29 มีนาคม 2547 02:44 น.
น้ำตาซาตาน
ดึกดื่นค่ำคืนนี้...........จะมีใครบ้างไหม
นั่งเดี่ยวอยู่เดียวดาย.......คนปลอบใจไม่มี
ก้าวเดินไปผิดท่า......น่าเวทนาชีวิตนี้
จะถอยกลับก็ไม่ดี........ไม่มีใครเห็นใจ
ผิดหวังอย่างไร้กาจ.....เลยบังอาจฉลาดไป
ตัดสินเรื่องร้ายร้าย.......ด้วยหัวใจอันอัปรีย์
ริอาจลองเสพดู.......ทั้งๆที่รู้ไม่สู้ดี
แต่หัวใจใฝ่ราคี.........อยากหลีกหนีความตรอมตรม
ปัญหาสารพัน........เธอคนนั้นทำฉันขม
อีกทางบ้านนั้นอาจม......ดั่งเรือล่มจมใบ
พ่อกับแม่มาแยกทาง....เกิดบาดหมางสิ้นสงสัย
ไม่มีใครยอมใคร ......ผลสุดท้ายแยกทางเดิน
บอกตัวเองทุกค่ำเช้า......อันตัวเราเขาส่วนเกิน
จะไปไหนแม้หกเหิน.........ก็เหมือนเดินตัวคนเดียว
จะไม่ยอมมีปัญหา..........เรามีปัญญาปราดเปรียว
ไม่ข้องแวะแล้วจริงเชียว.......แต่หมดเรี่ยวจะต้านทาน
เป็นทาสของยาร้าย.........ไม่เท่าไรใจหักหาญ
แต่สังคมส่อประจาน..........ยากทัดทานกว่าสิ่งใด
คนโน้นก็ด่าว่า........คนนี้มาก็ขับไล่
ลูกหลานเขาไว้ไกล.........ไม่ให้ใกล้ไอ้อันธพาล
ร้องไห้บอกไปทั่ว........ผมเคยชั่วทั่วถิ่นฐาน
แต่ตอนนี้ไม่มีพาล..........อย่าทัดทานสงสารที
หวนคืนสู่ยาร้าย..........ด้วยจำใจไม่ได้ดี
เป็นคนดีไม่ได้สักที..........ขออัปรีย์ สุดสุดเลย
27 มีนาคม 2547 20:23 น.
น้ำตาซาตาน
ห้องสี่เหลี่ยมแคบแคบกลิ่นคุกรุ่น
มีไออุ่นเย็นเย็นเป็นน้ำไหว
ไม่รับรู้เรื่องราวที่เศร้าใจ
ทิ้งตัวไว้ไม่ใส่ใจทุกเรื่องราว
หลบปัญหาผู้คนไม่สนใจ
หลบหน้าใครที่ให้ใจปวดร้าว
หลบสังคมที่เปรี้ยวขมบรมเน่า
หลบจากข่าวเศร้าเศร้าเคล้าน้ำตา
เบื่อคนโน้นด่าคนนี้พิรี้ร่ำ
เบื่อน้ำคำสวยหรูดูไร้ค่า
เบื่อสอสอสอพลอส่อมารยา
เบื่อรถราปัญหามานานปี
ในห้องแคบแยบยลคนไม่เห็น
เป็นดังเช่นสวรรค์ชั้นฉิมพลี
ระดาดาษจิตกรรมทำหลากสี
มากมายมีหมู่หนังสือคือวิชา
บนชั้นแรกแยกไว้วาไรตี้
ชั้นสองมีหนังสือนอกเวลา
ชั้นสามหนังสือธรรมค้ำปัญหา
ชั้นสี่มีตำรายาวิชัย
มีเพลงเบาเคล้าใจเหมือนในฝัน
ยินเสียงนั้นเหมือนดั่งเสียงน้ำไหล
หยิบกีตาร์บรรเลงเพลงไม่เกรงใจ
ทั้งเพลงไทยเพลงฝรั่งชั่งเข้าที
นั่งนานมาถึงเวลาต้องไปล่ะ
หยิบกระดาษชำระมาเช็ดสี
จะจากไปอย่างนี้ไม่เข้าที
ก่อนจะปรี่ดูดีดี เทน้ำรึยัง?
25 มีนาคม 2547 21:29 น.
น้ำตาซาตาน
รถราไม่ไหวติง..................ทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหว
แดดเดือดเลือดในกาย..................แทบไหลรวยระริน
ไฟแดงยังเจิดจ้า..................รถราดุจท่าหิน
เปรี้ยงปร้างดังย่างกิน..................ปฐพินดังลุกไฟ
เหงื่อไหลจนชุ่มตัว..................ยันหัวจนจรดท้าย
รถติดดังรถไฟ..................คนในเริ่มบ่นบาน
รถเมล์คันสีเขียว..................ปราดเปรียวเคยขับขาน
วันนี้ติดยาวนาน..................สงสารคนข้างใน
ยืนนั่งชั่งอึดอัด..................โน่นขัดนี่ก็ไข
ดั่งถูกจองจำใน..................กระทะไฟในโลกันต์
เด็กน้อยเริ่มงอแง..................ส่วนแม่แกผลุนผลัน
เป็นลมล้มลงพลัน..................ไม่ทันได้ตั้งตัว
แกอุ้มลูกยืนโหนราว..................ร่างเบาจนปวดหัว
วิงเวียนจนเจียนตัว..................ตามัวล้มพับไป
น้ำใจบนรถเมล์..................หันเหไม่เห็นให้
มืดมิดมิเป็นใจ..................สังคมไทยไร้น้ำยา
สักครู่ชายหนุ่มหนึ่ง..................อายุพึ่งสิบสี่-สิบห้า
ยืนขึ้นเดินเข้ามา..................พยุงป้าให้นั่งแทน
ทุกคนบนรถเมล์..................ร้องเฮไม่หวงแหน
ชื่นชมชายมาดแมน..................สุดแสนประเสริฐจริง
ชายหนุ่มไม่พูดจา..................แต่สีหน้านั้นเงียบนิ่ง
แบมือต่อหน้าหญิง..................ขอสิ่งค่าตอบแทน
ทุกคนบนรถเมล์..................เคยเฮให้คะแนน
เปลี่ยนเป็นนินทาแทน..................มาดแมนแม้นผิดตา
น้ำใจที่ไทยมี..................บัดนี้ยากหนักหนา
โดยเฉพาะบนรถรา.................. ยิ่งหายิ่งยากฝืน
หรือจะรอให้เขาให้..................จึงได้ให้เขาคืน
ต่างคนทนกล้ำกลืน..................มิหยิบยื่น.. ไร้น้ำใจ
25 มีนาคม 2547 01:31 น.
น้ำตาซาตาน
สีดำแทนคำว่าเศร้า
มีเขม่ากลิ่นธูปโขมง
สายสิญจน์ผูกผ่านสายโยง
ในโลงคือผู้วายชนม์
พระสงฆ์สวดส่งวิญญาณ์
บรรดาผู้ฟังเกลื่อนกล่น
ต่างร่ำไห้กันทุกคน
ฟังมนต์พระท่านโมทนา
เสร็จสรรพพิธีคืนนั้น
พระท่านก็หันมาลา
ญาติโยมทั้งโหติกา
ต่างศรัทธาส่งท่านไป
ยามดึกดึ่นในคืนนั้น
มิทันได้ใครคาดหมาย
ครบกำหนด 3 วันตาย
ต่างแยกย้ายไม่เจรจา
ยะเยือกเย็นย่ำค่ำคืน
เสียงครืนใบไม้พัดพา
เห่าหอนโหยโชยอุรา
นกกา ท้องฟ้าก็มืดดำ
ร่างทะมึนตึงขึงขัง
มานั่งเชิงบันไดร่ำ
เสียงสะอื้นกล้ำกลืนคำ
บ่นรำพันน่าเวทนา
ตาเฒ่าสนแกเฝ้าศพ
นอนสลบเข้านิทรา
ลืมตาตื่นขึ้นทอดตา
ใครกันหว่าไม่เข้าที
เห็นเพียงหลังที่ก้มนิ่ง
สะอื้นอิงยิ่งระวี
จึงทัก แกไอ้ทิดดี
หรือบุญคลี่ มีไรกัน
เมื่อแกเดินเข้าไปใกล้
ให้สงสัยอะไรนั่น
มิใช่มีเพียงแต่มัน
คนทั้งนั้นหลายสิบคน
ทุกคนร่ำสะอื้นไห้
กระวายใจให้สับสน
ลงกระไดไปกับคน
นึกกังวล เหตุใดมี
เมื่อไม่มีใครทายทัก
นึกตระหนัก ไม่ค่อยดี
กระโดดพลันวิ่งทันที
แกปรี่หน้ามาหน้าโลง
ภาพหน้าศพสิ้นสงสัย
มิใช่ใครที่ตายโหง
คือตาสนคนเฝ้าโลง
แกตายโหงมา 3 วัน
ด้วยติดใจในหน้าที่
สิ้นชีวีไม่ป่วนปั่น
คิดเข้าข้างตัวเองนั้น
คงไม่สั้นหรอกชีวี
สามราตรีที่ผ่านพ้น
คนทุกคนที่ถึงที่
พึ่งรู้ตัวว่าสิ้นดี
ต่างพิรี้พิร่ำไร
กลางดึกในคืนค่ำ
จึงคลาคล่ำคนที่ตาย
ต่างมารับแกกลับไป
วินิจฉัยในบาป-บุญ
สนสร้างบุญกันเถอะหนา
เมื่อถึงคราจะอุดหนุน
เป็นแรงธรรมคอยค้ำจุน
ไม่วายวุ่น เมื่อตายไป.
24 มีนาคม 2547 12:45 น.
น้ำตาซาตาน
มือสั่นระริก รัว ...........ดีชั่ว ประดังมา
สอดส่ายนะ สายตา .........สุดประหม่า เหลือประมาณ
ร่างน้อย ไม่ไหวติง.........สงบนิ่ง ยิ่งสงสาร
เกิดเหตุนะ เภทพาล........อลหม่านผ่านราตรี
ตัณหาที่ซุกซ่อน...........กัดกร่อนหย่อนฤดี
จึงเกิดรอยราคี.............มิมียับยั้งใจ
สาวน้อยประสบหน้า..........ดั่งฟ้ามาส่งให้
ตัณหาดังเปลวไฟ..........โถมใส่แก้วกัลยา
สำนึกในชั่วดี.............ยังมีแต่ลึกหนา
กว่าจะเกิดผุดมา.........ตัณหาก็คร่าไป
ร่างน้อยค่อยขยับ........มือจับเสื้อผ้าไว้
เสียงหัวแทนร้องไห้......เอะใจเหตุไรมี
ชายหื่นยืนยื่นหน้า.......เธอจ๋าอย่างไรนี้
เกิดเหตุเพศป่นปี้.........ระรี้มิร่ำไห้
สาวน้อยขยับปาก........ไม่ลำบากพี่ชาย
นู๋เองเกรงจะร้าย...........จะตายไม่กี่ปี
หมอบอกว่าเป็นเอดส์........มีเขตไม่ค่อยดี
ยากจะห้ามย่ำยี่..............แต่พี่ก็ไม่ฟัง
ชายหนุ่มยืนหน้าเสีย.......ละเหี่ยยืนสิ้นหวัง
เพราะตัณหามาประดัง.........ชีวิตพังพินาศเอย