23 เมษายน 2552 06:31 น.
นาวา วังสถาพร
มันประชาผู้พร่าสันติธรรม
จึงก่อกรรมทำร้ายชีวิตเขา
แสวงหาอำนาจเกินคาดเดา
ว่าจักเอาใดแลกได้สมกัน
มันบรรดาผู้ฆ่าประชาธรรม
จึงกระทำผิดแผ่นดินสิ้นมหันต์
ประพฤติตนเฉกสัตว์อัศจรรย์
ดำรงพันธุ์อยู่ได้ด้วยความตาย
มันกระทำทุรยุคปลุกระดม
ตามอารมณ์อันระยำทำฉิบหาย
ชาติประเทศบอบช้ำมันทำลาย
บ้านเมืองวอดวายมันสุขใจ
มันประดาสาวกของปิศาจ
จึงอาฆาตเข่นฆ่าไม่ปราศรัย
สารพัดเดรัจฉานวิชาไป
หวังได้ชัยในเกมกลการเมือง
มันเกิดมาเพื่อพรากความสุข
จึงมอบทุกข์ให้มวลชนมิสนเรื่อง
คอยสูบสารจากซากความรุ่งเรือง
ค่อยประเทืองตัวตนจนอ้วนพี
มันสถิตร่วมสถานวิญญาณร้าย
มีความตายหล่อเลี้ยงให้อิ่มหมี
ตราบคนเห็นกงจักรว่ามาลี
มันแสยะยิ้มยินดีอยู่ที่นั่น
...............
อุทิศแด่...มัน-ผู้แก่งแย่งชิงอำนาจบาตรใหญ่ทั้งหลาย
17 กันยายน 2551 12:56 น.
นาวา วังสถาพร
๑.
ยามแหล่งหล้าฟ้าไทยไร้เข็มทิศ
แม้บัณฑิตยังทิ้งผลไว้หนไหน
ปล่อยคนพาลคุกคามจนย่ามใจ
สุดสงสารลูกหลานไทยในโลกทุน
อนาคตข้างหน้านั้นมิทันคิด
ปล่อยชีวิตหุนหันทันโลกหมุน
โลกวิวัฒน์คนว่องไวไร้การุณย์
ช่างทารุณค่าชีวิตวิปริตแล้ว
ตัวตนศิลปินถูกปล่อยปละ
คุณค่าศิลปะกำลังแผ่ว
ผู้คนมองด้วยตาใดจึงไร้แวว
ศิลปะนั้นสื่อแนวรับใช้ใคร
มหาชนมองข้ามความงามสิ้น
ความหมายแห่งศิลปินอยู่ตรงไหน
วรรณกรรมเชื่องช้า?ซับซ้อนไป?
หรือหัวใจมองไม่ลึกซึ้งเอง
๒.
เสาะหาใดเล่าเหล่าสาวหนุ่ม
เห็นไหมโลกโดนรุมกลุ้มข่มเหง
หรือเหนื่อยหน่ายในบัดสีที่บรรเลง
เป็นผู้ใหญ่เราทำเองพึงอภัย
ถึงเวลาต้องตื่นแล้วแก้วตาเอ๋ย
อย่าละเลยปล่อยตัวมัวหลับใหล
มายาโลกเร่าร้อนกว่าฟอนไฟ
จักผลาญใจมลายสิ้นทั้งอินทรีย์
ชาติต้องการหนุ่มสาวมาสืบสาน-
อุดมการณ์ เพื่อเร่งฟื้นคืนศักดิ์ศรี
ขับไล่เหล่าศัตรูหมู่ไพรี
กอบกู้คุณความดีที่ถูกลืม
จงเป็นนักกลอนไม่นอนเปล่า
ขวนขวายเอาตำรามาด่ำดื่ม
อักษรสารภาษาไทยใช่หยิบยืม
ชนรุ่นหลังบังควรปลื้มอย่าลืมตน
๓.
หันมาสร้างสังคมบ่มความรู้
ลบคำดูหมิ่นเถิดจะเกิดผล
อย่าหลงบริโภคาจะพาจน
สำนึกตนสำนึกค่าวิชาการ
ความแตกแยกยิ่งทำลายความฮึกเหิม
เสริมกำลังศัตรูให้ฮึกหาญ
มันเกาะกุมใจเรามาเนานาน
ถึงเวลาต้องจัดการอย่าผ่านเลย
เพื่อสำแดงตัวตนของคนกล้า
ประกาศแก่โลกหล้าอย่างผ่าเผย
กิเลสมารอวิชชาตัณหาเอย
คนรุ่นใหม่ไม่สังเวยสังวรเป็น
โดยวิถีของนักกลอนไม่นอนเปล่า
ถือชาญเชาว์แทนดาบปราบยุคเข็ญ
ชูพระธรรมนำใจที่ใสเย็น
ยึดประโยชน์ส่วนรวมเช่นประโยชน์ตน
๔.
จักเสกสร้างไทยให้มีช้ยโชติ
ยังประโยชน์ภายหน้าค่าเหลือล้น
แลพี่น้องทั่วหล้าประชาชน
คงก้าวพ้นวัฏจักรอันดักดาน
วันที่ฟ้าสีทองผ่องอำไพ
มหาชนผู้เป็นใหญ่ทั่วถิ่นฐาน
จักได้มีบุญตามาพบพาน
สังคมใหม่ที่เบิกบานสราญรมย์
มีชีวิตอย่างที่ควรเป็นชีวิต
มีดวงจิตงามดังหวังและสั่งสม
มีที่พึ่งที่ควรพิงอิงนานนม
มีโอกาสจักพ้นพรหมบัญชากรรม
ขอเพียงมีใจมั่นไม่พรั่นเถิด
จักบังเกิดเชิดชูคุณูปถัมภ์
ร้อยรวมทุกดวงใจซึ่งใฝ่ธรรม
เพื่อหนุนนำสู่เรืองรองเมืองทองเทอญฯ
16 กันยายน 2551 15:29 น.
นาวา วังสถาพร
วิญญาณเบาบางดุจหมอกควัน
ล่องลอยไปที่นั่น-ที่นี่
ค้นหาตัวตนไม่พบสักที
ลอยไปจากที่นี่-จะไปที่ใด
วิญญาณเบาบางดุจจะจางหาย
วิญญาณของภูตพรายตนไหน
ใครๆเขาถามมิอาจตอบอันใด
วิญญาณฉันเป็นใครในโลกา
วิญญาณเบาบางพรางตัวตน
ล่องหนลอยหายใต้ผืนฟ้า
ผ่านเขาและเธอผ่านคนนานา
ผ่านสุขโศกา-ปุถุชน
วิญญาณเบาบางแตกสลาย
วูบแล้วหายไปในความสับสน
วิญญาณดับแล้วเป็นความมืดมน
กลับมองเห็นตัวตนชัดเจน
3 กรกฎาคม 2550 15:45 น.
นาวา วังสถาพร
พิภพโลกบาดาลละหานหาด
ก็มิมาดหมายฝันกันเท่าไหน
มนุษย์มุ่งหมายมั่นนั้นแสนไกล
จักบุกบั่นกันไปในจักรวาล
ในหมู่ดาวดาระดาดกลาดเกลื่อนฟ้า
เฝ้าเสาะหาความหมายในมวลสาร
ด้วยความเพ้อเจ้อทะเยอทะยาน
หวังพบพานโลกใหม่ใช่โลกเดิม
โลกเก่าผุกร่อนร่อนลงแล้ว?
จักหาแนวดำรงและส่งเสริม
รังแต่จักภินท์พังไปเพิ่มเติม
คนจึงเหิมหาญคิดวิปริตแล้ว
แรกเริ่มศึกษาวิชา-ศาสตร์
จนเก่งกาจตั้งกฎกำหนดแถว
จัดระเบียบดวงดาวที่พราวแพรว
ทั้งฝุ่นดินหินแก้วสารพัน
โอ่ประโคมว่า ค้นพบความจริง
โดยอาศัยอ้างอิงหลักการนั้น
แท้สมมติแทนค่ามาว่ากัน
จักเพิ่ม-ถอดถอนพลันก็เคยมี
หาเหตุผลผลาญบำเรออยาก
ชีวิตอื่นหลายหลากบนโลกนี้
ต่างจำเริญบนโลกเป็นล้านปี
พวกมันมีโลกไหนให้คำนึง?
มีแต่มนุษย์มิหยุดคิด
ทั้งแอบอ้างสิทธิ์ตนเป็นหนึ่ง
พอวาระสุดท้ายได้ตะลึง
เราอยู่ในโลกซึ่งไม่เคยมี
3 กรกฎาคม 2550 15:40 น.
นาวา วังสถาพร
๑.
ชีวิตฤาไร้คุณค่าความหมาย
ประโยชน์เปล่าเปลืองดายกระไรหนา
ฤาชีวิตสมค่าสมราคา
เพียงประโยชน์ได้เกิดมาก็สมควร
เพียงเพื่อกอบโกยสิ่งซึ่งประสงค์
โดยกำนัลสวรรค์ส่งเกษมสรวญ
มนุษย์นี้มีค่ากว่าใดมวล
สรรพสัตว์อื่นใดล้วนแต่สามานย์
ประเสริฐแต่ตัวตนคนอารยะ
มนุษย์ซึ่งเทวะสอดประสาน
จุติลงโลกหล้าอวตาร
กล่อมส่ำสัตว์สันดานชั่วกาลกัลป์
ครองโลกโบกหัตถ์ยาตรบาท
กวาดทุกเขาลำเนาหาดมิหวาดหวั่น
เหยียบทุกโตรกห้วยระหารมินานวัน
ก็สำนึกว่าตนนั้นสำคัญจริง
๒.
ฤาชีวิตคือแค่ธุลีดิน
กำเนิดเป็นชีวินสรรพสิ่ง
ทั่วทุกดาราจักรต่างพักพิง
ณ ดินแดนซึ่งแท้จริงมิเคยมี
หากไร้โลกไร้มนุษย์สุดจะคิด
ว่าแท้จริงชีวิตของเรานี้
นรกสววรค์บาดาลอเวจี
ผิดชอบชั่วดีจะมีใด
อวกาศจักรวาลพาลหดหาย
จะหลงเหลือสิ่งใดหมายอันใดไหม
ขอบเขตที่แท้จริงคือสิ่งใด
หากไร้ซึ่งจิตใจให้นึกคิด