22 มิถุนายน 2553 17:16 น.
บนข.
มีแต่ตาแต่หามีแววไม่
เพราะแส่ไปจ้องดูรู้ทุกเรื่อง
เหมือนเก็บโลกใส่ตาไร้ค่าเปลือง
ระคายเคืองนัยน์ตาบ้ากันไป
โลกมีไว้ให้มองก็จริงอยู่
แต่ควรรู้ทั่วถ้วนว่าควรไหม
ปิดตาบ้างบางครั้งช่างปะไร
ก็สุขได้จริงแท้แค่ปิดตา
อวัยวะสำคัญนั้นคือปาก
แม้พูดมากปากพล่อยทำด้อยค่า
ไม่ควรพูดก็อย่าปูดทำพูดจา
ถูกเขาว่าติเตียนจะเพี้ยนคน
โบราณว่าพูดดีเป็นศรีปาก
แต่พูดมากปากนี้จะมีขน
เป็นปากหมาหอนเห่าจะเผาตน
คิดแยบยลแสร้งใบ้จะได้ดี
หูมีรูหูดีต้องมีรู
ประกบคู่ใบหน้ามีราศี
คอยสดับรับเสียงสำเนียงมี
ทั้งเสียงดีเสียงร้ายป้ายนินทา
เสียงสรรเสริญเยินยอพอฟังได้
แต่เสียงใครติก่นทำพ่นด่า
ไม่อยากฟังปากบูดคนพูดจา
หูซ้ายขวาหนวกบ้างช่างปะไร
หากปิดหูซ้ายขวาตาสองข้าง
ปิดปากบ้างบางทีจะดีไหม
ป้องกันโรคภัยพาลมาผลาญใจ
อยู่ห่างไกลกิเลสมารอันผ่านมา
หากจะพูด ดู ฟัง ยั้งสักนิด
สติติดคอยกำกับรับทุกท่า
จะไม่โศกเพราะโรคมากปากหูตา
แสร้งหนวกบอดใบ้บ้า...ท่าจะดี
17 มิถุนายน 2553 16:11 น.
บนข.
อวัยวะสถุลสกุลต่ำ
ถูเหยียบย่ำไร้ยศหมดศักดิ์ศรี
ของคู่กายจำเพาะเหมาะสมดี
ใครไม่มีรับรองต้องระทม
ทั้งหมูหมากาไก่ก็มีใช้
หอย งู ไซร้ไม่ต้องใช้ไม่เหมาะสม
เพราะมีมันจึงใครได้ชื่นชม
เขานิยมเรียกตีนป่ายปีนไป
คำปากว่า หน้าเดิน ไม่เขินขัด
เดี๋ยวตีนอัดก็หน้าเดินซะที่ไหน
หน้าก็แค่มีตาคุณว่าไง
จะใกล้ไกลตีนเดินเพลินอุรา
หากแม้นหน้ามีตาเป็นจุดขาย
ตีนก็หมายจุดเด่นดังเช่นว่า
ก็ตาตุ่มนั่นไงเห็นไหมตา
งามโสภาเย้ายวนชวนตามอง
จะตีนบางตีนหนาก็น่ารัก
คนหน้าหักหน้าหนาบ้าจองหอง
วัวลืมตีนสำนวนชวนไตร่ตรอง
ว่าอย่าหยิ่งลำพองทะนงตน
ใครทำผิดคิดหงอมาขอโทษ
เขาไม่โกรธแต่ลงโทษให้เห็นผล
ให้กราบตีนอับอายขายหน้าคน
ผู้ซุกซนส้นตีนอาจปีนคอ
ใครพูดมากปากหอนวอนหาเรื่อง
เขาขุ่นเคืองแจกตีนให้ไม่ต้องขอ
เจอหลายตีนรุมสะกรำน้ำตาคลอ
นี่แหละหนอคนยียวนกวนบาทา
แม้นบ้านเมืองวุ่นวายไม่สงบ
เขาก็ใช้ตีนตบแทนคำด่า
ไม่มีมือโปรดรู้ชูตีนมา
ตีนขี้ข้าตีนไพร่ได้สำแดง
อวัยวะสถุลสกุลต่ำ
เขาเหยียบย่ำเย้ยหยันขั้นแขยง
ได้เดินพรมนุ่มหนาราคาแพง
ผู้ตีนแดงแสร้งย่างห่างผืนดิน
เดินเข้าคุก เข้าวัด ลัดเข้าซ่อง
หรือเดินย่องเดินเบาเอาทรัพย์สิน
ตีนก็รับเดินหน้าเป็นอาจิณ
ดีชั่วสิ้น เดินไป ใครสั่งตีน....
14 มิถุนายน 2553 18:10 น.
บนข.
เขาเรียกฉันคนบ้าว่าฉันเพี้ยน
เพราะพากเพียรคิดฟื่องแต่เรื่องฝัน
บ้าของใครก็ของใครใยว่ากัน
บ้าของฉันฝันเฟื่องแต่เรื่องกลอน
ฉันไม่บ้าหอบฟางบ้างขวางโลก
ไม่บ้าสุขบ้าโศกบ้าหลอกหลอน
ทุกเช้าสายบ่ายผันยันเข้านอน
ทุกบทตอนฉันคิดประดิษฐ์คำ
จะเรียกฉันคนบ้าก็ว่าเถิด
บ้าฉันเกิดจากใจใช่ถลำ
ก็มีบ้างบางใครไม่ใจดำ
ไม่ตอกย้ำเย้ยเยาะหัวเราะกัน
เขาเข้าใจคนบ้าว่าไม่เพี้ยน
กลอนที่เขียนอ่านเล่นพอเห็นฝัน
ฉันก็ยิ่งบ้าจี้ตะบี้ตะบัน
เขียนทุกวันฝันเฟื่องเป็นเรื่องกลอน
ฉันก็แค่เขียนกลอนสะท้อนคิด
คล้ายเสพติดกลิ่นอวลสวนอักษร
เหมือนแมลงผึ้งภู่หมู่ภมร
ใจอาวรณ์ไหลหลงดงมาลี
จะว่าฉันนั้นบ้าก็ว่าเถอะ
แต่หากเลอะว่ากลอนอักษรศรี
ฉันจะฟ้องสุนทรภู่ลองดูซี
ฟ้องวิญญาณกวีที่ลับลา
ให้ลงโทษคนเคียดเกลียดอักษร
เกลียดกาพย์กลอนประพันธ์ขั้นใบ้บ้า
เกิดเป็นคนครั้งใดในโลกา
ให้โง่เขลาเบาปัญญาทุกคราไป
ส่วนใครรักกาพย์กลอนอักษรสาร
ปรีชาญาณจงบังเกิดให้ผ่องใส
แม้นพากเพียรเขียนกลอนอักษรใด
จงเขียนได้ดังว่า.....คนบ้ากลอน....
12 มิถุนายน 2553 18:09 น.
บนข.
กสิกรก้มหน้าทำนาข้าว
เริ่มแต่คราวไถซ้ำปักดำกล้า
ข้าวแตกกอรอข้าวขึ้นพราวนา
เตรียมปุ๋ยยาหยอดหว่านจัดการไป
คอยกำจัดหนูหนอนคอยถอนหญ้า
อีกนกกาปูหอยคอยขับไล่
หลังสู้ฟ้าหน้าดูข้าวชาวนาไทย
ทำเพื่อใคร เพื่อตน ในผลงาน
จนต้นข้าวงอกงามอร่ามทุ่ม
รอยยิ้มปรุงแต้มหน้าอันหยาบกร้าน
ฝันถึงข้าวรวงทองกองเต็มลาน
เก็บเกี่ยวผ่านงานหนักได้พักกาย
อันยุ้งฉางที่ว่างเพราะร้างข้าว
เมื่อถึงคราวข้าววางที่ว่างหาย
หนี้สินงอกดอกซ้ำทำวุ่นวาย
คงมีข้าวไว้ขายคลายหนี้ไป
ข้าวตั้งท้องมองข้าวพราวลมพลิ้ว
เป็นคลื่นริ้วพลิ้วพรมลมพัดไหว
งามท้องนาฟ้าสีครามงามกระไร
ข้าวเบียดใบเสียดสีดนตรีนา
หอมไอดินกลิ่นข้าวคราวลมทุ่ง
คนชาวกรุงไหนจะทราบอาบนาสา
หอมกลิ่นโคลนสาบควายลมชายมา
ติดกายาชาชินกลิ่นสาบควาย
วอนพระแม่โพสพอันศักดิ์สิทธิ์
อิทธิฤทธิ์แห่งมนต์ช่วยดลร่าย
กันศัตรูข้าวกล้าอย่ากล้ำกราย
เจ้าหนูร้าย ปูหอย จงถอยไป
ข้าวตั้งท้องฝากแม่ดูแลด้วย
โปรดอำนวยให้รวงงามอร่ามไสว
หากพระแม่ไม่ช่วยอำนวยชัย
คงหมดใจไถหว่านการทำนา
อาทิตย์ล่วงรวงข้าวก็พราวทุ่ง
รวงข้าวพุ่งจากกอไม่รอท่า
เมล็ดข้าวเต็มรวงโน้มถ่วงมา
ประดุจว่าก้มต่ำคำนับดิน
จนสุกเหลืองอร่ามงามจริงหนอ
เหมือนจะรอคมเคียวเก็บเกี่ยวสิ้น
ทุ่งรวงทองท้องนาเห็นชาชิน
หยดเหงื่อรินชาวนาชะตากรรม
เก็บเกี่ยวข้าวหวังขายผ่อนคลายหนี้
ทำนาปรังนาปีหนี้ขย้ำ
ขายข้าวหมดปลดหนี้ที่จองจำ
ข้าวที่ทำขายเกลี้ยงไปเลี้ยงใคร
มองยุ้งฉางที่ว่างคงร้างข้าว
กสิกรรมปวดร้าวอกผ่าวไหม้
มองท้องนาว่างเปล่าแล้วเศร้าใจ
เหลืออะไร...หนี้ที่รอ....และตอซัง
9 มิถุนายน 2553 16:09 น.
บนข.
๑ รำพัน
เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วฟังแว่วหู
ไก่มันรู้เวลาลุกจึงปลุกขัน
คนฟังเสียงไกอยู่ก็รู้พลัน
ว่าใกล้วันรุ่งแสงสุริยา
จะได้เตรียมรับขวัญตะวันใหม่
เตรียมกายใจสู้งานกันถ้วนหน้า
อย่ามัวหลับพับหงอรอเวลา
ขืนเนิ่นช้าตะวันกลายจะสายไป
อนิจจาใครหนอจะลึกซึ้ง
รำลึกถึงบุญคุณของเจ้าไก่
อุตสาห์ขันเจื้อยแจ้วแล้วเป็นไง
เขากลับใส่โมโหทำโกรธา
คนจะนอนหนอยแน่มาแส่ขัน
แต่ดึกยันรุ่งสางสว่างฟ้า
รำคาญหู รำคาญใจ ไม่เข้ายา
เดี๋ยวจับปิ้งแกล้มสุราจะว่าไง
นี่แหละหนาชีวิตไก่ใครปกป้อง
ส่งเสียงก้องปลุกคนพ้นหลับใหล
ทองหลังพระงามล้นใครสนใจ
ก็เหมือนไก่ขันก้องร้องปลุกคน
ฉันนอนฟังเสียงไก่ใจเป็นสุข
ไข่ขันปลุกฟังเพราะเสนาะล้น
มิได้คิดเคืองไก่ในใจตน
คิดแยบยลสุขเพียงสำเนียงมัน
แหงนมองดูนาฬิกาข้างฝาห้อย
เข็มเคลื่อนคล้อยบอกยามตีสามนั่น
ติ๊กต๊อกติ๊ก ติ๊กต๊อก บอกคืนวัน
ทุกคืนวันแว่วเสียงสำเนียงมา
อนิจจานาฬิกาไม่มีเท้า
แต่ใยเล่าจึงไปเดินอยู่ข้าฝา
แม้นว่าเป็นจิ้งจกไซร้ไม่สงกา
มันมีขาไต่เดินได้เพลินใจ
บางคนเห่อเย่อหยิ่งยิ่งขำขัน
เขาแข่งกันหาฬิกามาสวมใส่
ดูยี่ห้อหลากหลายวุ่นวายไป
แพงบรรลัยสุดแสนแขวนเวลา
ใช้ของแพงแล้วไหงเป็นไรหรือ
เข็มวิ่งปรื๋อเดินไวหรือหรือไรหว่า
หรือชั่วโมงนาทีทวีมา
มีมากกว่านาฬิกาข้างฝาใคร
มองเวลาแล้วเราเศร้าใจหลาย
วันคืนหายลับกาลที่ผ่านไหว
จะเรียกกลับคืนวันนั้นอย่างไร
สุดหัวใจจะฝืนเรียกคืนมา
หากเห็นเท้านาฬิกาที่ว่านั้น
จะเอามีดบั่นเสียให้เพลี้ยขา
เผื่อเข็มได้สะดุดหยุดเวลา
ฉันคงสมอุราเวลามี
จะไปเที่ยวให้จบไตรภพพื้น
ทุกวันคืนเที่ยวไปให้สุขี
ไม่ต้องห่วงเวลาหรือนาที
เพราะเข็มนี้สมมุติว่าหยุดเดิน
อีกความแก่คงไม่มุ่งมายุ่งเกี่ยว
หนุ่มหล่อเฟี้ยวเชียวกูดูไม่เขิน
หนุ่มตลอดปลอดแก่ชะแรเมิน
คงเพลิดเพลินไม่หยอกอย่าบอกใคร
จะนั่งจิบกาแฟแก่พอเหมาะ
แล้วเย้ยเยาะวันเดือนที่เคลื่อนไหว
เยาะความแก่สังขารมันผลาญวัย
เยาะหัวใจไหวหวาดขลาดชรา
๒ อาลัย
เปิดหน้าต่างข้างนอกยังมืดมิด
ในดวงจิตไม่ขลาดหวาดผวา
เย็นลมพัดโชยชื่นระรื่นมา
กลิ่นดอกแก้วโชยมาพาชื่นใจ
อยากจะหลับอีกตื่นฟื้นตอนเช้า
บนที่นอนเก่าเก่ารับวันใหม่
หมอนเก่าเก่าเราหนุนยังอุ่นไอ
ผ้าห่มใช้เก่าเก่าเราห่มนอน
แต่ต้องเปลี่ยนความคิดจะนอนต่อ
ท้องไส้ก่อทำพิษคิดเดือดร้อน
ข้าศึกบุกรุกบ้านจะราญรอน
จำจากจรหมอนมุ้งมุ่งศึกไกล
ไม่อยากจากแต่จำพรากไปจากห้อง
น้ำตานองไหลหยดสลดไสล
ท้องกระโชกโครกครากลำบากใจ
โอ้กระไรอาเพทไร้เมตตา
กินอะไรผิดสำแดงแสลงท้อง
เกิดศึกก้องกลางดึกนึกกังขา
ระดมพลล้นหลามติดตามมา
บก อากาศ เรือ มาฝ่าทะลวง
เหลียวดูห้องเคยนอนสะท้อนจิต
ไม่อยากคิดจากไกลใจห่วงหวง
ลาแล้วหนอลาจริงสิ่งทั้งปวง
เมื่อศึกล่วงเสร็จสรรพจะกลับมา
ลาหมอนน้อยใบเก่าเราเคยหนุน
ให้อบอุ่นยามนอนโอ้หมอนจ๋า
น้ำลายบูดหยดบ้างเป็นบางครา
ยังตรึงตราดูเล่นเป็นดวงรอย
ข้าจากไปใครเล่าจะเฝ้าหนุน
ขาดไออุ่นอกเจ้าจะเหงาหงอย
กอดหมอนพลางสั่งลาน้ำตาปรอย
วางหมอนน้อยบรรจงตรงหัวนอน
ลาผ้าห่มผืนเก่าเราเคยห่ม
มานานนมเห็นอยู่เคียงคู่หมอน
ขาดเป็นรูหนูกัดเหมือนตัดตอน
ข้าจากจรใครเล่าห่มเจ้าแทน
ข้าหนาวลมหนาวฝนไม่พ้นเจ้า
อุ่นใดเล่าจะเท่าอุ่นละมุนแสน
ข้าไม่อยู่อย่าหนูมาดูแคลน
ทำเจ้าแค้นกัดเสริมเพิ่มอีกรู
ลาจิ้งจกสองหางเกาะข้าฝา
เจ้ากับข้าเป็นเพื่อนเสมือนคู่
ยามีเหตุเพทพาลมารศัตรู
เจ้าเหมือนรู้ร้องทักน่ารักจริง
แม้บางครั้งเจ้าเล่นทำเป็นมั่ว
ขี้ใส่หัวข้าแล้วแจวหางวิ่ง
ลาแล้วหนอเพื่อนยากฝากคำติง
เจ้าอย่าซิ่งอวดดีขี้รดใคร
ลาตุ๊กแก แต้กั๊บ ร้องตั๊บแก
เจ้าเพื่อนแท้สี่ขาผู้อาศัย
แอบข้างฝาเมียงมองจดจ้องไป
รวดเร็วไวปุ๊บปั๊บจับแมลง
ยามข้านอนไม่หลับเจ้าส่งเสียง
กล่อมข้าเพียงหลับใหลมิใช่แสร้ง
จำจากไปไกลเจ้าเศร้าใจแรง
ข้าแห้งแล้งใจจังฟังเสียงใคร
ลาแมงสาบตัวดีขี้ใส่ตู้
เจ้าแอบอยู่ในร่องหรือกล่องไหน
เจ้าทำบาปต้องคำสาปหรืออย่างไร
ถูกสาปให้เป็นแมลงแกล้งประจาน
ข้าไม่อยู่เจ้าอยู่วู่มาคลานเล่น
ตุ๊กแกเห็นจะเปิบเล่นเป็นอาหาร
จงหลบอยู่ในตู้ดูอาการ
ไร้เพทพาลโพยภัยให้ออกมา
๓ เดินทาง
ต้องจำใจหักจิตไม่คิดเศร้า
แล้วย่างเท้าจากห้องมองซ้ายขวา
ค่ำคืนมืดเดือนมิดเหมือนปิดตา
หวั่นอุราไหวหวาดพลาดกระได
ก้นจ้ำเบ้ารีบลุกจุกจริงแท้
เกือบย่ำแย่แต่ก็พอลุกไหว
ก้มหน้างุดมุดเดินไม่เพลินใจ
ขนลุกไหวนกถึดทือร้องฮือมา
เสียงนกแสกแซกเสียงสำเนียงผี
มาเสือกร้องตอนนี้ทำไมหวา
มือประนมสวดมนต์ดลเมตตา
สัตว์ถ้วนหน้าทุกที่อย่ามีภัย
เดชะบุญเคยทำกรรมเคยก่อ
ตัวข้าหนอจำนงไม่สงสัย
ช่วยหนุนนำข้าทีให้มีชัย
จะปล่อยเป็ดปล่อยไก่หากกลับมา
ทั้งอึ่งอ่างคางคกข้าเคยปล่อย
เหี้ยเป็นร้อยข้าเคยปล่อยมันเข้าป่า
แต่มันหรูดันไปอยู่ในสภา
ทำทีท่าบิดเบือนเสมือนคน
อีกตะกวดตุ๊กแกแย้ไม่น้อย
กบเต่าหอยข้าเคยปล่อยเอากุศล
ตัวตะขาบ ตะเข็บ เห็บหมัด ล้น
เคยแก้บนปลดปล่อยหวังรอยบุญ
โอมประสิทธิกำแพงแก้ว
ให้ข้าแคล้วบุญค้ำกรรมอุดหนุน
เทพเทวาอำนวยช่วยอีกทุน
ข้าขอบคุณจริงแท้จะแก้บน
จะเชือดคอสอสอในสภา
เลือกเอามาเฉพาะตัวที่ฉ้อฉล
เอาเลือดเซ่นสังเวยเทพทุกตน
โปรดดาลดลให้ข้าอย่าปราชัย
จะเอาพวกเหลืองแดงกำแหงหาญ
จับแก้ผ้าประจานอย่าปราศรัย
เจ้าสามเกลอหัวเกรียนมันเพี้ยนไป
เอาไฟแช็คลนไข่คนละที
อภิสิทธิ์จะบังคับให้ลาออก
ไปเลี้ยงควายอยู่บ้านนอกอย่าหน่ายหนี
ทักษินจะให้กลับมารับคดี
โบยสักเจ็ดหมื่นทีแล้วปล่อยไป
๔ ผจญศึก
เสร็จบนบานศาลกล่าวก้าวเดินต่อ
จิตจดจ่อศึกประจัญมิหวั่นไหว
ถึงห้องน้ำสนามศึกระทึกใจ
เข้าข้างในใส่กลอนรีบร้อนรน
เอื้อมมือไปเปิดไฟใฟ้สว่าง
แสงสว่างเรืองรองไม่ล่องหน
ยึดที่มั่นบนฐานก่อรอผจญ
เสียงปืนกลน่ากลัวระรัวมา
ทหารราบ ทหารบก ก็ยกทัพ
สุดจะรับรถถังแถวเป็นแนวหน้า
บุกทะลวง ทะลุ ทะลัก ตีลังกา
ทหารกล้ารอบุกก็รุกตาม
ทหารอากาศกราดปืนเสียงสนั่น
ตุ๊กแกหวั่นไหวหวาดผวาดผวาม
เกาะข้างฝาปิดหูดูสงคราม
จิ้งจกถามเสียงสั่นนั่นอะไร
ทหารเรือยกน้ำมาทำศึก
ทะเลลึกหลากนองป้องไม่ไหว
เกิดคลื่นซัดหาดทรายกระจายไป
ทะลักไหลเจิ่งนองสยองชล
กำแพงเคยแข็งแกร่งโดยแย้งยุทธิ์
ก็พังทรุดโซมกองสยองขน
ศพทหารระเกะกะ กองปะปน
อนาถล้นจริงหว่าไม่น่ามอง
ทั้งทัพบกทัพเรือเสืออากาศ
โดนเข่นฆาตล้มตายไปทั้งผอง
ศึกสงบศพทหารผ่านกรมกอง
จากรึกก้องน้ำสาดราดลงไป
๕ สังเวช
เอื้อมมือไปหมายว่าจะคว้าขัน
ชะงักงันขันน้อยลอยน้ำใส
น้ำกระเพื่อมไปมาครั้งคราใด
ก็เคลื่อนไหวไม่น้อยลอยไปมา
มองขันน้อยลอยคว้างในอ่างน้ำ
เหมือนจะย้ำขันอยู่ให้รู้ว่า
โลกในอ่างน้ำวนมนต์มายา
มีขอบอ่างขวางหน้าชั่วตาปี
หากจะคิดลอยตนให้พ้นอ่าง
ต้องข้ามสิ่งขัดขวางขอบอ่างนี่
ได้เป็นไทแก่ตนพ้นวารี
ลุถึงที่ปลอดภัยไร้วังวน
อนิจจาตัวเราก็เท่านั้น
บ้าหอบขันธ์กันไปให้สับสน
เกิดตัวกูของกูไม่รู้ตน
จิตร้อนรนวุ่นวายมิเว้นวัน
หลงพร่ำพรอดกอดขันธ์ว่าฉันแน่
ความจริงแท้เราว่ามันน่าขัน
เกิดแก่ตายวายวอดจอดทางตัน
จิตพัวพันติดขอบรอบวังวน
อ่างวัฏฏะกว้างใหญ่ใครจะรู้
ว่ายกันอยู่ไปมาน่าฉงน
ณ ตอนนี้มีใหมใครสักคน
คิดข้ามพ้นวัฏฏะละมันไป
ข้าขอตั้งดวงจิตอธิษฐาน
ละภพชาติกันดารอันหม่นไหม้
ภพสุดท้ายไม่หมายเกิดกำเนิดใด
หยุดหายใจขันธ์หลุดหยุดเดินทาง
๖ กลับห้อง
กลับถึงห้องเบิกบานสำราญจิต
ก็หวุดหวิดเวลาจะฟ้าสาง
เปิดหน้าต่างมองออกข้างนอกพลาง
ลมบางบางพัดโชยมาชื่นใจ
ห้องเก่าๆคนเก่าๆผ้าห่มเก่า
ทุกสิ่งเล่าเก่าผ่านตามกาลไหว
ฟ้าสว่างแสงทองผ่องอำไพ
เปลี่ยนวันใหม่ สาย บ่าย ค่ำ...ธรรมดา ฯ