6 เมษายน 2546 04:01 น.
น้ำ
มีเจ้าควายเหล็กคันเก่งหัวใจเหล็ก
สูบน้ำเข้าเสร็จรถไถใช้เดินตาม
คาดให้ดินเสมอน้ำระดับเดียวกัน
ปล่อยน้ำออกให้แห้งเป็นเลนหลัก(นาหว่านน้ำตมปทุม)
กระบุงข้าวงอกหว่านทั่วนา พาสุขใจ
ใช้ชีวะวิธีนิเวศดินรักษ์
ทรัพย์สินปัญญาไทได้ปกปักษ์
ได้ข้าวสะเต็มทุ่งทองหอมดินหญ้า
มีรถเกี่ยวมาอาสา สบายไปเรา
ตอนขายได้เฮฮาฉลองเย็นอุรา
ดักปลามาแกงดักหนูนาย่างทา
สวนเสเฮฮาหมู่เราลูกชาวนา
เหนื่อยนักหนาพักใจไว้ ในเนา
หายใจเข้าออกผ่อนผันผ่านกาลยาว
ราวทุ่งทองข้าวท้องเต็มลออตา
จัดข้าวแลปลาย่างหอมยวนใจจน
ไคลเหงื่อเพื่อไหลอาบฉาบทาบทา
แกร่งผิวหนังกำพร้ากร่านลมชม
ห่มไอรวีมิร้อนรนดลกลอนกล
ขานเพลงกลอนทุ่งรวงทอง ของชริน นันทน์นาคร
6 เมษายน 2546 03:26 น.
น้ำ
โลก
เพื่อนที่เป็นสติของฉันใจของฉันแก้วตาของฉันดลหวนความจำในวิญญานชัดเหมือนเมื่อวานขานใจเองจารบรรเลง เพลงไอดินกลิ่นหญ้ามิมีเธอมิรู้ว่าจะอยู่ได้หรือไฉน
วันที่แดดแรงร้อนแผด ได้หมวกปีกกางใบแลใจลุย หนึ่งเดินหน้าบนทางขึ้นขึ้นลงลง
แคบแคบ เราเดินตามแทบมิทัน นั่นกว่า800ม.คันนาแห่งธรรมรส หนึ่งใจนำ หนึ่งใจตามวิถีโลก อิธิบาททวิบาท บนทางคตโค้งคันนาเส้น สายตรงดั่งใจเราจดจำได้ฝ่าทางไกลมิคิดสิ่งใด สองเท้าก้าวเกรงเร่งทางด้วยแดดรน
ธรรม
อุปปาทานขันธ์ห้าฉาบทาโลกผู้เดิน....ภาวนา
สันตติปิดบังทุกข์ขัง..ผู้เดิน....ภาวนา
ก้าวท้าวเดินอยู่..............................สมาถะ..ภาวนา
เร่งเดิน...........................................อิธิบาท..ภาวนา
หยุดระหว่างทาง...ว่างสงบ...เดินต่อ...สมาถะ.ฌาน
หยุดเดิน.................ว่างสงบ...........ฌาน
รู้สภาวะ....หยุด.......ญาณ
หยุดเดิน...................ญาณ
รู้ธรรม....อิธิบาท......ญาณ
รู้ธรรม....เร่งเดิน......วิริยะ....ญาณ
รู้ธรรม....หยูดเดิน....ปัสสาธิ...สงบ...ญาณ
รู้ธรรม.....สงบ.........ญาณ
สงบ..........สติ...........ญาณ
สติ.............ญาณ
สติ.............เดิน
สติ.............เร่งเดิน
สติ.............หยุดเดิน
สติ..............มีอาการเดิน
สติ..............ไม่มีผู้เดิน........สติสติสติ
5 เมษายน 2546 16:52 น.
น้ำ
นทนพนอบกราบ พระพิฆเนศ
เทวะเวทย์แห่งศาสตร์ศิลปะ ตำนาน
ใฝ่สำเร็จกวีกลอนใจ วันวาน
ไท้เทพดลกานท์ทรงฤทธิ์ ฉายฉาน
เกริกกึกกังวาลกังสดาลเย็น
เสพอารมย์สงค์เจ็ดสระโหด หิมพานต์
เวทย์อาจารย์คุรุแห่งบึ่งนิลกาล
บรรเลงเสียงนภาคลอ พนอถวิล
ปฐพีพิณจินต์จรดสวรรค์
สรรสรวญสราญครวญลำนำจินต์
ใจไกวกล่อมล้อมชีวินดุจจันทร์เพ็ญ
นำพ้นห่วงวัฏสงสารดลญาณชน
โลกีย์ปะบ่วงกรรมรุ่มล้ำ
ศิลปะกรรมนำจากบรรพชน
ท้นล้นกวียลฤดีจารกลอน
ฉันทะกล่อมหลอมรวมกวีธรรม
5 เมษายน 2546 04:12 น.
น้ำ
ไวรัสร้าย
กระแสโลกเทคโนโลยีหมุนวน
มนุษย์หนอดลรู้วิทยาการผ่านเมฆ
ใช้โคจรจารจรดข้ามประเทศ
ให้เกิดอาเพศภัยโรคติดต่อตาม
จุดหยุดจดหยดธุรีเล็กเรียกไวรัส
จุลรินทรีย์กลมแกร่งแรงแข็งทนทา(ทน1ชม.ในอากาศ)
ท้าสามภพจบแดนฆาตประหารหทัย
พินาศภัยในชีวามหาโลกาโลกีย์
ดั่งกรรมโลกโศกสลดจรดมิมีวัน
รบโรมรันแลโรคภัยใจรวี
เสกอสูรร้ายขึ้นในฤทัยหม่นศรี
ก่นกรรมล้นทุกข์ปวงชนขวัญนาน
ขอไท้เทพสยามเทวาทิราช
ปกราชรักษ์สลักมนต์ไกรสุรกานต์
ทะละลายภัยพาลขานข่มราษฎรการ
น้อมมวลเกษมสุขสโมสร สามัคคี รั้งพลังภัย
5 เมษายน 2546 02:01 น.
น้ำ
ทะเลยามนี้ราบเรียบ เทียบกระจก
ใสไสวปกเห็นเส้นเงา พรายสะท้อน
รอนแสงฟ้าลาหลังเมฆ สีควันเทา
โอ้ใจเราเฝ้ารู้ดู ตนแล
คนช่างฝันยังมีกลอน ในกมล
ค้นลงดำดิ่งยลใต้ท้องทะเลใส
ตีตีนกบสวมใส่ สะกรู้บร้า
มองเจิดจ้าใต้วัง ทะเลวาน
ดอกเอ๋ยดอกปะการัง เขาเชิงชัน
แผ่พังพานบานละลาน นานเท่านาน
กาลวนกาลทานทนทาน จนจำวาน
ม่านสายสาหร่ายริ้วทิว วิวน้ำสวย
ขังใจจรดจดจำ รำฝูงปลา
กาตูนเจ้าฝูงสร้อย นกแก้วลอย
(ปลา)ไหลทะเลเห่ไกวไป ให้ระรวย
สวยจนสวยจำมิอยาก คืนถิ่นโลกา