3 เมษายน 2547 01:46 น.
น้ำตาซาตาน
บนระเบียงบ้านที่พรั่งพร้อมไปด้วยยาย และหลาน ๆ ทั้ง 3 กับบรรยากาศในฤดูหนาวที่บนฟ้าพราวไปด้วยหมู่ดาวรายล้อมในห้วงจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด อันเปรียบเสมือนห้องแห่งจินตนาการที่ยายใช้เป็นสถานที่ขับขานเล่านิทานให้หลานฟัง เด็ก ๆ เลือกที่จะมานอนฟังยายเล่านิทานที่ชานระเบียงมากกว่าตั้งหน้าดูละคร
"เห็นไหมนั่นดาวที่เป็นกลุ่ม ๆ นั่น เขาเรียกดาวลูกไก่"ยายพูดพลางชี้ให้หลาน ๆ ดู
"พี่เกียรติ ๆ ได้เวลาแล้วนะ มัวนั่งมองอะไรอยู่"
"เปล่า ข้ากำลังมองดาวบนท้องฟ้า" คนที่ชื่อเกียรติตอบ
"ถ้าพร้อมแล้ว งั้น..ไอ้ธง แกคอยดูต้นทางอยู่ตรงนี้ ถ้าใครมาไม่ชอบมาพากล แกจัดการได้เลย"
เกียรติกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปในบริเวณบ้านหลังใหญ่ หลังจากปีนป่ายผ่านกำแพงบ้านเข้าไปได้แล้ว
เป็นเวลาเกือบ 2 ปีที่เขามายึดอาชีพนี้ อาชีพที่ใครต่อใครต่างรังเกียจ และพยายามที่จะกำจัดออกจากสังคมให้หมดสิ้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่มีจุดอ่อนให้ถูกกำจัดออกเสียที
เขาใช้เครื่องมือที่เตรียมมางัดประตูหลังบ้านอย่างช่ำชอง เดินฝ่าความมืดเข้าไปในตัวบ้าน ที่ห้องรับแขกถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ มีแจกันประดับดอกไม้พลาสติกไว้ตรงกลาง ที่ตู้โชว์มีแจกันลายคราม แน่นอนเป็นของเก่าแก่ที่ผู้มีอันจะกินมักนิยมสะสม นัยว่าเป็นของไว้ประดับบารมีของผู้มีอันจะกินทั้งหลาย
เกียรติเดินมาหยุดอยู่ที่ภาพถ่ายใบใหญ่ในวันรับปริญญาของลูกเจ้าของบ้าน ทุกคนในภาพต่างปีติยินดียิ้มแย้มแจ่มใส ผู้รับปริญญาถือดอกไม้ช่อใหญ่ถ่ายภาพด้วยใจปีติ ถ้าแม้ผู้สำเร็จปริญญาในแต่ละปี เป็นคนดีให้สมกับที่ได้รับพระราชทานใบปริญญา ปานนี้ประเทศไทยคงหาผู้ร้ายยากเต็มที!
"ทำไมถึงชื่อว่าดาวลูกไก่ละยาย" หลานคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย
"เรื่องมันมีที่มา .." ยายมักเริ่มต้นเล่านิทานด้วยประโยคนี้เสมอ
สมัยก่อนนะ มีตากับยายอยู่คู่หนึ่งปลูกกระท่อมอยู่หลังเขา แกเลี้ยงไก่ไว้ตัวหนึ่ง ต่อมามันก็ออกไข่ และฟักจนเป็นลูก 7 ตัว มันก็พาลูกๆ หากินอยู่กับตายายหลังเขานั้นเป็นประจำทุกวัน
จนวันหนึ่ง มีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่เชิงเขา ตากับยายพอรู้เข้าก็มาปรึกษากันว่า จะทำอะไรไปถวายพระท่านดี เพราะแถวนี้ก็ไม่มีบ้านใครอื่นที่จะหยิบยื่นถวายภัตตาหาร แม้ผักที่ปลูกก็เหี่ยวแห้งตาย สักครู่ตาจึงคิดได้ว่า มีแม่ไก่อยู่ตัวหนึ่ง ควรที่จะฆ่าไก่แล้วแกงถวายพระ..
ยายตอบตกลงทันที ฝ่ายแม่ไก่ได้ยินดังนั้น ก็เกิดความสลดสังเวช ครั้นจะพาลูก ๆ หนีก็คงไม่รอดเสียแน่แท้ เพราะภัยในป่ามีอยู่มากมายรายล้อม จึงคิดจะแทนคุณตากับยาย เรียกๆลูกมาแล้วกล่าวว่า ลูกเอ๋ย พรุ่งนี้ตาจะจับแม่ฆ่าเพื่อทำอาหารไปถวายพระเสียแล้ว พวกเจ้าอยู่ด้วยกันก็อย่าทะเลาะกัน จงรักกันเหมือนที่แม่รักเจ้านะ ลูกไก่ทั้ง 7 ได้ฟังดังนั้นก็ให้เกิดความเศร้าเป็นหนักหนา รุ่งขึ้น เมื่อตาจับแม่ไก่ฆ่าแล้ว ด้วยความรักในแม่ ลูกไก่ทั้ง 7 จึงพากันวิ่งเข้ากองไฟตายตามแม่ไก่ไป และด้วยอานิสงส์ข้อนี้ จึงทำให้ลูกไก่ได้ไปเกิดเป็นดาวอยู่บนฟ้า เพื่อประกาศเกียรติคุณความดีมาถึงทุกวันนี้ .."
"ลูกไก่ใจกล้าจังนะค่ะยาย" ส้มเอ่ยขึ้นหลังจากยายเล่าจบ
จ๊ะ นิทานเรื่องนี้สอนอะไรเราบ้าง ไหนใครรู้บ้างตอบยายหน่อยสิ
"สอนความกล้าหาญ" ส้มตอบ
"สอนความรักแม่ ใช่มั้ยยาย" หนึ่งตอบบ้าง
"เอ้า ..เกียรติไม่เห็นตอบบ้างเลย" ยายหันมาถามหลานคนสุดท้าย เมื่อเห็นว่าเงียบไป
"ยายเคยบอกว่าการฆ่าตัวตายเป็นการหนีปัญหาอย่างน่าละอาย และเป็นบาปหนักใช่มั้ยครับ" เกียรติเอ่ยถามขึ้น
"ใช่จ๊ะ" ยายตอบ
"ลูกไก่ก็ฆ่าตัวตาย ทำไมเราต้องยกย่องด้วย"
"ลูกไก่ยังเล็ก ๆ และยังพร้อมใจกันทำอย่างนั้น ก็ด้วยความรักแม่อย่างแท้จริง สมควรที่จะยกย่องเชิดชูเพื่อเป็นตัวอย่างให้คนๆ อื่นได้"
เป็นเรื่องปกติที่เกียรติมักมีความเห็นในนิทานที่ยายเล่าไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเป็นหน้าที่ของยายที่ต้องถ่ายทอดอย่างระมัดระวัง
หนึ่ง ส้ม และเกียรติ เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน หนึ่งมีพี่สาว 2 คน ได้แต่งงานและไปอยู่กับสามีเป็นที่เรียบร้อย ส้มมีพี่ชาย 1 คน เกียรติไม่มีพี่ ไม่มีน้อง และไม่มีพ่อ เขามีแต่แม่ที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในคนๆเดียว แม่ของเขาได้พามาอยู่กับยายตั้งแต่เขายังจำความได้ ส่วนหนึ่ง กับส้ม แม้จะไม่ได้อยู่บ้านกับยาย แต่ก็อยู่ในละแวกเดียวกันที่มักจะมาฟังนิทานจากยายบ่อย ๆ
"วันนี้เรามานับดาวกันดีกว่า ดูสิว่าวันนี้จะได้เยอะกว่าเมื่อวานหรือเปล่า" ยายพูดขึ้น
ยายมักสอนหลาน ๆ ว่าเมื่อใดที่นับดาวได้เยอะมากเท่าไร นั่นหมายถึงคนดีได้เกิดมีขึ้นในโลกมากเท่านั้น บ่อยครั้งที่หลาน ๆ นับ แล้วเผลอหลับไป โดยยังไม่ทันได้คำตอบว่าวันนี้บนท้องฟ้ามีดาวเท่าไร ซึ่งทุกคนพยายามจะนับให้ได้มากที่สุด เพื่อหวังว่าบนโลกใบนี้จะมีคนดี ให้เยอะที่สุดเท่าที่จะมากได้
เกียรติเดินไปรอบ ๆ บ้านอย่างคุ้นเคย เจ้าของบ้านหลังนี้เขารู้จักดี แม้เป็นการลำบากที่ต้องย่องเบาขึ้นบ้านที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่ประสบการณ์มากกกว่า 2 ปี ไม่ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใดเลย เขารู้ว่าเป้าหมายนอนอยู่ชั้นบน และรู้กระทั่งว่านอนอยู่ห้องไหน จึงค่อย ๆ ย่างกรายขึ้นบันไดอย่างใจเย็น ในมือกำอาวุธคู่ใจสีดำทะมึนไว้แน่น มันอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้ทันที
เขาเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องนอนของเป้าหมาย เพียงแค่เขาผลักประตูเข้าไป แล้วกราดยิง งานชิ้นนี้ก็สิ้นสุดลงอย่างงดงาม พร้อมกับเงินค่าจ้างอีกครึ่งหนึ่ง แต่งานครั้งนี้ ไม่เหมือนงานครั้งอื่น ๆ ทั่วไป เขาลำบากใจอยู่หลายวันกว่าจะตกปากรับคำทำงานชิ้นนี้ และตั้งใจว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายสำหรับอาชีพนี้
"มันจะยากอะไรหนักหนาว่ะ ไอ้เกียรติ กะอีแค่ฆ่าคน ๆ หนึ่งเนี่ยะ แกก็ทำมาเยอะแล้วนี่นา"
"แต่คนนี้ เป็นตำรวจนะเฮีย ผมไม่ยากฆ่าคนดี ๆ"
"แกไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายตำรวจคนนี้เหรอ ไอ้เกียรติ"
"ยังไงหรอ เฮีย"
"ตำรวจคนนี้นะ ต่อหน้าสาธารณชน ก็เป็นนักปราบยาเสพติด แต่ลับหลัง กลับเป็นผู้ค้าเสียเอง ตามโรงเรียน หรือมหาลัยที่มียาบ้าเล็ดลอดเข้าไป ก็ตำรวจคนนี้แหละเป็นผู้หนุนหลังอยู่"
เกียรติผลักประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ บนเตียงหรูเป้าหมายไม่ได้นอนอยู่คนเดียว มีหญิงสาวนอนอยู่เคียงข้าง ในสภาพที่หลับใหลทั้งคู่ แสงไฟจากด้านนอกทำให้เขาเห็นเป้าหมายอย่างชัดเจน เขาเลือกที่จะใช้ปืนเก็บเสียง เพื่อที่หญิงสาวที่นอนข้าง ๆ จะไม่ตกใจตื่นมาเห็นหน้าเขา ซึ่งนั่นอาจทำให้เขาต้องลงมือสังหารอีกคน
เขาคิดน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาของตน ที่ต้องมาประกอบอาชีพหาเงินบนความตายของผู้อื่น ในขณะที่เพื่อน ๆ ต่างมีหน้าที่การงานที่มีหน้ามีตา มีชื่อเสียง มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เขาต้องมารับอาชีพนี้โดยไม่เต็มใจนัก เขาเป็นคนเรียนไม่เก่ง และมักมีเรื่องวิวาทต่อยตีบ่อยครั้ง จนถูกให้ออกจากโรงเรียน ครั้งนั้นเองที่เขาไม่กล้าจะไปเผชิญหน้ากับใคร กลายเป็นคนขาดความมั่นใจ ซัดเซพเนจร จนได้ไปพบกับเสี่ยเที่ยง ผู้กว้างขวางในย่านนั้น เสี่ยเที่ยงได้ให้ความช่วยเหลือ ด้วยหวังให้เป็นลูกสมุนไว้คอยจัดการพวกที่ขวางหูขวางตา ขวางมือขวางเท้าเสี่ย โดยการให้งานแต่ละครั้งนั้น เสี่ยเที่ยงจะบอกว่า คนที่ให้ฆ่านั้น สมควรตายโดยแท้ เพราะชั่วอย่างนั้นอย่างนี้เสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
เสร็จภารกิจแล้ว เขาย่องออกจากบ้านอย่างไม่เร่งรีบ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
รุ่งเช้า..
หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวตัวโต "เสี่ยใหญ่ถูกสังหารดับกลางดึก สันนิษฐานขัดผลประโยชน์"
เกียรติวางหนังสือพิมพ์ลง พร้อมยกถ้วยกาแฟกระดกเข้าปากอย่างอารมณ์ดี
"ตำรวจคนอื่นจะเป็นอย่างไร ผมไม่รู้ แต่สำหรับตำรวจที่เฮียสั่งเก็บนั่นนะ ผมรู้จักดี มันเป็นเพื่อนผมเอง ไม่มีทางที่มันไปทำอะไรอย่างที่เฮียว่าได้หรอก พอกันทีกับอาชีพฆ่าคน" เกียรตินั่งนึกคนเดียว
"ไปยังว่ะ ไอ้เกียรติ"
"ก็นั่งรอแกอยู่นี่แหละ ไอ้หนึ่ง เป็นนายตำรวจแล้วอืดอาดอย่างนี้ได้ไงว่ะ"
"เออน่า ๆ นิดเดียวเอง บ่นเป็นคนแก่ไปได้ เดี๋ยวชวนส้มไปด้วย นาน ๆ จะได้ไปเยี่ยมยายพร้อม ๆ กันสักครั้ง "
ณ ระเบียงบ้านที่เดิม มียายที่ชราภาพมากด้วยผ่านกาลฝนมากกว่า 90 ปี และหลานอีก 3 คนที่โตเป็นหนุ่มสาวหมดแล้ว
"วันนี้เรามานับดาวกันดีกว่า ดูสิว่าวันนี้จะได้เยอะกว่าเมื่อปีที่แล้วหรือเปล่า" ประโยคเดิม ๆ ที่ยายมักใช้กับหลาน ๆ เสมอ
หนึ่ง กับ ส้ม อาจจะนับดาวได้จำนวนเท่าเดิม แต่สำหรับเกียรติ เขายิ้มกริ่มนับดาวบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม เพราะบัดนี้เขาได้เพิ่มจำนวนดาวบนท้องฟ้าอีกดวงแล้ว ด้วยตัวเขาเอง
"ยิ่งดาวบนท้องฟ้ามากเท่าไร นั่นหมายถึงคนดีเกิดขึ้นบนโลกแล้วมากเท่านั้นแหละ หลาน ๆ เอ๊ย.."
2 เมษายน 2547 14:35 น.
น้ำตาซาตาน
เริ่มจากความรู้สึกดีๆ กับคนๆหนึ่ง เขาหยิบยื่นทุกอย่างที่เป็นรูปธรรมให้แก่ฉัน แต่สิ่งที่เป็นนามธรรม หรือความในใจของเขา ฉันไม่อาจรู้เลยแม้จนนิดเดียว
ด้วยวัตถุที่เป็นรูปธรรมนี่เอง ฉันหลงกับเขาเหล่านั้น คิดว่าเขามีใจให้จริงๆ ความรู้จักเอาอกเอาใจของเขา บวกกับความเสียสละในโอกาสต่างๆ เช่น ยอมลุกที่นั่งให้คนแก่บนรถเมล์ ปิดท่อที่มีคนเปิดทิ้งไว้ในทางริมถนนฟุตบาธ ฯลฯ
ฉันรักเขาจนหมดหัวใจ เขาไปที่บ้านฉันอย่างคนคุ้นเคย ฉันแนะนำกับพี่สาว และแม่อย่างไม่เคอะเขินว่า เขาคือแฟน
เราคบกันแบบแฟนอย่างเปิดเผย จนวันหนึ่ง เขาได้ขอในสิ่งที่ฉันหวงแหนมา 21 ปีเต็ม นั่นคือความสาว ฉันให้อย่างเต็มใจแม้แม่จะเคยเตือนหนักเตือนหนาก็ตามที แต่คิดว่ามันเป็นเรื่องของเราสองคน ที่รู้กันแค่สองคนเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป ฉันพึ่งรู้ ฉันคิดผิด
เขาเริ่มเปลี่ยนไป
เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวขึ้น และเฉยชากับฉันขึ้นอย่างน่าใจหาย
สิ่งที่เลวร้าย และฉันรับไม่ได้เลยคือ เค้าไม่รับโทรศัพท์ฉัน
เราเจอกันน้อยลง ฉันเริ่มปลง
และในที่สุด ฉันก็เจอเข้ากับสัจธรรม เขาไปกับผู้หญิงคนใหม่อย่างน่าใจหาย
ฉันไม่ได้เสียดายเขา แต่ความปวดร้าวคือ ฉันจะแบกหน้าไปเจอใครได้ ในเมื่อคนอื่นเขารู้กันหมดแล้วว่าเรารักกัน และจะแต่งงานกัน!
เขาเสียชีวิตลงหลังจากเลิกกับฉันได้ 7 เดือน
ฉันร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในเหตุการณ์ครั้งนี้
ฉันไม่ได้เสียใจที่เขาตายไป แต่ที่ฉันเสียใจ เพราะเขาตายด้วยโรคเอดส์!
ไม่ต้องสงสัยใดๆทั้งสิ้น ฉันรับเชื้อนั้นมาอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องไปตรวจให้เสียเวลา เขาก็คือผู้ชายที่มอบทุกอย่างให้กับฉันอย่างแท้จริง
ทุกวันนี้ฉันนั่งรอความตายอย่างสิ้นหวัง เนื้อตัวเริ่มไม่มีแรงแม้แต่จะลุกออกเดิน คนรอบข้างรังเกียจถึงขนาดไม่ยอมคบค้าสมาคม ฉันอยากจะอยู่กับความฝันในยามค่ำคืนนาน ๆ ตลอดไป
เมื่อคืนฉันฝันว่าได้แต่งงานและอยู่กับเขาอย่างมีความสุข เรากำลังจะมีลูกกัน แต่น่าเสียดายที่ฉันดันเผลอตื่นมาก่อน .
คืนนี้ ฉันคงจะโหยหายฝันอย่างนี้ต่อ ๆ ไป จนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันยังรักเขา เพียงเพราะว่า..
เขาให้ฉันทุกอย่าง จริง ๆ
"ผู้หญิงรักผู้ชายด้วยหัวใจ
แต่ผู้ชายรักผู้หญิงด้วยหัวสมอง"
นักปราชญ์ท่านหนึ่งบอกเอาไว้ และอาจจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ