2 กันยายน 2548 09:40 น.
บพิตร
@ นกเอยเจ้านกไพร
จากบ้านไร่จากรวงรัง
ไออุ่นอกแม่ยัง
ฝังกายอยู่มิรู้คลาย
@ ไออุ่นจากอกแม่
อบอุ่นแท้แม้เดียวดาย
ดุจแสงสุรีย์ฉาย
ไล่หมอกหนาวคราวเหมันต์
@ นกเอยเจ้าโบยบิน
ไม่ยลยินเสียงรำพัน
เพื่อนพ้องผู้โศกศัลย์
พลันจากทุ่งมุ่งหนใด
@ เหินหาวกลางเวหา
ไม่รู้ว่าใกล้หรือไกล
เห็นเพียงแสงรำไร
ไยความหวังยังเรืองรอง
@ นกเอยเจ้านกป่า
จากบ้านนาคราหม่นหมอง
ปลายฟ้าฉาบสีทอง
ผ่องอำไพไกลลิบตา
@ คือแสงแห่งความหวัง
ปลุกพลังแห่งชีวา
คือแสงแห่งศรัทธา
พาสร่างโศกโลกเรืองไร
@ นกเอยเจ้านกน้อย
ยังอ่อนด้อยต่อโลกใหญ่
เคยอยู่แต่พงไพร
ไร้เดียงสาน่าเอ็นดู
@ ร้อนหนาวโหมกระหน่ำ
พายุซ้ำฝนพรั่งพรู
สิ้นแรงสิ้นเสียงกู่
ลู่ถลาร่วงลงดิน
@ นกน้อยน่าสงสาร
ใครเรียกขานไม่ยลยิน
หายใจระรวยริน
สิ้นความหวังหลั่งน้ำตา
@ เฮือกหนึ่งใต้สำนึก
ให้รำลึกถึงมารดา
สิ้นหวังแล้วแม่จ๋า
ไว้ชาติหน้าค่อยพบกัน.
1 กันยายน 2548 14:02 น.
บพิตร
จิ้งจกทักท่านให้ รับฟัง
คำพร่ำสอนก่อนยัง เชื่อได้
ถึงเป็นใหญ่อาจพัง อกแผ่
คนด่าควรฟังไว้ เปรียบได้เสียงครู
เสียงใดใครทักท้วง
คงด้วยห่วงและเอ็นดู
เปรียบได้ดั่งเสียงครู
พร่ำเตือนศิษย์คิดให้ดี
ศิษย์ดื้อว่าครูด่า
ไม่รู้ค่าแห่งไมตรี
โยนทิ้งความปราณี
ดื้อตาใสไม่ยำเกรง
ทีฟังคำเยินยอ
คำสอพลอกลับครื้นเครง
แฉกลิ้นฟังเป็นเพลง
หลงคารมจมน้ำลาย
มัวหลงคงสำลัก
ขึ้นจากปลักก่อนจะสาย
ความจริงย่อมไม่ตาย
ทนเสียงด่าน่ารับฟัง
ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่
ด่าอาจดีอยู่เบื้องหลัง
เปลี่ยนให้เป็นพลัง
ดีกว่าชมขมข้างใน.
1 กันยายน 2548 09:33 น.
บพิตร
โอ้คุณครูในมือถือเพียงชอล์ก
ปากพร่ำบอกสอนสั่งอย่าฉาดฉาน
สอนศิษย์ให้ได้มีวิชาการ
มุ่งทำงานเป็นครูผู้อารี
มัจจุราชยืนมองจ้องเขม็ง
ยกปืนเล็งตรงร่างอย่างภูตผี
กระหายเลือดอสูรร้ายไม่ใยดี
ครูผู้มีแต่ให้ไร้มลทิน
เสียงปืนร้ายแผดร้องก้องสนั่น
ร่างครูพลันล้มกองต้องด่าวดิ้น
เลือดสีแดงไหลนองกองกลางดิน
ตายเฝ้าถิ่นแดนใต้ถิ่นไทยงาม
ครูคือครูผู้ให้ใช่นักรบ
กลายเป็นศพฝังดินถิ่นสยาม
เด็กร่ำไห้เสียงก้องร้องประณาม
คนเลวทรามชั่วช้าน่าละอาย
ครูทำผิดสิ่งใดใคร่รู้นัก
ที่ประจักษ์คือนำทางสร้างความหมาย
ให้ความรู้สอนสั่งทั้งหญิงชาย
เหล่าผีร้ายมาฆ่าครูหนูทำไม?
เห็นแท่งชอล์กกับกระดานที่ว่างเปล่า
ฝุ่นชอล์กขาวบางพร่าน้ำตาไหล
หยิบแท่งชอล์กเขียนฝากจากหัวใจ
ขอได้ไหม? ขอครูหนูคืนมา
24 สิงหาคม 2548 09:10 น.
บพิตร
บุตร ธิดา ต้องดูแล พ่อ แม่ ท่าน
ช่วยการงานผ่อนแรงแบ่งหน้าที่
รักชื่อเสียงวงศ์สกุลคุณความดี
สิ้นชีวีทำบุญให้ถวายทาน
เป็น พ่อ แม่ ดูแล บุตรธิดา
ให้ศึกษาเล่าเรียนให้เขียนอ่าน
ห้ามมิให้ทำชั่วกลัวหมู่พาล
เมื่อถึงกาลมอบทรัพย์ให้ไว้เป็นทุน
เป็นลูกศิษย์ให้ยกย่อง ครู อาจารย์
มีงานการสิ่งใดให้เกื้อหนุน
ตั้งใจเรียนมีสำนึกในบุญคุณ
ไม่ว้าวุ่นเชื่อฟังคำนำชีวี
เป็นคุณครูสอนสั่งอย่างตั้งจิต
ไม่เบือนบิดหวงวิชาน่าบัดสี
บอก คุณ โทษ วิทยาประดามี
ศิษย์ทำดีก็ยกย่องให้ก้องนาม
เป็น สามี ภรรยา อย่าดูหมิ่น
มั่นในจินต์รักใคร่ไม่เหยียดหยาม
การประพฤตินอกใจไม่ดีงาม
คนประณามดูแคลนทั้งแผ่นดิน
มิตรสหายให้ช่วยเหลือเมื่อตกยาก
คำจากปากตรงกับใจไม่เล่นลิ้น
เมื่อมีภัยให้พักพิงพึ่งชีวิน
แบ่งกันกินถึงมีน้อยคอยห่วงใย
เป็นลูกน้องมาทำงานก่อนเจ้านาย
อย่ามาสายพึงระวังฝังใจไว้
เลิกที่หลังงานเรียบร้อยแล้วค่อยไป
ของท่านให้จึงเอาค่อยเข้าการ
เป็นเจ้านายใช้ลูกน้องต้องเหมาะสม
อย่าให้ตรมเพราะหนักไปให้สงสาร
ยามเจ็บป่วยช่วยรักษาพยาบาล
ให้อาหารให้ค่าจ้างอย่างชอบธรรม
ศาสนิกนับถือศาสนา
มีวาจาและจิตใจสุกใสล้ำ
เชื่อคำสอนตามหลักจากผู้นำ
ประพฤติธรรมตามกรอบมอบด้วยใจ
ทุกคนทำตามหน้าที่มีเหตุผล
เราทุกคนต้องยึดมั่นอย่าหวั่นไหว
สังคมดีเพราะคนดีที่สร้างไทย
หน้าที่ใครทำให้ดีศรีสังคม
23 สิงหาคม 2548 08:44 น.
บพิตร
โอ้! มนุษย์ เหตุไฉน ใจร้ายนัก
ปากว่ารัก ทะเลงาม รักน้ำใส
รักชายหาด ปะการัง ดั่งฤทัย
แล้วทำไม ไม่รักษา มารุกราน
ปฏิกูล เน่าเหม็น เข็นลงน้ำ
จนขุ่นดำ พร่ามัว ทั่วสถาน
หมู่มนุษย์ เอาแต่ได้ ไม่เข้าการ
ทุกวันวาร เหยียบย่ำ ช้ำฤดี
ธรรมชาติ เคยงดงาม ก็ลามรุก
เอาแต่สุข สร้างบาร์คลับ สลับสี
โรงแรมสูง รีสอร์ทหรู ชูบารมี
ล้วนกดขี่ ธรรมชาติ ขาดชอบธรรม
ทุกชายหาด เกลื่อนกลาด ด้วยขยะ
กินแล้วละ ทิ้งไว้ ให้หาดช้ำ
หมู่แมกไม้ ชายหาด สุดระกำ
เอาไปทำ เพิงพัก หักร้างไป
ศูนย์การค้า มากมาย เรียงรายฝั่ง
สร้างหนทาง รุกหาด ขาดวิสัย
อยากจะถม อยากจะสร้าง เอาอย่างใจ
ไม่ห่วงใย ธรรมชาติ ขาดสมดุล
เจาะบาดาล ตอกเสาเข็ม เต็มใต้พื้น
สุดกล้ำกลืน ถูกตอกย้ำ ทำเสียศูนย์
พสุธา แสนหดหู่ เป็นรูพรุน
ความสมบูรณ์ หมดสิ้น ดินคร่ำครวญ
สัตว์ทะเล น้อยใหญ่ ถูกไล่ที่
เสียงอึงมี่ เรือหาปลา พากำสรวล
ปะการัง ยังไม่พ้น คนรบกวน
ต้องปั่นป่วน ร้อนดั่งไฟ ใต้ท้องธาร
ความอดทน อดกลั้น พลันสิ้นสุด
พื้นสมุทร เลื่อนลั่น สั่นสะท้าน
สายนที หลอมรวม ร่วมดวงมาลย์
จะล้างผลาญ สรรพสิ่ง ให้บรรลัย
เป็นคลื่นยักษ์ ดำทะมึน ยืนตระหง่าน
โถมทะยาน อย่างเกรี้ยวกราด ไม่ขาดสาย
ซัดกระหน่ำ ให้พินาศ ให้วอดวาย
จะล้มตาย เท่าใด ไม่อาทร
ทั้งตึกราม บ้านช่อง ต้องย่อยยับ
ไม่ได้ศัพท์ เสียงโหยไห้ ไร้สังหรณ์
ไม่ฟังเสียง อย่าเพียรพร่ำ คำอ้อนวอน
เมื่อถึงตอน เจ็บปวดบ้าง เป็นอย่างไร
ความสูญเสีย คงเตือนใจ ให้ได้คิด
จะยึดติด มุ่งแต่สุข สมควรไหม
ธรรมชาติ ขาดสมดุล ด้วยเหตุใด
เอาแต่ได้ ขาดพอดี นี่บทเรียน
คิดแต่ให้ ทะเล นั้นเห่กล่อม
คิดว่ายอม สยบให้ ไม่แปรเปลี่ยน
ตักตวงเอา แต่ประโยชน์ น่าติเตียน
ไม่พากเพียร ร่วมรักษา น่าละอาย
ถึงเวลา จึงขอคืน ด้วยคลื่นยักษ์
ซากปรัก หักพัง สร้างความหมาย
ศพมนุษย์ เกลื่อนกลาด เต็มหาดทราย
มีความหมาย ว่ามนุษย์ สุดทานทน
ธรรมชาติ นั้นยิ่งใหญ่ หาใดเทียบ
มนุษย์เปรียบ เท่าเม็ดทราย ใยสับสน
ว่ามนุษย์ นั้นยิ่งใหญ่ ในสากล
กระแสชล จึงบอกให้ ใครใหญ่จริง.