21 พฤษภาคม 2550 13:29 น.
น้ำผึ้งเดือนห้า
เห็นปุยนุ่นสีขาวราวหิมะ ร่วงหล่นมาจากต้น ซึ่งมีฝักแก่เต็มที่ ยิ่งลมพัดเท่าไร ก็ร่วงลงมาเท่านั้น อากาศยามเย็นที่แสนสบาย กลับจากโรงเรียนเดินมาบนถนนดินเล็กๆ มีคูน้ำเล็กๆอยู่ข้างๆ มีน้ำอยู่เกือบเต็ม น้ำใสจนมองเห็นตัวปลา มีปลากล้วย ปลาช่อนก็มี แต่ตัวยังไม่ใหญ่มาก ผักบุ้งแตกยอดอ่อนๆอยู่ข้างคันคู ส่วนอีกฟากหนึ่งจะเป็นทุ่งนาสีเขียวขจี ต้นข้าวกำลังโตเต็มที่พร้อมสำหรับการออกรวง ข้างๆถนนก็มีต้นหญ้าขึ้นเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียว จะมีก็เพียงปุยนุ่นที่เป็นสีขาวปลิวร่วงลงมาตลอดเวลาที่มีลมพัด
นี่กระมังที่เขาเรียกว่า ความสงบสุข ถึงจะเดินอีกไกลเท่าไรก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เพราะมีแต่สิ่งสดชื่นอยู่รอบตัวเราไปหมด ความหวังของเราก็คือ อยากเก็บสิ่งดีๆเหล่านี้ไว้ให้นานๆ ไม่อยากให้สูญสลายไปเพราะฝีมือคน แต่นั่นก็เป็นความหวังที่บัดนี้กลายเป็นแค่เพียงความทรงจำเท่านั้น เพราะเดี๋ยวนี้ คู คลอง ที่ก่อนนั้นเคยเป็นดิน ก็กลับกลายมาเป็นปูนซีเมนต์เพราะการพัฒนา ที่เราเองก็ไม่รู้ว่า คุณค่าของการพัฒนานี้อยู่ที่ไหน นาข้าวก็เปลี่ยนเป็นไร่อ้อย ไม่มีแล้วลมพัดเย็นๆ ต้นข้าวเอนไหว จะทำอย่างไร เพื่อเก็บสิ่งดีๆเหล่านี้ไว้ ให้คงอยู่คู่กับความเป็นไทย ความเป็นสยาม คำว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในอนาคตอันใกล้ อาจจะไม่สามารถใช้คำนี้ได้อีกต่อไป เพราะอาชีพเกษตรกรรม กำลังเหลือน้อยลงทุกที เพราะมีอุตสาหกรรม ธุรกิจ SME ฯ เข้ามาแทนที่ ทำไมหนอ...
อีกไม่ช้านาน การทำนาก็คงจะกลายเป็นตำนานที่ให้ลูกหลานได้สืบเสาะค้นหา มากกว่าที่จะเหลือให้เห็น ประเพณีดีงามต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำนา จะมีสักกี่คนที่รู้จักและรักษาไว้ จะมีใครที่รู้สึกอย่างเราบ้าง สิ่งที่เป็นที่พักพิงใจกำลังจะล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา จะทำอย่างไรดี
ครั้งหนึ่งในอดีต ที่เราเคยคิดจะเป็นครู แต่ต้องหยุดไว้ให้เป็นเพียงความคิด เพราะมีปัญหาบางอย่างจึงไม่ได้เรียนต่อเพื่อเป็นครู แต่ความคิดนั้นยังคงอยู่ในใจเสมอมา ถ้าไม่ใช่เพราะความไม่แน่นอนของตัวเราเอง ป่านนี้ อาจจะได้เป็นครูดั่งใจนึกไปแล้ว ครั้งใดที่มองใบไม้ที่ร่วงหล่น วันเวลาย่อมหมดไป
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากทำ และยังทำไม่สำเร็จ หากเพราะไม่ใช่ค่าของเงินที่คนนับถือยิ่งชีวิต ตัวเราคงไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้ และหากไม่ใช่เพราะชีวิต....เปลี่ยนไป เราคงจะได้กลับไปอยู่ในที่...ที่เราจากมา