28 สิงหาคม 2547 21:24 น.
นายช็อกโกแลต
เดียร์ เราชอบเธอ..นี่คือคำบอกรักของผมที่ให้กับ เธอคนนั้นรักแรกของผม..ผมไม่รู้หรอกว่าเธอทำหน้ายังงัย เพราะเวลาที่พูดผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเลย.เอาแต่ก้มมองพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
ในใจก็คิดเอาแต่ว่า.
..ถ้าเธอไม่รับรักผม.ก็ขอเป็นแค่เพื่อนก็แล้วกัน.
เหรออืม.เบสเราก็ชอบนาย เสียงใสๆที่ได้ยิน ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นทันทีทันใด.แล้วก็ได้เห็นรอยยิ้มสดใสที่มักจะติดอยู่บนใบหน้าของเธอเสมอ.เธอยิ้มให้กับผม.เธอชอบผมด้วย!!
ตอนนั้นผมไม่รู้จะบอกยังงัยเพียงแต่รู้ว่าดีใจมากมากที่สุดในชีวิต
.เดียร์.เด็กผู้หญิงเรียบร้อยจากสายตาคนส่วนมาก.ความจริงถ้ามองจากข้างนอกเธอก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ.แค่เด็กผู้หญิงน่ารักๆธรรมดา.แต่ไม่รู้ทำไม.ผมมักจะชอบมองเธอเสมอ
ทั้งกิริยา.
ท่าทาง.
น้ำเสียง.
แล้วก็รอยยิ้มที่มักจะทำให้ผมมองค้างอยู่เป็นประจำ
ที่จริงผมกับเดียร์แทบจะไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำก็อย่างที่บอก.เธอดูเรียบร้อยจนผมที่เป็นเด็กเฮ้วประจำห้องไม่กล้าเข้าใกล้..ได้แต่มองอยู่ห่างๆ
แต่พวกเพื่อนๆผมมันรู้และมักแซวเรื่องผมกับเดียร์อยู่เรื่อย..
วันหนึ่งตอนผม เดินกลับจากโรงเรียน บังเอิญผมได้ยินเสียงแมวร้อง ดังแง้วๆข้างทาง พร้อมกับร่างเล็กๆของเด็กผู้หญิงที่คุ้นตาดี กำลังก้มลงอุ้มลูกแมวอยู่บนตัก
ทำอะไรน่ะเดียร์ผมถาม
ก็ลูกแมวน่ะสิ มีคนเอามาทิ้งไว้น่าสงสารอ่ะ
อ้าว แล้วทำไมเธอไม่เก็บไปเลี้ยงเองซะล่ะ
ไม่ได้หรอก แม่เราแพ้ขนสัตว์น่ะ เลี้ยงไว้ในบ้านไม่ได้ แต่เราสงสารมันเธอบอก
ผมยืนคิดอยู่ครู่นึง พลางมองที่ลูกแมวตัวสีส้มๆขนแดงๆตัวนั้น ดูท่าทางมันอิดโรยและคงจะเหงามาก
ให้เราไปเลี้ยงแทนมะ
+++++++++++++++++++++++++
หลังจากนั้นแมวน้อยก็มาอยู่บ้านผม เป็นสมาชิกใหม่ของบ้านไปโดยปริยาย ผมกับเดียร์ก็พูดคุยกันมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเจ้าเหมียวตัวน้อยนั่นแหละครับ พวกเราตั้งชื่อมันว่า ราเม็ง เดียร์เป็นคนคิดครับ.จากที่คบกันมานาน..ผมก็รูว่าเดียร์ไม่ใช่เด็กผู้หญิงเรียบร้อยอะไรมากมายเธอเป็นคนร่าเริงแล้วก็มักจะมีมุขตลกอะไรมาให้ผมขำประจำพวกเราสนิทกันมากขึ้น แต่จะเป็นเพื่อนมากกว่า.เจ้าราเม็งก็ดีครับมันเหมือนเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างผมกับเดียร์
พวกเราสนิทกันมากขึ้นทุกวันแล้วก็มาถึงวันที่ผมบอกความในใจกับเธอ
เราตกลงเป็นแฟนกัน..
..พ่อแม่เธอก็รู้พ่อแม่ผมก็รู้..แต่ไม่ว่าอะไร.ผมทำตัวดีขึ้นมาก.อ่านหนังสือและไม่ติดเกมส์เหมือนก่อน..เพราะผมอยากวิ่งให้ทันเดียร์..เธอเรียนเก่งหัวดี.
.ชีวิตผมมีความสุขมาก.ดำเนินไปเรื่อย.อย่างเรียบง่าย.
..ผมคิดว่าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
แต่พายุมักจะเกิดขึ้นในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเสมอ..
..เดียร์เลิกติดต่อกับผม
เธอพยายามหลบหน้า
ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอเปลี่ยนแปลงไป..
.ผมกระวนกระวายมาก..
.ตามหาเธอทุกที่เดียร์เริ่มหายไป.เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์.
ไม่มาโรงเรียนไปที่บ้านก็ไม่อยู่.
.แม้แต่เพื่อนสนิทของเธอก็ไม่รู้..
..ทำไม..ผมเฝ้าถามตัวเอง..
..ผมทำอะไรผิดรึเปล่า?
..ผมผิดใช่มั้ย..เธอถึงหนีผมไป..
จากนั้นผมเริ่มเกเร.เที่ยวกลางคืนไม่ตั้งใจเรียน.ติดเกมส์จนพ่อแม่บ่น..ระอากับพฤติกรรมของผม..
.ซึ่งผมก็รู้ว่าเพราะอะไร..
..ในใจผมยังมีภาพของเธอเสมอ..รอยยิ้มที่ผมหลงรัก.
.วันเวลาเก่าๆ.เสียงหัวเราะของเราสองคน.
.ที่ที่เรามักไปเที่ยวกัน..เดียร์เธออยู่ไหน..
.เบสขอโทษ..
ผมนอนอยู่บนเตียง พร้อมกับน้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลอาบแก้ม
.ไม่ว่าเหตุผลอะไร..แต่ผมแค่อยากขอโทษ
หวังเล็กๆว่าบางทีเสียงที่ร่ำร้องในใจคงจะส่งผ่านไปถึงเธอคนนั้น..และกลับมาหาผม
..ซักวัน.
แล้ววันที่ผมรู้ความจริงที่แสนจะเจ็บปวด
.เดียร์เป็นโรคหัวใจ
ภาพที่ผมเห็นเธอ..นอนอยู่บนเตียงสายระโยงระยางเต็มไปหมด
สายตาที่มองมาทางผมความรู้สึกที่รับรู้ได้.แม้ไม่เอ่ยปาก.
..เราคิดถึงนายเบส.
.เสียใจที่ไม่ได้บอกนาย
..ไม่อยากให้รู้.ว่าเรา..อยู่ได้อีกไม่นาน.
ขอบคุณ..ทุกสิ่งทุกอย่างวันเวลาที่สวยงามสนุกสนาน.
..ขอบคุณ
รักนายเบส
ผมจ้องมองลึกในดวงตาคู่นั้นที่เหมือนจะยิ้มให้กับผม.ยิ้ม..ครั้งสุดท้าย
ผมร้องให้.อย่างไม่อายพร้อมกับจับมือเดียร์วางไว้ตรงหน้าอกตัวเอง
.เราก็รักเธอเดียร์..
ผมนั่งทรุดลงข้างเตียง แล้วปล่อยให้น้ำตาไหล
ร้องไห้.ร้องออกมาให้มากที่สุด
.เสียงสะอื้นที่ดังอยู่ภายในความเงียบงัน.
.พระเจ้า
..ทำไมต้องเอาเธอไปด้วย
ทำไมต้องเป็นเธอ.
..ทั้งชีวิตผมก็ให้ได้เพื่อแลกกับเด็กผู้หญิงคนนี้คนที่ผมรักที่สุด..เดียร์..
ครับหลังจากนั้นเธอก็จากผมไป.ชั่วนิรันด์.
แต่ผมก็รู้
ว่าเธอยังอยู่กับผม.อยู่ในใจเสมอ
ความผูกพัน
ความทรงจำ..
ยังคอยย้ำเตือน..
เราทั้งสองต่างผูกพันด้วยรัก..ตลอดไป..
ตอนนี้ผมอยู่หน้าหลุมศพของเธอ.แผ่นหินสีดำตรงหน้า
นำดอกไม้มาวางไว้ที่นี่ทุกวัน..
.สายลมพัดมาวูบไหวพัดผ่านเส้นผมปลิวตามแรงเหมือนเสียงกระซิบบอกว่า รักจากคนที่อยู่ไกลแสนไกล.
มองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีคราม
เดียร์
ซักวันผมจะไปหาเธอ..
++++++++++++++++++++++++++++the end+++++++++++++
20 สิงหาคม 2547 23:28 น.
นายช็อกโกแลต
คุณเคยรู้สึกว่าปิ๊งใครจังๆบ้างไหม เอาแบบแค่เดินผ่านหน้าร้านไอศครีมแล้วก็สะดุดกับใครซักคนหนึ่ง หรือว่าเดินๆอยู่คนนั้นๆก็เดินเข้ามาชนคุณเฉยเลย แน่นอนว่าการแอบปิ๊งเค้าข้างเดียวน่ะมันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ แต่ว่าบางครั้งเราก็ต้องทนกับการได้แค่เฝ้ามอง หรือเป็นแค่ตัวแทนของใครคนหนึ่ง
เหตุการณ์วันนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อ ผมโดนพวกเพื่อนๆ ทิ้งให้มาดูหนังคนเดียวที่เซนทรันกาดสวนแก้ว ทั้งๆที่ผมอุตส่าห์นัดกันให้มาดูที่นี่ แต่เจ้าบ้าพวกนั่นดันบอกผมว่าตอนนี้รออยู่ที่เมเจอร์ โรบินสันซะได้ แถมวันนี้ฝนก็ดันตกอีก ซวยจริงๆ ผมชื่อ โย ครับ เป็นคนเชียงใหม่ ไม่ช่ายคนหล่ออะไรมากมาย แต่สาวๆหลายคนก็บอกว่าผมน่ารักนะ ใครที่อยู่เชียงใหม่ก็จะรู้ได้เลยครับว่าเซนทรันกาดสวนแก้วกับโรบินสันมันไกลกันมากๆ ผมก็เลยเอาวะ ดูที่เซนทรันคนเดียวก็ได้ ไหนๆก็ตั้งใจมาดูขวัญใจผมอยู่แล้ว วันนี้ผมมาดูหนังเรื่อง TROY น่ะครับ แล้วผมชอบแบรด พิตต์ มาก ขวัญใจผมเลย คนนี้อ่ะ อาจจะแปลกไปซะหน่อยนะครับที่ผู้ชายจะชอบแบรด พิตต์ ไม่ใช่ว่าผมเป็นเกย์นะ!! แต่ผมชอบการแสดงของเค้าต่างหากล่ะ วันนี้เป็นวันเสาร์ครับ คนก็เลยเยอะมากๆ ผมไปซื้อตั๋วหนังมาแล้ว แต่หนังฉายตอน 11.30น. ครับ ตอนนี้เวลา 9.45 น. ผมมีเวลาอีกนานเลยก่อนที่หนังจะฉาย ผมก็เลยมาเดินเตร่แถวชั้น 4 ซึ่งเป็นแหล่งที่วัยรุ่นเดินกันเต็มเลย เพราะมีทั้งร้านขายเสื้อผ้า ของกระจุกระจิก แหล่งรวมตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์ หรือที่วัยรุ่นเรียกกันว่า โบ๊เบ๊ นั่นแหละครับ ผมดูของไปเรื่อยๆ ตามประสา แต่ผมไม่ได้ซื้อหรอกนะครับ ไม่รู้จะซื้ออะไรมากกว่า ผมเดินไปเรื่อยๆ เดินสวนกับคนมากมายวัยรุ่นหญิงชาย บางทีก็มากันเป็นคู่ เป็นกลุ่มบ้าง นี่ ตัวเองว่า สร้อยเส้นนี้สวยไหม มีเป็นคู่ด้วย เอาไว้ใส่ด้วยกันนะ ผมหยุดมองคู่หญิงชายที่กำลังเลือกสร้อยกันอยู่ แถวๆโบ๊เบ๊ ผมมองอยู่นาน เธอคงรู้ตัวมั้งครับ หันมามองผมที่กำลังจ้องเธออยู่ ผมรีบยิ้มแก้เก้อแล้วก็เอามือลูบท้ายทอยตัวเองอย่างเขินๆ ใครควรจะเขินกันแน่ครับงานนี้ แต่ที่แน่ๆผมเขินแทน ผมไม่ชินกับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนไม่โรแมนติกนะ แต่ผมไม่รู้จะทำโรแมนติกกับใครต่างหากล่ะ ขณะที่ผมกำลังรีบเดินออกมาจากร้านนั้นด้วยความเขิน เหมือนมีอะไรมากระตุกที่ข้อมือของผม แล้วก็ตามมาด้วยเสียงอุทาน น่ารักมากๆ ขอย้ำนะครับเสียงน่ารักมากๆ
อุ๊ย ผมก็รีบเอี้ยวตัวกลับมาเลยครับ ผมมองที่ข้อมือตัวเองอยู่ รู้สึกว่านาฬิกาข้อมือของผมกำลังเกี่ยวอยู่กับพวงกุญแจน่ารักๆ ของกระเป๋าสีชมพูหวาน ผมมองกระเป๋าแล้วก็มองเจ้าของกระเป๋า น่ารักอย่างแรงครับ!! ตากลมโตจ้องผมเป๋งเลย ผมก็เลยกล่าวคำขอโทษออกไป เธอส่ายหัวประมาณว่าไม่เป็นไร แล้วก็ใช้มือคู่น้อยๆดึงผมเข้ามาในร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงร้านนึงแล้วก็จัดการแกะเจ้าพวงกุญแจลูกแก้วสีหวานใสเหมือนลูกเชอร์รี่ออก ผมก็เลยมีโอกาสได้มองเธอใกล้ๆ ตัวเธอสูงแค่อกผมเท่านั้นเอง ผมลืมบอกว่าผมสูง 186 cm. ครับ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับนักบาสของมหาลัยอย่างผม เธอใส่ชุดแซคสีชมพูหวานสลับขาวเข้ากับกระเป๋าเธอเป๊ะ เธอกำลังก้มหน้างุดๆอยู่กับกระเป๋าของเธอ ทำให้ผมได้เห็นกิ๊ฟสีชมพูน่ารักติดอยู่บนผมยาวสลวยของเธอ ผมเธอดูท่าจะนุ่มมากครับจนผมเผลอที่จะสัมผัสมัน แต่ผมก็ต้องห้ามใจเดี๋ยวใครเค้าจะหาว่าผมโรคจิต แต๊ะอั๋งเด็ก เพราะคิดว่าเธอคงยังเด็กกว่าผมน่ะครับด้วยหน้าตา คำว่าโรคจิตทำให้ผมมองดูคนรอบๆข้างที่เดินผ่านไปผ่านมา พวกเค้าก็มองผมกับเธอเหมือนกัน หรืออาจจะมองเธอคนเดียวผมก็ไม่แน่ใจ ก็เธอน่ารักนี่ครับ ตอนนี้เธอแกะพวกกุญแจของเธอออกจากนาฬิกาของผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ยิ้มให้ผมนิดนึงแล้วก็เดินจากไป ผมอยากจะเดินตามไปถามชื่อกับขอเบอร์ แต่ถ้าไม่ติดว่าอีก 15 นาทีหนังจะฉายแล้วล่ะก็ ผมเดินกลับหลังหันให้เธอ แต่ก็ไม่วายหันกลับไปมองหาเธอ เธอไม่อยู่แล้ว ผมรีบเดินเข้าไปในโรงหนังทันที โดยไม่ได้ซื้ออะไรเข้าไปกินด้วย ผมไม่ชอบกินอะไรระหว่างการดูหนังน่ะ ผมเลือกที่นั่งที่คิดว่าคงไม่มีใครมานั่งข้างผม เพราะว่าผมชอบดูอะไรเงียบๆคนเดียว ผมเลยเลือกมาดูหนังตอนที่หนังใกล้จะออกโรงแล้ว ตัวอย่างหนังฉายไปได้ซักพักผมก็รู้สึกเหมือนมีใครมาทรุดลงนั่งข้างๆผม ว้าาาา ยังมีคนมานั่งข้างผมอีกเหรอเนี๊ยะ เซ็งชะมัด ผมหันมามองคนที่เพิ่งนั่งข้างๆผมอย่างไม่พอใจ เธอคนนั้นครับ!! ก็คนที่พวกกุญแจของเธอติดกับนาฬิกาของผมไง เธอหันมามองผมนิดนึงแล้วก็ยิ้มให้ แต่นัยตาดูเศร้าๆ หรือโรงหนังมันมืดเกินไปก็ไม่รู้ทำให้ผมเห็นอย่างนั้น ผมก็ยิ้มให้เธอ แต่เธอไม่เห็นเพราะกำลังตั้งใจดูตัวอย่างหนัง เธอคงจำผมไม่ได้มั้งเพราะผมดึงแว่นตาออกมาสวมแล้วนี่นา แล้วเราสองคนก็นั่นดูหนังเรื่องนี้กันเงียบๆ แล้วอยู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำเอาคนทั้งโรงหันมองหาต้นเสียง ซึ่งมันดังใกล้ๆผมนี่เอง ไม่ใช่โทรศัพท์ของผมหรอกครับ แต่มันเธอของเธอที่นั่งข้างๆผม แต่ดูเธอจะไม่รู้สึกตัวเลยว่ามือถือของเธอดังอยู่ ผมก็เลยสะกิดเธอ เธอสะดุ้งเมื่อผมสะกิดเธอ มือถือคุณดังน่ะผมบอกเธอ แล้วเธอก็รีบเปิดกระเป๋าค้นหามือถือ พอเจอเธอก็จ้องดูเบอร์ที่โชว์อยู่แล้วก็ปิดเครื่องทันที ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรกับเธอมาก เพราะผมกำลังสนใจกับการแสดงของขวัญใจผมอยู่อย่างตื่นเต้น แล้วเส้นประสาทของผมตรงส่วนไหล่บอกผมว่า เธอกำลังซบอยู่กับไหล่ของผม ความเย็นของแอร์ทำให้ผมรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่กำลังซึมลงไปภายใต้เสื้อของผมอย่างช้าๆ เธอกำลังร้องไห้ครับ ผมไม่แน่ใจว่าเธอร้องไห้เพราะหนังรึป่าว แต่ผมก็นั่งนิ่งๆให้เธอซบอยู่อย่างนั้นแหละครับ จนหนังจบ ผมก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้น เธอหลับครับ ผมก็เลยไม่อยากจะปลุกเธอ แต่จำเป็นต้องปลุกล่ะครับ ก็เพราะพนักงานเค้ามาไล่แล้ว ผมกระซิบพร้อมกับสะกิดเธอเบาๆ คุณ หนังจบแล้ว เธอตื่นขึ้นมองหน้าผมนิดนึงแล้วเธอก็รีบลุกออกไปเลย ผมคิดว่าเธอคงอายน่ะครับ ผมรีบตามเธอออกไป ไม่รู้ทำไมผมต้องสนใจเธอขนาดนั้นด้วย แต่แววตาเศร้าๆนั่น กับรอยน้ำตาที่อยู่บนไหล่ผม ทำให้ผมรู้สึกว่าปล่อยเธอไม่ได้ ผมเดินตามเธอลงมาจนถึงแถวโบ้เบ้ เธอเดินเหมือนเหม่อลอยมากครับเดินไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีจุดหมาย ผมก็ยืนแอบดูเธอตรงร้านขายหมวกไม่ไกลจากจุดที่เธออยู่มาก เจ้าของร้านมองผมใหญ่เลย ผมก็เลยทำทีเป็นเลือกหมวก แต่สายตากลับจ้องมองที่เธออยู่อย่างนั้น เธอถูกวัยรุ่นหญิงคนนึงชนจนล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ของในกระเป๋าตกกระจาย เธอคงไม่ได้ปิดกระเป๋าตอนรับโทรศัพท์ ผมนึกว่าเธอจะรีบลุกขึ้น แต่เธอกลับเฉยครับ เธอนั่งอยู่อย่างนั้นโดยมีของตกกระจายอยู่รอบๆ กระเป๋าสตางค์คิดตี้สีหวาน กระดาษซับมัน มือถือ กระจก ลิปกรอส แป้งพับ หวี สมุดเล่มเล็กๆ สีแดง ปากกา และอีกมากมายตกอยู่รอบตัวเธอ เธอเก็บของพวกนั้นใส่กระเป๋าอย่างเชื่องช้า เหมือนกับว่าไม่ตั้งใจเก็บ แล้วน้ำใสๆก็ไหลอาบแก้มใส เธอร้องไห้ครับ ผมชะงักมือในขณะที่กำลังลองหมวกแก๊ปสีขาว เธอเก็บของไปเรื่อยๆจนมาถึงมือถือ เธอหยิบมันขึ้นมาแล้วก็เปิดเครื่องอย่างช้าๆ แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้หนักขึ้น คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองมาที่เธออย่างจับจ้องแต่ก็ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือเธอเลยซักคน ผมเหลืออดแล้วนะ ผมสวมหมวกสีขาวที่อยู่ในมือแน่น แล้วก็เดินตรงเข้าไปหาเธอ เจ้าของร้านเรียกผมเสียงดังเพราะผมยังไม่ได้จ่ายเงิน ผมหยุดกึก ดึงธณาบัติใบร้อย2 ใบออกมาจากกระเป๋าตังค์แล้วก็ยื่นให้เจ้าของร้าน แล้วบอกว่า ไม่ต้องทอน ผมเดินเข้าไปหาเธอแล้วก็นั่งยองๆมองดูเธอร้องไห้ ผมเก็บของทุกอย่างใส่ในกระเป๋าเธอ ปากก็พร่ำบอก ไม่เป็นไรนะ เจ็บนิดหน่อยเอง แต่การปลอบของผมคงจะไม่เป็นผล เธอร้องไห้หนักขึ้น ผมรีบจับมือเธอแล้วพยุงให้ลุกขึ้น เธอก็ทำตามอย่างว่าง่าย มือข้างนึงจูงมือเธอ อีกข้างหนึ่งก็ถือกระเป๋าของเธอ ผมเดินมาเรื่อยๆ ทุกคนที่เดินผ่านเราสองคนต่างก็มองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมพาเธอมานั่งตรงม้านั่ง ที่เค้ามีให้นั่งพักแถวๆโบ้เบ้ ผมและเธอนั่งคนละฝั่งของม้านั่ง เธอยังร้องไห้และผมยังนิ่งเงียบ มือที่ผมจูงเธอมา ยังไม่ปล่อยมือน้อยๆและบอบบางของเธอ ผมนั่งจับมือเธอไปเรื่อยๆ ไม่มีคำปลอบใจใดๆออกมาจากปากของผม ผมไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้ว่าจะทำให้เธอหยุดร้องไห้ได้ยังไง ผมอาจจะดูเป็นผู้ชายที่แย่มาก ผ้าเช็ดหน้าที่จะให้เธอเช็ดน้ำตายังไม่มีเลย คิดได้ดังนั้น ผมก็ปล่อยมือจากมือเธอจะไปซื้อผ้าเช็ดหน้า แต่ดูเหมือนเธอจะสะดุ้งเล็กน้อย พยายามจับมือผมให้แน่นขึ้น ผมมองหน้าเธอ เธอมองหน้าผมด้วยน้ำตาที่เปื้อนหน้าใส นัยตาเธอสื่อความหมาย
อย่าปล่อยมือตอนนี้ได้ไหม ขออยู่แบบนี้ซักพักนะ ผมพยักหน้าเข้าใจแล้ว แล้วก็กระชับมือให้แน่นขึ้น ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่เราสองคนนั่งอยู่ตรงนี้ นั่งเงียบๆ มองดูผู้คนมากมายเดินผ่านไปผ่านมา ทุกคนเหมือนจะเดินทะลุผ่านเราสองคนไป ไม่มีใครสนใจ เหมือนกับว่า มีเพียงเราสองคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ มือที่จับกันอยู่ยังไม่คลาย ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเธอหยุดร้องไห้แล้ว มีเพียงแต่ความรู้สึกเท่านั้นที่กำลังสื่อถึงกัน แล้วอยู่ๆผมก็พูดขึ้นมาโดยไม่ได้คิดอะไร หิวรึยัง ไปกินอะไรกันไหม เธอเงียบ ผมก็เลยถือวิสาสะว่าเธอตกลง เดินจูงเธอเข้ามาในร้านกินเส้น ผมพาเธอมานั่ง แล้วก็บริกรก็เอาเมนูมาให้ผม โดยที่ผมยังใช้มือข้างเดียวในการเปิดหน้าสมุดเมนู อีกข้างนึงก็ยังจับมือเธอที่นั่งตรงข้ามผมอยู่ ผมสั่งก๋วยเตี๋ยว แล้วผมก็มองหน้าเธอ ที่ตอนนี้กำลังเปิดเมนูผ่านๆอย่างเหม่อลอย แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะสนใจรูปราดหน้าทะเลจานโตเป็นพิเศษแล้วก็เปิดผ่านไปอีก ผมก็เลยสั่งราดหน้าให้เธอ บริกรหนุ่มมองหน้าผมและเธอแล้วก็อมยิ้ม เธอเงยหน้ามองผมด้วยตาที่แดงเหมือนกระต่ายตัวน้อยๆ ผมยิ้มให้เธอ แต่เธอกลับหลบตา มองไปทางอื่น เมื่ออาหารมาถึง เราสองคนก็กินกันอย่างเงียบๆ ถึงแม้มันจะไม่เงียบเท่าไหร่ก็เถอะ เพราะตอนนี้ผมกำลังซัดโฮกๆ อยู่ ผมได้ยินเสียงขำกิ๊ก จึงละจากชามก๋วยเตี๋ยว มองหน้าเธอ ตอนนี้เธอกำลังกลั้นหัวเราะผม เมื่อเธอพบว่าผมกำลังมองหน้าเธออยู่เธอก็หยุดขำ แล้วก็ยื่นกระดาษเช็ดปากให้ผม พร้อมกับบอกตำแน่งที่เปื้อน ผมวางตะเกียบแล้วก็เช็ดปากอย่างเขินๆ แล้วก็มองดูเธอที่กำลังพยายามตักราดหน้าเข้าปากอย่างยากลำบาก ผมลืมบอกไปครับว่า ตอนนี้เราก็ยังจับมือยังไม่ปล่อยเลยครับ ผมพยายามจะดึงมือกลับเธอก็จับมือผมแน่นขึ้นแววตาอ้อนวอน แล้วก็พยายามตักราดหน้าเข้าปากอีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จซักทีผมก็หลุดขำกิ๊กออกมาบ้าง เครานี้เธองอนตุ๊บป่องเลยครับ ตอนงอนเธอน่ารักดีครับ ผมช่วยผมบอกแล้วก็เลื่อนชามก๋วยเตี๋ยวที่หมดแล้วออกไปแล้วก็เลื่อนจานราดหน้าเข้ามาใกล้ผมนิดนึงแล้วผมก็เอื้อมมือมาจับส้อมที่ยังวางอยู่ข้างจานของเธอแล้วก็บอกให้เธอว่า ผมจะเป็นส้อมให้ ดูเหมือนเธอจะเข้าใจ เธอตักเส้นราดหน้าขึ้นมาด้วยช้อนโดยมีผมช่วยเธอด้วยส้อมอีกทีนึง ผมมองเธอทานอย่างอร่อย ผมอาจจะมีรสนิยมแปลกตรงที่ว่าชอบผู้หญิงเวลากินแล้วกินแบบน่ารักน่ะ กินแล้วมีความสุขอะไรประมาณนี้ ผมจะชอบมาก แล้วเธอก็ทานแบบน่ารักมากๆด้วยล่ะ กว่าเราจะทานกันเสร็จก็ใช่เวลานานพอสมควรเลยล่ะ แต่ผมว่าก็ดีนะ ผมจะได้มีเวลาอยู่กับเธอนานๆ เมื่อกินเสร็จ ผมก็นั่งมองเธอไปเรื่อยๆ เธอหลบตาไม่มองผม นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมนั่งมองเธอแบบนี้ เรานั่งกันเงียบๆ ไปเที่ยวกัน ผมบอกแล้วก็เรียกบริกรมาเก็บตังค์ แล้วก็ลุกขึ้นจูงมือเธอออกจากร้านไป เดินตรงไปที่ลานโบว์ลิ่ง เราเล่นโบว์ลิ่งด้วยกัน ผมเพิ่งจะรู้นะครับเนี๊ยะว่าเธอเล่นโบว์ลิ่งเก่งมากๆ ผิดกับผมเลย กะว่าจะสอนเธอซะหน่อย แต่ผมก็ล้างท่อทุกที แต่ผมก็ดีใจนะครับที่เธอยิ้ม แล้วก็หัวเราะอย่างสนุกสนานเวลาผมล้างท่อน่ะ ตอนนี้ผมกับเธอปล่อยมือกันแล้ว เธอคงจะสบายใจแล้วล่ะ แล้วเธอก็สอนผมเล่นด้วยล่ะ เราสนุกกันมาก แล้วผมก็พาเธอไปเล่นไอซ์สเก็ตต่อ ผิดคาดครับอันนี้ เธอไม่ยอมลงลานเลย เธอได้แต่ยืนดูผมเล่น ผมชวนเธอ เธอก็ได้แต่ส่ายหน้า ผมก็เลยบอกเธอว่า จะสอนให้ ผมเดาใจเธอถูกครับ เธอเล่นไอซ์เก็ตไม่เป็น แล้วเธอก็ยอมเล่นแต่โดยดี ผมจับมือเธอพาเธอเดินไปรอบๆลาน ดูเธอยังกลัวๆอยู่ ไม่ต้องกลัว ถ้าล้มผมจะรับเองผมบอกเธอไปอย่างนั้น เธอยิ้มให้ผมแล้วก็พยักหน้า แล้วเธอก็ล้มจริงๆครับ แต่ผมรับเธอไปไว้ได้อย่างหวุดหวิดแต่ผมก็ลงไปนอนกับพื้นน้ำแข็งเลยล่ะ โดยมีเธอล้มทับตัวผมอีกที พนังงานที่เค้าดูแลผู้เล่นอยู่ก็เข้ามาดูผมกับเธอ เขาจะช่วยดึงเธอขึ้น แต่เธอจับมือผมแน่นเลย ไม่ยอมให้นายนั่นดึงขึ้น ผมก็เลยบอกเค้าไปว่าไม่เป็นไร แล้วก็ลุกขึ้นก่อนแล้วก็ดึงเธอขึ้นตาม นายนั่นก็เลยหน้าแตก แถวลานสเก็ตเด็กแซฟเยอะครับ ผมมองตานายนั่นออก ลูกผู้ชายด้วยกันนี่ครับ ไม่บอกก็รู้ว่านายนั่นสนใจเธอ ผมก็เลยส่งสายตาพิฆาตซะเด็มที่ อาจจะเป็นเพราะว่าผมสูงด้วยก็ได้ นายนั่นก็เลยถอยหนี เป็นไรรึป่าวผมถามเธอ เธอส่ายหน้ายังไหวไหมผมถามด้วยความเป็นห่วงอีก เธอพยักหน้าแล้วผมก็สอนเธอเล่นได้สำเร็จ เธอหัวไวมากๆ แปปเดียวเธอก็ลากผมวนไปรอบลานตั้งหลายรอบแน่ะ 5.15 น. ผมมองดูนาฬิกาเมื่อออกมาจากลานไอซ์สเก็ต ทำไมเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมอยากให้มันหยุดอยู่ตรงนี้ อยู่อย่างนี้ มีเธอคนที่ไม่รู้จักผม มีผมคนที่อยากรู้จักกับเธอมากกว่านี้ ผมพาเธอเดินไปเรื่อยๆ เราจูงมือกันอย่างนี้ ผมคิดแล้วก็กระชับอุ้งมือให้แน่นขึ้น สายตาก็มองออกไปดูสายฝนที่กำลังตก เธอหยุดเดินแล้วก็มองดูฝนที่กำลังตกอยู่เช่นกัน เรามองดูฝนตกด้วยกันผ่านกระจกใสๆของห้างเซนทรัน แล้วผมก็ตัดสินใจบอกกับเธอ ไปถ่ายรูปกันเถอะ พูดจบผมก็จูงเธอเดินออกไป แต่เหมือนถูกกระตุกอย่างแรง เธอไม่ยอมเดินมากับผม ผมหันกลับไปมองเธอที่กำลังจ้องสายฝนอยู่ด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย เธอหันมามองผมแล้วก็ส่ายหน้า น้ำตาไหลอาบแก้มใส ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจในตัวเธอมากขึ้น ผมยืนดูสายฝนกับเธออยู่ตรงนั้นโดยไม่มีคำปลอบใจจากปากผมเช่นเคย แต่คงมีเพียงกระแสอุ่นจากมือผมเท่านั้นล่ะมั้งที่ปลอบใจเธอ เราเดินออกมาจากห้างด้วยกันมือก็ยังจับอยู่อย่างนั้น จนมาถึงหน้าห้าง ฝนกำลังตก ความมืดกำลังจะครอบงำเพื่อเปลี่ยนเวลานี้ให้เป็นยามค่ำคืน 6.00 น. ผมกับเธอยืนดูสายฝนที่กำลังตกอยู่หน้าห้าง จะไปเอาร่มมาให้นะ ผมบอกแล้วก็จะเดินกลับเข้าไปในห้าง เธอจับมือผมไว้แน่น ส่ายหัว อ้อนวอน ผมมองหน้าเธอแล้วก็ใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาให้เธอ แล้ว ก็ปล่อยมือจากเธอเดินกลับเข้าไปในห้าง พอผมออกมาก็พอกับความว่างเปล่า เธอไปแล้ว ผมทิ้งร่มสีชมพูสายคิดตี้ ที่ใช้ความกล้าทั้งหมดซื้อมาท่ามกลางสายตาที่มองอย่างขบขันของเด็กผู้หญิงในร้าน ผมวิ่งออกไปตามหาเธอ วิ่งไปโดยไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าเธออยู่ไหน มองหาเธอท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างหนัก แล้วสายตาที่พล่ามัวก็พบกับพวกกุญแจลูกแก้วสีใสของเธอตกอยู่ผมก้มลงเก็บแล้วก็พบร่างบางที่กำลังเดินตากฝนอยู่ตรงข้ามกับถนน คุณ!!
คุณ!! ผมร้องเรียกแข่งกับเสียงสายฝน ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยินเสียงของผม ผมวิ่งข้ามถนนไปโดยไม่ได้มองรถที่กำลังแล่นอยู่บนถนนอย่างบ้าคลั่ง เสียงด่าระงมมากับสายฝน แต่ผมไม่สนอะไรทั้งนั้นนอกจากเธอ ผมวิ่งเข้าไปหาเธอ ที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็เอื้อมมือไปจับมือของเธอ เธอหันมาทั้งตัวตามแรงดึงของมือผม เธอมองผม ตาเธอแดงเหมือนกระต่ายน้อยที่เปียกฝน ร่างเธอกำลังสั่นสะท้านเพราะความเย็นของสายฝน ทำไมไม่รอผมล่ะ ผมถามออกไปได้เท่านั้นเธอก็ถลาเข้ากอดผมแน่น ผมกอดตอบเธอด้วยความห่วงใย เธอช่างบอบบางเหลือเกิน เรากอดกันท่ามกลางสายฝนอย่างนั้น เธอสะอื้นให้กับอกผม มือที่ผมจับเธออยู่กระชับแน่น เหมือนกับแขนอีกข้างหนึ่งที่กำลังกอดผมอยู่ กลับบ้านกันเถอะ ผมบอกแล้วก็นึกขึ้นได้ คลายอ้อมกอด แล้วดึงเอาหมวกแก๊ปสีขาวที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงมาสวมให้เธอ เราเดินจูงมือกันกลับมาที่ห้าง ผมหยิบร่มคิตตี้ขึ้นมาแล้วก็กางให้เธอ ตรงหน้าห้าง อยู่ๆเธอก็หยุดเดิน ทำให้ผมชะงักไปด้วยผมหันมามองเธอที่จับมือเดินเคียงข้าง น้ำตากลับมาหาเธออีกครั้ง ตาแดงๆจ้องมองผ่านสายฝนเบื้องหน้า ผมมองตามเธอ ภาพของชายคนหนึ่งถือร่มสีดำยืนมองเธออยู่ที่หน้าห้าง ความเงียบเข้าครอบคุม ความเย็นของสายฝนกำลังแทรกซึมเข้าไปถึงหัวใจของผม เธอมองหน้าเขา เขาสบตาเธอ ผมขอโทษคำนั้นถูกตะโกนออกมาแข่งกับเสียงสายฝนพรำ แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างช้าๆพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินของเธอ ผมทนไม่ไหวแล้วกระชับมือเธอให้แน่นขึ้นแล้วก็ดึงเธอเพื่อที่จะให้เธอออกไปจากสถานการณ์ตรงนั้น อย่าไป!เขาตะโกนออกมาอีก แต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อเธอยังนิ่ง ผมมองเธอช้าๆ เธอแหงนหน้าขึ้นมามองผมอย่างเศร้าสร้อย จะกลับไปไหมผมพูดเสียงสั่น เธอไม่ตอบแต่ปล่อยมือผมช้าๆแล้วก็เดินแกมวิ่งเข้าไปหาเขา เขาโอบกอดเธอแน่น ผมมองภาพนั้นแล้วก็หันหลังกลับเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ร่มคิตตี้สีชมพูถูกลมพัดปลิวไปแล้วพร้อมกับหัวใจที่เจ็บปวดของผม น้ำตาลูกผู้ชายไหลปนกับสายฝนที่เย็นยะเยือกเฮ้อ!!~ อกหักจริงๆนี่ก็เจ็บแฮะ
ตั้งแต่วันนั้นมาก็ อาทิตย์นึงมาแล้ว ผมทุ่มเทให้กับการเล่นบาสแล้วก็การเรียนมากขึ้น แต่พอว่างๆผมมักจะไปเดินที่เซนทรันกาดสวนแก้วบ่อยๆ หวังว่าจะได้เจอเธออีก แต่ก็ไม่มีวี่แววเลย วันนี้ก็คงแห้วอีกตามเคย ผมคิดแล้วก็เดินออกมาจากห้าง
6.00 น. ไอ้ฝนบ้านี่ก็ตกได้ทุกทีซิน่า ผมคิดอย่างหงุดหงิด มือก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเอาพวกกุญแจลูกแก้วสีใสของเธอออกมาดูอย่างเหม่อลอย แล้วพวกกุญแจก็กลิ้งหนีจากมือผมไปเมื่อมีใครคนกระแทกผมจากด้านหลัง ผมวิ่งออกไปเก็บพวกกุญแจท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา ผมนั่งยองๆจ้องพวกกุญแจอยู่อย่างนั้น สายฝนเทกระหน่ำเหมือนกำลังหัวเราะเยาะ
*So hard not to think about it
As every step I take
and heaven knows i'm trying
but it gets awfully hard
when your heart is this broken
Visions of your lovely face
As I awake, I have this feeling
that you're here and beside me
silly of me, alone
all the pain will go away
so I say it, here I am again
I gotta face another day
I'm so tired, I need u once again oh baby
How am I suppose to carry on,
I find myself singing the same old song
If you hear me, have it in ur heart
but please come back to me (oh baby)
I'll be right here if you need someone
If you hold another I'll be moving on
As easy as said
Just hope that I can see the road
ยากยิ่งนักที่จะไม่คิด
ขณะที่ก้าวเดินไปแต่ละก้าว
แล้วคงมีแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่า ผมพยายามขนาดไหน
แต่มันยากสาหัส รู้ไหม
โดยเฉพาะในยามที่หัวใจคุณแตกสลาย
จินตนาการเห็นเพียงภาพใบหน้าที่น่ารักของคุณ
ขณะที่ตื่น ความรู้สึกกลับระลึกถึง
ว่ามีคุณอยู่ตรงนี้ ที่นี่เคียงข้างผม,
งี่เง่าจังเพราะยังไงก็มีผมเพียงคนเดียว
ความปวดร้าวจะผ่านพ้นไป, แล้วผมจะกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
ผมคงต้องกล้าเผชิญหน้ากับอีกวัน,
ช่างเหนื่อยล้าเต็มที
ผมอยากมีคุณอีกครั้ง, ที่รัก
ผมจะใช้ชีวิตต่อไปได้ยังไง
ในเมื่อตัวเองก็ยังร้องเพลงเก่า เพลงเดิม
ถ้าคุณได้ยิน และมีเพลงนี้อยู่ในใจ
ได้โปรด กลับมาหาผม, ที่รัก
ผมจะอยู่ตรงนี้ หากคุณต้องการใครสักคน
แต่ถ้าคุณมีอีกคนที่ต้องการ, ผมก็จะจากไป
ง่ายนะ สำหรับการพูด
ก็แค่หวัง... ว่าผมคงยังมองเห็นถนนที่ทอดยาวต่อไป
*(เพลงCome back to me ของ se7en)
เนื้อเพลงนี้แล่นเข้ามาให้หัวของผม ผมอยากเจอเธออีกครั้งจัง แม้เธอจะมีแฟนแล้วก็เถอะ แค่ได้เห็นก็พอใจแล้ว มีความสุขแล้วล่ะ ผมคิดกับตัวเอง จะมีความสุขจริงเหรอ ผมคิดอย่างเจ็บปวด กำพวกกุญแจแน่นขึ้น ผมหลับตาคิดถึงแต่หน้าเธอ เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ผม แล้วความรู้สึกเหมือนกับว่าฝนจะหยุดตกทำให้ผมลืมตาขึ้นช้าๆ รองเท้าที่คุ้นตาทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า เธอนั่นเอง เธอสวมหมวกของผม ถือร่มคิตตี้ของผม และกำลังยิ้มให้ผม ผมกำลังฝันไปรึป่าวนะ หรือว่าสายตาผมเบลอเพราะสายฝน เธอดึงมือให้ลุกขึ้น แล้วก็จูงมือผมเดินเข้าไปในห้าง ตอนนี้ผมงงจนกว่าจะเอ่ยถามอะไรออกไป ได้แต่ให้เธอเดินจูงมือไปเรื่อย เธอพาผมเข้ามาในร้านกินเส้น พาผมนั่งลง ทั้งที่มือก็ยังจับผมอยู่ เธอยิ้มให้ผมอย่างขำๆ ผมยังไม่หายงง เธอสั่งอาหารโดยไม่ถามความเห็นของผม ผมไม่รู้ว่าเธอสั่งอะไร ไม่ได้ยินอะไรเลย หัวสมองผมกำลังอื้อ ผมกำลังจะเป็นไข้ เธอยิ้มแล้วก็มองผมอยู่อย่างนั้น มองอยู่นาน นานจนเราสองคนทานอาหารกันเสร็จ ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของเราสองคน เธอช่วยป้อนก๋วยเตี๋ยวให้ผมแม้จะป้อนแค่ลูกชิ้นก็เถอะนะ ส่วนผมก็ช่วยเป็นส้อมให้เธออีกครั้งสำหรับการกินราดหน้าของเธอ เมื่อกินเสร็จเธอก็พาผมไปเล่นโบว์ลิ่ง แล้วก็ไปเล่นไอซ์สเก็ตซึ่งตอนนี้เธอเล่นได้เก่งขึ้นเชียวล่ะ เธอทำเหมือนที่ผมทำให้เธอในวันนั้นทุกอย่าง แต่มีเรื่องนึงที่ต่างจากนั้นไป เธอพาผมไปถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ด้วยกัน เธอทำท่าทำทางให้ผมยิ้มหน่อย ผมก็ยิ้ม แล้วเราสองคนก็เริ่มสนุกกับการโพสท่าถ่ายสติ๊กเกอร์ แล้วผมไม่รู้ว่าเธอบอกลา แล้วจากผมไปเมื่อไหร่ มันเหมือนกับความฝัน หรือว่าผมจะฝันไป ผมนั่งอยู่ตรงม้านั่งที่เคยนั่งกับเธอ ตัวผมก็ยังเปียกเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่รูปสติ๊กเกอร์ที่อยู่ในมือ ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้ฝันไป ผมเอารูปขึ้นมาดูช้าๆ พิจารณาทีละรูป แล้วผมก็ยิ้ม เธอยังน่ารักเหมือนเดิมครับ แล้วผมก็พลิกดูข้างหลังรูป ขอบคุณนะ แค่นี้เอง ผมถึงกลับร้องไห้ออกมา น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาโดยที่ผมไม่อายเลยล่ะ ผมร้องไห้อยู่ตรงนั้นให้สาสมแกใจตัวเอง เธอแค่ตอบแทนผมแค่นั้นเอง ไม่ได้มีอะไรพิเศษเหมือนที่ผมคิดว่าเธอเป็นคนพิเศษของผม การรักข้างเดียวของผมก็จบลงแค่นี้แหละครับ เธอเข้ามาตัวเปล่า แล้วเธอก็จากไปพร้อมกับหัวใจของผม..
19 พฤษภาคม 2547 21:48 น.
นายช็อกโกแลต
Men in Love
เภสัช ........ขอยาให้ผมหน่อย ผมมีอาการ ไอ..เลิฟยู
พยาบาล....หน้าที่ของผมคือเยียวยา พอรักษาหายเธอก็จากไป
สัตวะ.........Love me, love my dog
จิตวิทยา.....สะกดจิตเป็นเรื่องง่าย สะกดใจเป็นเรื่องยาก
นิเทศ........อกหักไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยังเล่นใหม่ได้อีกหลายเทค
นิติ.............โธ่เอ๊ย!!..ความรักนี่ช่างไม่ยุติธรรมเลย
บัญชี..........คำนวณตัวเลขอาจใช้เวลาเสี้ยววินาที แต่คำนวณใจเธอต้องใช้เวลาเป็นปี
รัฐศาสตร์....หนุ่มรัฐศาสตร์ขอบอกเธอว่า รัก..สาด..สาด..
ครุศาสตร์....ผมสอนคุณได้ทุกอย่าง แต่มีเรื่องเดียวที่อยากให้คุณสอนผม
อักษร..........หว่ออ้ายหนี่ ติอาโม เฌอแตม ไอเลิฟยู รักหลายเด้อ
เศรษฐศาสตร์.....ได้ใจเธอคือกำไร เธอไม่สนใจคือเท่าทุน
โครงการพัฒนาsoftware.......Heartdisk ของเธอมีกี่ กิ๊ก ส่งใจไปเท่าไหร่ก็ไม่เต็มซักที
แพทย์..........บุหรี่ผมก็ไม่สูบ สุขภาพก็ดูแลดี แต่พอเจอเธอทุกที...มีอาการโรคปอดขึ้นทันใด
วิทยา............ความรักไม่มีสูตรตายตัว
ศิลปกรรม....ปั้นเท่าไหร่ก็ไม่เหมือน เพราะเธอน่ารักขึ้นทุกวัน
วิทย์กีฬา......ร่างกายแข็งแรง แต่หัวใจอ่อนแอ
สหเวท.........ไม่รู้ว่าเครื่องเอกซเรย์เสียหรือป่าว เพราะเอกซเรย์ลงไปก็เจอแต่หน้าเธอ
สถาปัตย์......รักออกแบบไม่ได้
ทันตะ..........ถ้าตรวจฟันผมคงเจอแมงกินฟัน ถ้าตรวจหัวใจผมคงเจอเธอกินใจ
วิศวะ...........คณะเราผู้ชายมันเยอะนี่หว่าดูไปดูมานายก็น่ารักดีนะ
เหอๆ >
19 พฤษภาคม 2547 00:11 น.
นายช็อกโกแลต
>>" รักเราเหมือนสารกัมมันตรังสี อาจมีวันน้อยลง แต่ไม่มีวันหมด
>>
>>เธอแผ่รังสีแกมม่าแห่งความรัก ทะลุทะลวงเข้าสู่ใจฉัน
>>
>>ถ้าเธอเป็นนิวเคลียส ฉันจะเป็นอิเล็กตรอน
>>
>>เฝ้าวนเวียนอยู่รอบเธอไม่ห่าง
>>
>>ฉันเป็นประจุลบ ที่วิ่งเข้าหาสนามความงามของประจุบวกอย่างเธอ
>>ถ้ารังสีแคโทด บ่งบอกความรู้สึกของฉัน
>>
>>ทอมป์สันคงไม่มีวันพบอิเล็กตรอน
>>
>>เพราะสิ่งที่จะปรากฏบนฉากคือหัวใจที่เต็มไปด้วยรัก
>>
>>ความรักฉันต่อเธอเหมือนโลหะหนัก
>>
>>สะสมไปทีละน้อยจนกว่าจะมากพอแสดงอาการให้เธอเห็น
>>
>>ความรักของเรา2 = (ความรักเธอ)2 + (ความรักฉัน)2
>>
>>+ 2(ความรักเธอ)(ความรักฉัน) cos(ความผูกพัน)
>>
>>
>> ปฏิกิริยาฟิวชันหลอมรวมความรักของเราเอาไว้ด้วยกัน
>>
>>ความรักและความเกลียดเป็นไปตามสมการ E = mc2
>>
>>เมื่อเราให้ E เป็นความรัก และ m เป็นความเกลียด
>>
>>ความเกลียดที่หายไปจะก่อให้เกิดความรักมากมายมหาศาล
>>
>>ความผูกพันระหว่างเพื่อนเหมือนพันธะไฮโดรเจน
>>
>>แข็งแรง ทำลายยาก
>>
>>เพื่อนกันเชื่อมกันด้วยพันธะโลหะ ยืดหยุ่นได้ แต่ไม่แยกจากกัน
>>
>>พวกเราคือกรดอะมิโน ถูกสังเคราะห์ขึ้น
>>
>>แล้วรวมกันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า เพื่อน "
>>
22 เมษายน 2547 22:10 น.
นายช็อกโกแลต
ในป่าที่แสนกว้างใหญ่ อุดมสมบูรณ์ เป็นครอบครัวใหญ่ๆของต้นสนน้อยๆอย่างผมที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาไม่นานมานี้เอง ใครๆในป่าไม่ว่าจะเป็นลุงช้าง น้านกกระจอก หรือลุงสน ป้าสนทั้งหลายรวมถึง พ่อสน แม่สนของผม เรียกผมว่า สนน้อย เพราะผมช่างดูบอบบาง อ่อนแอ ใครๆก็เอ็นดูผมทั้งนั้น ทุกคนใจดีกับผมมาก อย่างลุงช้างเค้าชอบอาบน้ำให้ผมล่ะ ผมชอบอาบน้ำที่สุดเลย!!^^ น้านกกระจอกก็ชอบชวนผมคุยทุกวันเลย น้านกกระจอกบอกผมว่า ผมเป็นคนช่างซักช่างถาม แต่มันก็จริงนั่นล่ะ เห็นผมแบบนี้แต่คุณรู้รึป่าวว่าผมมีความฝันที่จะแข็งแกร่งใหญ่โตเหมือนพ่อสนและแม่สนของผม พ่อสนใจดีมากๆ พ่อสนชอบให้คุณนกทั้งหลายมาค้างด้วยบ่อยๆ เพราะพ่อสนต้นใหญ่ที่สุดในบรรดาญาติๆของผมทุกต้นในป่า ผมอยากเป็นแบบพ่อสนจัง ผมจะได้เป็นไหมนะ ผมเคยถามพ่อสนกับแม่สนเหมือนกันว่าผมจะเป็นเหมือนพ่อสนรึป่าว แน่นอน!! คำตอบก็คือ ผมจะเป็นเหมือนพ่อสนกับแม่สนคือ แข็งแกร่งและใจดี ผมอยู่ในครอบครัวใหญ่ๆที่เรียกว่า ป่า อย่างมีความสุขจนกระทั่ง วันหนึ่งมีเสียงรบกวนดังแว่วมาในป่า ผมไม่รู้ว่ามันคือเสียงอะไร เสียงมันไม่เหมือนเสียงของนกที่ผมเคยได้ยินมา หรือจะเป็นนกจากที่อื่นแล้วก็ย้ายเข้ามาอยู่ในครอบครัวของผม แต่เอเสียงมันแปลกๆนะ ผมลองถามลุงช้าง น้านกกระจอก หรือพ่อสนแม่สน แต่ก็ไม่มีใครตอบผมซักทีว่ามันคือเสียงอะไร หลายวันต่อมา ลุงสนและป้าสนของผมเริ่มหายไปทีละต้น สองต้น ผมก็ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่ เพราะพวกผู้ใหญ่น่ะชอบทำอะไรไม่บอกไม่กล่าวแล้วก็คงไม่สนใจต้นสนน้อยๆที่เพิ่งจะโตได้ไม่กี่เซนอย่างผมหรอก แล้ววันนึงเสียงนั้นก็มาดังใกล้ๆตัวผม แต่ผมไม่สนใจมันแล้วล่ะ ผมเหนื่อยกับการเล่นกับน้องหนูนาในตอนกลางวัน ผมหลับสนิท พอปู่พระอาทิตย์ปลุกผมในยามเช้า ผมก็พบว่า พ่อสนหายไป!! เหมือนกับที่ลุงป้าน้าอาของผมทั้งหลายหายไปนั่นเอง ตอนนี้ผมชักจะสงสัยอีกแล้วสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทุกคนหายไปไหนกันหมด ผมถามแม่สน แม่สนบอกผมแค่ว่าพ่อไปเยี่ยมญาติพี่น้องของเราในป่าทางฝั่งโน้นของแม่น้ำสายใหญ่ ผมรอวันแล้วันเล่าพ่อสนก็ยังไม่กลับมา แถมลุงช้าง น้านกกระจอก รวมทั้งน้องหนูนาก็ยังไม่มาเล่นกับผมอีก ผมถามแม่อีกครั้ง แม่ก็บอกเหมือนที่แม่เคยบอกผม ทุกคนไปเยี่ยมญาติ!! แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ใช่แน่นอน แล้ววันนึงผมก็รู้ว่า แม่สนโกหกผม วันนั้นมีเสียงประหลาดที่ค้นเคยดังเข้ามาใกล้ๆผมอีกครั้ง ผมพยายามมองหาต้นเสียง แล้วผมก็เห็น สัตว์ประหลาด ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ เพราะพวกนั้นไม่เหมือนผมเลย ไม่มีใบสีเขียว ไม่มีงวงยาวเหมือนลุงช้าง ไม่มีปีกเหมือนน้านกกระจอก เค้ามีสองขา หรือสี่ขาก็ไม่รู้ เอเค้าเป็นญาติกับป้าชะนีหรือป่าวนะ แต่เค้าไม่เห็นจะมีขนเลย ผมคิดจนสับสนไปหมดแล้ว ผมเห็นพวกนั้นถืออะไรบางอย่างมาด้วย แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร พวกนั้นเดินเข้ามาหาแม่สนของปม แล้วก็หันไปเรียกอีก ตัวหนึ่ง เข้ามาล้อมรอบแม่สนของผม พยักหน้า ส่ายหัว เหมือนจะพูดคุยอะไรกันซักอย่าง แต่ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอก ตอนนั้นแม่บอกกับผมว่า ขอให้ผมอยู่รอดและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ได้เท่านั้น อะไรบางอย่าง ที่พวกนั้นเอามาด้วยก็ส่งเสียงดังลั่น เสียง ที่ผมคุ้นเคยดี แล้วมันก็ฝังเข้าไปในร่างของแม่สน แม่สนร้องอย่างทรมาน ผมมองภาพนั้นอย่างตะลึงงัน ผมร้องไห้ ไม่กี่นาทีร่างของแม่สนก็ล้มลงดังสนั่น ผมอยากเข้าไปหาแม่สน แต่เหมือนมีอะไรซักอย่างทับลงบนตัวผมอย่างแรง ผมสลบไป อาสายลมเรียกสติของผมให้ฟื้นขึ้นมา ผมแขนหัก ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว ผมยืนอยู่ทามกลางผืนดินที่ว่างเปล่าเพียงต้นเดียว ผมร้องเรียกเสียงดังลั่น แต่ไม่มีใครตอบผม ผมอยู่ตรงนี้มานานกี่วันแล้วนะ ตอนนี้ผมกำลังหิว หิวโซเลยล่ะ ใบของผมกำลังเปลี่ยนสีจากเขียวชะอุ่ม กลายเป็นสีน้ำตาล ผมกำลังจะตาย ผมคิดอย่างสิ้นหวัง มองขึ้นไปบนฟ้าอันกว้างใหญ่ แล้วก็เหมือนมีตัวอะไรยืนค้ำหัวผมอยู่ สัตว์ประหลาด คำนี้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อภาพวันนั้นกลับเข้ามาในความทรงจำของผม แต่ดูเหมือน สัตว์ประหลาด ตัวนี้จะไม่ได้เอา อะไรบางอย่าง มาด้วย แล้วตัวมันก็ยังเล็กกว่าเคราที่แล้วอีก คงเป็นลูกๆของพวกนั้นล่ะมั้ง เจ้าลูกสัตว์ประหลาดเลื่อนอะไรซักอย่างที่มันถืออยู่เข้ามาหาผมช้าๆ ร่างของผมสั่นอย่างหวาดกลัว แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย เมื่อสิ่งนั้นมีน้ำให้ผมดื่ม ผมดื่มอย่างกระหาย พลางมองเจ้าลูกสัตว์ประหลาด มันมองผมอย่างยิ้มๆแล้วก็พูดอะไรในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ มันขุดผมขึ้นมาจากบ้านเกิด แล้วก็พาผมไปในที่ๆใหม่ ตอนนั้นทำไมผมไม่ตอบโต้หรือขัดขืน ผมก็ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะแววตาที่เมตตาอ่อนโยน มันสะกดผมอยู่ล่ะมั้ง
ในที่ๆใหม่ ผมเติบโตอย่างเข้มแข็ง ผมรู้แล้วว่า สัตว์ประหลาดของผมคือ มนุษย์ ผมเริ่มที่จะฟังภาษาของพวกมนุษย์ออก ผมถูกปลูกไว้ในบ้านจัดสรร แต่มันก็กว้างพอที่ให้ผมทีลูกมากมาย ตอนนี้ผมกลายเป็นต้นสนที่แข็งแกร่งเหมือนพ่อสนแล้ว ผมเริ่มที่จะเชื่อในมนุษย์มากขึ้น วันนี้พวกมนุษย์กำลังขุด สนน้อย ลูกๆของผมทั้งหลายไปในที่ๆใหม่ ผมมองพวกมนุษย์ขุดลูกๆของผมไปอย่างอาลัย แต่ผมก็รู้ว่าสูกของผมทุกต้นจะเป็นเหมือนผมในป่าบ้านเกิดแผ่นดินเดิมของผมเอง คือ เติบโตเป็นต้นสนที่แข็งแกร่ง