ทศกัณฐ์ ๔.๐&ไทยแลนด์..."
บัดนั้น ทศกัณฐ์จอมยักษา เบื่อหน่ายเรื่องยุ่งกรุงลงกา จึงหนีมาเที่ยวไกลถิ่นไทยแลนด์ เสียงเล่าขานลือนามว่างามนัก ขอมาพักผ่อนให้สุขใจแสน พาทหารท่องไปทั่วดินแดน เมืองไทยแลนด์ยุคนี้สี่จุดศูนย์ เดินชายหาดวิ่งว่าวควบขี่ม้า บานาน่าโต้ลมแรงแสงแดดอุ่น ขับตุ๊กตุ๊กปั่นรถถีบนั่งบอลลูน ขอเพิ่มพูนประสบการณ์ผ่านโกคาร์ท นั่งเรื่อชมลำคลองส่องวิถี จรลีล่องไปใสสะอาด โหนสลิงท้าทายความสามารถ เดินตลาดทำขนมชมอาราม ปีนหน้าผาเบิ่งทะเลเร่ชมเมือง สมคำเลื่องลือไปไกลโลกสาม ทุกหนแห่งเมืองนี้มีความงาม แดนสยามชวนใหลหลงกว่าลงกา ยินเสียงแว่วกล่าวหาว่าจ้าวยักษ์ ทำเสียหลักศักดิ์ศรีมิรักษา ระเริงเล่นเสียจริตจอมฤทธา หมดคุณค่าอสุรีที่ทรงฤทธิ์ เหวยเหวย!ใครกล่าวหาตัวข้าฯนี้ ข้าฯขอชี้แจงว่าข้าฯมีสิทธิ์ ผ่านสงครามรบราข้าฯพิชิต เรื่องน้อยนิดแค่นี้มิพอมือ เชิญเที่ยวไทยไปลองต้องห้ามพลาด ไม่เคยขาดของดีที่เชื่อถือ วัฒนธรรมฟูเฟื่องคนเลื่องลือ อย่าซื่อบื้อกล่าวหาข้าฯรู้ดี!
เวลาหมดกฎเกณฑ์เป็นต้องถอด
คิดจะกอดแน่นไว้อย่าได้หมาย
ถึงร้องขอเหนี่ยวรั้งทั้งโวยวาย
ฉากสุดท้ายจบลงคงต้องลา เคยโลดแล่นแสนเพลินทั้งเดินนั่ง ออกคำสั่งฝูงลิงวิ่งเข้าหา เหล่าชะนีมุ่งหมายชายหางตา แม้แต่หมายังดมกลิ่นแลบลิ้นเลีย นกน้อยน้อยร้องเพลงอยู่เซ็งแซ่ ชายตาแลว่าชอบใจไหมเล่าเนี่ย? เตรียมน้ำท่าเผื่อกระหายคลายอ่อนเพลีย หูคอยเงี่ยรอรับฟังคำสั่งความ หมดเวลาเลิกโรงลงเวที ยกมือชี้ทางใดไร้เกรงขาม ต่างหลบซ่อนเลี่ยงไกลไม่ติดตาม แม้ไถ่ถามไม่รู้หูทวนลม ถอดหัวโขนรู้ความจริงสิ่งสมมุติ หัวโขนฉุดดวงวิญญาพาขื่นขม หลงหัวโขนหม่นหมองต้องตรอมตรม ปล่อยอารมณ์ตามหัวโขนโดนครอบงำ ตามบทบาทที่แท้แค่หัวโขน เมื่อจับโยนถอดวางช่างน่าขำ หากลุ่มหลงแสงสีหนีทางธรรม จะเจ็บช้ำเมื่อสิ้นบท...หมดเวลา!
มิอาจฝันก้าวถึงซึ่งฟากฟ้าเพียงจดจำเวลา ณ ผืนดินมือกับมือใจกับใจได้ยลยินความห่วงหาความถวิลความอาทรสุดสายตาฟ้ากว้างทางคงไกลกับกรุ่นกลิ่นดินใกล้ได้อุ่นร้อนความเยือกเย็นเหน็บหนาวหรือร้าวรอนดินสะท้อนความจริงยิ่งกว่าดาวเวิ้งฟ้ากว้างห่างไกลเกินไขว่คว้าคงเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าสุดสอยสาวขอซบดินกลิ่นน้ำค้างที่พร่างพราวยามเจ็บร้างขอดินรองร่องน้ำตาดาวกับดินแสนห่างอย่างสองเราแต่ความเหงาเหนี่ยวรั้งทั้งดินฟ้าความผูกพันคิดถึงฉุดดึงมาโน้มเหนี่ยวฟ้าเคียงอยู่คู่ผืนดิน.
ดนตรีกาลกล่อมหล้าหฤหรรษ์
แม้คืนวันเปลี่ยวเหงาเศร้าดวงจิต
เสียงดนตรีบรรเลงเพลงชีวิต
ดั่งลิขิตแห่งฟ้ามาประโคม
บทเพลงรักหวานฉ่ำล้ำและลึก
ชวนตรองตรึกถึงเธอผู้เลอโฉม
ยามผิดหวังเพลงลามาประโลม
ดนตรีโน้มเหนี่ยวหน่วงห้วงน้ำตา
ศิลปะเปล่งแสงแรงแห่งฝัน
ดวงจิตมั่นแต้มแต่งแสวงหา
มโนนึกผ่านศิลป์จินตนา
ไขว่และคว้าด้วยใจไร้พรมแดน
ศิลปะประตูสู่โลกกว้าง
บนเส้นทางยาวไกลไกลสุดแสน
ภาพความฝันความจริงสิ่งทดแทน
ความยากแค้นสุขเศร้าคละเคล้ากัน
อิสรภาพเบ่งบานในงานศิลป์
สุดแต่จินตนาการผ่านสีสัน
ไร้ขอบเขตความคิดมากีดกัน
สร้างภาพฝันเสรีภาพอาบภิรมย์
กับความรักความงามค่ำคืนนี้
กับความดีความสุขที่สั่งสม
กับความหนาวสายหมอกหยอกสายลม
กับน้ำค้างพร่างพรมสุขสมจินต์.
@ บนเส้นทางแห่งห้วง อารมณ์
รอยแบ่งแยกสังคม แผ่กว้าง
ความคิดบ่เกลียวกลม เห็นต่าง กันนา
ยึดมั่นคนละข้าง ต่างด้วยเหตุผล
@ เกมกลการแย่งยื้อ อำนาจ
เคียงคู่ประวัติศาสตร์ ทั่วหล้า
ผู้นำมุ่งผูกขาด สานต่อ กันเฮย
บางกลุ่มดังคนบ้า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
@ ขายฝันหลอกล่อให้ เห็นงาม
มวลหมู่ชนหลงตาม เชื่อถ้อย
ความจริงสิ่งเลวทราม แอบซ่อน ไว้นา
เผยแผ่ภาพเรียงร้อย สิ่งล้วนแสนงาม
@ ยามความจริงล่วงรู้ ตามทัน
พลังแห่งชนอนันต์ เอ่อล้น
เสียงขับไล่โจษจัน อึงมี่
สาปส่งไปให้พ้น เช่นนี้การเมือง
@ ขัดเคืองคนเหล่าผู้ เห็นดี
แหนแห่กันโจมตี ฝ่ายต้าน
จนสองฝ่ายราวี ถึงเข่น ฆ่าเอย
เลือดหลั่งทรวงสะท้าน พ่ายแพ้ทุกคน.