13 มกราคม 2549 13:39 น.
น้ำตาหมอก
อยากก้าวไกลได้ดีมีอำนาจ
หลักนักปราชญ์เปรื่องปราประกาศิต
อยากฉลาดขยันอ่านขยันคิด
ทีละนิดละน้อยค่อยค่อยทำ
มันสมองของเด็กว่าเล็กน้อย
อย่าดูถูกต่ำต้อยจนตกต่ำ
เด็กลอกเลียนโดยยึดพฤติกรรม
เป็นบาทฐานชี้นำธรรมดา
เธอผู้รับภาระอย่าผละพ่าย
มรสุมรุมร้ายจะกรายกล้า
พวกเธอคือผ้าขาวสะอาดตา
เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญามหาชน
อย่าป้อนสาปบาปอบายป้ายผ้าขาว
เพราะเขาคือดวงดาวอันพราวกล่น
เพียงรอวันเรืองแสงแห่งค่าคน
แววความหวังหลั่งล้นมณฑลไทย
จงดำเนินเดินทางด้วยธรรมะ
จิตกระจะกระจ่างสว่างใส
มีวิชชาจรณะอยู่ภายใน
และเป็นไทอย่างยิ่งสิ่งทั้งปวง
จึงส่งสารผ่านกลอนป้อนแนวคิด
หวังรู้ถูกรู้ผิดอย่าติดบ่วง
อย่าปล่อยวารผ่านพ้นจนเปล่ากลวง
เธอมีค่าใหญ่หลวงเยาวชน
11 มกราคม 2549 17:51 น.
น้ำตาหมอก
สรวลเสียงสรนุกนี้ เสียงนวล
เสียงโศกเรียมกำสรวล พี่เศร้า
คราวเหินห่างเรียมหวน หอบเสน่ห์
มอบมิ่งสมรเจ้า จิตคล้อยคะนึงขวัญ
ดวงจันทร์จรจากห้วง เวหน
เหมือนพี่จากกมล หม่นไห้
หมอกคลุมม่านมณฑล สารทิศ
นึกถนอมแนบใกล้ กลิ่นคล้ายเสาวคนธ์
คิดยามพักตร์นุชเคล้า เคลียหมอน
ยังกรุ่นรอยอาวรณ์ ประหวัดไว้
หมอนนุชพี่แนบนอน หอมนุช
แนบคิดจนหนักไข้ พี่คว้าครวญหา
ดวงตามาต้องเนตร นวลผจง
ใจสั่นเผลอพะวง ควั่งคว้าง
เนตรขวัญกระพริบเดียวคง ปลิดชีพ พี่นา
แม่ไม่รับรักร้าง ผ่าวร้อนทรวงตาย
เราเหมือนกระต่ายตั้ง ตาแล
กระจ่างนุชคือแข คู่ฟ้า
ตาจักสื่อกระแส ถึงศักดิ์ นุชนา
รักกว่าใครในหล้า ร่างแม้สลายสูญ
ทูนความรักหนักนี้ หนอเรา
เทียมทุกข์คือภูเขา เท่านั้น
อิงอรแอบอรเอา- ใจแม่
เพียงหวั่นว่าฟ้ากั้น ก่อกั้นกำแพง
10 มกราคม 2549 14:56 น.
น้ำตาหมอก
เกินหักห้ามความรักหักกิเลส
จึงเกิดภาพสมเพชได้เพียงนั้น
เสียเนื้อสาวหนาวเนื้อเพื่อผูกพัน
เขาให้ความสำคัญแค่นิดเดียว
รักสนุกทุกข์มหันต์อนันต์ทุกข์
สิ้นความสุขสะดวกดายกระสันเสียว
หน้าระรื่นชื่นชมกันกลมเกลียว
แต่ชีวิตบิดเบี้ยวบาปอบาย
หญิงเพศแม่ไม่ใช่แค่ของเล่น
ไม่ใช่เป็นสินค้าคิดวางขาย
ใช่ดอกไม้วางเคียงอยู่เรียงราย
คอยให้ชายเด็ดชมชื่นสมปอง
จงเทิดทูนกูลเกื้อเมื่อวันทุกข์
เมื่อวันสุขร่วมสุขที่สมสร้าง
ก้อยเกี่ยวก้อยคอยร่วมเดินบนเส้นทาง
ที่โดดเดี่ยวอ้างว้างกลางสังคม
อย่าตามใจใจตนจนเกินหน้า
มั่นศรัทธาค่าความดีที่สั่งสม
เต็มคุณค่าของมนุษย์สุดอุดม
จนชื่นชมความดีที่ตัวทำ
อย่าประณามหยามเหยียดรังเกียจหยัน
หฤโหดโทษทัณฑ์แทบตกต่ำ
สังคมใช่ไร้ความยุติธรรม
หรือคนพูดถ้อยคำทำเสียเอง
9 มกราคม 2549 14:44 น.
น้ำตาหมอก
กระเพื่อมพรายสายธารม่านน้ำตก
แม่โกลกเหลื่อมลายกระจายสี
ฟุ้งควันฟองฟ่องฟ้อนนอนนที
เป็นธุลีน้ำร่ำโชยฉ่ำชาย
สายสาหร่ายส่ายไหวเป็นวงวับ
แสงแดดซับแสดดวงเมื่อล่วงสาย
เจ้าปลาสร้อยคอยคู่อยู่เดียวดาย
เม็ดกรวดทรายรายเรียงอยู่เคียงกัน
ริมหุบห้วยตรวยโตรกชะโงกง่อน
กลางมหาสาครเฝ้านอนฝัน
ก้อนกรวดทรายคล้ายพร้อมยอมจำนรรจ์
ว่าตัวฉันนั้นฝึกความลึกซึ้ง
อาศัยเรี่ยวเชี่ยวแรงแห่งสายชล
เกลากลมมนหมดเหลี่ยมให้กล่าวถึง
สงัดเยียบเงียบคนอยู่ก้นบึง
ก้อนกรวดจึงจำรัสประภัสสร์แพรว
การฝึกฝนตนเองตามกล่าวอ้าง
ไม่ใช่ทางสร้างทิพย์ธรรมเพริศแพร้ว
มองกรวดทรายทั่วไปให้เป็นแนว
จะเป็นแก้วต้องยอมก้มจมสายธาร
สยบหยิ่งนิ่งสงบจึงพบพระ
ไม่สร้างทางวาทะคอยประหาร
หยิ่งผยองพองขนคนประจาน
เทียบกรวดทรายในละหานไม่ได้เลย
6 มกราคม 2549 14:12 น.
น้ำตาหมอก
เจ้าหงส์ทองล่องลอยเหนือดอยป่า
ดื่มแสงเดือนดาราอุษาแสง
ปีกเจ้ากล้าฝ่าฝนคลื่นลมแรง
จึงกล้าแกร่งเกียรติยศอันงดงาม
เส้นทางหงส์คงไม่โรยด้วยกุหลาบ
ต้องมีภาพความลำบากดงขวากหนาม
ต้องต่อสู้อยู่ยืนหยัดพยายาม
จนได้นามสูงส่งว่าหงส์ทอง
ค่าของหงส์คงนามความศักดิ์สิทธิ์
ค่าชีวิตเกินค่าปักษาผอง
เป็นที่เฝ้าฝันใฝ่ตามใจปอง
แต่หงส์ย่อมหยิ่งผยองเกินมองใคร
วันนี้เราเศร้าปลงกับหงส์แล้ว
เพราะจากแก้วกลายเป็นกรวดอวดกันใหญ่
ผ้าแพรพรรณผืนบางเห็นข้างใน
ไม่เท่าไรหลุดร่วงเห็นนวลนม
ค่าของหงส์คงหมดน่าอดสู
คนเขาดูรู้แจ้งแช่งสาสม
ปีกหักล้าถลารานกายซานซม
คนสังคมเขาประณามตามที่เป็น
ต้องรู้เจ็บเก็บปีกอย่าหลีกหลบ
และควรลบภาพลักษณ์ที่มักเห็น
ใดควรปิดควรเปิดใดควรเน้น
จึงรู้เช่นเห็นชาติสะอาดนาม