ผมประจักษ์เสมอเมื่อเสพงานกวีนิพนธ์ ตลอดจนงานศิลปะแขนงอื่นๆ ว่า ธรรมชาติเป็นผู้หยิบยื่นความงามสู่มนุษย์ ฉะนั้น ความผ่องผุดเพริศพรายซึ่งเจียระไนในอารมณ์ ก็แล้วล้วนบ่มจากธรรมชาติทั้งสิ้น ผมสังเกต (ด้วยตัวเองนะครับ) ว่า กวีหรือนักกลอนที่ท่านมีความผูกพันกับบรรยากาศประจำถิ่น หรือสิ่งแวดล้อมอันบริสุทธิ์ ท่านจะรจนาร้อยกรองได้งามงดชดช้อยย้อยหยาดพิลาสล้ำ ด้วยความดื่มด่ำจากหัวใจแท้จริงท่าน ผมนี่ถือว่ากรรมบันดาลจริงๆ ตาบอดเสียอย่างเดียว เป็นอันปิดทวารการเห็นเสียหมด ถึงได้รับรสธรรมชาติผ่านบทกวี ทว่ามิได้เห็นของจริง จึงไม่อาจวาดภาพในมโนสำนึกได้แจ่มแจ้ง กระทั่งเมื่อเขียนร้อยกรอง ท่านผู้อ่านจะพบว่า งานของผมเป็นภาพนิ่ง ขาดความผันพลิ้วลิ่วเลื่อนเคลื่อนไหวไร้นาฏลีลา นี่แหละครับคือทางตันและจุดอันตรายของผมหละ อีกประการหนึ่ง สังคมเมืองกั้นกักเราให้อยู่กับสำนักงาน อยู่กับตึกทึบๆ อยู่กับมลพิษ ยิ่งนานก็ยิ่งล้า ผมจึงมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนกผกผิน ตระเวนไปตามท้องถิ่นต่างๆ อยากไปนอนในไร่ ไปเที่ยวทุ่งนา ไปชมป่าเขาลำเนาธาร หลับไปท่ามกลางเสียงจักจั่นเรไร กลิ่นหอมของดอกไม้ ดวงดาวแม้จะอยู่ไกล หาก ก็ส่องแสงมาราวอยู่ใกล้เอื้อม รุ่งเช้า เสียงไก่ขันกระชั้นปลุก ชาวบ้านจับกลุ่มเดินเป็นหมู่ๆ ระฆังวัดขานหง่างเหง่งมากับสายลมชื่น โอ้ นี่คือยอดแห่งปรารถนาเลยครับ นอกจากนั้นแล้ว ผมยังปรารถนาจะไปอยู่กับชาวบ้าน เพื่อสัมผัสชีวิตชนบทจากชนบทจริงๆ ผมเชื่อว่า สามารถพบน้ำใจไมตรี ความซื่อใส ความบริสุทธิ์ ได้จากที่นั่น ที่ซึ่งสังคมเมืองยังไม่เข้าไปทำลายจนกลายสภาพ ผมมั่นใจครับ ว่า ณ ที่เหล่านั้น ผมจะรู้รสความขมขื่นของประชาชนผู้ถูกกระทำจากภาครัฐ ผู้ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม อันจะนำมาซึ่งการสร้างงานที่มีหลักฐานมั่นคงกว่านี้ นี่คือฝันครับ ฝันซึ่งไร้ทางเป็นไปได้ ในเมื่อผมยังอยู่เมือง ยังถูกขังคุก (คุกที่ศิวิไลซ์) น่าสงสารตัวเองเหลือเกิน ใครมีความฝันอย่างผมบ้างครับ หรือหากมีทางใดทำให้ฝันผมมีทางเป็นจริงได้ โปรดแลกเปลี่ยนความเห็นกับผมด้วยครับ จะเป็นพระคุณยิ่งครับ
29 พฤษภาคม 2549 16:39 น. - comment id 14439
ก๊อก ๆๆๆ เราเอง ..ผู้ซึ่งติดอยู่ในกรอบเมืองกรุง เวลาที่เราได้โจทย์จากคนสอน ให้เขียนถึงธรรมชาติ เรานึกไม่ออกว่าต้องเขียนอย่างไรดี นึกเท่าไร ก็นึกไม่ออก.. ได้แต่เปิดหนังสือดูภาพ ได้แต่ฟังเขาเล่าว่า จะว่าไปแล้ว เราตาดีก็จริง แต่เราคงตาดีกว่าคนตาบอดนิดหน่อย .. สองวันก่อน ช่วงอาหารมื้อค่ำ หัวใจของเราลิงโลด เพราะมีคนบอกว่าจะพาเราไปดูกระบวนเรือฯ เราเคยเขียนกาพย์เห่เรือ เขียนโดยมีตำรากองตั้งเบ้อเร่อ เขียนโดยนึกภาพตามคำบอกเล่า และตอนที่เขาถ่ายทอดสดออกทีวี เรารีบปั่นกาพย์ยานีของเรามือระวิง โชคยังดีที่คำบ่นของเรา เข้าหูคนใจดี เขาก็เลยจะช่วยสงเคราะห์พาไปดูให้เป็นบุญตา เอาน่า .. คุณมองไม่เห็น แต่ก็สามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง อย่างที่คนตาดีต้องทึ่ง อย่าน้อยใจในวาสนาเลย หัวใจของคุณไม่ได้มืดมิดซักกะหน่อย
29 พฤษภาคม 2549 17:16 น. - comment id 14440
ต้นชบากับคนตาบอด - เฉลียง คำร้อง ทำนอง - ประภาส ชลศรานนท์ เรียบเรียง - ทรงวุฒิ จรูญเรืองฤทธิ์ --------------------------------------- ผลิดอกงามแตกกิ่งใบ จับดวงใจแม้ใครบังเอิญได้เดินมองมา อาจจะพบเห็น เห็นด้วยตา ต้นชบาขึ้นในโรงเรียนสอนคนตาบอด ไม่อาจชมดอกชบา ด้วยดวงตาสองตามีกรรมโลกจึงมืดมน ไม่อาจพบเห็นเหมือนบางคน ว่าดอกผลนั้นมีสีสันรูปทรงอย่างไร * บอดก็เพียงสายตาเท่านั้น แต่จิตใจก็ยังผูกพันความงาม อาจจะรับรู้ไปตาม สูดกลิ่นงามฟังเสียงวิไลร่มไม้บังเงา ต่างก็เพียงผู้จะชม สิ่งที่ชมสำคัญในมันนั่นคืออันใด เหตุกับผลนั้นหรือว่าใจ ต้นชบาก็มีความหมายไปตามคนมอง ( ซ้ำ * ) สิ่งจะงามอยู่กับใจ บอดที่ใจเห็นไปอย่างไรไม่มีวันงาม โลกจะสวยนั้นสวยไปตาม จิตที่งามมองโลกสดใสไปในทางดี. ........ ฟังเพลงนี้ทีไร ... นึกถึงคุณด้วยความชื่นชมทุกที จิตใจคุณงดงามค่ะ ... ดิฉันตามอ่านงานของคุณเสมอ และด้วยความรู้สึกดีดี ที่คุณสามารถสร้างจังหวะทำนองได้ดีกว่างานของอีกหลายคน (รวมทั้งดิฉันเองด้วย) ได้เรียนรู้อะไรจากคุณมากเลยทีเดียว .... ไม่เป็นไรหรอกนะ ... คนทุกคนไม่เท่ากัน ดิฉันก็ไม่เท่าเทียมกับบางคนที่มีโอกาสดีกว่า และไม่เท่าเทียมกับหลายคนที่ด้อยโอกาสกว่า อยู่ที่เราเลือกพัฒนาสิ่งที่เรามีอยู่ให้ดีที่สุดค่ะ อ่านคอมเม้นท์ที่คุณตอบดิฉันในกระทู้ \"เห็นด้วยใจ\" แล้วนะคะ ... ดิฉันคิดถึงคุณตราชู จึงคิดจะเขียนอะไรให้คุณสักหน่อย แต่ก็กลัวใจคุณ เกรงว่าจะกลายเป็นการซ้ำเติม แท้ที่จริง .. ดิฉันชื่นชมคุณมากๆ ค่ะ : ) http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem89707.html ดิฉันอยากให้คุณมองในแง่งามของชีวิตนะคะ ... คุณมีโอกาสที่ได้สื่อสารกับคนอื่นด้วยความงดงามทางภาษา ในขณะที่หลายๆ คนไม่สามารถพัฒนาความสามารถในส่วนนี้ได้เฉกเช่นคุณ ขอเป็นกำลังใจค่ะ : )
29 พฤษภาคม 2549 17:18 น. - comment id 14441
ไปฟังเพลงที่นี่นะคะ : ) http://www.hot975radio.com/station/play.php?track_ID=895 สิ่งสำคัญนั้นเห็นได้ด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยตา (เจ้าชายน้อย)
30 พฤษภาคม 2549 08:02 น. - comment id 14442
ขอบพระคุณเพื่อนๆทุกท่านครับ เอาหละ ผมตัดสินใจได้แล้วครับ เมื่อผมยังอยู่เมือง ก็จะสะท้อนสังคมเมืองตามมุมมองของตนให้ดีที่สุดก็แล้วกันครับ
1 มิถุนายน 2549 22:25 น. - comment id 14454
สังคมเมือง กับชนบท ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เลย นะครับ ก็ไม่ขอแลกเปลี่ยนตรงนี้ละกัน ส่วนเรื่อง บทร้อยกรองนะครับ ผมเคยแต่งกลอนห้อง ให้เพื่อนต่างห้อง (และต่างจังหวัด) ในห้องนั้นผมรู้จักไม่กี่คน แต่เค้าขอให้ผมแต่ง แล้วก็อธิบายลักษณะ บุคลิกภาพ นิสัย ของแต่ละคนมาอย่างละเอียด (แต่บางคนก็บอกไม่ค่อยได้ แบบว่าธรรมดามากๆ) ถึงเวลาแต่ง ผมก็แต่งได้นะครับ ใช้ความพยายามสูงกว่าปกติ บวกกับ จินตนาการ แล้วเพื่อนเค้าก็ชอบ ความผูกพันกับบรรยากาศประจำถิ่น หรือสิ่งแวดล้อมอันบริสุทธิ์ นี้ คุณพี่ตราชู ต้องมีอยู่แล้ว เพียงแต่มองไม่เห็นเท่านั้นเอง สามารถใช้ \"จินตนาการ\" ได้ครับ เป็นหนทางอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้บทกวีออกมาดีขึ้น ผมคิดว่า คุณพี่ต้องทำได้อยู่แล้ว เรื่องภาพสะท้อนสังคมเมือง หรือชนบท ถ้าหากให้แต่ง ผมคิดว่าน่าจะแต่งได้ อาจจะเกี่ยวกับหลักฐานบ้าง แต่คงไม่ถึงขนาดที่ว่า ทำเอาจนตรอกกระมัง ผมให้กำลังใจคุณพี่ตราชู เสมอนะครับ ยกย่องมากๆ ปล. ผมเข้าไปอ่านบทกวีของพี่ในเว็ปพี่แล้วนะครับ อ่านเกือบทุกเรื่องแล้ว ตอนนี้กำลังฝึกฝนอยู่ แต่ติดแค่เรียนเท่านั้นแหละ ก็เลยไม่มีเวลามากนัก แต่บอกไว้ก่อนนะครับ ผมจะติดตามงานของพี่ตราชูเสมอ สู้ๆ