10 กันยายน 2552 09:15 น.
บพิตร
@ เสียงตึงตังฟังว่าผ้าขาดวิ่น
จึงวอนฟ้าฝากดินคราสิ้นหวัง
เห็นด้านหน้าห่อหุ้มคุ้มมิดบัง
แต่ชักหน้าไม่ถึงหลังช่างร้อนรน
@ งบขาดดุลงามหน้าเจ้าข้าเอ๋ย
จะบอกกล่าวเอื้อนเอ่ยเลยสับสน
เหมือนหวังน้ำบ่อหน้าชะตาตน
คงไม่พ้นตายดาบหน้าถ้าหมดแรง
@ มีทุนน้อยใช้เกินเดินหลงทาง
จึงล้าหลังถอยห่างทุกหนแห่ง
ต้องกู้หนี้ยืมสินลิ้นพลิกแพลง
ฝืนหน้ายิ้มแม้ไส้แห้งแข่งสังคม
@ ประเทศชาติขาดพอเพียงเลี่ยงความจริง
บอกบางอย่างซ่อนบางสิ่งยิ่งขื่นชม
ทำลึกลับซับซ้อนซ่อนลับลม
เกรงสักวันจักล่มจมบาดาล.
9 กันยายน 2552 09:53 น.
บพิตร
@ พับกระดาษแผ่นน้อยตามรอยฝัน
ว่าสักวันจะโลดแล่นเหนือแผ่นฟ้า
จะก้มมองแลดูหมู่เมฆา
กลางเวหาจะเวิ้งว้างหรืออย่างไร?
@ พับเครื่องบินเติมฝันที่ฉันขาด
ฝันที่วาดคือหวังครั้งยิ่งใหญ่
จะลอยล่องท่องฝันอันแสนไกล
ด้วยดวงใจไขว่คว้ามาเป็นจริง
@ ฉันจะบินบินไปไกลสุดหล้า
แม้เหนื่อยล้าเกินเข้าใจในบางสิ่ง
แผ่นดินเกิดแผ่นดินตายหมายแอบอิง
จะเดินวิ่งแผ่นดินใดใยสำคัญ
@ ใครสร้างโลกแบ่งดินแดนเป็นแคว้นเขต
มีประเทศมีกฎหมายหลายชนชั้น
แบ่งสัญชาติแบ่งหมู่เหล่าแบ่งเผ่าพันธุ์
คนเหมือนกันไม่เทียมเท่าไม่เข้าใจ?
บพิตร
๙/๙/๕๒
8 กันยายน 2552 16:27 น.
บพิตร
ปลิดปลิวทิ้งกิ่งก้าน
คราถึงกาลกำหนดขัย
แห้งโหยโรยราไป
เพื่อสิ่งใหม่ได้งอกเงย
จากไปใช่ไร้ค่า
ทอดกายาหานิ่งเฉย
ผุไปใช่เปล่าเลย
เป็นปุ๋ยอิ่มให้ลิ้มรส
หล่อเลี้ยงกิ่งใบใหม่
ให้เติบใหญ่แลใสสด
ผลดอกออกงามงด
บนใบเก่าเจ้าผุพัง
ทิ้งร่างให้เหยียบย่ำ
เพื่อน้อมนำความดียัง
เจ็บร้าวเพื่อจีรัง
สังคมใหม่ให้งดงาม.ฯฯฯ
28 สิงหาคม 2552 13:34 น.
บพิตร
เกือบห้าปีที่อาศัยในบ้านนี้
ด้วยเป็นที่สรรค์สร้างทางอักษร
แสนสุขใจอาศัยในบ้านกลอน
มุ่งสะท้อนความคิดอ่านผ่านลำนำ
หากมองเห็นเป็นคนชนชั่วร้าย
แสนละอายถูกมองผิดจิตเจ็บช้ำ
ถูกกล่าวหาทั้งที่ไม่ได้กระทำ
หรือเป็นกรรมแต่ปางไหนใช้หนี้เวร
ถูกปรักปรำความผิดว่าคิดชั่ว
ทั้งที่ตัวไม่รู้เรื่องที่เคืองเข็ญ
อัตตาคนอาจหลงทางสร้างประเด็น
ไม่อยากเป็นคนโฉดเขลาเข้านินทา
ใช่ยอมแพ้แต่ใจให้ท้อถอย
เรื่องเล็กน้อยแต่เจ็บนักหนักใจข้า
ในวันนี้บอกพี่น้องต้องขอลา
ไว้วันหน้าหากเข้าใจได้พบกัน.
บพิตร
๒๘/๘/๕๒
25 สิงหาคม 2552 10:39 น.
บพิตร
บรรจงร้อยอักษรเป็นกลอนกานต์
ปณิธานศรัทธาภาษาศิลป์
มั่นคงในฉันทลักษณ์ประจักษ์จินต์
ด้วยถวิลคุณค่าภาษางาม
ขอน้อมกราบครูกวีศรีอักษร
ฉันท์ กาพย์ กลอน คู่แคว้นแดนสยาม
อีกโคลง ร่าย อรรถรสบทนิยาม
บ่งบอกความรื่นรสบทกวี
เป็นลำนำคำคมผสมผสาน
สาธุการไหว้ครูผู้เป็นศรี
บทนิราศเที่ยวท่องล่องวารี
ชมความงามอิสตรีด้วยลีลา
มีเหตุการณ์จารจดบทบันทึก
อย่างลุ่มลึกด้วยแสงแห่งภาษา
แม้คำสอนหลักธรรมองค์สัมมา
สิ่งล้ำค่าสอนใจให้จดจำ
เรื่องความรักความหลังที่ฝังจิต
เรื่องชีวิตทุกข์ทนปนเจ็บช้ำ
ความหอมหวานเอิบอิ่มยิ้มชื่นฉ่ำ
แม้ระกำยังกลั่นกรองร้องเป็นกลอน
เรื่องการเมืองการมุ้งที่ยุ่งเหยิง
ดั่งเพลงเพลิงรานรุกให้ทุกข์ร้อน
บทกวีสอนใจให้สังวร
มุ่งสะท้อนปณิธานผ่านอักขรา.