29 กรกฎาคม 2551 21:44 น.
นายธนา
มองแสงไฟนีออนตอนค่ำคืน
คงดาษดื่นคู่เมืองไม่หลับใหล
เสียงรถลาวิ่งวนสับสนใจ
ใครต่างใครไขว่คว้างบนทางจร
หนาวสายลมขมขื่นในคืนเคลื่อน
เปิดทีวีเป็นเพื่อนเหมือนวันก่อน
ใจเหว่ว้าทุกคราหลับตานอน
จะหาสุขสักตอนไร้วี่แวว
ไม่มีดาวเดือนหงายฉายกลางทุ่ง
ฟ้าเมืองกรุงสูงด้วยตึกเป็นปึกแถว
จะหาดาวที่ไหนให้แสงแพรว
บังมิดแล้วท้องฟ้าหนาหมอกควัน
เหงาไหมเหงาเศร้าใจสุดไกลบ้าน
สู้ไหมสู้ไม่คร้านต้องสานฝัน
อาจท้อบ้างเหนื่อยบ้างก็ช่างมัน
ยังมุ่งมั่นเพื่อใครที่ไกลมา
อีกคืนหนึ่งแล้วหนอ ณ ที่นี่
ที่ที่ไกลบ้านเราหนักหนา
แม้นร้องไห้ไม่เป็นไรเช็ดน้ำตา
แล้วเดินหน้าคว้าฝันกลับบ้านเรา
8 กรกฎาคม 2551 23:22 น.
นายธนา
ณ น่านน้ำเวิ้งว้างสุดทางไกล
เจ้าเด็กน้อยต้องข้ามไปยังอีกฝั่ง
จะแหวกว่ายอย่างไรไร้กำลัง
จึงลงนั่งร้องไห้ไร้ปัญญา
แล้วเรือจ้างลำหนึ่งแจวมาใกล้
รับเด็กน้อยขึ้นไปไม่ชักช้า
คนพายเรือจ้ำพายสายธารา
เพื่อเร่งพาเด็กน้อยข้ามฝั่งไป
ระหว่างทางเกิดคลื่นลมปะทะ
เรือผงะสั่นโคลงเอียงเอนไหว
แต่ฝีพายบังคับเรือสุดหัวใจ
จึงฟันผ่ามาไร้อันตราย
เจ้าเด็กน้อยนั่งเรือแสนซุกซน
หลุกหลิกจนเรือกระดกตกน้ำหาย
นายเรือเห็นรีบคว้าหาดึงกาย
ช่วยเด็กน้อยรอดตายได้ทันควัน
คนพายพาเรือเลียบเทียบเข้าฝั่ง
เด็กน้อยนั่งยิ้มละไมใจสุขสันต์
คนพายเรือจับหลักที่ปักพลัน
แล้วจอด ณ ท่านั้นอย่างมั่นคง
เจ้าเด็กน้อยรีบแจ้นแล่นลงเรือ
ดีใจเหลือข้ามฝั่งดั่งประสงค์
รีบก้าวเท้าเร็วไวไร้พะวง
เดินทะนงจากไปไม่เหลียวเรือ
4 กรกฎาคม 2551 00:34 น.
นายธนา
ข้าพเจ้าจ้องมองกระจกเงา
สบสายตากับเขาคนในนั้น
ดูสีหน้ามัวหมองไม่ผ่องพรรณ
ดูสินั่นเขากำลังมีน้ำตา
ข้าพเจ้าถามคนในกระจกเงา
เป็นอะไรหรือเปล่าเศร้าหนักหนา
ใครหนอใครทำร้ายให้ช้ำมา
จึงดูเหนื่อยล้ากว่าคราใด
ข้าพเจ้าบอกคนในกระจกเงา
อย่าซึมเศร้าอย่างนี้เลยได้ไหม
เช็ดน้ำตากล้าแกร่งเข้มแข็งไว้
อย่าให้ใครได้เห็นว่าอ่อนแอ
ข้าพเจ้าเตือนคนในกระจกเงา
เลิกงี่เงาใส่ใจไปแยแส
รักตัวเองเข้าไว้อย่าขี้แย
ให้เขารู้เราแน่ไม่แพ้กัน
ข้าพเจ้าเลิกมองกระจกเงา
ละสายตาจากเขาคนในนั้น
หันมามองตัวเองเพ่งรำพัน
ตั้งคำถามนี่!ฉัน....เป็นอะไร