30 พฤศจิกายน 2552 15:34 น.
บพิตร
ลมเหมันต์สายหมอกดอกบัวตอง
ดั่งทุ่งทองทาบทับกับดอยสูง
หยาดน้ำค้างเกาะใบไม้ยางยูง
วนว่อนฝูงภู่ผึ้งคลึงเคล้าคลอ
เมืองสามหมอกหมอกม่านผสานสาย
ทุ่งบัวตองพริ้งพรายสายลมล้อ
กระเพื่อมผืนอร่ามเหลืองเรืองลออ
นกน้อยบินชมช่อเกาะกิ่งใบ
แว่วเสียงร้องขับขานประสานเสียง
ดั่งสำเนียงเพลงสวรรค์อันสดใส
เหล่าผีเสื้อหลากสีคลี่ปีกไกว
โบกไสวสลอนสลับกับทุ่งทอง
โค้งขุนเขาแลลับขับขอบฟ้า
หมู่เมฆาขุ่นขาวราวฟ้าผ่อง
มวลแมกไม้เขียวชอุ่มชุ่มชวนมอง
ทุ่งบัวตองคือภาพฝันอันรื่นรมย์.
๓๐/๑๑/๕๒
27 พฤศจิกายน 2552 11:30 น.
บพิตร
จากต้นกล้าหว่านดำย่ำโคลนตม
ฝนพร่างพรมลมพัดหยัดยืนสู้
สายน้ำหลากไหลหลั่งแรงพรั่งพรู
หยั่งรากรู้ลมร้อนจะรุกราน
เลี้ยงลำต้นรุมรัดเป็นรวงรัง
ปล้องใบบังห่อหุ้มอุ้มประสาน
ดั่งท้องสาวขาวขุ่นอุ่นดวงมาลย์
ค่อยเบ่งบานเป็นรวงเรียวเขียวขจี
ยามเหมันต์พัดพราวหนาวมาเยือน
วสันต์เคลื่อนรวงข้าวเจ้าเปลี่ยนสี
เป็นรวงทองอร่ามเหลืองเรืองรุจี
แสงระวีอุ่นอบประคบรวง
รอคมเคียวเกี่ยวเก็บกับกองลาน
เสียงสะท้านแรงนวดอันหนักหน่วง
เป็นเม็ดข้าวหอมกรุ่นอุ่นในทรวง
ความโชติช่วงวิถีชนคนชาวนา
รับขวัญข้าวเผื่อแผ่แม่โพสพ
ด้วยนอบนบพระคุณอบอุ่นหล้า
ได้กินอิ่มนอนอุ่นด้วยบุญญา
พระแม่พาโอบอุ้มชุ่มชื่นใจ
๒๗/๑๑/๕๒
20 พฤศจิกายน 2552 15:08 น.
บพิตร
ผิวแผ่วพลิ้วบรรเลงเพลงลมหนาว
น้ำค้างพราวโอบกอดยอดใบหญ้า
ภุมรินขยับปีกระริกตา
สกุณาขับขานหวานเพลงไพร
ม่านหมอกขาวราวป่าดูพร่าพราง
เนินทุ่งกว้างบุปผาร่าเริงไหว
ล้อเล่นลมอ่อนโยนโอนแกว่งไกว
น้ำค้างใสเลื่อมลิบระยิบพราว
เหล่าผีเสื้อเวียนวนบนกลีบสวย
ลมระรวยขยับปีกหลีกลมหนาว
กระพือพับหลากสีดั่งคลี่ดาว
แลอะคร้าวราววิมานสราญใจ
อรุณรุ่งแสงแรกแทรกม่านหมอก
ดังสอดซอกสาดสีที่สดใส
กระทบหยาดน้ำค้างที่พร่างใบ
แลไสวดั่งเพชรกราวพราวผืนดิน.
19 พฤศจิกายน 2552 08:36 น.
บพิตร
ประกาศใครชัยชนะ
เหนือขยะและกองดิน
สายเลือดที่หลั่งริน
ยังบังอาจประกาศชัย
เสียงเพลงที่ครวญคราง
อยู่ท่ามกลางน้ำตาใคร
ปลุกเร้าให้เข้าใจ
ทางสองแพร่งแห่งวังวน
เรียกร้องความเป็นหนึ่ง
เสียงอื้ออึงแห่งผู้คน
ทิศทางยังสับสน
ไม่รู้ใครให้ความจริง
คนเก่งและคนดี
ที่หมายมีหวังพึ่งพิง
เพียบพร้อมทั้งสองสิ่ง
ยังมีไหมในสังคม
คนดีใยหลบหน้า
คนปากกล้าท้าขย่ม
คนเก่งซ่อนใต้พรม
ถูกเหยียบย่ำอำนาจมาร
ซากศพกับน้ำตา
จะเริงร่าร้องขับขาน
อัปยศจะเบิกบาน
คราวสิ้นชาติขาดแผ่นดิน.
๑๙/๑๑/๕๒
18 พฤศจิกายน 2552 15:35 น.
บพิตร
ฝนดาวตกร่วงพราวจากราวฟ้า
ดวงดาราถึงคราวเจ้าร่วงหล่น
ไกลสุดเอื้อมสายตาฟ้าเบื้องบน
หาหลุดพ้นสัจธรรมที่นำทาง
ถิ่นไกลโพ้นจักรวาลผ่านปีแสง
มิรู้แหล่งก่อเกิดกำเนิดร่าง
วงโคจรผ่านวิถีที่จัดวาง
ความเวิ้งว้างมืดมิดนิจนิรันดร์
ความเปลี่ยนแปลงกาลเวลาพาทุกสิ่ง
สู่ความจริงเป็นไปใช่เพ้อฝัน
แม้ดวงดาวพราวแสงแข่งตะวัน
ก็มีอันหล่นร่วง ณ ห้วงกาล
แสงวาบวาวพราวพรายก่อนหายวับ
แล้วมืดดับดวงไปไร้สัณฐาน
เสียงชื่นชมงามนักจักใดปาน
คำกล่าวขานลืมเลือนวันเคลื่อนลา
หมู่ดวงดาวมิแตกต่างทางชีวิต
มิอาจติดเด่นดังอยู่ค้างฟ้า
วันนี้อาจสาดแสงแข่งจันทรา
วันข้างหน้าต้องดับแน่แท้ทุกดวง
ก่อนสูญดับลับไปใต้โลกหล้า
มีแสงจ้าแสงใดให้คนห่วง
คุณความดีคือแสงงามอร่ามทรวง
จักโชติช่วงประดับไว้ในใจคน.