21 มกราคม 2549 22:48 น.
น้ำตาซาตาน
ฉันนั่งอยู่ระเบียงหลังบ้าน
กับกาแฟน 1 ถ้วยที่ฉันเฝ้าชงทุกวัน แต่ไม่เคยเลยที่จะลงชิมรสชาติของกาแฟ
ฉันเพียงลิ้มกลิ่นของกาแฟ เพียงเท่านี้ ฉันก็รู้สึกดี
นกการะเวกขับขานอยู่บนต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน
ฉันไม่รู้ว่าต้นนี้อายุเท่าไร จำความได้ มันก็ตั้งตระหง่านแผ่กิ่งก้านให้ความร่มรื่นได้เพียงนี้
ฉันหยิบถ้วยกาแฟขึ้น เอาขอบถ้วยมาใกล้กับปลายจมูก เพื่อสูดกลิ่นไอระเหยอันหอมกรุ่น
การได้รับสิ่งดีๆบางอย่างจากของบางสิ่ง ไม่จำเป็นต้องทั้งหมด เพียงทำให้ใจมีความสุข ก็น่าจะพอ
ฉันเฝ้าชิมกาแฟจากสัมผัสแห่งกลิ่น โดยไม่เคยคิดอยากจะดื่มกาแฟ เพียงคิดว่า คุณค่าที่กาแฟให้ดว้ยกลิ่นอันหอม ก็น่าจะพอ
ฉันเฝ้าทะนุถนอมเธอคนหนึ่ง โดยไม่เคยคาดหวังสิ่งตอบแทน หรือหวงแหนเธอมาครอบครอง เพียงเธอน่ารักในแบบของเธอ รอยยิ้มที่เธอมีให้ เท่านี้ก็สุขใจพอ
ฉันรู้จักเธอนานเท่าไร ..จำไม่ได้ แต่ก็นานพอที่จะทำให้หั้วใจอันกระด้างของฉันอ่อนแรงลง
ฉั น รั ก เ ธ อ
ฉันสัมผัสในความรักที่มีแก่เธอฝ่ายเดียว โดยมิเคยหวังว่า ฉันจะได้รักตอบ ชื่นชอบ ชื่นชมในความเป็นเธอ แม้เธอจะไปกับใคร แต่ในเวลาเช้าที่ฉันนั่งลิ้มกลิ่นกาแฟ ได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสจากเธอ เท่านั้นก็พอ
วันนี้.... หลังบ้าน ต้นไม้ใหญ่ยังคงปรากฏนกการะเวก ที่แปลกไปก็ตรงที่นกการะเวกได้เพิ่มจาก 1 ตัว เป็น 2 ตัว มันมีคู่แล้ว
ฉันนั่งบนเก้ากี้ตัวเก่า..มองไปเบื้องหน้า ไม่มีเธอแล้ว เธอไปแล้ว เธอไปกับเขา ..
เขา....ที่เอาใจเธอ
เขา....ที่รักเธอ
เขา....ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้เธอรู้ว่าเขารัก จนทั้งคู่มีความรักแก่กันและกัน
ฉัน...รู้จักเธอมานาน และรักเธอมานาน แต่ก็เฝ้าที่จะชื่นชม และชื่นชอบอยู่ห่างๆ ในรูปแบบของตัวเอง
ฉันหยิบถ้วยกาแฟนถ้วยเก่า เอาขอบถ้วายเข้าใกล้ริมฝีปาก ค่อยๆ ยกก้นแก้วขึ้น เพื่อให้กาแฟไหลเข้าสสู่ปากผ่านลำคออย่างแผ่วเบา
คงถึงเวลาที่ฉันจะต้องลิ้มรสกาแฟมากกว่ากลิ่นแล้วล่ะ..
11 มิถุนายน 2548 10:48 น.
น้ำตาซาตาน
เรื่องมันเกิดขึ้นตอนเช้าของวันวุ่น ๆ วันหนึ่งซึ่งผมไม่อยากจะจำใส่กระโหลกเลยยย ..แต่เอาเถอะ ผมจะเล่าให้ฟัง
ขณะที่ผมกำลังลุกลี้ลุกลนกับการเริ่มต้นวันใหม่ของการทำงานวันแรก ยังนึกโกรธตัวเองไม่หาย เมื่อคืนไม่น่าฉลองกับเพื่อน ๆ ดึกไปหน่อยเลย แต่มันน่าดีใจนี่นา คนจบการศึกษาปุ๊บได้งานปั๊บอย่างผม ถึงแม้เงินเดือนจะไม่มากก็ตามเถอะ ..งานมันหาได้ง่าย ๆ ซะที่ไหน ยิ่งงานที่ตัวเองถนัด และเรียนมาโดยตรงอย่างนี้ด้วย มันน่าวิเศษจริง ๆ
ผมจัดการกับตัวเองหลังตื่นสายอย่างเร่งรีบ อุตส่าห์จะสร้างความประทับใจแก่ผู้จัดการ และเพื่อน ๆ ในที่ทำงานในวันแรกแท้ ๆ ชุดสูทที่ซื้อไว้รีดไว้อย่างดี แต่ถูกสวมใส่ร่างอย่างเร่งร้อน ไม่อยากจะบอกเลยจริง ๆ วันนี้ขอทีเถอะ ผมไม่ได้แปรงฟัน เพียงแค่กลั้วน้ำสองสามครั้ง ดีนะที่หนวดเครายังไม่ยาวเท่าไร จึงไม่ต้องเสียเวลาโกนอีก ปวดหนักกะปวดเบา เอาน่า พอทนได้ อั้นไว้ก่อนๆๆ ...วันแรกของงานทำงานอันสุดแสนทุเรศของผม!
เฮ้อ..!!
จราจรยังคงเส้นคงวาเช่นทุกวัน แน่นเอี้ยดเหมือนเดิม นั่งรถปรับอากาศสาย 49 แอร์เย็นฉ่ำ แต่ผมนั่งเหงื่อซึมเต็มแผ่นหลัง หลับตาเห็นภาพผู้จัดการยืนรอที่โต๊ะทำงานด้วยสายตาอันร้อนฉ่า เพื่อนที่ทำงานพยายามเข่นฆ่าผมด้วยสายตา ...โอ๊ยยย ผมทนไม่ได้ๆๆๆๆ
เวลาผมเหลือน้อยเต็มทนแล้ว ขณะที่นั่งลุกลี้ลุกลนอย่างกับคนทำความผิดมาอยู่นั้น เบาะที่นั่งข้าง ๆ กลับปรากฏหญิงสาวนางหนึ่งทิ้งตัวลงนั่งอย่างแผ่วเบา สวยหรือไม่ ผมไม่ได้สังเกต อารมณ์ตอนนั้นต่อให้บริทนีย์ สเปียร์มาเปิดอกโชว์ต่อหน้าก็หายี่หระสนใจ ตอนนี้จิตใจจดจ่อแต่ที่ทำงาน และผู้จัดการสุดโหด สร้อยตามหลังว่าสุดโหดนี้ ตั้งใจเติมให้เอง แม้จะยังไม่เคยเห็นผู้จัดการก็ตาม แต่เห็นที่ไหน ๆ ผู้จัดการก็ดุ เห็นพนักงานเป็นแรงงานเหล็ก ใช้ ๆ ๆ ๆ ไม่คำนึงถึงจิตใจ มุ่งกำไรเป็นสำคัญ ก็เหมือนๆกันแหละ ..ผู้จัดการ
"คุณค่ะ...เอกสารคุณตกค่ะ"
ผมหันไปตามเสียง เธอเองหญิงสาวผู้พึ่งมานั่งตะกี้ เมื่อสักครู่ไม่ได้ทันสังเกต แต่บัดนี้เมื่อตาเธอกับตาผมสบกันในระยะไม่กี่เมตร จิตใจถึงกับวูบวาบร้อนผ่าว เอกสารที่ถือในมือทั้งหมดหลุดจากมืออย่างไม่รู้ตัว เธอตกใจกับอาการตะลึงของผม รีบเก็บเอกสารให้เป็นการใหญ่ พอได้สติผมจึงก้มลงช่วยเธอเก็บบ้าง
"นี่ครับ ..เอกสารของคุณ" ผมยื่นเอกสารในมือให้เธอโดยที่สายตายังจดจ้องที่หน้าเธอยังไม่ลดละ
"ไม่ใช่เอกสารของฉันค่ะ" เธอตอบ
"อ้าวว ..แล้ว ของ เอ่ะ..."
"อ่อ ..ของผมเอง แฮะ ๆๆ "ผมตอบอย่างขวยเขิน ไม่รู้ตอนนั้นหน้าหนา ๆ ของผมจะเป็นสีแดงหรือเปล่า ภาวนาว่าอย่างแดง ก็อายเธอนะสิ
"วันนี้ คุณไปทำงานเป็นวันแรกหรือค่ะ" เธอถามขึ้นเมื่อเห็นผมยังไม่หายอาย
"อะ อ้อ ครับ ..วันนี้เป็นวันแรกของการทำงาน แต่แย่จัง วันแรกแท้ ๆ แต่ผมกลับไปสายเสียนี่ แย่จริง ๆ"
"ดิชั้น ก็ทำงานเป็นวันแรกเหมือนกันค่ะ วันนี้อยากลองนั่งรถเมล์ดู ไม่คิดว่าจะใช้เวลาขนาดนี้ จึงไปสายเหมือนกันเลย" เธอตอบ
"แย่จังเลยนะครับ วันนี้สงสัยโดนผู้จัดการสุดโหด ดุเอาแน่ๆเลย"
"ผู้จัดการที่ทำงานของคุณดุมากเลยหรือค่ะ" เธอถามอย่างสงสัย
"ดุครับ ดุมาก ๆ ผู้จัดการที่ไหนส่วนใหญ่ก็ดุ ชอบวางอำนาจ ถือว่าตัวเองมีสิทธิ์ไล่พนักงานออก ก็ข่มเหงสารพัดอย่าง มุ่งแต่กำไรให้บริษัท แต่ไม่เคยคิดถึงจิตใจพนักงาน.....ฯลฯ.." ผมสาธยายด้วยสีหน้าจริงจัง
ตลอดระยะเวลาการสนทนาบนรถเมล์ เต็มไปด้วยสีสันกันเองยิ่งนัก แม้จะเพิ่งพบกันครั้งแรกก็ตาม เธองดงามจริง ๆ ทั้งหน้าตา กิริยา และจิตใจ ผมสัมผัสได้จากความรู้สึกลึกๆของผม เมื่อมีคนแก่ขึ้นมาบนรถเมล์เธอลุกให้แกนั่งอย่างไม่ลังเล ทิ้งผมให้นั่งคู่กะยายแก่ ๆ หอบข้าวของพะรุงพะรัง ไหนเลยผมจะยอมนั่งด้วย ..เลยรีบลุกไปยืนโหนราวข้าง ๆ เธอ คนแก่อีกคนหนึ่งรีบเบียดไปนั่งที่ของผมทันที คงจ้องมานานแล้วละซี
"คุณเป็นคนมีน้ำใจจริง ๆ น่ะค่ะ" เธอกล่าวเมื่อผมกระแซะไปยืนข้าง ๆ
"ผมทนไม่ได้หรอกครับ เมื่อเห็นคนมีอายุยืน ขณะที่ตัวเองนั่งสบาย" เอาเข้าไป ..ไม่รู้อะไรทำให้ผมตอบไปอย่างนั้น แต่รู้สึกตัวเองดูดีขึ้นแฮะ
แต่เดิมผมกลัวการเข้าทำงานสาย แต่พอได้เจอเธอ คุยกับเธอ ถึงกับยอมโดนผุ้จัดการด่า หรือเพื่อน ๆ ที่ทำงานมองด้วยสายตาดูแคลน ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า จะขอยืนคุยกับเธอไปจนเธอลงป้าย จะได้รู้ว่าเธอทำงานที่ไหน วันหลังจะได้มีโอกาสมาหาเธอได้อีก ถึงจะโดนไล่ออกจากงานก็ช่างเถอะ หางานใหม่ก็ได้ เพื่อน ๆหลายคนที่จบพร้อม ๆ กันยังไม่ได้งานก็มี เราถือว่าโชคดีได้งานไว แต่จะตกงานไวก็ไม่น่าแปลก งานไม่แฮปปี้ ความรักแฮปปี้ก็พอ
เราคุยกันอย่างถูกคอ จนในที่สุดเธอลงป้าย ผมก้าวลงตามเธอยังไม่ลังเล
"คุณทำงานแถว ๆ นี้เหมือนกันหรือค่ะ" เธอถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นผมก้าวตามลงมา
"อ้อ ชะ ..ใช่ครับ" กล่าวพลางสำรวจตึกที่ทำงานของเธอรอบ ๆ
เป็นฟ้าลิขิตแน่ ๆ ที่ทำงานเธอตึกเดียวกันกับที่ทำงานผม เพียงแต่ว่าเธอขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่ 14 ส่วนผมไปชั้น 7 เอาน่า ตึกเดียวกัน แม้จะคนละชั้นกัน ก็ต้องมีโอกาสเจอกันจนได้แหละ ..:)
เพื่อน ๆ ที่ทำงานไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่ผมคิดไว้แฮะ ทุกคนยิ้มแย้ม และทักทายกับผมอย่างกันเอง เฮ้อ..โล่งอก
"ทำงานวันแรกก็สายเลยยน๊า ...ธงสิน" หัวหน้าแผนกทักทายก่อน
ผมยืนนิ่งสำรวมสายตาก้มต่ำมองพื้น เป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไรจะแก้ตัว
"ดีน่ะ วันนี้ผู้จัดการคนใหม่ก็มาสาย เดี๋ยวไปรายงานตัวกับผู้จัดการก่อนนะ"
"ครับพี่"
"สุณัฐชา..พาธงสินไปพบผู้จัดการหน่อยนะ แล้วค่อยมาทำงานต่อ"
"ค่ะ"
ผู้หญิงที่ชื่อสุณัฐชา เดินนำหน้าผมอย่างเร่งรีบเข้าไปในลิฟต์ ไม่ได้สังเกตเหมือนกันว่าเธอกดไปชั้นไหน ตอนนี้คิดหาเพียงคำแก้ตัวหรู ๆ สักสองสามประโยคให้กับผู้จัดการสุดโหด
"ผู้จัดการค่ะ พนักงานใหม่มารายงานตัวค่ะ" เมื่อเลขาหน้าห้องพูดผ่านโทรศัพท์เข้าไป ก็มีเสียงตอบมาว่าให้ผมเข้าไปได้ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลย ผับผ่าซี ตอนพรีเซนต์รายงานหน้าห้องเรียนไม่เห็นตื่นเต้นงี้วะ..!!
พอผมเปิดประตูเข้าไป เมื่อสายตากวาดรอบ ๆ จนทั่วแล้ว สายตาผมก็มาหยุดอยู่ที่สายตาผู้จัดการของผมที่มองมาทางผมเช่นกัน ใจผมยิ่งเต้นถี่ไม่เป็นจังหวะมากขึ้น แรงขึ้นแทบจะกระเด็นออกมาข้างนอก สายตาที่ผมสบด้วยนั้น เป็นสายตาที่ผมพึ่งสบและตะลึงมาแล้วเมื่อเช้านี่เองบนรถเมล์
ใช่แล้ว ผู้จัดการของผม ก็คือผู้หญิงที่ผมพึ่งคุยด้วยเมื่อเช้าบนรถเมล์ นี่ถ้าไม่เรียกฟ้าลิขิต ไม่รู้จะเรียกอะไรได้อีกแล้ว
"คุณเองเหรอ คุณเป็นผู้จัดการคนใหม่ของผม"
"คุณเองก็เหมือนกัน ..เป็นยังไงผู้จัดการดุไหม?" เธอพูดแซวทำสีหน้าล้อเลียนจนผมไม่กล้าพูดไร ก็เมื่อเช้านินทาผู้จัดการให้เธอฟังไปเยอะนี่นา
"ในฐานะที่ฉันเป็นผู้จัดการของคุณ ฉันอยากจะแนะนำอะไรคุณในฐานะเป็นพนักงานของฉันสักหน่อย" เธอพูดจริงจังเป็นทางการ จนผมขนลุก
"ครับ.."
"ฉันอยากให้คุณทุ่มเทกับงาน มาทำงานให้ตรงเวลา วันนี้ถือว่าเป็นวันแรก แต่ขออย่าให้มีในวันต่อๆไปน่ะ"
"ครับ.."
"เอาล่ะ วันนี้ไปทำงานได้ ขอให้สนุกกับการทำงานนะ"
เธอกล่าวจบผมลุกหันหลังให้เธอ ก้าวอย่างช้า ๆ มาที่ประตู ใจจริงอยากจะพูดอะไรอีกมากมาย แต่เมื่อคิดว่าตัวเองอยุ่ในฐานะพนักงาน เธออยู่ในฐานะผู้จัดการ ย่อไม่เหมาะอย่างยิ่ง แต่ถ้าเธอจะพูดกับเราบ้างในเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงานย่อมไม่เป็นไร เมื่อเช้าก็เห็นเธอพูดกับเราบนรถเมล์อย่างยิ้มแย้มสนุกสนานนี่นา ก่อนที่มือผมจะจับลูกบิดประตู ก็มีเสียงเธอบอกให้หยุดก่อน ผมยิ้มอย่างยินดียิ่ง หรือว่าเธอจะชวนเราออกไปทานข้าวเที่ยงวันนี้ ..ใช่แน่ๆ
"เมื่อเช้านะ.. บนรถเมล์..."เธอคงประทับใจเราบนรถเมล์แน่ๆ สงสัยอายถึงกับพูดอ้ำอึ้ง
"คุณนะ ปากโคตรเหม็น ไม่ได้แปรงฟันมากี่วันแล้วละ ฉันอุตส่าห์ลุกหนีไปยืนโหนราว คุณก็ยังตามไปอีก..."
เธอยังคงพรั่งพรูอีกหลายคำ แต่ผมขออนุญาตขัดคำสั่งผู้จัดการสาว ไม่ขอยืนฟังเธอพูดจนจบ อย่าถามนะว่าทำไม ถ้าไม่ใช่อยู่บนตึก สาบานได้ ผมจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีแน่ ๆ เชียว.
3 เมษายน 2547 01:46 น.
น้ำตาซาตาน
บนระเบียงบ้านที่พรั่งพร้อมไปด้วยยาย และหลาน ๆ ทั้ง 3 กับบรรยากาศในฤดูหนาวที่บนฟ้าพราวไปด้วยหมู่ดาวรายล้อมในห้วงจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด อันเปรียบเสมือนห้องแห่งจินตนาการที่ยายใช้เป็นสถานที่ขับขานเล่านิทานให้หลานฟัง เด็ก ๆ เลือกที่จะมานอนฟังยายเล่านิทานที่ชานระเบียงมากกว่าตั้งหน้าดูละคร
"เห็นไหมนั่นดาวที่เป็นกลุ่ม ๆ นั่น เขาเรียกดาวลูกไก่"ยายพูดพลางชี้ให้หลาน ๆ ดู
"พี่เกียรติ ๆ ได้เวลาแล้วนะ มัวนั่งมองอะไรอยู่"
"เปล่า ข้ากำลังมองดาวบนท้องฟ้า" คนที่ชื่อเกียรติตอบ
"ถ้าพร้อมแล้ว งั้น..ไอ้ธง แกคอยดูต้นทางอยู่ตรงนี้ ถ้าใครมาไม่ชอบมาพากล แกจัดการได้เลย"
เกียรติกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปในบริเวณบ้านหลังใหญ่ หลังจากปีนป่ายผ่านกำแพงบ้านเข้าไปได้แล้ว
เป็นเวลาเกือบ 2 ปีที่เขามายึดอาชีพนี้ อาชีพที่ใครต่อใครต่างรังเกียจ และพยายามที่จะกำจัดออกจากสังคมให้หมดสิ้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่มีจุดอ่อนให้ถูกกำจัดออกเสียที
เขาใช้เครื่องมือที่เตรียมมางัดประตูหลังบ้านอย่างช่ำชอง เดินฝ่าความมืดเข้าไปในตัวบ้าน ที่ห้องรับแขกถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ มีแจกันประดับดอกไม้พลาสติกไว้ตรงกลาง ที่ตู้โชว์มีแจกันลายคราม แน่นอนเป็นของเก่าแก่ที่ผู้มีอันจะกินมักนิยมสะสม นัยว่าเป็นของไว้ประดับบารมีของผู้มีอันจะกินทั้งหลาย
เกียรติเดินมาหยุดอยู่ที่ภาพถ่ายใบใหญ่ในวันรับปริญญาของลูกเจ้าของบ้าน ทุกคนในภาพต่างปีติยินดียิ้มแย้มแจ่มใส ผู้รับปริญญาถือดอกไม้ช่อใหญ่ถ่ายภาพด้วยใจปีติ ถ้าแม้ผู้สำเร็จปริญญาในแต่ละปี เป็นคนดีให้สมกับที่ได้รับพระราชทานใบปริญญา ปานนี้ประเทศไทยคงหาผู้ร้ายยากเต็มที!
"ทำไมถึงชื่อว่าดาวลูกไก่ละยาย" หลานคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย
"เรื่องมันมีที่มา .." ยายมักเริ่มต้นเล่านิทานด้วยประโยคนี้เสมอ
สมัยก่อนนะ มีตากับยายอยู่คู่หนึ่งปลูกกระท่อมอยู่หลังเขา แกเลี้ยงไก่ไว้ตัวหนึ่ง ต่อมามันก็ออกไข่ และฟักจนเป็นลูก 7 ตัว มันก็พาลูกๆ หากินอยู่กับตายายหลังเขานั้นเป็นประจำทุกวัน
จนวันหนึ่ง มีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่เชิงเขา ตากับยายพอรู้เข้าก็มาปรึกษากันว่า จะทำอะไรไปถวายพระท่านดี เพราะแถวนี้ก็ไม่มีบ้านใครอื่นที่จะหยิบยื่นถวายภัตตาหาร แม้ผักที่ปลูกก็เหี่ยวแห้งตาย สักครู่ตาจึงคิดได้ว่า มีแม่ไก่อยู่ตัวหนึ่ง ควรที่จะฆ่าไก่แล้วแกงถวายพระ..
ยายตอบตกลงทันที ฝ่ายแม่ไก่ได้ยินดังนั้น ก็เกิดความสลดสังเวช ครั้นจะพาลูก ๆ หนีก็คงไม่รอดเสียแน่แท้ เพราะภัยในป่ามีอยู่มากมายรายล้อม จึงคิดจะแทนคุณตากับยาย เรียกๆลูกมาแล้วกล่าวว่า ลูกเอ๋ย พรุ่งนี้ตาจะจับแม่ฆ่าเพื่อทำอาหารไปถวายพระเสียแล้ว พวกเจ้าอยู่ด้วยกันก็อย่าทะเลาะกัน จงรักกันเหมือนที่แม่รักเจ้านะ ลูกไก่ทั้ง 7 ได้ฟังดังนั้นก็ให้เกิดความเศร้าเป็นหนักหนา รุ่งขึ้น เมื่อตาจับแม่ไก่ฆ่าแล้ว ด้วยความรักในแม่ ลูกไก่ทั้ง 7 จึงพากันวิ่งเข้ากองไฟตายตามแม่ไก่ไป และด้วยอานิสงส์ข้อนี้ จึงทำให้ลูกไก่ได้ไปเกิดเป็นดาวอยู่บนฟ้า เพื่อประกาศเกียรติคุณความดีมาถึงทุกวันนี้ .."
"ลูกไก่ใจกล้าจังนะค่ะยาย" ส้มเอ่ยขึ้นหลังจากยายเล่าจบ
จ๊ะ นิทานเรื่องนี้สอนอะไรเราบ้าง ไหนใครรู้บ้างตอบยายหน่อยสิ
"สอนความกล้าหาญ" ส้มตอบ
"สอนความรักแม่ ใช่มั้ยยาย" หนึ่งตอบบ้าง
"เอ้า ..เกียรติไม่เห็นตอบบ้างเลย" ยายหันมาถามหลานคนสุดท้าย เมื่อเห็นว่าเงียบไป
"ยายเคยบอกว่าการฆ่าตัวตายเป็นการหนีปัญหาอย่างน่าละอาย และเป็นบาปหนักใช่มั้ยครับ" เกียรติเอ่ยถามขึ้น
"ใช่จ๊ะ" ยายตอบ
"ลูกไก่ก็ฆ่าตัวตาย ทำไมเราต้องยกย่องด้วย"
"ลูกไก่ยังเล็ก ๆ และยังพร้อมใจกันทำอย่างนั้น ก็ด้วยความรักแม่อย่างแท้จริง สมควรที่จะยกย่องเชิดชูเพื่อเป็นตัวอย่างให้คนๆ อื่นได้"
เป็นเรื่องปกติที่เกียรติมักมีความเห็นในนิทานที่ยายเล่าไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเป็นหน้าที่ของยายที่ต้องถ่ายทอดอย่างระมัดระวัง
หนึ่ง ส้ม และเกียรติ เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน หนึ่งมีพี่สาว 2 คน ได้แต่งงานและไปอยู่กับสามีเป็นที่เรียบร้อย ส้มมีพี่ชาย 1 คน เกียรติไม่มีพี่ ไม่มีน้อง และไม่มีพ่อ เขามีแต่แม่ที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในคนๆเดียว แม่ของเขาได้พามาอยู่กับยายตั้งแต่เขายังจำความได้ ส่วนหนึ่ง กับส้ม แม้จะไม่ได้อยู่บ้านกับยาย แต่ก็อยู่ในละแวกเดียวกันที่มักจะมาฟังนิทานจากยายบ่อย ๆ
"วันนี้เรามานับดาวกันดีกว่า ดูสิว่าวันนี้จะได้เยอะกว่าเมื่อวานหรือเปล่า" ยายพูดขึ้น
ยายมักสอนหลาน ๆ ว่าเมื่อใดที่นับดาวได้เยอะมากเท่าไร นั่นหมายถึงคนดีได้เกิดมีขึ้นในโลกมากเท่านั้น บ่อยครั้งที่หลาน ๆ นับ แล้วเผลอหลับไป โดยยังไม่ทันได้คำตอบว่าวันนี้บนท้องฟ้ามีดาวเท่าไร ซึ่งทุกคนพยายามจะนับให้ได้มากที่สุด เพื่อหวังว่าบนโลกใบนี้จะมีคนดี ให้เยอะที่สุดเท่าที่จะมากได้
เกียรติเดินไปรอบ ๆ บ้านอย่างคุ้นเคย เจ้าของบ้านหลังนี้เขารู้จักดี แม้เป็นการลำบากที่ต้องย่องเบาขึ้นบ้านที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่ประสบการณ์มากกกว่า 2 ปี ไม่ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใดเลย เขารู้ว่าเป้าหมายนอนอยู่ชั้นบน และรู้กระทั่งว่านอนอยู่ห้องไหน จึงค่อย ๆ ย่างกรายขึ้นบันไดอย่างใจเย็น ในมือกำอาวุธคู่ใจสีดำทะมึนไว้แน่น มันอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้ทันที
เขาเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องนอนของเป้าหมาย เพียงแค่เขาผลักประตูเข้าไป แล้วกราดยิง งานชิ้นนี้ก็สิ้นสุดลงอย่างงดงาม พร้อมกับเงินค่าจ้างอีกครึ่งหนึ่ง แต่งานครั้งนี้ ไม่เหมือนงานครั้งอื่น ๆ ทั่วไป เขาลำบากใจอยู่หลายวันกว่าจะตกปากรับคำทำงานชิ้นนี้ และตั้งใจว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายสำหรับอาชีพนี้
"มันจะยากอะไรหนักหนาว่ะ ไอ้เกียรติ กะอีแค่ฆ่าคน ๆ หนึ่งเนี่ยะ แกก็ทำมาเยอะแล้วนี่นา"
"แต่คนนี้ เป็นตำรวจนะเฮีย ผมไม่ยากฆ่าคนดี ๆ"
"แกไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายตำรวจคนนี้เหรอ ไอ้เกียรติ"
"ยังไงหรอ เฮีย"
"ตำรวจคนนี้นะ ต่อหน้าสาธารณชน ก็เป็นนักปราบยาเสพติด แต่ลับหลัง กลับเป็นผู้ค้าเสียเอง ตามโรงเรียน หรือมหาลัยที่มียาบ้าเล็ดลอดเข้าไป ก็ตำรวจคนนี้แหละเป็นผู้หนุนหลังอยู่"
เกียรติผลักประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ บนเตียงหรูเป้าหมายไม่ได้นอนอยู่คนเดียว มีหญิงสาวนอนอยู่เคียงข้าง ในสภาพที่หลับใหลทั้งคู่ แสงไฟจากด้านนอกทำให้เขาเห็นเป้าหมายอย่างชัดเจน เขาเลือกที่จะใช้ปืนเก็บเสียง เพื่อที่หญิงสาวที่นอนข้าง ๆ จะไม่ตกใจตื่นมาเห็นหน้าเขา ซึ่งนั่นอาจทำให้เขาต้องลงมือสังหารอีกคน
เขาคิดน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาของตน ที่ต้องมาประกอบอาชีพหาเงินบนความตายของผู้อื่น ในขณะที่เพื่อน ๆ ต่างมีหน้าที่การงานที่มีหน้ามีตา มีชื่อเสียง มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เขาต้องมารับอาชีพนี้โดยไม่เต็มใจนัก เขาเป็นคนเรียนไม่เก่ง และมักมีเรื่องวิวาทต่อยตีบ่อยครั้ง จนถูกให้ออกจากโรงเรียน ครั้งนั้นเองที่เขาไม่กล้าจะไปเผชิญหน้ากับใคร กลายเป็นคนขาดความมั่นใจ ซัดเซพเนจร จนได้ไปพบกับเสี่ยเที่ยง ผู้กว้างขวางในย่านนั้น เสี่ยเที่ยงได้ให้ความช่วยเหลือ ด้วยหวังให้เป็นลูกสมุนไว้คอยจัดการพวกที่ขวางหูขวางตา ขวางมือขวางเท้าเสี่ย โดยการให้งานแต่ละครั้งนั้น เสี่ยเที่ยงจะบอกว่า คนที่ให้ฆ่านั้น สมควรตายโดยแท้ เพราะชั่วอย่างนั้นอย่างนี้เสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
เสร็จภารกิจแล้ว เขาย่องออกจากบ้านอย่างไม่เร่งรีบ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
รุ่งเช้า..
หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวตัวโต "เสี่ยใหญ่ถูกสังหารดับกลางดึก สันนิษฐานขัดผลประโยชน์"
เกียรติวางหนังสือพิมพ์ลง พร้อมยกถ้วยกาแฟกระดกเข้าปากอย่างอารมณ์ดี
"ตำรวจคนอื่นจะเป็นอย่างไร ผมไม่รู้ แต่สำหรับตำรวจที่เฮียสั่งเก็บนั่นนะ ผมรู้จักดี มันเป็นเพื่อนผมเอง ไม่มีทางที่มันไปทำอะไรอย่างที่เฮียว่าได้หรอก พอกันทีกับอาชีพฆ่าคน" เกียรตินั่งนึกคนเดียว
"ไปยังว่ะ ไอ้เกียรติ"
"ก็นั่งรอแกอยู่นี่แหละ ไอ้หนึ่ง เป็นนายตำรวจแล้วอืดอาดอย่างนี้ได้ไงว่ะ"
"เออน่า ๆ นิดเดียวเอง บ่นเป็นคนแก่ไปได้ เดี๋ยวชวนส้มไปด้วย นาน ๆ จะได้ไปเยี่ยมยายพร้อม ๆ กันสักครั้ง "
ณ ระเบียงบ้านที่เดิม มียายที่ชราภาพมากด้วยผ่านกาลฝนมากกว่า 90 ปี และหลานอีก 3 คนที่โตเป็นหนุ่มสาวหมดแล้ว
"วันนี้เรามานับดาวกันดีกว่า ดูสิว่าวันนี้จะได้เยอะกว่าเมื่อปีที่แล้วหรือเปล่า" ประโยคเดิม ๆ ที่ยายมักใช้กับหลาน ๆ เสมอ
หนึ่ง กับ ส้ม อาจจะนับดาวได้จำนวนเท่าเดิม แต่สำหรับเกียรติ เขายิ้มกริ่มนับดาวบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม เพราะบัดนี้เขาได้เพิ่มจำนวนดาวบนท้องฟ้าอีกดวงแล้ว ด้วยตัวเขาเอง
"ยิ่งดาวบนท้องฟ้ามากเท่าไร นั่นหมายถึงคนดีเกิดขึ้นบนโลกแล้วมากเท่านั้นแหละ หลาน ๆ เอ๊ย.."
2 เมษายน 2547 14:35 น.
น้ำตาซาตาน
เริ่มจากความรู้สึกดีๆ กับคนๆหนึ่ง เขาหยิบยื่นทุกอย่างที่เป็นรูปธรรมให้แก่ฉัน แต่สิ่งที่เป็นนามธรรม หรือความในใจของเขา ฉันไม่อาจรู้เลยแม้จนนิดเดียว
ด้วยวัตถุที่เป็นรูปธรรมนี่เอง ฉันหลงกับเขาเหล่านั้น คิดว่าเขามีใจให้จริงๆ ความรู้จักเอาอกเอาใจของเขา บวกกับความเสียสละในโอกาสต่างๆ เช่น ยอมลุกที่นั่งให้คนแก่บนรถเมล์ ปิดท่อที่มีคนเปิดทิ้งไว้ในทางริมถนนฟุตบาธ ฯลฯ
ฉันรักเขาจนหมดหัวใจ เขาไปที่บ้านฉันอย่างคนคุ้นเคย ฉันแนะนำกับพี่สาว และแม่อย่างไม่เคอะเขินว่า เขาคือแฟน
เราคบกันแบบแฟนอย่างเปิดเผย จนวันหนึ่ง เขาได้ขอในสิ่งที่ฉันหวงแหนมา 21 ปีเต็ม นั่นคือความสาว ฉันให้อย่างเต็มใจแม้แม่จะเคยเตือนหนักเตือนหนาก็ตามที แต่คิดว่ามันเป็นเรื่องของเราสองคน ที่รู้กันแค่สองคนเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป ฉันพึ่งรู้ ฉันคิดผิด
เขาเริ่มเปลี่ยนไป
เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวขึ้น และเฉยชากับฉันขึ้นอย่างน่าใจหาย
สิ่งที่เลวร้าย และฉันรับไม่ได้เลยคือ เค้าไม่รับโทรศัพท์ฉัน
เราเจอกันน้อยลง ฉันเริ่มปลง
และในที่สุด ฉันก็เจอเข้ากับสัจธรรม เขาไปกับผู้หญิงคนใหม่อย่างน่าใจหาย
ฉันไม่ได้เสียดายเขา แต่ความปวดร้าวคือ ฉันจะแบกหน้าไปเจอใครได้ ในเมื่อคนอื่นเขารู้กันหมดแล้วว่าเรารักกัน และจะแต่งงานกัน!
เขาเสียชีวิตลงหลังจากเลิกกับฉันได้ 7 เดือน
ฉันร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในเหตุการณ์ครั้งนี้
ฉันไม่ได้เสียใจที่เขาตายไป แต่ที่ฉันเสียใจ เพราะเขาตายด้วยโรคเอดส์!
ไม่ต้องสงสัยใดๆทั้งสิ้น ฉันรับเชื้อนั้นมาอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องไปตรวจให้เสียเวลา เขาก็คือผู้ชายที่มอบทุกอย่างให้กับฉันอย่างแท้จริง
ทุกวันนี้ฉันนั่งรอความตายอย่างสิ้นหวัง เนื้อตัวเริ่มไม่มีแรงแม้แต่จะลุกออกเดิน คนรอบข้างรังเกียจถึงขนาดไม่ยอมคบค้าสมาคม ฉันอยากจะอยู่กับความฝันในยามค่ำคืนนาน ๆ ตลอดไป
เมื่อคืนฉันฝันว่าได้แต่งงานและอยู่กับเขาอย่างมีความสุข เรากำลังจะมีลูกกัน แต่น่าเสียดายที่ฉันดันเผลอตื่นมาก่อน .
คืนนี้ ฉันคงจะโหยหายฝันอย่างนี้ต่อ ๆ ไป จนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันยังรักเขา เพียงเพราะว่า..
เขาให้ฉันทุกอย่าง จริง ๆ
"ผู้หญิงรักผู้ชายด้วยหัวใจ
แต่ผู้ชายรักผู้หญิงด้วยหัวสมอง"
นักปราชญ์ท่านหนึ่งบอกเอาไว้ และอาจจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
30 มีนาคม 2547 00:46 น.
น้ำตาซาตาน
ผมชอบบรรยากาศตอนกลางคืนของกรุงเทพฯ ยิ่งดึกเท่าไร หัวใจยิ่งสงบไปด้วย งานที่คั่งค้างเมื่อตอนกลางวันถูกสะสางเสร็จโดยเวลาไม่นานในตอนกลางคืน แม้จะเป็นค่ำคืนที่ยากจะหาใครมาสนทนาปราศัยได้ถูกคอ เพราะคงไม่มีใครมานั่งปราศัยคุยแก้เหงาในคืนที่เปลี่ยวเปล่า ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยกับหน้าที่การงานเมื่อตอนกลางวัน .. แต่ผมไม่ ผมอยากให้กลางคืนมีมากกว่ากลางวัน ..
คอมพิวเตอร์ คือเพื่อนที่คอยอยู่กับผมแม้ในยามดึกดื่นค่ำคืน ผมรู้ว่ามันชักงอแงเวลาที่ผมชวนมันอยู่ดึก ๆ บางครั้งมันแกล้งหยุดไปเฉย ๆ ก็มี บางครั้งแกล้งแฮงค์ ค้างไม่ยอมพูดจา ..ผมต้องปิดมัน แล้วเปิดขึ้นมาใหม่ มันคงรู้ตัวเองดีว่า คงขัดใจผมไม่ได้ เลยจำยอมต้องทนนั่งเป็นเพื่อนผมจนดึก ๆ ดื่น ๆ ..
วันหนึ่งขณะที่ผมทำงานตัวเองจนเสร็จ แต่ดูเวลาที่ข้างฝาพึ่งจะ 5 ทุ่มกว่า เอ๊ะ ..เสร็จไวกว่าทุกวัน ..อย่ากระนั้นเลย ลองเล่นอินเตอร์เนทดูสิ เขาว่าสนุกหนักหนา เวลาแชท ..ลงโปรแกรมยอดฮิตไป ทั้ง msn , icq ได้คุยกับคนหลายคน มากหน้าหลายตา ทั้งนักศึกษา คนทำงาน ..แต่ไม่เห็นสนุกอย่างที่เค้าพูดกันเลย ส่วนใหญ่ ก็จะมาถามว่า ชื่ออะไร? เรียนหรือทำงาน? อายุเท่าไร และสุดท้ายมีแฟนรึยัง? ผมเบื่อกับคำถามเหล่านี้ เหมือนกับกำลังถูกสัมภาษณ์โดยใครก็ไม่รู้ ..
จนในที่สุด ในคืนวันหนึ่ง หลังจากที่ผมออนไลน์ทิ้งไว้โดยนั่งอ่านกระทู้ต่าง ๆ ที่เยาวชนไทยสร้างสรรค์จรรโลงใจ ใช้เป็นที่ระบายด่าคนนู้นคนนี้อย่างสบายอุรา .. อยู่ ๆ ก็มีคนแอดผมในmsn ..
" หวัดดีค่ะ ว่างไหม ขอคุยด้วยได้ไหม"
" อ้อ ว่างครับ" ผมพิมพ์ตอบไปอย่างใจเย็น
"นอนดึกแบบนี้ประจำเหรอ"
"ครับ ..ผมชอบบรรยากาศกลางคืนของกทม."
"ญา ก็ชอบค่ะ มันเงียบดี" เธอแนะนำชื่อตัวเอง
และจากนั้นผมกับเธอก็คุยกันอย่างถูกคอ เรามีอะไรหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกัน เราต่างหนีความวุ่นวายจากสังคมมาสู่อีกสังคมที่ไม่วุ่นวาย แต่คล้ายจะวุ่นวาย ... เราต่างแลกเบอร์โทรของกันและกัน โทรคุยกันจนในที่สุด เธอก็นัดเจอกัน ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของนักแชททั่วไป ที่เมื่อคุย ต้องขอเบอร์โทร และนัดเจอกัน ซึ่งเมื่อเจอแล้ว ถ้าพอใจกัน ก็คบกันต่อไป ถ้าไม่พอใจ ก็วันนัดเจอนั้น ก็เป็นวันสุดท้ายของมิตรภาพในเนตนั่นเอง..
พันธ์ทิพย์คือจุดนัด ชั้นสองตรงร้านขายของกิน ผมไปรอเธอก่อนเวลา 30 นาทีด้วยใจเต้นถี่ไม่เป็นท่า ตั้งใจว่า ขอให้เธอกับคนในรูปที่ส่งมาให้ดูก่อนหน้านี้เป็นคนเดียวกันเถอะ ..ยังไม่ถึงเวลานัดหมาย ผมจึงเดินลัดเลาะหาดูของบนห้างใหญ่อย่างสบายใจ เผื่อเจอของถูกใจจะได้ซื้อหาไปเปลี่ยนให้คอมพิวเตอร์ที่บ้านบ้าง
ผมเข้าไปในร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง เพื่อฆ่าเวลาแห่งการรอคอย อีกใจหนึ่งหวังให้ความตื่นเต้นเบาบางลง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ถูกวางบนชั้นในตัวร้านอย่างมีระเบียบ บางชิ้นถูกนำไปวางบนโต๊ะโชว์ประหนึ่งเพชรราคาเรือนแสนที่ตั้งโชว์ในห้างดัง อุปกรณ์เหล่านี้มันก็ดีไปทุกชิ้น เพียงแต่ว่าเราจะเอาชิ้นไหน รุ่นไหน ไปใช้ให้supportกับคอมพิวเตอร์ของเรามากที่สุด ถึงแม้ราคาจะสูงลิ่ว แต่ไม่ถูกรุ่นกับคอมพิวเตอร์แล้ว ประสิทธิภาพก็ไม่ได้ต่างจากอุปกรณ์ที่ราคาไม่กี่ตังค์ เหมือนกับผู้หญิง ทุกคนเค้าล้วนมีคุณค่าในตัวเหมือน ๆ กัน เพียงแต่เราสามารถเลือกผู้หญิงที่supportกับเราได้หรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าเราสามารถเลือกคนที่supportกับเราได้มากที่สุด แม้เขาจะไม่สวยเลิศเลอเฟอเฟ็กต์ นั่นไม่ใช่เหตุผลสำคัญ ตรงกันข้ามถ้าเราได้คนที่ไม่support กับเรา ถึงแม้เขาจะสวย เริ่ด เซ็กซี่ น่ารัก หรือเกิดในตระกูลคนมั่งมีเพียงใด ไม่นานอาการError ก็เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และเมื่อนั้น แม้หน้าของกันละกันก็ไม่อยากจะมอง ..
ผมออกจากร้านโดยไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมาเลย ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน แต่เพราะจุดประสงค์หลักของผมเพียงต้องการฆ่าเวลาแห่งการรอคอย และสิ่งที่ผมคิดว่าได้มากกว่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในร้านนี้ คือความมั่นใจที่จะเจอเธอคนนั้น เธอคนในอินเตอร์เนต ความตื่นเต้นมันมาพร้อมกับความหวังอันสูงลิ่ว ผมหวังให้เธอเป็นอย่างที่ผมหวัง โดยลืมคิดถึงคืนวันที่ต่างได้แลกเปลี่ยนความคิด ความห่วงใยของกันและกันผ่านโปรแกรมแชท ผมจะต้องแคร์อะไรกับหน้าตาของเขา ในเมื่อเราและเขาต่างเข้าใจกันดีในภาษาสนทนาโดยไม่มีหน้าตาบอกท่าทาง
ผมกำลังจะถูกครอบงำโดยความคิดของคนสมัยใหม่ ความคิดที่การให้ความสำคัญแก่หัวใจถูกเขี่ยมาไว้เป็นอันดับที่สองรองจากหน้าตา ไม่ใช่เพราะเลือกเพียงหน้าตาเหรอ ดารา หรือใครต่อใครหลาย ๆคู่ ต้องอยู่กันไม่ยืด เกิดอาการError หรือแฮงค์กันกลางคัน ไม่ใช่เพราะเลือกเพียงหน้าตาเหรอ ผู้หญิงทั้งหลายต้องเข้าคิวทำแท้งกันไม่หยุดไม่หย่อน
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในร้านที่นัดหมาย เหลือบดูเวลาอีก 10 นาทีจะถึงเวลาที่เราได้นัดกันไว้ เธออาจจะมาก่อนเวลา แต่ยังไม่เข้ามา อาจจะอยู่ตรงไหนสักแห่งซึ่งสามารถมองเห็นผมได้ อาการของเธอคงไม่ต่างจากอาการของผมเมื่อ 30 นาทีก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว มีเพียงหัวใจที่บริสุทธิ์ที่รอคอยการมาพบกันของหัวใจอีกดวงที่มันคุ้นเคย โดยผ่านการสื่อสารแบบใจถึงใจ ไม่มีอาการเสแสร้งใดใดมาปนเป นานแล้วที่หัวใจต้องเหนื่อยล้า เพราะเลือกเอาเพียงหน้าตาแต่ไม่เคยsupport กับใจดวงนี้สักที ครั้งนี้อีกครั้ง จะเป็นอะไรไปเมื่อจะทดลองใจกับคนที่เราคิดว่าsupport แม้จะเป็นคนที่ไม่เคยเห็น แม้จะเป็นคนในอินเตอร์เนตก็ตาม ..