29 กรกฎาคม 2548 07:31 น.
นางสาวใบไม้
จนกระทั่งคุณหมอเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัว....พร้อมยิงคำถามเด็ด "คุณจะเป็นภูมิแพ้ทางกายอย่างเดียวหรือเป็นภูมิแพ้ทางใจด้วย"
แล้วก็อรรถาธิบายซะยกใหญ่ว่าในสังคมทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ต่างก็ป่วยด้วยไอ้โรคภูมิแพ้(ใจ) เนี่ยแหละ
ซึ่งก็คงรวมฉันด้วยอีกคนล่ะมั้ง
ฉันก็ไม่ดูใครหรอก....ก็ดูตัวเองเนี่ย นอกจากจะแพ้อากาศ แพ้กลิ่น
ฉันยังแพ้ต่ออารมณ์ความรู้สึกด้วยนี่สิ
ด้วยว่าหมอบอกให้ดูแลตัวเองให้อบอุ่นเสมอ
ไอ้ฉันก็ยังดอดไปนอนชายทะเลทุกวันศุกร์ ยิ่งฝนตกล่ะยิ่งชอบ
พยายามหาเหตุผลแก้ตัวให้ตัวเองแล้วนะว่าจะกินน้ำอุ่น แล้วก็นอนห่มผ้าหนาๆ
แต่กลับมาทุกทีฉันก็เป็นหวัดงอมแงม...ก็คนมันชอบทะเล..
พอย้อนมองตัวเอง...ฉันก็เลยชักจะเห็นสัจธรรม
ได้รู้ว่าถ้าเราแพ้สิ่งที่มากระทบ คือความอยากทั้งหลาย ถ้ามองง่ายๆก็พวกกลิ่นหอมทั้งหลาย
เราก็จะตกอยู่ในอำนาจความอยากในสิ่งนั้นๆ (เหมือนๆกับอาการปวดหัว ปวดขมับของฉันเนี่ย)
ฉันก็เลยได้ข้อสรุปว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพ่ายแพ้ต่ออะไรสักอย่างเราก็จะเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น....
หลายอย่างที่เข้ามาในชีวิต ทำให้ฉันเกิดความอยาก....อยากได้....อยากมี....อยากเป็น...พอไม่ได้ดังใจก็ร้อนรุ่ม ไม่เป็นสุข สับสน วุ่นวาย
ดูท่าว่าอาการทางใจจะย่ำแย่พอๆกับร่างกาย หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ
นี่แสดงว่านอกจากฉันจะเป็นโรคภูมิแพ้แล้ว ฉันยังจะแพ้ใจไปอีกโรคนึงด้วยกระมัง
คุณหมอถึงได้กำชับนักกำชับหนา ถ้าคุณควบคุมตัวเองได้....อาการแพ้ก็จะไม่กำเริบอีก
ควบคุมที่ว่า...ท่านหมายถึงควบคุมจิตนี่เอง
ถ้าเรามีสติ ใช้สติในการดำเนินชีวิตแทนที่จะทำตามใจ(อยาก)ไปเสียทุกเรื่อง ไอ้โรคภูมิแพ้ก็คงไม่กำเริบให้เป็นทุกข์อย่างทุกวันนี้....
27 กรกฎาคม 2548 15:36 น.
นางสาวใบไม้
ฉันไม่ได้เป็นคนป่วย แต่ฉันมีโรคประจำตัว.....โรคที่บางคนเคยบอกฉันว่า
เป็นกรรมเก่า โรคนี้คุณหมอประจำตัวบอกกับฉันตอนที่เข้ารับการรักษา
ใหม่ๆ ว่า "โรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายได้หรอกนะ อยู่ที่ตัวคุณที่จะควบคุม
ตัวเองให้ได้" แล้วก็ให้ยาฉันมาหลายขนานทั้งๆที่บอกว่า "ไอ้ยาเนี่ย ทำได้
เพียงช่วยระงับไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง" แต่ก็ทำให้ฉันรู้จัก
เรียนรู้วิธีแก้ "แพ้" อ่ะนะ
สิ่งที่ฉัน "แพ้"ก็คือพวกอากาศ ฝุ่นละออง แล้วก็กลิ่นน้ำหอมจากการสกัด
เกือบทุกชนิด ก็คือพวกน้ำหอม โคโลญจน์ หรือแม้แต่โลชั่น แล้วก็แป้ง
บางชนิด เรียกได้ว่าในชีวิตประจำวันฉันจะต้องเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ให้ได้
เพราะอย่างนี้เองแม่เพื่อนสาวๆ ทั้งหลายจึงแสนจะเห็นใจแกมสมเพช
เวทนาว่า ฉันน่ะเสียทีที่เกิดเป็นผู้หญิงแต่อยู่ใกล้เครื่องสำอางไม่ได้เอา
เสียเลย จะกี่ร้อยกี่พันชิ้นที่วางขายไม่มีทางได้แอ้มเงินออมอันน้อยนิด
ของฉันแม้แต่น้อย ....แต่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกน้อยใจกับคำพูดเหล่านั้นเพราะ
ฉันก็เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ต้องเข้าสังคม ไม่ต้องแต่ง
ตัวแต่งหน้าหวือหวา ก็เลยไม่เดือดร้อนสักเท่าไรนัก แต่ที่ทำให้เพื่อนเหน็บเอาบ่อยๆก็คงเป็นที่ฉันมักจะคุยกับเจ้าหล่อนได้ไม่นานโสตประสาทการรับรู้กลิ่นของฉันต้องหาเรื่องให้ขอตัวเอาดื้อๆ จมูกเริ่มฟุดฟิด
ฉันเริ่มปวดขมับ เนื้อตัวตะครั่นตะครอเอาซะอย่างนั้น นี่เองคงเป็นเหตุ
ให้คนใกล้ตัวรำคาญคน(ขี้)แพ้อย่างฉัน