21 มิถุนายน 2548 17:56 น.
นายหมึกซึม
> > สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่า
> >เวลาเราใช้ดินสอวาดภาพเราห้ามใช้ยางลบ
> > ตอนนั้น ฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักเท่าไหร่
> > รู้เพียงแต่ว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว
> > ฉันก็อยากแก้ให้มันตรงสวย
> > แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น
> > ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ
> > สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆ นั้นไปตามจินตนาการ
> > เช่นถ้าฉันตั้งใจวาดรูปหน้าคน แต่ฉันเผลอวาดดวงตากลมโตเกินไป
> > ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน
> >แม้ตอนนั้นฉันจะไม่เข้าใจว่า
> > ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ
> > และแม้ฉันจะไม่เคยคิดวาดรูปหน้าคนใส่แว่นตามาก่อน
> > แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจว่า
> > ฉันสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ
> > และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง
> >
> > เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น
> > แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ
> > การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด
> >
> > ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคน
> > และในชีวิตหนึ่งนี้ก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั้งใจ
> >
> > สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น
> > และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ การที่ฉันเข้าใจว่า
> > ธรรมชาติของความผิดพลาด คือการที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่อย่างถาวร
> > ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด
> > แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง
> >
> > ดังนั้น ถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว
> > การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้
> > อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปลบแก้ไขมันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
> > สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ
> > และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากขึ้น
> >
> > ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อจะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม
> > แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้
> > ดังนั้นเราต้องตั้งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น
> > และถึงแม้ภาพที่เราวาดจะออกมาไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่
> > แต่มันก็มาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ
> >
> > ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง
> > เราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง
> เพราะถึงอย่างไร ฉันเชื่อว่า
> > ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่
> ภาพชีวิตของเราก็งดงามได้
> > โดยไม่ต้องใช้ยางลบ
20 มิถุนายน 2548 17:14 น.
นายหมึกซึม
คุณเคยเห็นคนตาบอดไม๊...
คนตาบอด...ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่....
คุณอาจเจอพวกเขาได้ ในที่ที่มีคนอยู่กันเยอะๆ เช่น..ตลาดนัด...
พวกเขาไปที่นั่น เพราะหวังว่า... คงจะมี คนใจบุญ
ไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง...
คนสองคน...ที่จับมือกัน...ค่อยๆเดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด..ทีละนิด...
เพราะต่างคน ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่...
นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว...ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่าๆเครื่องนึง...
กับไมค์อีกอีกหนึ่งอัน...ที่ขาดไม่ได้
ก็คือขันอลูมิเนียม...
อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน..
ผมไม่ คุ้นหู กับเพลงที่เขาร้องนักหรอก...
แต่ก็ดูว่าเขาตั้งใจร้องเหลือเกิน...
และดูเหมือนเขาก็ หวัง ว่าคุณจะต้องชอบมัน...
ผมเห็นเขาจับมือกัน...
วินาทีนั้น...
ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมเคยมองข้ามมาตลอด...
คุณเคยนึกถึงความรักของ..คนตาบอด..หรือเปล่า....
ตนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ...
เพราะคนตาบอด...ไม่เคยรู้เลยว่า...
คนรักของเขา..มีหน้าตาเป็นอย่างไร..
คนตาบอด..จะรู้จักก็เพียงจิตใจของคนรักของเขาเท่านั้น...
เมื่อเขามีความพอใจกันและกัน....
ไม่มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี
ให้กังวลใจ...เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีสิ่งนี้...
ต่างคน..ต่างก็ไม่มีเงิน...
ตาสองข้าง ปิดสนิท....แต่เปิดใจเข้าหากัน..
คนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ด้วย " ใ จ " ล้วนๆ...
ความรัก....ก็เกิดจากตรงนั้น...
คนตาบอด พาคนที่เขารัก ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง...
คนตาบอด ไม่เคยกลับบ้านดึก...
คนตาบอด ออกจากบ้านพร้อมกัน...และกลับถึงบ้านพร้อมกัน...
พวกเขาเคยแยกกันบ้างหรือเปล่านะ.... ?
คุณรู้หรือเปล่า.....คนตาบอด จับมือของคนที่เขารักไว้
เสมอๆ เกือบ
ตลอดทั้งวัน...
คุณเคยทำอย่างเขาบ้างไม๊... ?
ผมกลับมานึกถึงความรักของคนที่ตาดี...
หลายๆคน มีเกียรติยศ หน้าที่ การงาน ที่ดีเหลือเกิน...
หลายๆคน ทั้งหล่อ ทั้งสวย...ทั้งรวย ทั้งฉลาด...
แต่พวกเราหลายๆคนกลับต้องมาเสียใจเพราะความรัก...
หรือว่าพวกเรามองเห็นกัน....เพื่อจะเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น....
เอ....พวกเราคาดหวังอะไรจากคนที่เรารัก....มากเกินไปหรือเปล่านะ...
อนาคตของคนตาบอด..อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้...
ดูเหมือนเขาจะ...สงสัยก็เพียงแต่ว่า...
วันพรุ่งนี้...จะมีคนใจบุญซักกี่คน...
ที่ทำให้พวกเขากลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข....
ตอนที่ผมเขียนข้อความนี้อยู่...พวกเขาก็คงนอนหลับกันแล้ว...
ขอบคุณตลาดนัด...ที่ทำให้ผมเห็นภาพดีๆในวันนี้....
ผมเชื่อว่าครั้งหน้า...ที่คุณเห็นคนตาบอด...ใจของคุณจะเปิดกว้างขึ้น...
คุณอาจมองเห็นภาพที่คุณไม่เคยมองเห็น...
ไม่ใช่ด้วยตา...แต่เห็นด้วยหัวใจ...
เหมือนกับภาพที่ผมได้เห็นในวันนี้...
19 มิถุนายน 2548 13:27 น.
นายหมึกซึม
ผมไม่รู้หรอกว่าความรักของแต่ละคนเป็นยังไง มันก็มีทั้งส่วนที่เหมือนและแตกต่างกันไป ก็เพราะเหตุนี้จึงทำให้ความรักดูมีค่า ที่จะพยายามค้นหาความรักในรูปแบบของตัวเอง
บางคนเคยบอกว่า ความรักแปรผกผันกับเวลาและระยะทาง มันเป็นเหมือนเส้นตรงสองเส้นที่ขนานกันชนิดที่ว่ามองไม่เห็นปลายทางที่จะเชื่อมต่อกัน
รัก ยิ่งห่างกันไป ยิ่งนานไปเรื่อยๆ ยิ่งจะทำให้ความเข้มขนของความรักจางลง จางลงไปเรื่อยๆ ก็ยังคงไม่เข้าใจว่า ทำไมความรักถึงเป็นอย่างนี้ ทั้งที่เคยบอกว่า " จะรักกันตลอดไป "
แต่ผมว่าเวลาและระยะทางเป็นสิ่งที่จะสามารถวัดได้ว่า ความรู้สึกที่คุณมีอยู่นั้นคืออะไร
เป็นรักแท้ เป็นแค่ความรักเพียงชั่วครู่ หรือเป็นเพียงความลุ่มหลง
เพื่อที่จะได้ทดลองดูว่าหัวใจของคุณมั่นคงต่อเค้าคนนั้นมากเพียงใด
ผมยอมรับว่า เส้นขนานคู่นี้นั้น มันยังมองไม่เห็นจุดเชื่อมต่อกัน แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเส้นขนานคู่นี้จะไม่มีทางที่จะพบกัน ลองดูอย่างเช่น คนสองคนจะมาเจอกัน ได้รู้จักกัน จนมีความรู้สึกดีๆให้กัน
เปลี่ยนจากคนที่ไม่เคยรู้จัก ไปเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนสนิท เป็นคนรู้ใจ จนกลายเป็นคนรักกันได้นั้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่คนทั่วๆไปเรียกกันว่า " พรหมลิขิต "
พรหมลิขิต หรือ Destiny นั้น ในความหมาย่ที่ผมเข้าใจนั้นคือ เชือกที่ผูกมัดคนสองคนเข้าไว้ด้วยกัน ถึงแม้จะอยู่ห่างกันสักเพียงไหนสักเพียงไหนก็จะมาเจอกันในที่สุด ต่างกับคนที่ไม่มีพรหมลิขิตต่อกัน แม้จะอยู่ใกล้กันเพียงปลายนิ้ว ก็ไม่อาจได้พบเจอกัน
ชีวิตคนเราก็เหมือนเส้นขนาน เส้นขนานที่มีเส้นใยบางๆ เชื่อมโยงกันไว้ เป็นสิ่งที่จะฉุดดึงเส้นขนานให้มาบรรจบกันในที่สุด
เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่จะช่วยให้เส้นขนานของความรักกับเวลาและระยะทางมาบรรจบกันนั้น ต้องใช้สายใยมาเชื่อมต่อกันไว้ สายใยที่สร้างขึ้นมาจากความรัก สายใยที่คนสองคนต้องคอยถะนุถนอมเอาไว้ ต้องคอยเติมความรักลงไปมิขาด
แม้ในวันนี้ต้องห่างกันไป แต่หากมีสายใยเชื่อมโยงกันไว้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักแค่ไหน จะไกลกันสักเพียงใด ก็มั่นใจได้ว่าสักวัน เส้นสองเส้นนี้จะมาบรรจบกันในที่สุด
เส้นขนานทั้งคู่ หลังจากที่ได้ผ่านอะไรมามากมาย จนได้มาบรรจบกันอีครั้ง จะทำให้กลายเป็นเส้นตรงเส้นใหม่ที่มั่นคงยิ่งกว่าเดิม และจากนี้ไปจะไม่แยกจากกันอีก...
--------------------------------------------------------------------------------
13 มิถุนายน 2548 14:48 น.
นายหมึกซึม
การแข่งขันชกมวยรุ่นยักษ์ ไฟต์พิเศษระหว่างไมค์ ไทสัน อดีตแชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่ ที่อายุจะครบ 39 ปีเต็ม ในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ กับนักมวยร่างใหญ่ ชาวไอริช เควิน แมคไบรด์ วัย 32 ปี ผู้ซึ่งได้เปรียบไทสันอยู่มาก ด้วยความสูงที่สูงกว่า 7 นิ้ว และน้ำหนักตัวมากกว่าอยู่ 38 ปอนด์ ที่เอ็มซีไอเซ็นเตอร์ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา เมื่อค่ำวันเสาร์ หรือตรงกับเวลาในเมืองไทย เช้าวันอาทิตย์ที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา
ไทสันภายใต้การดูแลของเทรนเนอร์ เจฟฟ์ เฟเนซ อดีตแชมป์โลกชาวออสเตรเลีย ขึ้นเวทีด้วยสภาพร่างกายที่ดูดี และยังคงความน่าเกรงขาม ขณะที่แมคไบรด์ ซึ่งรูปร่างใหญ่โตกว่าอย่างเห็นได้ชัด ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่น่าจะต้านทานไทสันได้ และอดีตที่ผ่านมา ไทสัน ยังไม่เคยพ่ายแพ้ต่อนักมวยผิวขาวมาก่อนเลย หลังระฆังยกแรกดังขึ้น ไทสันยังคงใช้สไตล์เดิมด้วยการเดินโยกตัวเข้าทำ หาจังหวะยิงหมัดฮุกซ้ายขวาเข้าใส่ ส่วนแมคไบรด์ที่ใหญ่กว่าแต่เชื่องช้ากว่าอาศัยรูปร่างเบียดตัดจังหวะ สลับกับแหย่หมัดแย็บคอยรบกวน ไทสันเรียกเสียงฮือด้วยฟอร์มที่ดุดัน และชกเข้าเป้าทั้งลำตัวและใบหน้าได้อย่างชัดเจนกว่าในช่วง 4 ยกแรก
ยกที่ 5 ช่วงต้นยก ไทสันยังเดินบดหมายเผด็จศึก แต่ในช่วงปลายยกเริ่มมีสัญญาณออก เมื่อแมคไบรด์ที่เบียดติดใช้รูปร่างไซส์ยักษ์ทั้งบดทั้งดันหาจังหวะอัปเปอร์คัตสั้นๆ และเริ่มจะเข้าเป้าบ้าง ซึ่งก็ทำให้ไทสันหยุดไปดื้อๆเอาแต่ปิดป้องอย่างเสียรูปมวย และออกอาการหมดแรงให้เห็นชัดเจน แต่ก็ยังประคองตัวไปได้
ยกที่ 6 เริ่มขึ้น ไทสันเหมือนจะฟื้นเดินรุกไล่ทันที และงัดแท็กติกสกปรกเข้าใส่ ทั้งหนีบแขนดันจังหวะเหมือนต้องการจะหักแขนคู่ชก และเอาหัวพุ่งเข้าใส่ จนแมคไบรด์ ต้องฟ้องกรรมการ โจ คอร์เตส เป็นระยะ ช่วงกลางยกหัวของไทสันก็สัมฤทธิผล ชนเข้าหางตาซ้ายของแมคไบรด์เป็นแผลฉกรรจ์เลือดไหลลงอาบแก้มทันที คอร์เตสเห็นชัดว่าเป็นการใช้หัวชน จึงสั่งตัดคะแนนไทสัน 2 แต้มทันที หลังคัดเลือดเสร็จ แมคไบรด์ก็ออกมาชกต่อ ไทสันพยายามเร่งเผด็จศึก แต่ก็เข้ารอยเดิมช่วงท้ายหมดแรงให้เห็นอีกครั้ง ก่อนหมดเวลาไม่กี่วินาที แมคไบรด์เดินเบียดดันไทสันจนติดเชือก ไทสันทรุดก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นหัวลอดเชือกออกไป แม้ระฆังหมดยกยังลุกไม่ขึ้นอยู่สักพัก ก่อนจะพยายามลุกขึ้นเข้าไปนั่งอยู่ที่มุม กรรมการคอร์เตสมองตามและเดินเข้าไปหา ก็มีเสียงมาจากมุมว่าไทสันไม่ขอสู้ต่อ ซึ่งไทสันก็นั่งนิ่งไม่มีปฏิกิริยา คอร์เตส จึงหันกลับเดินเข้าไปชูมือให้แมคไบรด์เป็นฝ่ายชนะ เทคนิเกิลน็อกเอาต์ไปในยกที่ 6 โดยมีไทสันมองตามอย่างเลื่อนลอย
หลังเป็นฝ่ายปราชัย ไมค์ ไทสัน ได้เปิดเผยว่า ผมไม่มีความกระหายที่จะชกอีกแล้ว ผมไม่สามารถจะขึ้นชกได้อีกแล้ว จะไม่หลอกตัวเองอีก ไม่สู้กับใครอีก และไม่อยากจะเสียเกียรติกับวงการมวยอันเป็นที่รักด้วยการแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อีกต่อไป ผมขอยุติลงแค่นี้ ไทสันกล่าวอีกว่า ต้องขอโทษแฟนมวยที่เสียเงินซื้อบัตรแล้ว ต้องมาเห็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ผมก็หวังจะทำได้ดีแต่ก็ทำไม่ได้ ผมไม่อยากจะลุกขึ้นเลยเมื่อกลับเข้ามุมหลังจบยกที่ 6 มันเหนื่อยเหลือเกิน ไม่เคยมีความคิดอย่างนี้อยู่ในใจมาก่อน จนกระทั่งวันนี้มาถึง ผมรู้สึกเหมือนคนอายุ 120 ปี
สำหรับการชกไฟต์นี้ ไทสันได้รับค่าตัว 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 200 ล้านบาท ซึ่งไทสันจะต้องหักใช้หนี้ 2 ล้านเหรียญ หรือราว 80 ล้านบาท ยังต้องจ่ายให้ภรรยาเก่า 750,000 เหรียญ หรือราว 30 ล้านบาท และเป็นที่คาดว่า ไทสันยังคงมีหนี้สิ้นเหลืออยู่เกือบ 40 ล้านเหรียญ หรือเกือบ 1,600 ล้านบาท ส่วน เควิน แมคไบรด์ ได้ค่าตัว 150,000 เหรียญ หรือราว 6 ล้านบาทเท่านั้น
ด้าน แมคไบรด์ ที่กลายเป็นนักมวยผิวขาวคนแรกที่พิชิต ไมค์ ไทสัน กล่าวว่า ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นความภูมิใจของชาวไอริชทั้งมวล และยังเป็นการพิสูจน์ว่าทุกคนคิดผิด ที่คิดว่าตนไม่มีทางจะชนะไทสันได้
..........อนึ่ง วันที่ 12 เดือน 6 คศ. 2005 จบชีวิตบนสังเวียนอันยาวนานของนักมวยที่ได้ฉายาว่า "มฤตยูดำ" ไมค์ ไทสัน.................
9 มิถุนายน 2548 17:51 น.
นายหมึกซึม
ชายคนหนึ่งพบรังไหมของตัวอ่อนผีเสื้อ เขาเฝ้าจับตาความคืบหน้ามาตลอด กระทั่งได้เห็นรอยปริขนาดเล็กปรากฏอยู่ที่ผิวภายนอก ชายคนนั้นจึงนั่งลงและเฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหว ของตัวอ่อนผีเสื้ออยู่นานหลายชั่วโมง
เขาเห็นมันพยายามดิ้นรนจะพ้นจากช่องเล็ก ๆ ของรังไหมให้ได้ แต่เมื่อไม่สำเร็จ เจ้าตัวน้อยก็หยุดการเคลื่อนไหว เหมือนจะยอมรับว่า ไม่อาจขืนทำอะไรไปมากกว่านั้น
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะช่วยตัวอ่อนแล้ว ชายคนนั้นจึงหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดเปิดช่องรังไหม จนกว้างพอที่ตัวอ่อนจะสามารถออกมาได้อย่างง่ายดาย ตัวอ่อนผีเสื้อน้อยจึงออกมาเผชิญโลกทั้งสภาพร่างกายบวมกลม ตรงข้ามกับปีกที่มีขนาดเล็กนิดเดียว !
แต่เขาก็เฝ้าจับตามองตัวอ่อนนั้นต่อไป ด้วยความหวังว่าอีกไม่ช้า ปีกของมันจะขยายใหญ่ขึ้น และแข็งแรงพอจะพยุงร่างกายมันได้เมื่อถึงเวลาอันควร แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง !