16 กรกฎาคม 2551 15:54 น.
บพิตร
บทกวี...มีไว้ให้ข้อคิด
จะถูกผิดอยู่ที่ใครให้ความหมาย
บทกวีเพียงคารมอันคมคาย
ความหลากหลายแห่งภาษามาร้อยกรอง
บทกวี...คือจิตใจใครคนนั้น
ในบางวันบางเวลาคราเศร้าหมอง
หรือคราสุขสมหวังดั่งใจปอง
ก็กลั่นกรองเป็นอักษรได้ผ่อนคลาย
มีบางคราวอยากเขียนให้ใครสักคน
อยากพรำบ่นสารพันวันใจหาย
มีบางครั้งเห็นบ้านเมืองเรื่องวุ่นวาย
มีเหตุร้ายบันทึกไว้ให้ทรงจำ
ยามมีรักเห็นโลกนี้สีชมพู
ก็พรั่งพรูภาษามาเพ้อพรำ
ยามอกหักก็เรียงร้อยถ้อยลำนำ
ถึงเจ็บช้ำก็สรรหาบอกอารมณ์
บทกวี...คือความงามตามภาษา
กลั่นกรองมาจากจิตใจให้เหมาะสม
มิคาดหวังหมายให้ใครชื่นชม
เพียงอารมณ์แห่งเวลา ณ ห้วงใจ.
16 กรกฎาคม 2551 09:57 น.
บพิตร
ณ วันนี้ที่ต่างคนต่างความคิด
โยนความผิดว่าผู้อื่นทำขื่นขม
ไม่มีใครฟังใครในสังคม
หลงโง่งมกับอำนาจขาดไตร่ตรอง
คนบางกลุ่มสร้างเวทีเสรีภาพ
บอกให้ทราบสิ่งฉ้อฉลจนหม่นหมอง
แฉเชิงชั้นเหลี่ยมคูผู้ปกครอง
เพื่อพี่น้องเป็นแง่คิดได้ติดตาม
มีสายสนกลในใครอยู่บ้าง
บนเส้นทางการเมืองไทยให้ไถ่ถาม
ใครสืบทอดทายาทใครไล่เรียงนาม
ใครถูกหามเทียบเชิญเดินใต้ดิน
อีกฟากฝั่งบอกว่าอย่าเชื่อถือ
บางคนมือถือสากปากถือศีล
ชอบยุยงให้เข่นฆ่าเป็นอาจิณ
พูดเล่นลิ้นตะแบงให้ไทยแตกกัน
จะฟังใครเชื่อใครให้สับสน
เห็นต่างคนต่างคิดจิตหวาดหวั่น
เกรงว่าไทยจะฆ่าไทยในสักวัน
ถึงวันนั้นจะหม่นหมองนองน้ำตา
หลังเลือดนองผองไทยจะได้คิด
สิ่งถูกผิดทบทวนชวนปรึกษา
พบทางออกบ้านเมืองเรื่องผ่านมา
เป็นตำราบนกองเลือดเชือดเฉือนใจ.
19 มิถุนายน 2551 12:18 น.
บพิตร
ดูฟุตบอลสอนใจให้ข้อคิด
เหมือนชีวิตปุถุชนบนโลกกว้าง
หวังเป้าหมายคือประตูสู่เส้นทาง
สิ่งกีดขวางคือคู่แข่งเข้าแย่งชิง
เสียงนกหวีดเริ่มต้นบนสนาม
พยายามเลี้ยงลูกบอลก่อนส่งชิ่ง
เพื่อนร่วมทีมช่วยประคองต้องแอบอิง
ทำเย่อหยิ่งฉายเดี่ยวเดี๋ยวก็พัง
หากเดินหน้าไม่ไหวให้ส่งกลับ
เพื่อนคอยรับเปิดบอลย้อนข้ามฝั่ง
เล่นเป็นทีมคอยส่งต่อก่อพลัง
เกิดพลาดพลั้งร่วมแก้ไขไม่เกี่ยวงอน
กรรมการกำกับกฎกติกา
ลูกล้ำหน้าเสียบข้างหลังยั้งไว้ก่อน
แจกใบเหลืองเตือนใจให้สังวร
หากใจร้อนเล่นแรงไปได้ใบแดง
เหล่ากองเชียร์ส่งเสียงดังข้างสนาม
คอยติดตามอยากชมถล่มคู่แข่ง
หากทีมรักแพ้พ่ายคล้ายหมดแรง
นั่งหน้าแห้งเงียบงันวันปราชัย
เกมฟุตบอลมิแตกต่างทางชีวิต
ต้องตามติดมุ่งมั่นดังฝันใฝ่
ความสำเร็จคือประตูสู้ฝ่าไป
อาจล้มได้ไม่ถึงฝันอย่าหวั่นเกรง
มีกฎหมายใช้บังคับให้ขับเคลื่อน
อย่าแชเชือนคิดว่าข้านี้เก่ง
ใครฝ่าฝืนหลบเลี่ยงเยี่ยงนักเลง
เที่ยวอวดเบ่งต้องอาญาตราแผ่นดิน
ต้องรวมใจให้เป็นหนึ่งจึงจะรอด
คอยส่องสอดช่วยเพื่อนพ้องทุกท้องถิ่น
ใช้ปัญญาแก้ไขไร้มลทิน
ทุกข์หมดสิ้นคือเส้นชัยได้ประตู.
16 มิถุนายน 2551 13:01 น.
บพิตร
คืนเดือนดับนับดาวที่พราวฟ้า
เหลือคณาระยับยิบกระพริบแสง
หลากสีสันเขียวขาวส้มอมเหลืองแดง
สายลมแรงยังสาดส่องไม่หมองมัว
เมฆหมอกบังชั่วครู่ยามก็วามวับ
หามืดดับแม้ฝนมาคืนฟ้าหลัว
คงเปล่งแสงอำไพในตนตัว
มิหวาดกลัวสิ่งรอบข้างยังยืนยง
อยากเก็บดาวพราวฟ้ามากองไว้
มอบให้ใครทุกคนบนทางฝัน
ที่มุ่งหวังไขว่คว้ามุ่งฝ่าฟัน
ให้สุขสันต์สมใจได้ครอบครอง
หากแต่ดาวคือดาวอยู่ราวฟ้า
ทรงคุณค่าคู่ความดีไม่มีหมอง
ใครคิดดีทำดีที่หมายปอง
ก็สาดส่องอยู่ได้ในใจตน
ใครคิดชั่วคิดร้ายแม้หมายมั่น
แย่งชิงกันคว้าดาวราวฟ้าหม่น
ดาวคงหมองแสงเศร้าเคล้าปะปน
ในมือคนชั่วร้ายไม่งดงาม.
2 มิถุนายน 2551 12:34 น.
บพิตร
น่าสงสารเมืองไทยใยสับสน
เหล่าผู้คนแตกต่างทางความคิด
หรือมีใครเสี้ยมสั่งทั้งเบือนบิด
พันธมิตร-ประชาชน-คนปกครอง
ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจขาดสำนึก
เฝ้าผนึกทำเพื่อใครใช่ไทยผอง
เพียงเพื่อกลุ่มคนน้อยนิดผิดครรลอง
เหล่าพี่น้องคนส่วนใหญ่ไม่นำพา
ยุคข้าวยากหมากแพงยุคแข่งขัน
ทุกคืนวันรุ่มร้อนนอนผวา
สรรพสิ่งยังชีพถีบราคา
เหล่ารากหญ้าเผชิญกรรมช้ำทรวงใน
เหล่าผู้แทนตั้งหน้าหาอำนาจ
ลืมเรื่องชาติมุ่งเน้นอยากเป็นใหญ่
เรื่องปากท้องประชาชนมิสนใจ
วิ่งขวักไขว่หาตำแหน่งแย่งชิงกัน
ขอบอกกล่าวถึงผู้ที่มีอำนาจ
ทำเกรี้ยวกราดปากกล้าแต่ขาสั่น
สบประมาทเสียงรากหญ้าสาระพัน
ว่าเสียงนั้นเป็นนกกาอย่าสนใจ
แต่ฟ้ายังมีตามาสอดส่อง
เหล่าพี่น้องประชาชนผู้หม่นไหม้
ฟ้าสาดแสงกลิ่นกรุ่นอุ่นอำไพ
ไทยเป็นไทยเพราะมีฟ้าคอยปราณี
ใครคิดชั่วคิดร้ายทำลายชาติ
ใครบังอาจทำไทยให้หมองศรี
ฟ้าเบื้องบนรู้เช่นเห็นชั่วดี
ฟ้าไม่มีวันอภัยให้คนเลว
ฟ้าส่องแสงฉุดไทยให้พ้นโศก
คลายวิโยคนำทางห่างหุบเหว
สาดแสงร้อนแรงรุ่งพุ่งเพลิงเปลว
เผาคนเลวหมดแผ่นดินถิ่นไทยเอย.