19 มิถุนายน 2551 22:42 น.
นายธนา
มหาวิทยาลัย...
ใครต่อใครหวังเฝ้าเข้าศึกษา
เพื่อเรียนรู้สั่งสมวิทยา
ให้พ้นจากอวิชชาที่มืดมัว
มหาวิทยาลัยกว้างใหญ่ล้ำ
ปัญญาชาชนคือคำที่ค้ำหัว
ปริญญาคือใบประกาศตัว
ให้รู้ทั่วว่าข้าปัญญามี
ทั้งสีปีที่เรียนเพียรขยัน
จงมุ่งมั่นคว้าชัยมิหน่ายหนี
อย่าหมกมุ่นกามาเรื่องราคี
อย่าหลงเริงแสงสีที่มากมาย
บังคับใจเอาไว้อย่าไขว้เขว
อย่าเกเรเหลวไหลให้เสียหาย
แม้นท้อถอยเผชิญอย่าคิดตาย
อย่ายอมพ่ายถึงแพ้จงแก้มือ
สู้ต่อไปเถิดหนานักศึกษา
จบก็ได้ปริญญาประดับชื่อ
เรียนอะไรก็ไม่ต่างกันหรอกคือ
ต้องเที่ยวถือปริญญาเร่หางาน....
14 มิถุนายน 2551 09:00 น.
นายธนา
ไฟนีออนอ่อนแรงแสงจากหาย
หมอกพร่างพรายสายน้ำค้างจางช้าช้า
ไร้ไก่ขันประชันเคียงเสียงนกกา
แต่แสงทองยังส่องจ้ามาแต่ไกล
ตะวันออกจากซอกตึกสูงระฟ้า
เสียงรถลาวิ่งวนจนหวั่นไหว
ยินผู้คนเอ็ดตะโรอยู่ร่ำไป
ปลุกชีวิตวันใหม่ของคนเมือง
โอ้กรุงเทพแดนฟ้ามหาสถาน
ตึกตระการดังวิมานล้ำลือเลื่อง
ราวจะเด็ดดวงดาวอยู่เนืองเนือง
ละครชีวิตหลายเรื่องขีดเรื่องราว
รถติดดังงูเลื่อยเรื่อยเรื่อยรี่
คนมากมีเหมือนไม่มีที่ว่างเปล่า
ล้วนต่างใครไม่สนใจว่าใครเรา
แสนเงียบเหงาท่ามนานาหลากหน้าคน
ตะวันทอลออแสงแจ้งสดใส
ฟ้าอำไพแต่ใจหมองครองสับสน
เมืองวุ่นวายคนมากมายเฝ้าเวียนวน
อยู่ได้ก็ทนทนต่อไปนะคนกรุง
สุดท้ายที่กรุงเทพ : ฝน ธนสุนทร
10 มิถุนายน 2551 23:00 น.
นายธนา
จะขอเล่านิทานโบราณกล่าว
ถึงเรื่องราวชาววัชชีที่ลือขาน
แต่เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล
ถึงความสมัครสมานสามัคคี
บ้านเมืองเขามั่นคงและมั่งคั่ง
ผู้คนล้วนพร้อมพรั่งเป็นสุขศรี
รักใคร่ผองปองดองด้วยไมตรี
เป็นปราการอย่างดียากทำลาย
จนพระเจ้าอชาตศตรูผู้ยิ่งใหญ่
แห่งมคธเกรียงไกรมีมุ่งหมาย
จะตีแคว้นวัชชีให้วอดวาย
จึงออกอุบายทลายความสมานลง
ไล่วัสสการพราหมณ์ดำเนินแผน
ให้มั่นแม่นเหมาะตามความประสงค์
วัสสการก็เริ่มแผนเฝ้ายุยง
จนวัชชีแตกวงสนทนา
จากปองดองครองรักสามัคคี
แคว้นวัชชีกลับกลายสลายหน้า
ต่างทะเลาะเบาะแว้งไม่พูดจา
ปวงประชาคัดแย้งแจงทั่วไป
แล้วส่งข่าวพระเจ้าอชาตศตรู
เพื่อยกทัพขับมาสู้เป็นการใหญ่
รีบยึดแคว้นวัชชีนี้ให้ไว
ด้วยเมืองไร้ปราการด่านสำคัญ
ทัพมคธกรีฑามาขยี้
แคว้นวัชชีย่อยยับดับสวรรค์
ด้วยเพราะคนแตกความสามัคคีกัน
บ้านเมืองนั้นจึงพินาศขาดสิ้นเอย
8 มิถุนายน 2551 20:13 น.
นายธนา
คุณแม่ขา...คืนนี้มีละครไหม
หนูกลัวเปิดทีวีไปแล้วผิดหวัง
กลัวจะมีเพลงดีดีมาให้ฟัง
เหมือนเมื่อครั้งสองสามปีที่ผ่านไป
คุณแม่ขา...ข่าววันนี้คล้ายวันนั้น
เขามาร่วมชุมนุมกันเป็นการใหญ่
หนูก็ไม่รู้ว่าเขามากันทำไม
เห็นพูดกันด่าใครแล้วปรบมือ
คุณแม่ขา...หนูอยากรู้ทำไมกัน
การพูดเจรจานั้นมันอยากหรือ
ไม่เห็นด้วยแล้วต้องออกมาลุกฮือ
นี่เหรอคือแนวอย่างเสรี
คุณแม่ขา...หนูสงสารประเทศไทย
ที่คนไร้สมัครสมานกันอย่างนี้
ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะรักสามัคคี
เหมือนดั่งที่เพลงชาติร้องเชิดชู
คุณแม่ขา...หนูไม่อยากเห็นรถถัง
เพราะเมื่อวันเด็กหนูยังไปชมอยู่
แต่หนูกลัวกลัวอย่างไรก็ไม่รู้
กลัวว่าจะได้ดูอีกครั้งจัง...
29 พฤษภาคม 2551 22:58 น.
นายธนา
โอ้ละเหนอดวงดาวพราวระยิบ
พร่างกระพริบวิบวาว ณ หาวห้อง
นวลจันทร์ฉายผุดผาดสาดสีทอง
ฟ้าทั้งท้องแลอร่ามงดงามตา
อยากจะร้อยดวงดาวเข้าเป็นเส้น
ห้อยด้วยจี้เดือนเพ็ญเด่นเลอค่า
แล้วมอบลองคล้องคอเจ้าแก้วตา
ที่ข้าแสนสิเน่หากว่าผู้ใด
หยาดน้ำค้างพร่างพรูอยู่หยิมย้อย
แม้นหยดน้อยแต่เปล่งปลั่งดังเพชรใส
อยากเก็บนำทำหัวแหวนแทนหัวใจ
มอบให้ใครสักคนที่รักจริง
สายลมพลิ้วร่ำคีตายิ่งกว่าหวาน
เสียงสะท้านท่ามกลางหว่างความนิ่ง
ราวคนธรรม์สรรค์บรรเลงเพลงเพราะพริ้ง
เพื่อประวิงห้วงซึ้งคำนึงกัน
เหม่อมองดาวคราวคิดถึงซึ่งใจเจ้า
แม้นจะเหงาไม่เป็นไรยังได้ฝัน
ถึงตัวเราห่างไกลไม่สำคัญ
ถ้าเรารู้เรานั้นรักมั่นเอย....