การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ๑๓ ต่อ ๒ เสียง เห็นด้วยว่าการที่หญิงที่แต่งงานแล้วต้องใช้นามสกุลของฝ่ายชายเป็นการขัดกันกับสิทธิพื้นฐานในรัฐธรรมนูญว่าด้วยการมีสิทธิเท่าเทียมกันของหญิงและชาย ให้หญิงที่แต่งงานแล้ว (จดทะเบียนสมรส) มีสิทธิ์เลือกใช้นามสกุลเดิมหรือนามสกุลของสามีก็ได้ อีกทั้งบุตรที่เกิดมาก็สามารถเลือกใช้นามสกุลของพ่อหรือแม่ก็ได้ ........................................... ยังครับ.. คุณผู้หญิงทั้งหลายอย่าเพิ่งแสดงความดีอกดีใจจนเกินเลย เพราะคำวินิจฉัยอันสร้างประวัติศาสตร์ให้กับสังคมครอบครัวนี้ ยังอาจนำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวที่ไม่ควรจะต้องเกิดขึ้นได้ ๑) ความแตกแยกในการใช้นามสกุล ฝ่ายชายที่ยังคงเห็นแก่ตัวยังมีอีกมากย่อมไม่อยากให้ภรรยาของตนหรือลูกใช้นามสกุลอื่นที่ตัวเองเป็นผู้สืบสกุล จะทำอย่างไรหากมีข้อขัดแย้งที่ฝ่ายหนึ่งไม่ยอม ๒) เป็นการโยนปัญหาทางเลือกไปยังเด็กที่เกิดมาโดยไม่จำเป็น เลือกนามสกุลอะไรดี..อาจเลยเถิดถึงขั้น รักใครมากกว่ากัน ก็เลือกนามสกุลนั้น ๓) ผมไม่แน่ใจว่า ภรรยาและเด็ก สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างสองนามสกุลได้หรือไม่ ถ้าได้เป็นเรื่องยุ่งแน่นอนครับ แต่หากไม่ได้ก็ยุ่งอีกเหมือนกัน ในกรณีที่ตอนหลังพ่อแม่แยกกันอยู่ และเด็กต้องอยู่กับฝ่ายที่ไม่ใช่เจ้าของนามสกุล หากเปลี่ยนกลับไปมาได้ ก็ยังมีปัญหาเรื่องนิติกรรมทางกฎหมายที่ต้องระบุชื่อ-สกุลให้ถูกต้อง รวมถึงกรณีของมรดกตกทอดที่ได้จากพ่อ-แม่ หรือ ปู่-ย่า ตา-ยาย ที่เป็นของฝ่ายชายและหญิง ๔) อาจมีปัญหาเรื่องความเป็นเอกภาพของครอบครัว ต่อไปอาจมีกรณีที่พี่น้องร่วมสายโลหิตต้องใช้สองนามสกุล ๕) ผมทำนายไว้ก่อนเลยว่า ปัญหาการหย่าร้างจะสูงขึ้น เพราะความไม่รู้สึกผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งในอดีตประเพณีของทั้งไทย - จีน เคยสอนลูกหลานว่า..แต่งงานแล้วก็เสมือนหนึ่งเป็นคนเดียวกัน นั่นเป็นจิตวิทยาที่คนโบราณสอนให้รักใคร่เป็นหนึ่งเดียวไม่อาจพรากได้ จึงให้ใช้นามสกุลเดียวกันด้วย แต่ต่อไปนี้ในแง่จิตวิทยาเหมือนกัน ผู้หญิงจะรู้สึกว่า ตัวเองมีอิสระที่จะไม่ผูกมัดด้วย และชายเองก็จะรู้สึกว่า ตนเองเป็นโสด ความยับยั้งชั่งใจของฝ่ายหญิงเวลามีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งที่ว่า แต่งให้เขาแล้ว ใช้นามสกุลของเขา เป็นของเขา จะน้อยลงไปคำวินิจฉัยประวัติศาสตร์อันนี้ได้ยุติปัญหาเรื่องสิทธิเสรีภาพของสตรีในเรื่องของการถูกริบนามสกุลอย่างไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นมาช้านานแล้ว แต่ ก็กำลังเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาใหม่ที่สังคมไทยยังไม่เคยประสบ ยังไง ๆ ก็ขอแสดงความยินดีกับผู้หญิงไทยทุกคนครับ สิทธิเสรีภาพที่ได้รับในกรณีนี้ ขอให้ใช้ด้วยวิจารณญาณของความพอดี พอเหมาะ โดยคำนึงถึงสถานภาพของครอบครัวด้วยนะครับ ด้วยความปรารถนาดี จากคุณ : *bonny โดยส่วนตัวเห็นดีด้วยกับทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก้อแล้วแต่ ผมให้สิทธิผู้หญิงมากด้วย ให้เกียรติมากด้วย รักมากด้วย แต่ความรู้สึกที่จะตามใจฝ่ายหญิงนั้นกลับมลายหายไป เพราะเมื่อคืน เมื่อคืนผมดูรายการถึงลูกถึงคน เห็นนางระเบียบรัตน์ ออกรายการแล้วรู้สึกน่ารักจังเลย เถียงข้างๆคูๆ จะเอาแต่ชนะ แต่ไม่คำนึงถึงผลทางสังคม ศาลรัฐธรรมนูญก็บ๊องตื้นจังเลย เหตุผลเป็นสิ่งที่ขุดค้นหาได้ไม่รู้จบ แต่การออกกฏหมายต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคม ทั้งประเทศ เขียนแล้วยังนึกถึงภาพนางระเบียบรัตน์ที่ตะบันจะเอาชนะจนหู ตา ปาก จมูก ขมิบๆ ด้วยอารมณ์ตอนที่ออกทีวีเมื่อคืน แล้วยังจะให้มีคำนำหน้าผู้ชายอีกต่างหาก เช่น นาง (ห.) ระเบียบรัตน์ พวงพานิช เป็นภรรยานาย (ค.)เสริมศักดิ์ พวงพานิช สามี ให้ตายเถอะ คุณระเบียบรัตน์ครับ ผมรักคุณ สาธุ.........ใครเปลี่ยนมาใช้นามสกุลเดิมขอให้มีอันเป็นม่าย แต่จะแต่งหรือไม่แต่งยังงัยก้อขอให้เป็นคนดีของสังคมก้อแล้วกันครับ สำหรับผม หากมีใครคนนั้นที่จะมาแต่งงานกับผม ถ้าไม่เปลี่ยนนามสกุลมาใช้ของผม ไม่แต่ง!!!!!!!! หวังว่าผมจะอยู่คนเดียวตลอดไปดีกว่า
9 มิถุนายน 2546 16:28 น. - comment id 6228
อยากรู้จังเลย ถ้าแต่เดิมเริ่มต้นมีกฎหมายให้คนแต่งงานใช้นามกสุลฝ่ายหญิงไม่ใช่ฝ่ายชาย มาถึงวันนี้จะมีใครออกมาตั้งกระทู้แบบนี้ไหมนะ สาธุ.........ใครเปลี่ยนมาใช้นามสกุลเดิมขอให้มีอันเป็นม่าย คุณคิดก่อนเขียนประโยคนี้หรือยังคะ
12 มิถุนายน 2546 21:45 น. - comment id 6235
จริง ๆ แล้ว ผม ไม่ได้หมายความอย่างที่เขียนให้กระทบ ญ ทุกคน ผมพยามหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปประทบกับ นาง ร. นั่น เพราะมีความรังเกลียดเป็นส่วนตัว หากกระทบใครหรอกเห็นว่าผมชั่วร้าย ก้อขออภัยด้วยครับ