่อหน้าต่อตาตำรวจ และกองกำลังต่างๆ ของรัฐบาล แน่นอนนั่นคือการวางแผน มีค่าใช้จ่าย อันเป็นคำสั่งของอำนาจเถื่อนที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่ใครที่ไหน เขารู้กันทั้งเมืองว่าเป็นคนของฝ่ายรัฐบาล ลักษณะอย่างนี้มันต้องช่วยกันประณามและหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังมาลงโทษให้ได้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเกิดการปะทะกันในหลายๆ จังหวัดต่อไป และต่างก็จะมีการเตรียมการกระทำและการป้องกันด้วยอาวุธ เหตุที่เกิดขึ้นจากสภาพการณ์สัมพันธภาพทางการเมืองของไทยเราเป็นเผด็จการมาอย่างยาวนานนั่นเอง
           
           ทั้งนี้ เพราะระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิที่ได้ครอบงำมาอย่างยาวนาน สลับกันระหว่างเผด็จการสองรูปแบบ โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้ง นี่คือรากเหง้าเหตุแห่งปัญหาทั้งปวงของชาติ เพราะพวกผู้ปกครองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าไร้ปัญญา ปัญญาอ่อน ล้วนมีแต่ประเภท ฉลาดแกมโกงเพื่อพวกตน แต่มันอับจนเพื่อประโยชน์แห่งชาติ
           
           โดยคณะผู้ปกครองไทย รุ่นแล้วรุ่นเล่าเป็นผู้สร้างเหตุแห่งวิกฤตชาติทั้งปวง และยากที่จะแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ อันเนื่องมาจากความหลงผิดเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรง 5 ประการ ได้แก่
           
           1) หลงผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย สิ่งที่ถูกต้องคือ ก่อนอื่นต้องสถาปนาระบอบฯ หรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง จึงจะเป็นภารกิจที่ถูกต้อง และเป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้
           
           2) หลงผิดในการจัดความสัมพันธ์ของรัฐธรรมนูญ จากการวิจัยพบว่า รัฐธรรมนูญไทยทั้ง 18 ฉบับ ไม่เคยมีหลักการปกครอง มีเฉพาะด้านวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ เพียงด้านเดียว อุปมาดุจดัง ว่าวขาด, วัวไม่มีเจ้าของ, สุนัขจรจัด, ดาวเคราะห์ไม่มีดวงสุริยัน, ฯลฯ
           
           3) ความหลงผิดของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะ คือยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย แนวทางนี้เป็นมิจฉาทิฐิ ความเป็นจริงรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle Law) หน้าที่ของกฎหมายคือรักษา คุ้มครอง และสะท้อนความเป็นระบอบฯ นั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบฯ ที่ถูกต้องแล้ว จะทำให้ล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติร้ายแรงเรื่อยไป อย่างไม่จักรู้จบสิ้น
           
           4) เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นประชาธิปไตย อันที่จริงรูปการปกครองมีไว้เพื่อจัดสัมพันธภาพขององค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างองค์รัฐาธิปัตย์หรือประมุขแห่งรัฐ กับฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบฯ อะไรก็ได้
           
           5) เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบฯ อะไรๆ ก็นำไปใช้ได้ และนักการเมืองไทย ส่วนใหญ่ซื้อเสียงมาทั้งนั้น โดยมีนายทาสใหญ่ลงทุนให้ โดยมี ส. ส. ทำตัวเป็นทาส จากนั้นก็เอาประชาชนมาเป็นทาสนักการเมืองอีกที ส.ส. ทุกวันนี้จึงไม่ใช่ผู้แทนของปวงชน แต่เป็นผู้แทนส่วนตัว กลายเป็นผู้แทนของพวกกู ของกลุ่มชนพวกกู เท่านั้นเอง
           
            จากการที่ได้วิจัย รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ ทั้งในอดีตและปัจจุบันล้วนผิดไปจากคลองธรรม คือ ไม่เคยมีหลักการปกครอง มีแต่เฉพาะวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ หรืออาจจะพูดได้ว่า นำเอาวิธีการมาเป็นด้านหลักการ เอาด้านทุติภูมิมาเป็นด้านปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการจัดสัมพันธภาพ ที่คลาดไปจากวิถีธรรมโดยสิ้นเชิง ดังที่แสดงนี้
    
     
      
     
     
           ด้วยเหตุผลดังกล่าว ความมิจฉาทิฐิของนักวิชาการ นักการเมือง สื่อมวลชนต่างๆ พวกเขาไม่ตั้งใจศึกษาให้ได้รู้แจ้งจริง พวกเขาต่างเชื่อตามๆ กันมาอย่างมิจฉาทิฐิ ทั้งๆ ที่เห็นปัญหาอยู่ทนโท่ อย่างซ้ำซาก ประเทศไทยและประชาชนจึงตกอยู่ในความสับสนซ้ำซาก ล้มเหลวซ้ำรอยเดิม ผิดแล้วผิดอีก เป็นอนาธิปไตย จึงเป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ เป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทำลายความมั่นคงแห่งชาติ เป็นเหตุวิกฤตชาติ สับสนวุ่นวายไร้จุดมุ่งหมาย อย่างไม่รู้จักจบสิ้น และไม่นานก็จะมีรัฐประหารอีก
           
            แนวคิดของกระบวนการลัทธิรัฐธรรมนูญ คือร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย นั้นเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรง ซึ้งก็พิสูจน์มาแล้วตลอด นี่ 18 ครั้งแล้ว มันเป็นแม่แบบแห่งมิจฉาทิฐิ เป็นเหตุแห่งความแตกแยกทุกส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดภายในชาติ
           
            ก็เมื่อผู้ปกครองไทยมิจฉาทิฐิ (โง่อย่างร้ายแรงที่สุด) ที่นำเอารัฐธรรมนูญมาเป็นศูนย์กลางของชาติ รัฐธรรมนูญจึงเป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้ง ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลัก (Principle Law) แต่พวกเขากลับยกกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด (Supreme Law) นี่คือความเข้าใจที่เป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายอีกประการหนึ่ง
           
            เมื่อเหตุเป็นมิจฉาทิฐิ ผลที่ตามมาคือ พรรคการเมือง รัฐบาล (รัฐบาลไหนๆ ก็ล้มเหลว) การปกครองทุกระดับ เศรษฐกิจทุกระดับ สังคมทุกระดับ วัฒนธรรมทุกระดับ ล้วนแล้วขัดแย้งแตกแยกกันไปหมด มันลงรอยกันไม่ได้ เพราะเอากฎหมายมาเป็นศูนย์ของชาติ
           
            คิดง่ายๆ สมมติว่าถ้าพระพุทธเจ้า เริ่มต้นประกาศศาสนาด้วยศีล 227 ข้อ ขอถามหน่อยเถอะว่า ศาสนาพุทธจะเกิดขึ้นมาไหม แต่ปรากฏว่าพระองค์ทรงประกาศสัจธรรมก่อนวินัย
           
            ทำไมผู้ปกครองไทยกี่ชุดมาแล้วไม่เคยเจริญรอยตามพระเจ้าอยู่หัว คือการเจริญรอยตามพระปฐมบรมราชโองการ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์แห่งมหาชนชาวสยาม นี่คือความถูกต้องโดยธรรมในส่วนของพระองค์
           
            หลักและแนวทางแก้ไข
           
            ในอดีตวิธีการสร้างประชาธิปไตยในประเทศเอกราชในเอเชียนั้น การสร้างระบอบประชาธิปไตยเป็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ ตัวอย่าง คือ พระจักรพรรดิมัตสุฮิโต แห่งญี่ปุ่น ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมอบอำนาจให้ประชาชนสำเร็จ การสร้างประชาธิปไตยในญี่ปุ่นจึงสำเร็จ จนกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยและพัฒนาแล้ว แต่ไทยเราคณะผู้ปกครองกลับหลงผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว เฮ้อ...
           
            ในท่ามกลางวิกฤตของประเทศชาติอันเลวร้าย ไม่เห็นทางว่าจะมีใครแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ในสภาพการณ์เช่นนี้ เมื่อไม่มีสถาบันใด หรือสถาบันทางการเมืองอื่นซึ่งดำเนินไปตามระบอบการเมืองปัจจุบัน มิอาจจะใช้ความสามารถแก้เหตุวิกฤตชาติให้ผ่านพ้นไปได้ แม้ว่าจะมีผู้เจตนาที่ดีก็ตาม
           
            ในอดีตประเทศที่พระมหากษัตริย์ทรงนำการแก้ปัญหาวิกฤตของชาติโดยการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งยวดขององค์พระมหากษัตริย์ โดยทรงมอบหลักการปกครองและอำนาจซึ่งเป็นของพระองค์อยู่เดิมให้แก่ประชาชน
           
            ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจสำเร็จ การสร้างระบอบประชาธิปไตยก็สำเร็จ แต่ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจไม่สำเร็จไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม การสร้างประชาธิปไตยย่อมล้มเหลว ต่างก็เห็นชัดแล้วว่าล้มเหลวอย่างซ้ำซ้อน ซ้ำซาก นับแต่ 2475 เป็นต้นมา
           
            ในสภาพการณ์ปัจจุบันการแก้ปัญหาเหตุวิกฤตของชาติและเป็นการแก้ปัญหาพื้นฐานของประเทศชาติ อันเป็นเหตุแห่งวิกฤตทั้งปวงให้ตกไปได้นั้น มีวิธีเดียว คือวิธีการที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (Principle of Government) คือหลักธรรมาธิปไตย 9 โดยมีธรรมและรากฐานของชาติ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) ยกขึ้นเป็นหลักการปกครอง เป็นระบอบการเมืองที่ก้าวหน้ากว่าระบอบอื่นใดในโลก และสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวไทย สมดังคำกล่าวที่ว่า ทศพิธราชธรรมของพระมหากษัตริย์ สู่การสร้างสรรค์หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 
           
            ทั้งจะเป็นปัจจัยให้บรรลุพระราชภารกิจพระมหากษัตริย์บรมราชจักรีวงศ์ รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และบรรลุพระราชปณิธานของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ..ข้าพเจ้าสมัครใจจะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป... และเพื่อบรรลุพระปฐมบรมราชโองการของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลปัจจุบัน เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม เป็นจริงอย่างมีรูปธรรมในทางการเมืองไทยเสียที
           
            สิ่งที่ปวงชนไทยจะต้องลุกขึ้นมาแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ คือภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขององค์พระมหากษัตริย์เท่านั้น อันใครๆ ก็ทำไม่ได้ และเมื่อมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ คนไทยทุกคนรู้การเมืองเท่ากัน จำได้ง่าย และง่ายต่อการคิดค้นพัฒนาต่อๆ ไป สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ก็จะได้รับการับรองอย่างเป็นไปเอง การเมืองไทยก็จะสว่าง เพราะต่างก็รู้เท่าทัน ไม่ถูกพรรคฯ นักการเมืองชั่วหลอกไปเป็นทาสรับใช้ทางการเมืองส่วนตน ในทางที่ผิดอีกต่อไป 
     
     
    http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000088599
  • L

    29 กรกฎาคม 2551 01:16 น. - comment id 21277

    ปราสาทพระวิหารไทยจะเสียดินแดนครั้งที่ 5 และครั้งที่ 6, 7, .... เร็ว ๆ นี้ !!?? 
     
    โดย คำนูณ สิทธิสมาน 27 กรกฎาคม 2551 10:56 น. 
     
     
     
    กรณีปราสาทพระวิหาร ประเทศไทยไม่ได้เสียดินแดนเพียงครั้งเดียวในปี 2505 จากคำพิพากษาของศาลโลกตามที่คนไทยโดยทั่วไปเข้าใจ
           
           ในรอบ 46 ปีมานี้  ประเทศไทยไทยเสียดินแดนมารวมทั้งหมด 4 ครั้ง !
           
           และถ้าคนไทยยังนิ่งนอนใจ ไม่ตระหนักในมหันตภัยของ ลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่  ล่าสุด ที่ใช้ วัฒนธรรม เป็นข้ออ้าง  ประเทศไทยจะเสียดินแดนเป็นครั้งที่ 5 ภายใน 2 ปีนับจากนี้
           
           อันจะนำไปสู่การเสียดินแดนชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งบนบกและในทะเลต่อเนื่องไปอีกหลายครั้งในอนาคต ! 
           
           ในกรณีการเสียดินแดนครั้งที่ 5 นี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เขียนบทความเผยแพร่ชี้ให้เห็นเลศนัยในมติคณะกรรมการมรดกโลกที่ให้ขึ้นทะ เบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมติข้อ 14
           
           ขอสรุปด้วยภาษาชาวบ้านว่าเราเสียดินแดนมาแล้ว 4 ครั้งอย่างไร....
           
           การเสียดินแดนครั้งที่ 1  คำพิพากษาของศาลโลกปี 2505 แม้จะไม่ได้ระบุเรื่องเขตแดน และไม่ได้ยอมรับแผนที่ฝรั่งเศสฉบับปี ค.ศ. 1908 แต่ประเทศไทยก็ไม่ทำตัวเป็นคนเกเรในสายตาชาวโลก ส่งมอบปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา โดยกั้นรั้วลวดหนามที่บริเวณบันไดนาคขั้นที่ 156 ห่างจากตัวปราสาท 20 เมตร
           
           การเสียดินแดนครั้งที่ 2  ประมาณปี 2511 เราเลื่อนลงมากั้นรั้วลวดหนามที่บริเวณบันไดขั้นที่ 1 (ขั้นล่างสุด) อาจจะด้วยเหตุผลเพื่อให้คนไทยเดินขึ้นไป
           
           การเสียดินแดนครั้งที่ 3  ประมาณปี 2536  2541 มีการกั้นรั้วเลยลงมาข้างล่างอีก ที่บริเวณติดคูน้ำ (ตรงที่ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษเจรจากับกัมพูชาให้ปล่อยตัวคนไทย 3 คนที่ข้ามไป) ตรงนี้มีประตูรั้วด้วย
           
           การเสียดินแดนครั้งที่ 4  ล่าสุดเมื่อเร็ว ๆ นี้หลังจากเกิดความตึงเครียด มีการกั้นรั้วลวดหนามเลยเข้ามาในดินแดนไทยบริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร (เป็นจุดที่คนไทย 3 คนปีนข้าม)
           
           ควรเข้าใจร่วมกันเป็นปฐมเสียก่อนว่า ปราสาทพระวิหารแต่เดิมนั้นเป็นของประ เทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายแน่นอน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 (หรือ ร.ศ. 122 หลังปราสาทพระวิหารถูกค้นพบโดยพล.ต.พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์เพียง 4 ปี) และ ค.ศ. 1907 ตามสนธิสัญญาสยาม  ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 ที่ยึดถือสันปันน้ำเป็นเกณฑ์
           
           ประเทศกัมพูชาจึงต้องยึดถือสนธิสัญญาฉบับนี้
           
           ฝรั่งเศสมาเขียนแผนที่ขึ้นฝ่ายเดียวเมื่อ ค.ศ. 1908 หลังคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสสลายตัวไปแล้ว 1 ปี เป็นแผนที่ที่จงใจลากเส้นมาเอาเขาพระวิหารไปไว้ในดินแดนตนเอง ทั้งตัวปราสาทและพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร
           
           กัมพูชาได้ใช้แผนที่ฉบับนี้ต่อสู้ในศาลโลกเมื่อปี 2502 และพยายามให้ศาลโลกมีคำพิพากษาว่าแผนที่ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904
           
           แม้ศาลโลกจะพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ก็ไม่ได้ระบุเรื่องเขตแดนไว้ และไม่ได้รับรองแผนที่ฉบับนั้นแต่ประการใด
           
           จึงต้องถือว่า เขตแดนไทย-กัมพูชายังคงอยู่ที่สันปันน้ำเหมือนเดิมเมื่อปี ค.ศ. 1904 มีเพียงตัวปราสาทฯเท่านั้นที่เรายกให้กัมพูชาตามคำพิพากษาศาลโลก
           
           คือเราจะเสียพื้นที่เท่ากับที่ เสียดินแดนครั้งที่ 1 เท่านั้น ! 
           
           ซึ่งก็ต้องยึดถือตาม เขตปฏิบัติการ ที่เราส่งมอบพื้นที่ปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา ตามมติครม. 2505 และหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ 11467/2505 เรื่อง การปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหาร ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2505 ในข้อเสนอทางเลือกที่ 2 ที่เสนอว่า....
           
            ...กำหนดพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าครอบปราสาทพระวิหาร มีแนวเขตจากปีกขวาของตัวปราสาทพระวิหารตั้งแต่ช่องบันได้หัก ลากเส้นตรงผ่านชิดบันไดนาค ตรงไปจนถึงปราสาทพระวิหาร แล้วลาก เส้นตรงขนานกับตัวปราสาทพระวิหารไปสุดที่หน้าผาชันด้านหลังปราสาทพระวิหาร จะเป็นเนื้อที่ปราสาทพระวิหารประมาณ ¼ ตารางกิโลกเมตร 
           
           คำว่า ผ่านชิดบันไดนาค คนที่ไม่มีความรู้อาจจะบอกว่าอยู่ตรงบันไดด้านล่างขั้นที่ 1 แต่คนที่ความรู้ทางประวัติศาสตร์ และเคยไปที่นั่น จะเข้าใจดีว่าไม่ใช่
           
           เพราะบันไดขั้นล่าง ขั้นที่ 1 ไม่มี นาค มีแต่ สิงห์ !
           
           เมื่อใช้คำว่า ผ่านชิดบันไดนาค จึงต้องเป็นบันไดขั้นบน ๆ ใกล้จะถึงตัวปราสาทฯ ซึ่งการกั้นรั้วเมื่อปี 2505 ก็กั้นที่ขั้นที่ 156 ห่างจากตัวปราสาท 20 เมตร
           
           มีพื้นที่อยู่เท่านั้นเองที่เราคืนให้กัมพูชา
           
           และไม่ได้ถือเป็นเขตแดน เพราะคำพิพากษาศาลโลกไม่ได้กำหนดเขตแดนขึ้นใหม่แต่ประการใด
           
           การกำหนดเขตแดนเสร็จสิ้นมาแล้วตั้งแต่ค.ศ. 1904 และค.ศ. 1907 เป็นการยึดถือสันปันน้ำ
           
           ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ แห่งสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ข้อสังเกตสำคัญไว้ประการหนึ่งว่า เราต้องแยกระหว่าง การสำรวจและปักปันเขตแดน (Delimitation) กับ การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน (Demarcation)
           
           ชายแดนไทย-กัมพูชาเจรจาเสร็จสิ้นมาแล้วตั้งแต่ปี 1904 เป็นเรื่องของ Delimitation การเจรจาในชั้นหลัง หรือปัจจุบัน ก็แค่ Demarcation เท่านั้น
           
           มี สันปันน้ำ อยู่ชัดเจน  ก็ต้องยึดถือตามนั้น
           
           เพราะฉะนั้น จึงไม่มีคำว่า พื้นที่ทับซ้อน มีแต่ พื้นที่ของไทย เราต้องลบคำ พื้นที่ทับซ้อน ออกไปจากพจนานุกรมไทยในกรณีที่คิดถึงเรื่องนี้
           
           ในขณะที่กัมพูชาอ้างในทุกทาง รวมทั้งส่งคนเข้ามาอยู่ สร้างวัด คนของเขาไม่ว่าพรรคใดพูดตรงกัน แต่ของไทย หากยังพูดว่า พื้นที่ทับซ้อน มันก็แพ้กันตั้งแต่ในมุ้งแล้ว
           
           เหมือนเป็นของเราเต็ม 100 พอเราพูดผิด ก็เหลือเป็นของเราแค่ 50
           
           และถ้าจะถูกมัดมือชกให้ต้องยอมรับการจัดการร่วมของ 7 ชาติ ก็เท่ากับยอมรับว่าในความเป็นเจ้าของที่เหลือ 50 นั้น เราเหลือแค่ 1/7 เท่านั้น
           
            ถ้าไม่เรียกว่าเสียดินแดนแล้วจะเรียกว่าอะไร
           
            และถ้าต้องเสียดินแดนครั้งที่ 5 ณ จุดพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนี้ ก็จะเป็นบรรทัดฐานให้เราเสียดินแดนทางบกและทางทะเลที่กัมพูชาอ้างสิทธิอีก
           
            วันนี้ คนไทยจึงต้องปรับความคิดให้ถูกต้องและตั้งหลักให้มั่น ! 
    
     
    http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000088058
  • L

    29 กรกฎาคม 2551 23:09 น. - comment id 21281

    แฉ! หมอผีเขมรเตรียมทำพิธีกดดวงเมืองไทย 1 ส.ค.นี้ ช่วงสุริยุปราคา 
     
    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 29 กรกฎาคม 2551 16:16 น. 
     
     
    
       
      
      
       
    ภาพพิธีบูชา มูระติในอุทยานปราสาทหินพนมรุ้ง 
     
    
     
     
    คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น 
     
    
     
    
     
     
     
      ศูนย์ข่าวศรีราชา - แฉหมอผีเขมรรวมพลังทำไสยศาสตร์กดดวงเมืองไทย ไม่ให้เงยหัวมาต่อกร ขอคืนเขาพระวิหาร และเกาะกูด ในวันอาถรรพ์สุริยุปราคา พระอาทิตย์อมจันทร์ 1 สิงหาคม 2551 แนะกลุ่มพันธมิตรฯ และประชาชนคนไทยช่วยแก้อาถรรพ์ ใส่เสื้อสีเหลืองพระราชาทั่วประเทศ ทำพิธีบวงสรวงขอบารมีพระสยามเทวาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย จะเกิดแสงสว่างลบล้างอาถรรพ์
           
           วันนี้ (29 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวพิเศษประจำพื้นที่เขตทหารเรือ ได้รับการบอกเล่าจากแหล่งข่าวชายแดนไทย-กัมพูชา ผู้มีความใกล้ชิดกับบรรดาหมอไสยศาสตร์กัมพูชาว่า ในวันที่ 1 สิงหาคม 2551 นี้ ซึ่งตรงกับวันศุกร์แรม 15 ค่ำ เดือน 8 ตรงกับวันพระ ตามคำทำนายทางโหราศาสตร์ถือเป็นวันอาถรรพ์ คือ เป็นวันที่พระอาทิตย์อมจันทร์ หรือสุริยุปราคา จะเกิดขึ้นในเวลา 17.11 น.เป็นต้นไป และอาจจะกินไปจนถึงเวลา 21.00 น.
           
           ในเวลานี้จะมีหมอผีเขมรที่เก่งทางด้านดาราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ลงมติกันว่า ถ้าจะทำให้ประเทศไทยอ่อนลงด้วยนานาประการ หรือเกิดความอ่อนแอทุกด้าน ทั้งผู้ครองประเทศ และกำลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองดูแลอยู่ในแผ่นดินไทย โดยคิดจะพากันขึ้นไปกระทำพิธีกดดวงประเทศ ดวงแผ่นดิน และดวงอำนาจ กลางใจปราสาทเขาพระวิหาร ในวันดังกล่าว ขณะที่เกิดพระอาทิตย์อมจันทร์
           
           แหล่งข่าวได้แจ้งมาอีกว่า จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่พิธีกดดวงแผ่นดินไทย ดวงอำนาจทั้งหมดในประเทศไทย ในตอนเย็นของวันที่ 1 สิงหาคม 2551 นั้น จะเป็นพิธีหนึ่งที่ทางหมอผีเขมรคาดหวังว่า จะสามารถกดดวงเมืองของประเทศไทยได้ ทุกอย่างจะอ่อนแอทั้งหมด แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตในแผ่นดินไทย ก็จะทำให้กัมพูชาสามารถทำอะไรได้มากขึ้น โดยเฉพาะการไม่ให้ประชาชนออกมาต่อต้านเรื่องของเขาพระวิหาร และ เกาะกูด รวมถึงดินแดนทางทะเลทั้งหมด และหากหมอผีเขมรทำสำเร็จ รับรองได้ว่าประเทศไทยอ่อนแอลงอย่างแน่นอน และจะไม่สามารถต่อสู้เรียกคืนแผ่นดินที่กำลังจะสูญเสียอยู่ในขณะนี้ได้
           
           อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีแก้ไข ก็คือ การใช้สีเหลืองมาสยบ เพราะสีเหลืองเป็นสีแห่งความสำเร็จ สีแห่งแสงสว่าง และที่สำคัญ เป็นสีประจำองค์พระราชา ก็คือ พระราชาได้พระราชสมภพในวันจันทร์ และด้วยบารมีของพระองค์ท่านก็จะสามารถต่อต้านกับสิ่งชั่วร้ายได้ แต่ถ้าจะให้ดีประชาชนทั่วประเทศต้องช่วยกันแก้เคล็ด ด้วยการใส่เสื้อเหลืองในวันดังกล่าวตลอดทั้งวันจนกว่าพระอาทิตย์จะคายพระจันทร์ออกมาจนหมด และปฏิบัติตามประเพณี ก็คือ มีการตีปี๊บ ตีกะลา และส่งเสียงอึกทึกเพื่อให้พระอาทิตย์คายพระจันทร์อย่างรวดเร็ว และถ้ามีการร่วมจิตร่วมใจกันทำได้เช่นนี้ก็จะแก้อาถรรพ์ได้ระดับหนึ่ง
           
           โดยขณะนี้คนไทยไม่สามารถขึ้นไปบนยอดปราสาทเขาพระวิหารได้ แต่ชาวกัมพูชายังสามารถหาวิธีเข้าไปได้ กลุ่มแนวร่วมพันธมิตรฯ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นต้องทำการสกัดกั้น หรือทำให้ไม่สามารถทำพิธีสำคัญนี้ได้ ขอให้กลุ่มพันธมิตรฯ ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และสถานที่อื่นๆ ที่มีการรวมตัวกันนำ บายศรีเทพ บายศรีปากชาม น้ำ หวีห่าง หรือหวีเสนียด ดอกไม้ พวงมาลัยมะลิ และผลไม้มงคล ทำพิธีบวงสรวงขอพรอำนาจบารมีของ พระสยามเทวาธิราช เพื่อคุ้มครองแผ่นดินไทย และประชาชนชาวไทยทุกคน โดยต้องทำพิธีก่อนที่พระอาทิตย์จะอมจันทร์
           
           ตอนนี้สามารถสกัดกั้นการทำพิธีได้ ก็คือ เวทีพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ต้องนำเรื่องนี้ออกมาตีแผ่ เพื่อให้กัมพูชารู้ว่าคนไทยรู้ถึงพิธีกรรมดังกล่าวแล้ว อาจจะทำให้พวกหมอไสยศาสตร์ลังเล หรือล้มเลิกพิธีดังกล่าวก็เป็นได้ เพราะคนไทยรู้ทัน
           
           ที่ผ่านมา แหล่งข่าวประเภทนี้ไม่เคยให้ข้อมูลผิดพลาด แม้แต่เรื่องที่มีกลุ่มขึ้นไปทำพิธีไสยศาสตร์และทำลายวัตถุโบราณที่อุทยานแห่งชาติปราสาทหินพนมรุ้ง แท้ก็จริงเป็นลิ่วล้อของนักการเมืองที่เชื่อในไสยศาสตร์ต้องการทำลายกำลังดวงเมือง ดวงพระราชา และดวงแผ่นดินให้อ่อนลง ซึ่งทางตำรวจสันติบาลทราบดีว่าเป็นกลุ่มนักการเมืองที่จ้างหมอผีไปทำลาย แต่ไม่กล้านำข้อมูลมาเปิดเผย เพราะเกรงอิทธิพลทางด้านการเมือง
    
     
    http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9510000089164Opinio
  • L

    30 กรกฎาคม 2551 00:56 น. - comment id 21283

    พันธมิตรฯจับตา 2 วันอันตราย 31 ก.ค.-1 ส.ค. ม็อบอัปรีย์จ้องป่วน 
     
    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 29 กรกฎาคม 2551 20:58 น. 
     
     
     
    คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น 
     
    สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ 
    
     
     
     
      สุริยะใส ชี้ ไม่เหนือความคาดหมาย กรณีลูกจ้าง.ศธ.ฟ้องศาลแพ่ง ให้รื้อเวทีพันธมิตรฯ เผย แกนนำรู้ทัน ยื่นร้องคัดค้านแล้ว เชื่อสามารถชุมนุมต่อได้ พร้อมยื่น ป.ป.ช.เอาผิดนักการเมืองชักใยเบื้องหลังม็อบถ่อยทำร้ายพันธมิตรอุดรฯ แนะจับตา 2 วันอันตราย 31 ก.ค.ตัดสินคดี เมียแม้ว หนีภาษีหุ้น - 1 ส.ค.เปิดสภาดันทุรังแก้ รธน.คาดม็อบอัปรีย์จ้องป่วน
           
           วันนี้ (29 ก.ค.) เมื่อเวลา 18.30 น.นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังเวทีการชุมนุม โดยระบุถึงกรณีที่ข้าราชการลูกจ้างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ยืนคำร้องต่อศาลแพ่ง โดยอ้างว่า ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมของพันธมิตรฯที่สะพานมัฆวาน ว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหนือความคาดหมายมากนัก เพราะเป็นวิธีการที่ รัฐบาลหุ่นเชิด พยายามสกัดการชุมนุมมาโดยตลอด
           
           อย่างไรก็ตาม นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ครั้งนี้คงไม่ง่ายเหมือนกับกรณีที่ผู้ปกครองโรงเรียนราชวินิต เคยฟ้องร้องเมื่อครั้งก่อน เพราะว่าในครั้งนี้ทันทีที่เราได้ทราบข่าวเมื่อช่วงสายของวันนี้ ทางแกนนำพันธมิตรฯและทนายความได้ทำเรื่องคัดค้านและยื่นต่อศาล โดยชี้ประเด็นว่ากรณีดังกล่าวไม่อยู่ในขอบเขตอำนาจของศาลแพ่ง แต่อยู่ในขอบเขตของอำนาจศาลปกครองหรือศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการพิจารณากรณีนี้ หากมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามมาตรา 63 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550 โดยเฉพาะสิทธิการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ในวันพรุ่งนี้เวลา 09.00 น.ศาลแพ่งจะอ่านคำสั่งว่าจะรับคำร้องหรือไม่ ซึ่งทางแกนนำพันธมิตรฯ และ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ จะเดินทางไปให้ปากคำเพิ่มเติมด้วย ส่วนตัวรู้สึกมั่นใจว่า ศาลจะไม่รับคำร้องดังกล่าว เนื่องจากครั้งนี้เรามีคำคัดค้านดังกล่าวส่งไปด้วย เราเชื่อมั่นในข้อโต้แย้ง ซึ่งจะทำให้เราพิทักษ์สิทธิการชุมนุมได้ต่อไป
           
           นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า หากศาลมีคำสั่งให้ย้ายการชุมนุมทางพันธมิตรฯยังไม่มีแผนรองรับ ว่าจะย้ายการชุมนุมไปที่ใด แต่ขณะนี้ได้มีการศึกษาพื้นที่ไว้หลายสถานที่แล้ว เบื้องต้นพันธมิตรฯพร้อมน้อมรับคำสั่งศาลไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบใด
           
           นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี, ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี และผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี กับพวก ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปล่อยให้กลุ่มประชาชนจำนวนมาก พร้อมอาวุธหลายชนิด บุกเข้าทำร้ายประชาชนที่จัดชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ณ บริเวณสวนสาธารณะหนองประจักษ์ ซึ่งมี นายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน ตนยังไม่ทราบรายละเอียด แต่จากการสอบถามพบว่า อำนาจหน้าที่พิจารณาเจาะจงเฉพาะข้าราชการประจำ ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายปกครอง และตำรวจ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 88 ของกฎหมายว่าด้วย ป.ป.ช.ซึ่งในส่วนนี้ทางพันธมิตรฯ ได้ทำคำร้องเพื่อยื่นให้พิจารณาเพิ่มเติมเพื่อเอาผิดต่อข้าราชการการเมือง ซึ่งอาจมีบุคคลระดับรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งในคำร้องดังกล่าวระบุถึงความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย โดยในพรุ่งนี้เวลา 14.00 น.ทางแกนนำพันธมิตรฯจะเข้ายื่นคำร้องเพิ่มเต็มดังกล่าวต่อ ป.ป.ช.ทั้งนี้ โดยอ้างอิงอำนาจตามมาตรา 66 พ.ร.บ.ป.ป.ช.นอกจากนี้ ยืนยันว่า คงไม่ใช่แค่กรณีจังหวัดอุดรธานีเท่านั้น แต่รวมถึงความรุนแรงที่เกิดใน จ.เชียงราย มหาสารคาม และ ศรีสะเกษ โดยทางเราจะมีการทำบัญชีผู้ถูกกล่าวหาแนบไปด้วย
           
           ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า การพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 1 สิงหาคม หลังมีการเปิดประชุมสภาทางพันธมิตรได้มีการประกาศไปแล้วว่าจะนัดชุมนุมใหญ่ในวันเดียวกันเวลา 14.00 น.ซึ่งเป็นไปได้ว่า จะมี ส.ส.พรรคพลังประชาชน ยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันดังกล่าว ซึ่งขอยืนยันว่า จุดยืนและข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ คือ การคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อฟอกผิดระบอบทักษิณ เราจึงจัดให้มีการชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ส่วนรูปแบบในการชุมนุมจะมีการหารืออีกที แต่ในเบื้องต้นหากมีการเผชิญหน้า ทางเราได้มีการเตรียมการ และมีการปรับเปลี่ยนภายในพอสมควรแต่ยังไม่ขอเปิดเผย ตนเชื่อว่า ความรุนแรงที่กระจายตัวอยู่ต่างจังหวัดที่ผ่านมา สุดท้ายจะมาระเบิดที่ในกรุงเทพ โดยเฉพาะใน 2 วัน อันตราย คือวันที่ 31 ก.ค.- 1 ส.ค.นี้ ซึ่งในวันที่ 31 ก.ค.ศาลอาญาจะอ่านคำพิพากษา คดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ และในวันที่ 1 ส.ค.จะมีการเปิดสภาวันแรก และมีข่าวว่ามีการระดมพลมาเป็นจำนวนมาก
           
           นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า ตนยังได้ข่าวจากข้าราชการกรมคุมประพฤติ ที่ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้คนที่ติดทัณฑ์บนและมีคดีติดตัวได้หายตัวไปอย่างผิดปกติเป็นจำนวนมาก อาจมีการสั่งเข้ามาที่ส่วนกลางซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ตนได้รับมาจากเครือข่ายแท็กซี่พันธมิตร เมื่อวานนี้ว่ามีผู้โดยสารพยายามซักถามถึงรูปพรรณสัณฐานของตน ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้กลัว แต่จะชี้ให้เห็นว่า มีการพยายามจะก่อเหตุหรือไม่ เหมือนเช่นกรณีการทำร้ายประชาชน ที่หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์เมื่อ 2 ปี ก่อน ซึ่งพบในภายหลังว่าผู้ที่ก่อเหตุเป็นคนที่ถูกหมายจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเป็นคนของมาเฟียที่มีอำนาจรัฐ
           
           อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พันธมิตรฯได้มีการเตรียมพร้อมเป็นพิเศษเมื่อ 2 วันก่อน ก็มีการควบคุมตัวคนที่เข้ามาก่อกวนได้ 10 คน ซึ่งพบหลักฐานชัดเจน อาทิ บัญชีการจ่ายเงิน ซึ่งระบุ สถานที่รับจ่ายเงินบริเวณหน้าศาล หน้า ม.ธรรมศาสตร์ หรือบริเวณหน้าป้ายรถเมล์บ้าง พร้อมกับเงินสดจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยตลอด
           
           นายสุริยะใส กล่าวย้ำอีกว่า ในวันชุมนุมใหญ่ หากมีการเผชิญหน้า ทางพันธมิตรพร้อมรับมือและอยู่ในกรอบของการชุมนุมหากต่างฝ่ายอยู่ในกรอบก็คงไม่มีปัญหา
           
           สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของพันธมิตรฯ ในช่วงค่ำของวันนี้ ยังคงเป็นไปอย่างคึกคัก ในขณะที่มาตรการรักษาความปลอดภัยของทีมพันธมิตรฯก็มีการเตรียมความพร้อมอย่างเหนียวแน่น มีการจัดทำตาข่าย บริเวณท้ายของการชุมนุมบริเวณแยกมิสกวัน เพื่อป้องกันสิ่งของขว้างปาจากภายนอก นอกจากนี้ยังมีผู้เข้ามาบริจาคอุปกรณ์ป้องกันตัว อาทิ ไม้กอล์ฟ 1 ถุง และยังมีการเพิ่มไม้เบสบอลแบบที่ทำเองประมาณ 30 อัน
    
      http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000089339
  • L

    30 กรกฎาคม 2551 02:27 น. - comment id 21284

    พันธมิตรฯ นัดรวมตัวครั้งใหญ่ 1 ส.ค. ลั่น!! ค้านแก้ รธน.ถึงที่สุด 
     
    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 29 กรกฎาคม 2551 20:01 น. 
     
     
           นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศย้ำพันธมิตรฯ จะรวมตัวชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป โดยอาจยืดเยื้อต่อเนื่องถึงวันเสาร์และวันอาทิตย์ เพื่อคัดค้านและต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลให้ถึงที่สุด และหากในวันดังกล่าวมีการยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะมีท่าทีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง ตามสถานการณ์แต่จะยึดแนวทางสันติ อหิงสา เช่นเดิม
            อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ช่วงวันที่ 31 กรกฎาคม - 1 สิงหาคมนี้ จะเป็นช่วงเวลาอันตราย เนื่องจากได้รับรายงานว่า มีการระดมมวลชนจากต่างจังหวัดเข้ามายังกรุงเทพมหานครเป็นจำนวนมาก ประกอบกับทางกรมคุมประพฤติได้แจ้งว่า ขณะนี้กลุ่มผู้มีคดีติดตัวและอยู่ระหว่างควบคุมความประพฤติ และหายตัวไปเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการรองรับและป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว
     
     
    http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9510000089315Opinio
ชื่อเรื่องสั้น-นิยาย

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน