19 มกราคม 2548 08:43 น.
น้ำตาหมอก
ประจงนิ้วพลิ้วเพลงเพียงแผ่วแผ่ว
มืดค่ำแล้วรักยังลอยอ้อยอิ่งอยู่
ลมลอดไล้ไล่เลี้ยวเฉี่ยวก้ามปู
คิดถึงแก้มอมชมพูอยู่ยาวนาน
ฉะนี้หนอพ้อคำพร่ำพร่ำเพ้อ
เหมือนเพ้อเจ้อหมกมุ่นจนงุ่นง่าน
รู้ทั้งรู้อยู่ว่าไม่กี่วาร
ร่างสังขารคนรักจักละลาย
เลือดน้ำเหลืองจะหล่นลงเป็นวงเหลือง
แล้วจบเรื่องควันลอยคล้อยเป็นสาย
โอ้ละหนอไม่น่าจะมาตาย
น่าเสียดายดวงแก้ววะแวววาม
รู้แล้วเรายังรักอยู่นักหนา
จนปัญญาต่อต้านต่อคำถาม
เรายังเห็นความงามในไม่งาม
คือนิยามของเราจงเข้าใจ
หน้าทั้งหน้ากล้าเข้มเต็มชมพู
พอตาดูดื่มซึ้งซึ่งสดใส
โลกทั้งโลกงดงามขึ้นทั้งใบ
แต่ทำไมใจเราเศร้าวังเวง
18 มกราคม 2548 08:31 น.
น้ำตาหมอก
ตัวไทยแต่ใจเทศ
นั่นคือเปรตอสุรกาย
ตัวเป็นแต่ใจตาย
มีความหมายฤาไม่มี
ต้องร็อคและแอนด์โรล์
เอามาโชว์ประชาชี
เกลียดซอคันชักสี
เกลียดระนาดกราดคะนอง
ทูนเทศขึ้นเป็นไท
และผลักไทยไปลงคลอง
โคตรเหง้าถูกเข้าครอง
แสงสว่างจะสร่างเว้น
เห็นชินบุญจึงบูชา
และเห็นค่าจึงควรเป็น-
ไทยระส่ำระสายกระเซ็น
เป็นชิ้นชิ้นจนชินชา
เพชรไทยเป็นไพรฑูรย์
จนเป็นทรายกลางคงคา
เป็นอาหารให้ปูปลา
ให้ฝาหรั่งมันงาบกิน
6 มกราคม 2548 08:55 น.
น้ำตาหมอก
เธอย่อมรู้เธอเป็นใครในวันนี้
เธอย่อมรู้หน้าที่ที่เธอสร้าง
จะเป็นดาวหาวห้องส่องหนทาง
หรือเป็นก้อนกรวดกลางทะเลไทย
มือเธอกร้านเกรียมแดดถูกแผดเผา
หรือมือเจ้าอ่อนลออเหมือนทอไหม
ขอมือเจ้าเป่าปัดขจัดภัย
คอยช่วยให้ทุกข์หายจากใจประชา
จงมือเธอทาบประทับไว้กับโลก
ช่วยลบโศกสร้างสรรค์สิ่งหรรษา
ลบทุกรอยทุกภาพคราบน้ำตา
และชูไฟขึ้นฟ้าคอยฝ่าฟัน
อีกลมหายใจเธอยังไม่หยุด
นั่นคือจุดก่อใจเติมไฟฝัน
ท้าทุกแรงแห่งชายหมายประจัญ
โลกนี้นั้นยังมีสิทธิ์เสรี
เธอมิใช่ไม้ดอกออกระย้า
แต่เป็นดอกไม้ป่าระยับสี
กว่าจะออกดอกประดับนานนับปี
นี่แหละคือหน้าที่ที่เธอทำ