โต้วาทีระดับโลก :: ศาสตราจารย์กับแมลงวัน
ลุงแทน
กาลครั้งหนึ่ง เมื่อเร็วๆนี่เอง มีฤาษีองค์หนึ่ง บำเพ็ญตบะ เพื่อให้คนและสัตว์พูดกันรู้เรื่อง และวันนี้ เป็นวันที่ตบะของท่านบรรลุผล สัตว์และคนทั้งโลก จึงสามารถคุยกันรู้เรื่อง ท่านได้ใช้อิทธิฤทธิ์ของท่าน เรียกประชุมทั้งคนและสัตว์ทั่วโลก!!!!.....อา....มันช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจที่สุด จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน เมื่อสัตว์สามารถพูดกับคนรู้เรื่องเช่นนี้!!!.....
พระฤาษีผู้ทรงฤทธิ์ นั่งอยู่เหนือแท่นศิลา มีคนชาติต่างๆ เผ่าต่างๆนั่งห้อมล้อมอยู่ทางด้านซ้ายมือ และด้านหลัง ส่วนทางด้านขวามือ มีสัตว์บกและแมลงทุกชนิด มาชุมนุมกันอยู่ ด้านหน้าเป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล มีสัตว์น้ำและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ โผล่หน้าสลอนคอยฟังอยู่ด้วยความเคารพ.....
ท่านฤาษีกล่าวเปิดประชุมว่า.....
"เพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย วันนี้เป็นวันพิเศษ ที่ทุกคนต้องเสียสละเพื่อโลก เพราะโลกของเราเดี๋ยวนี้ กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะทำให้โลกแตก ดังนั้น ทั้งคนและสัตว์ จะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ เพราะถ้าปล่อยให้โลกแตกแล้ว ทุกคนทุกชีวิต ก็ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้น เราควรสำนึกอย่างพร้อมเพรียงกัน ยอมสละเพียงเล็กน้อย เพื่อโลกคงอยู่.....
....อาตมาภาพได้เพียรบำเพ็ญตบะทรมานตนมาตั้ง 700 ปี และบัดนี้ คนและสัตว์สามารถพูดกันรู้เรื่องแล้ว ขอให้เรามาปรึกษาหารือกันด้วยดีเถิด.....
คนและสัตว์ ในสมัยดึกดำบรรพ์ก่อนโน้น ไม่มีอะไรแตกต่างกัน คนกับสัตว์อยู่เหมือนกันในป่า คนกินเนื้อดิบ ผักดิบเหมือนสัตว์ ใช้ใบไม้นุ่งห่มปกปิดนิดเดียว หลับนอนตามถ้ำ ตามต้นไม้เหมือนกับสัตว์ และเวลามีภัยทางธรรมชาติขึ้น คนก็หนีภัยเหมือนสัตว์ ต่อสู้กับสิ่งที่เป็นภัยเหมือนสัตว์ เวลาเจ็บป่วย ก็กินรากไม้รากยาตามดินตามป่านั่นเอง....
สรุปแล้ว คนและสัตว์เหมือนกันทุกอย่าง แต่ในเวลาต่อมา คนได้พัฒนาไปอีกแบบหนึ่ง สัตว์นั้นคงอยู่ตามสภาพเดิม เราจึงห่างเหินจากความเป็นพี่น้องกัน ดังนั้น วันนี้อาตมาภาพขอให้การประชุมระหว่างพี่น้อง ที่เกิดจากฝีมือปั้นขึ้นของ"พระผู้เป็นเจ้า"ด้วยกัน จงเลือกตัวแทนมาฝ่ายละหนึ่งท่าน เพื่ออภิปรายโต้วาทีกัน หาข้อยุติที่ดีที่สุด"....
คนทั้งโลก มีใจตรงกันเลือก ศาสตราจารย์ แมน ซึ่งเป็นนักการเมืองระดับผู้นำของโลก ทั้งเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย ขึ้นสู่เวทีอภิปรายก่อน
ท่านศาสตราจารย์ ผู้มีอายุประมาณ 63 ปี แต่งชุดสากลสีน้ำตาลอ่อน ไว้หนวดเครา สวมแว่นตา เสริมให้เห็นบุคลิกที่สุขุม เฉียบแหลมอย่างน่ายำเกรง ได้น้อมนมัสการท่านผู้เป็นประธาน แล้วลุกขึ้นยืน ขยับปากพูดใส่ไมโครโฟน ที่มีมากมายหลายอัน ต่างขนาดต่างชนิด....
"พี่น้องที่รักทั้งหลาย.....วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้รับเลือกตั้งจากคนทั้งโลกให้เป็นตัวแทน ในการประชุมปัญหาอันมีความสำคัญต่อโลกนี้ ผมเห็นด้วยที่เราจะต้องรับผิดชอบต่อการอยู่ หรือการแตกพินาศของโลกที่เราได้อยู่อาศัยอยู่นี้ เพราะถ้าโลกแตกแล้ว เราก็ต้องพินาศไปด้วยกัน....
ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีอย่างสูงสุด ที่คนและสัตว์ สามารถพูดกันรู้เรื่องอีกวาระหนึ่ง และได้มาพบปะกันอย่างพร้อมหน้าในที่นี้ โอกาสอย่างนี้ไม่ใช่เกิดได้ง่ายๆเลย พิเศษสุดยิ่งกว่าพิเศษสุดจริงๆ ดังนั้น ในโอกาสอันพิเศษสุดนี้ ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นพี่น้องกับสัตว์ทั้งหลาย อยากจะเสนอโครงการเพื่อพัฒนาพี่น้องสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้เจริญเหมือนคน สังคมของสัตว์ จะได้พ้นจากสภาพด้อยพัฒนา นี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่เรามอบให้แก่พี่น้องของเรา เพราะแม้เราจะอยู่ร่วมโลกกัน แต่เราก็ห่างเหินกันโดยความเจริญที่คนพัฒนาตนเอง หวังว่าพี่น้องสัตว์ร่วมโลกทั้งหลาย คงยินดีในโครงการนี้นะครับ ขอเชิญส่งตัวแทนมาอภิปรายได้แล้วครับ"
ท่านศาสตราจารย์พูดจบ เสียงปรบมือจากคนทั้งโลก ก็ดังขึ้นอย่างกึกก้อง สะเทือนสะท้านไปทั้งโลก แต่บรรดาสัตว์ทั้งหลาย ยังมีสีหน้าวิตกอยู่มาก เพราะเขาไม่รู้จะเลือกใครเป็นตัวแทนดี เขาคิดวิตกว่า สัตว์ที่ไร้การศึกษาอย่างพวกเรา จะมีใครพอที่จะไปโต้วาทะกับคนระดับศาสตราจารย์ได้.....
ในที่สุด ก็ลงมติเลือกเจ้าแมลงวันสูงอายุตัวหนึ่ง เป็นตัวแทน เพราะแมลงวัน แม้จะไม่มีปริญญาบัตร แต่มันเป็นสัตว์ที่มีโอกาสได้ซอกแซก บินไปคลุกคลีทุกหนทุกแห่ง ทั้งในวงการของสัตว์ และวงการของคน มีความรอบรู้ โดยมีประสบการณ์อย่างยอดเยี่ยมกว่าสัตว์อื่น!!!.....
เจ้าแมลงวันกราบคารวะประธาน และที่ประชุมอย่างถ่อมตัว แล้วจึงบินปร๋อขึ้นไปเกาะที่ไมโครโฟนเล็กอันหนึ่ง พลางกล่าวขึ้นว่า....
"พี่น้องที่เคารพรักทั้งหลาย....ข้าพเจ้าได้รับเกียรติจากสัตว์ทั้งโลก ให้มาอภิปรายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสัตว์ทั้งมวลและประโยชน์ของโลกด้วย!!!...
พวกเราสัตว์ทั้งหลาย ขอขอบคุณในเจตนาดีที่ศาสตราจารย์ แมน ได้เสนอโครงการที่จะช่วยพัฒนา
พวกเราให้เจริญเหมือนคน แต่โครงการนี้ พวกเราเห็นว่า....."
แมลงวันเว้นระยะนิดหนึ่ง ทั้งคนและสัตว์ ต่างจ้องตาเป๋งด้วยความสนใจ ที่ประชุมเงียบกริบ....แล้วแลงวัน ก็กล่าวต่ออย่างน่าฟังว่า...
"ความเจริญอย่างคนสมัยนี้ พวกเราไม่ต้องการ เพราะยิ่งเจริญยิ่งทุกข์ทรมาน!!!".....
ศาสตราจารย์-"ทุกข์ทรมานอย่างไร?"
แมลงวัน-"ตัวอย่างเช่น ความเจริญด้านเครื่องประดับ พวกเพชรพลอย แก้ว แหวน สร้อย ตุ้มหู เครื่องสำอาง ทรงผมแบบแปลกๆ ทรงเสื้อ ทรงกางเกง ทรงกระโปรงที่มีชุดเช้า ชุดสาย ชุดบ่าย ชุดเย็น ชุดวันเกิด ชุดแต่งงาน ชุดกลางคืน ทรงรองเท้า เนคไท ล้วนเป็นความเจริญที่ติดตามด้วยปัญหาทั้งสิ้น!!!...มันทำให้เกิดความลุ่มหลง หวงแหน และโอ้อวด ความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว....ความโอ้อวดเหล่านี้ มันทรมานใจ ทำให้เสียสุขภาพจิตได้ จะเห็นได้ว่า คนที่เจริญไปทางนี้ ต่างเสียเวลากับการส่องกระจก แต่งหน้าทาปากอวดกัน ดูหมิ่นผู้ที่มีน้อยกว่า ทั้งเป็นที่มาของคดีอาญาด้วย ต้องขัดแย้งกัน ถึงเข่นฆ่าทำลายล้างกัน ด้วยเรื่องที่ไม่จำเป็นแก่การยังชีพ นี้จะเห็นว่าพวกเรา เช่น มดดำ มดแดงทั้งหลาย แม้ไม่มีเพชรพลอย หรือเครื่องสำอาง เราก็อยู่ได้ เราไม่เคยต้องสร้างกฎหมาย สร้างศาล สร้างคุกขึ้นมา เพื่อเรื่องที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิตนี้เลย พวกเราจะถูกจับไปขังบ้าง ก็ไม่ใช่ความผิดเพราะคอรัปชั่น!! หรือปลอมเอกสาร ลักขโมย ปล้นจี้เนื่องด้วยเรื่องนี้ เราถูกคนจับไปกักขัง เพียงเพื่อสนองความสนุกทางอายตนะของคน ที่อ้างว่าตนเจริญแล้วเท่านั้น !!....เราจึงไม่ต้องการที่จะพัฒนาไปสู่ความเจริญที่ทรมานอย่างนั้น !! ขออยู่อย่างด้อยพัฒนาแบบนี้ สุขสบายดีแล้ว!!!...และด้วยความปรารถนาดีจากสัตว์ทั้งโลก ข้าพเจ้าว่า คนนั่นเอง ควรพัฒนาตามสัตว์บ้าง คือ เลิกหลงใหลเพชรพลอย และเครื่องสำอางกันเสียเถิด จะได้สบายใจกว่านี้ !!..จะได้ไม่ต้องเหนื่อยยากเพื่อแสวงหา หวงแหนสิ่งเหล่านี้ !!! อย่าฉลาดออกกฎหมาย และสร้างคุกตะรางขึ้นขังคนด้วยกันเองอีกเลย นี้จึงว่า ความเจริญที่ทุกข์ทรมาน พวกข้าพเจ้าไม่ต้องการความเจริญ!!!"
แมลงวันพูดจบ สัตว์ทั้งโลกก็สาธุการกึกก้องพร้อมกัน ศาสตราจารย์หน้าชาด้วยความละอาย.....
ศาสตราจารย์-"ตั้งแต่เกิดมา ข้าพเจ้าเพิ่งได้ยินเดี๋ยวนี้เองว่า เอาความเจริญมาให้แล้วไม่เอา ด้อยพัฒนาจริงๆ ไม่ชอบความทันสมัย ข้าพเจ้าอยากถามว่า ท่านไม่อยากได้เงินใช้หรือ?
แมลงวัน-"พวกเราไม่ต้องการให้สังคมของสัตว์ มีความรู้ในทางสมมติมาก เพราะสมมติมาก ก็ทุกข์ทรมานมาก อย่างเรื่องเงินเป็นต้น เป็นสิ่งที่สมมติขึ้น แล้วเวลาไม่มีเงิน ก็ทุกข์อย่างหนึ่ง เวลามีแล้วก็ทุกข์อีกอย่างหนึ่ง ทุกข์เรื่องกำไร ขาดทุน ลูกหนี้ เจ้าหนี้ ดอกเบี้ย ธนาคาร และโรงจำนำ เรื่องรวย เรื่องจน แต่พวกเราสัตว์ทั้งหลาย ไม่ทุกข์เรื่องนี้เลย เราจึงภูมืใจในความโง่ของพวกเรา อย่าพัฒนาให้เราฉลาดในเรื่องนี้เลย"
ศาสตราจารย์-"แปลกพิลึก มีแต่เขาอยากพัฒนาไปสู่ความฉลาด ทำไมพี่น้องทั้งหลายจึงยินดีในความโง่?".....
แมลงวัน-"เพราะความโง่ ทำให้พวกเรามีสันติสุข ความฉลาดเราก็ต้องการในบางกรณี แต่ในการฉลาดแล้วนำทุกข์มาให้ พวกเราไม่เอา!!!"
ศาสตราจารย์-"ฉลาดยังไงนำทุกข์มาให้??"
แมลงวัน-อ้าว...คิดไม่ออกอีกเหรอ เช่น ฉลาดในการสมมติการพนันขึ้นมาเล่นกันนะซี ชนะก็ใจฟูๆ แพ้ก็ใจแฟบๆ บางคนฆ่าตัวตายก็เพราะการพนัน ต้องสะดุ้งผวา เศร้าโศกก็เพราะการพนัน บางคนไปนั่งไหว้ตอไม้ ขอเลข นั่นก็เพราะฉลาดสมมติ ไม่ใช่หรือ? หรืออย่างความฉลาดในการบัญญัติกฎหมาย สร้างคุกตะรางขังคนด้วยกัน จับใส่คุกทรมานเฉพาะผู้ที่ต่ำต้อยน้อยพวก แต่เวลาผู้มีอำนาจผิดเอง มีแต่ให้อภัยเรื่อย พวกเราไม่ต้องการความฉลาดในเรื่องนี้ เพราะฉลาดเพื่อเอาเปรียบกัน ยิ่งฉลาดยิ่งทุกข์ทรมาน ไม่รู้เลยดีกว่า เพราะมันไม่วุ่นวาย"
ศาสตราจารย์-"พวกแกช่างด้อยพัฒนาจริงๆ พวกเราหวังดี อยากจะพัฒนาให้เจริญ ไม่ชอบเจริญ"
ท่านศาสตราจารย์ เผลอคำว่า"แก"ออกมาตามนิสัยป่าเถื่อนที่ชอบดูหมิ่นผู้ที่ตนคิดว่าด้อยกว่า.....
แมลงวัน-"คำว่าด้อยพัฒนา กับคำว่าพัฒนาแล้ว หรือที่เรียกว่าความเจริญ เราเอาอะไรมาเป็นเครื่องกำหนด ว่าถ้ามีสิ่งนี้แล้ว เป็นผู้เจริญ?"
ศาสตราจารย์-"ความเฉลียวฉลาด ทันสมัยซิ เป็นมาตรฐานของความเจริญ มีกินมีใช้ เรียกว่า เจริญ"
ท่านศาสตรจารย์เริ่มอารมณ์เสีย เพราะรู้สึกว่า แมลงวันมีเหตุผลเหนือตน ทั้งๆที่มันไม่ได้เรียนผ่านมหาวิทยาลัย.........
แมลงวัน-"แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมรับว่า ความเฉลียวฉลาดทั้งหมดเป็นความเจริญ ความเฉลียวฉลาดในทางวัฒนธรรมเท่านั้น เป็นความเจริญ แต่ความเฉลียวฉลาดในทางหายนธรรม เป็นความด้อยพัฒนา ความมีกินมีใช้เท่าที่จำเป็น เป็นวัฒนธรรม.......
แต่การมีกินมีใช้ เกินจำเป็น เป็นความด้อยพัฒนา เป็นความโง่!!!"......
ศาสตราจารย์-"เอ๊ะ !! มีกินมีใช้อย่างไรด้อยพัฒนา?"
แมลงวัน-"ก็เช่น คนรู้จักต้มกลั่นสุราขึ้นมากิน เพื่อประทุษร้ายสติปัญญาของตนเอง รู้จักนำฝิ่น กัญชา ยาเสพติดต่างๆมาสูบ ติดหมาก บุหรี่กันทั้งโลก ซึ่งสัตว์ทั้งหลาย ไม่ต้องการด้อยพัฒนาอย่างนั้น หรือเช่นพวกข้าพเจ้า ไม่ทุกข์เรื่องแหล่งเที่ยวเตร่ อยากดูหนัง ลิเก หรืออยากรำวง อาบอบนวด ดูฟลอร์โชว์ กินๆดื่มๆ สาดทิ้ง เททิ้ง สำมะเลเทเมาอย่างคน ตัวข้าพเจ้าเอง เคยเห็นพวกดาราหนังเศร้าโศกเพราะอยากมีเกียรติ มีชื่อเสียง และเคยเห็นคนบ้านนอก คนในกรุง ทุกข์เรื่องไม่มีเงินไปรำวง ไม่มีเงินไปดูหนัง แต่สัตว์สบายมากในเรื่องนี้ หรืออย่างการเฉลียวฉลาดในการสมมติเรื่องโชคชะตาราศี หรือการทำพิธีรีตอง ไหว้ผี ไหว้เทวดา ทำด้วยความขี้ขลาดตาขาวอย่างนั้น พวกเราไม่อยากฉลาดเลย ท่านจะเห็นว่าสัตว์ ไม่ต้องดูโชคชะตาราศี ไม่ต้องบวงสรวงภูตผี ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทอง ข้าวของในเรื่องนี้ คนเท่านั้นที่ฉลาดสมมติขึ้นมา แล้วก็กลัวสิ่งอันไม่มีตัวตนนี้ ฉลาดแบบนี้เรียกว่า ฉลาดด้อยพัฒนา"......
ศาตราจารย์-"แม้สัตว์จะเป็นอยู่อย่างง่ายๆ เป็นสุขตามธรรมชาติ ก็ยังเจริญสู้คนไม่ได้ เพราะสัตว์ไม่มีเกียรติ"
แมลงวัน-"เรื่องเกียรติ ก็เป็นเรื่องสมมติ มันไม่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตเลย อย่างพวกข้าพเจ้าทั้งหมด ไม่เคยเศร้าโศกเพราะอยากมีเกียรติ อยากมียศ ผิดกับคน ที่อยากมีเกียรติ เป็นวีรบุรุษ แล้วก็ก่อสงครามขึ้น ฆ่าคนด้วยกัน ฆ่าสัตว์นับร้อย นับหมื่น เพื่อเกียรติยศที่เป็นสิ่งสมมติ คนทุกข์ระทมเพราะเรื่องสอบได้สอบตก เรื่องปริญญา เรื่องชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ชั้นพิเศษ เรื่องแสวงหาตำแหน่งงาน และเสื่อมจากตำแหน่ง แต่สัตว์สบายใจมากในเรื่องสมมติเหล่านี้ คนยังด้อยพัฒนามากในเรื่องนี้ ควรดูแบบสัตว์บ้าง"
ศาสตราจารย์-"บ้ามาก!!พวกแกยังบ้ามากเหลือเกิน เห็นว่าเกียรติยศเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิต"
แมลงวัน-"ครับ พวกเราบ้าจริง แต่ไม่บ้ามากเหมือนคน"
มีเสียงปรบมือให้อย่างกึกก้องจากที่ประชุม ศาสตราจารย์หน้าแดงก่ำ ด้วยความอับอายขายหน้า ที่ถูกแมลงวันตอบอย่างชาญฉลาด แมลงวันได้โอกาส จึงพูดชี้ให้เห็นความด้อยพัฒนาของคนอีกว่า.....
"พวกคน ยังมีความด้อยพัฒนากว่าสัตว์ ตรงเรื่องพิธีรีตอง เช่น เวลาตายก็เศร้าโศกมากกว่าสัตว์ แล้วทำพิธีศพอย่างฟุ่มเฟือย การแต่งงาน บวชนาค ขึ้นบ้านใหม่ ผ้าป่า กฐิน งานเลี้ยงส่ง งานปาร์ตี้ งานบอลล์ งานอีกสารพัด ล้วนยุ่งยากเกินจำเป็น แต่สัตว์ เกิดก็สบายตามธรรมชาติ ตายก็ตามธรรมชาติ แต่งงานก็ตามธรรมชาติ คนเท่านั้นที่ฉลาดแบบความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ฉลาดมากทุกข์มาก!!!".....
ศาสตราจารย์-"ข้าพเจ้าว่า แม้สัตว์จะอ้างเหตุผลอย่างไร ก็เจริญสู้คนไม่ได้ เพราะสัตว์ไม่มีการศึกษา ไม่รู้หนังสือ"
แมลงวัน-"ข้าพเจ้ายอมรับในเรื่องนี้ ส่วนที่ไม่รู้หนังสือ อันเป็นลวดลายที่สมมติขึ้น แต่ด้านการศึกษา สัตว์ก็มีอยู่เหมือนกัน เช่น แม่สอนลูกให้หาอาหารกิน สอนให้หนีภัย แม่นกสอนให้ลูกนกให้บิน และแม้การทำรัง ทำรูอาศัย ตลอดจนการกินใบไม้ รากไม้เพื่อบำบัดโรค สัตว์มีการศึกษา สอนกันด้วยตัวอย่างดังนี้ เรียนรู้เฉพาะการดำรงชีพที่ง่ายๆตามธรรมชาติเท่านั้น"
ศาสตราจารย์-"การศึกษาระดับนั้น ยังไม่นับว่าเจริญ คนซิสามารถไปถึงดวงจันทร์ได้ เหาะเหินด้วยเครื่องยนต์ได้"
แมลงวัน-"การฉลาดมากอย่างนั้น เป็นฉลาดที่อันตราย เช่น ความฉลาดกินมาก ใช้มากของคนนั้น จะทำลายทรัพยากรธรรมชาติหมด อนาคตต่อไปจะขาดแคลนอาหาร ขาดแคลนแร่ธาตุต่างๆ ขาดแคลนป่าไม้ ขาดแคลนน้ำมัน โลกจะแห้งแล้งบ้าง น้ำท่วมบ้าง อดอาหารตายบ้าง เป็นโรคระบาดตายบ้าง อากาศเป็นพิษ น้ำเป็นพิษ ตายกันเป็นจำนวนมากๆ ตลอดจนการฉลาดในการสร้างปืน สร้างระเบิด รถถัง เรือรบ นี้เอง จะนำมหาภัยมาสู่โลก โลกต้องแตกเพราะคนฉลาดอย่างนี้ มันฉลาดมากจึงมีภัยมาก อย่าฉลาดดีกว่า ฉลาดเพียงการดำรงชีวิตง่ายๆแบบสัตว์ โลกจะพบสันติสุขมากกว่า ปลอดภัยมากกว่า"
เสียงปรบมือให้เกียรติแก่แมลงวัน ดังกึกก้องอีกครั้งหนึ่ง ท่านฤาษียกมือให้สัญญาณว่า หมดเวลาแล้ว ท่านได้กล่าวสรุปท้ายว่า......
ฤาษี-"เพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย......การประชุมวันนี้ขอยุติเพียงเท่านี้ หวังว่าพวกเราคงได้เห็นความจริงของสิ่งที่เรียกว่า ความเจริญ ว่าอะไรคือความเจริญที่แท้ ความเจริญที่แท้วัดด้วยสันติสุข สงบสุขทั้งตนเองและผู้อื่น อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข นี้เรียกว่า ความเจริญ
โลกทุกวันนี้ กำลังพัฒนาไปสู่ความหายนะ โลกเดือดร้อนด้วยภัยต่างๆนานา และจะต้องแตกทำลายในวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอน ลูกหลานของคนและสัตว์จะต้องสูญพันธุ์ไปหมด ดังนั้น ก่อนที่จะสายเกิน
ไป เราควรปิดการศึกษาด้านที่ทำให้คนมีความรู้ด้านผลิตอาวุธ และรู้จักการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยให้หมด เพราะมันเป็นการศึกษาที่เป็นภัยแก่ทุกชีวิต เลิกการศึกษาชนิดที่ทำให้คิดแต่ในทางที่จะเอาเปรียบเสีย แล้วขนระเบิด ขนปืน ขนกระสุนไปทิ้งทะเลเสีย เอายาพิษฝังทำลายเสียให้หมด
พวกสุรา ยาฝิ่น การพนัน และเครื่องสำอางค์ สิ่งฟุ่มเฟือยทั้งหลาย เอาไปทิ้งให้หมด ควรมีควรใช้ ควรให้การศึกษาเฉพาะอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และยานพาหนะอีกเล็กน้อยเท่านั้น หันกลับไปใช้ชีวิตเชิงง่ายเถิด เพื่อจะได้มีทรัพยากรไว้ให้แก่ลูกหลานของเราในกาลภายหน้า อย่าให้มันขาดแคลน.......
เรื่องโชคชะตาราศี เรื่องพิธีรีตอง ที่งมงายควรเลิกให้หมด นี้คือการพัฒนาขั้นแรกที่คนต้องตั้งจุดหมายแห่งการพัฒนาใหม่ ว่าพัฒนาเพื่อให้เกิดมนุษยธรรม ให้เกิดสันติสุขที่แท้อย่างนี้
ความเจริญของคนมีส่วนหนึ่งที่สัตว์ต้องพัฒนาตามคนคือ วัฒนธรรม เช่น สัตว์ไม่นับถือญาติ ไม่เคารพพ่อ แม่ พี่ น้อง ลูกไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ แต่คนรู้จักสัมมาคารวะ รู้จักกตัญญูกตเวที ข้อนี้เป็นความเจริญที่นำสันติสุขมาให้........
อีกอย่างหนึ่ง เช่น สัตว์เบียดเบียนกัน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก สัตว์ใหญ่รังแกสัตว์เล็ก แต่คนที่มีมนุษยธรรม เขาจะดำรงอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งพาอาศัยแก่ผู้อ่อนแอกว่า หาอาหารได้มาก ก็แบ่งปันให้เด็ก ให้คนชรา ให้คนป่วย ให้คนพิการ มีความรัก ความเสียสละ ความสามัคคี โอบอ้อมอารี ความซื่อตรงเหล่านี้ การพัฒนาในทางนี้ จะนำสันติสุขมาโดยแน่นอน.........
ทั้งการรู้จักให้อภัย การรู้จักรับผิดชอบ ความมีระเบียบวินัย มีใจผ่องแผ้ว สะอาดหมดจด ไร้กิเลสนี้ ล้วนเป็นความเจริญที่พัฒนาไปสู่ความสงบสุขที่แท้.........
ท่านทั้งหลาย อย่าคิดท้อแท้ว่า จะพัฒนาด้านมนุษยธรรม วัฒนธรรมนี้เป็นสิ่งยากเลย การพัฒนาแนวนี้ ถ้าเราเอาจริงเอาจัง ทุ่มเท คงไม่ต้องลงทุนลงแรงเท่ากับทำสงคราม เท่ากับการใช้เล่ห์ทางการค้า การโกงต่างๆ เงินทอง แรงงาน เวลาจำนวนมหาศาลที่เราใช้พัฒนาในทางฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ และทารุณ ทุกวันนี้ ถ้าเราใช้ไปในทางพัฒนามนุษยธรรม โลกคงสันติสุขมากกว่านี้
ท่านทั้งหลาย ธรรมและอธรรม จะมีผลเหมือนกันหามิได้ ถ้าเราดื้อพัฒนาไปอย่างที่ทำมาแล้วนี้ มหาภัยจะเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้น จึงมีทางเดียวที่เราจะต้องตั้งต้นใหม่ ต้องเปลี่ยนแปลงการศึกษา การพัฒนาใหม่ เพื่อช่วยให้โลกได้อยู่ต่อไปอีกนาน ลูกหลานของเราจะได้สืบต่อสกุลคนสัตว์ต่อไป เรามาสร้างนักบุญ แทนสร้างวีรบุรุษอาชญากรกันเถิด เราวางอาวุธกันเถิด จงกลับมาหาวัฒนธรรมเถิด ท่านทั้งหลาย....."
ทั้งคนและสัตว์ ต่างเปล่งสาธุการพร้อมกัน สาธุ สาธุ สาธุ !!!!.......