เก็บคำรำร่ายประกายคำ
เป็นลำนำคำกานต์ผสานผสม
กูเขียนทุกข์ด้วยคำและช้ำตรม
เก็บดาษดื่นขื่นขมมาชมเชย
หยิบปืนยื่นให้ในความคิด
กระสุนปลิดปลงกูอยู่ไยเหวย
ในโลกมืดเดินทางก็อย่างเคย
พบแต่ช้ำงอกเงยอยู่เปล่าดาย
เพียงกระสุนระริกกระดิกนิ้ว
ก็พร่างพลิ้วลิ่วลับสลับสลาย
ดับทุกข์โศกกรรโชกใจและกาย
วิญญาณวายฝังร่างลงกลางดิน
เป็นก้อนกรวดดินทรายคงง่ายกว่า
มิต้องโศกโศกามาด่าวดิ้น แม้นแตกแหลกร้าวพังภินท์
หมดสิ้นแล้วความทุกข์ที่ซุกใจ
เก็บคำรำร่ายประกายคำ
เป็นสายธารลำนำหลั่งไหล
เขียนกูผู้เขียนพร่ำเพียรไป
แด่กูและหัวใจที่ทุกข์ทน
เจ็บเอย...เจ็บกูอยู่เต็มอก
น้ำตาตกไหลรวมอยู่ท่วมท้น ทะเลน้อยยังด้อยน้ำตาตน
น้ำตากูไหลจนท่วมโลกา วอนเถิดสายลมช่วยพรมผ่าน
ช่วยพัดม่านความทุกข์ซุกฟากฟ้า
วอนเถิดหัวใจใครกรุณา
เมตตาผ่อนทุกข์ ขุกระทม
อกกูร้าว รวดร้าว เกินกล่าวขาน
จิตวิญญาณเกินขื่นจะขื่นขม
หยิบปืนกลืนกล้ำระกำตรม
ทุกข์ระทมกลายเกลียว...แค่เหนี่ยวไก
ผีเสื้อร่ายรำระบำฟ้อน
ปีกร่อนไหววับสลับสี ท่ามแสงอบอุ่นไมตรี
แห่งแสงสุรีย์เยาว์วัน
บินร่อนอวดงามอยู่หวามไหว
จะอวดพงไพรหรือจอมขวัญ
สดชื่นรื่นเริงในเพลิงวัน
บุปผาอวดถันแห่งมาลี
งามเอย...เจ้าดอกไม้
แต่งแต้มพงไพรอยู่หลากสี
อ่อนโยนเชิญชวนยินดี
เจ้าคือนารีแห่งพงไพร
กลีบงามยามกลีบเจ้าเบ่งบาน
อ่อนหวานเกสรอยู่อ่อนไหว สายลมพรมผ่านสะท้านใจ
จุมพิตลูบไล้อยู่บางเบา
แสงเอย...แสงแดดอย่าแผดกล้า
โปรดเถิดเมตตาอย่าแผดเผา
สงสารมาลีนงเยาว์
ย่อยยับอับเฉาโรยรา
แม้เพียงกลีบน้อยเจ้าย่อยยับ
ทุกข์โศกท่วมทับท้นฟ้า ใครเล่าจะปลอบกานดา
หมู่มวลบุปผามาลี
ผีเสื้อร่ายรำระบำฟ้อน
ปีกว่อนไหววับสลับสี
รีบเถอะก่อนแสงสุรีย์
เข่นฆาตมาลีแหลกลาญ
ก่อนเจ้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
ก่อนมวลบุปผาอ่อนหวาน ซบกิ่งทิ้งกลีบวายปราณ
ร่วงโรยลับกาล...เวลา