30 มกราคม 2552 06:21 น.
นรศิริ
ตัดทุกสิ่งทิ้งไว้หมดปลดให้สิ้น
ที่ถวิลเคยอาวรณ์สะท้อนไหว
ไม่เหลือแล้วแววห่วงหาทั้งอาลัย
เดินจากมาด้วยใจที่ใสพราว
ที่ผ่านมานั้นอภัยให้ทุกอย่าง
ฉันค้นพบทางเดินที่มีสีขาว
ใสพิสุทธิ์ดุจเดือนเพ็ญเด่นสกาว
ไร้เรื่องราวที่ร้าวรวดปวดอุรา
แม้นงมเข็มในสมุทรว่าสุดยาก
การฝึกจิตนั้นลำบากยากยิ่งกว่า
กว่าก่อเกิดสมาธิมีปัญญา
ยกภูผายังง่ายกว่ายกจิตตน
ขันธ์ทั้งห้าอนัตตาเหมือนกันหมด
กรรมก่อกฎเกิดให้ใจได้ฝึกฝน
ศีลสมาธิปัญญาพาข้ามพ้น
จากวังวนเวียนว่ายเกิดตายเอย
28 มกราคม 2552 05:20 น.
นรศิริ
สองมือนี้ที่ถือโลก
ทั้งสองมือแตกด้าน
สู้งานหนักไร้พักผ่อน
เหน็ดเหนื่อยมิอาทร
เหน็บหนาวร้อนไม่นำพา
สู้งานทั้งเช้าค่ำ
หวังกอบกำซึ่งเงินตรา
อกเอ๋ยอนิจจา
ที่ได้มาหนี้เพิ่มพูน
ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัด
ดั่งเห็บหมัดกัดเลือดสูญ
ลงแรงทวีคูณ
ยิ่งอาดูรหนอชาวนา
ขายข้าวเขากำหนด
แสนรันทดจริงนะหนา
น้ำใสไหลจากตา
เพราะตัวข้าเกิดมาจน
เลี้ยงชนเลี้ยงชาวโลก
ทั้งทุกข์โศกแลสับสน
เปิบข้าวเราทุกคน
ก็ยังพ่นคำดูแคลน
ถ้าไร้ซึ่งชาวนา
สิ่งใดหนามาเป็นแกน
กินหญ้ากินดินแทน
เมล็ดข้าวที่พราวงาม
สูเจ้าจงสำนึก
อีกทั้งตรึกตรองไถ่ถาม
ปวงชนทุกเขตคาม
อยู่ได้ฤาไร้ข้าวกิน
24 มกราคม 2552 04:50 น.
นรศิริ
ความแปรผันนับวันมีให้เห็น
ความร่มเย็นนับวันยิ่งห่างหาย
ที่เพิ่มพูนนั้นหนอความวุ่นวาย
ดับสลายฆ่าเข่นมิเว้นวัน
ความเจริญทางวัตถุบรรลุค่า
ความชั่วช้าสิงสถิตจิตแปรผัน
ไม่เหลือแล้วพี่น้องเคยผูกพัน
จึ่งเข่นฆ่าห้ำหั่นกันวอดวาย
ความเดือดร้อนมีทั่วหัวระแหง
ความรุนแรงทุกที่มีมากหลาย
จึ่งคละคลุ้งเหม็นสาบคราบความตาย
มุ่งทำลายทุกทางล้างเผ่าพันธุ์
ความยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่งนั้นจริงแท้
ก็เพียงแค่สมมุติจุดเสกสรร
สิ้นอำนาจวาสนาก็จาบัลย์
แก่งแย่งกันไปใยพี่น้องเอย
22 มกราคม 2552 06:32 น.
นรศิริ
น้ำตารินหลั่งหยดรดนวลแก้ม
นวลจันทร์แจ่มหากใจเราหม่นหมอง
นภาพร่างกระจ่างพราวราวทาทอง
หากหัวใจที่หม่นหมองนั้นมืดมน
ริมหน้าต่างนั่งหงอยระหั้อยจิต
โอ้ชีวิตช่างมืดมิดและสับสน
ตะเกียกตะกายว่ายเวียนในวังวน
ยิ่งดิ้นรนยิ่งจมดิ่งทิ้งฤดี
โสมคล้อยเคลื่อนเลื่อนลาขอบฟ้าแล้ว
เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วทุกถิ่นที่
คนทดท้อยังรอหวังว่าอาจมี
สิ่งดีดีให้เจอก่อนสิ้นลม
20 มกราคม 2552 06:28 น.
นรศิริ
ดอกบัวบานบ้านป่าพาใจฝัน
รับตะวันวันใหม่สดใสเหลือ
ไร้จริตจริยามาปนเปือ
ช่างงามเหลือเมื่อชม้ายมองมา
ไม่เคยบูดไม่เคยบึ้งมืนตึงให้
ยิ้มละไมแสนละมุลอุ่นนักหนา
เพียงคิดถึงยังซึ้งตรึงอุรา
พี่คงบ้าถ้าวันใดไม่ได้เจอ
คำทักทายถามไถ่จากใจซื่อ
ซึ่งก็คือมีห่วงใยให้เสมอ
คือทุกสิ่งจริงใจพี่ได้เจอ
ใช่พล่ามเพ้อหากจริงจังจากขั้วใจ
คือเสน่ห์ความงามคนบ้านป่า
ซึ้งอุราเย้ายวนชวนหลงใหล
มิเคยคิดเคลือบแคลงแฝงเลศนัย
หากจิตใจพิศุทธิ์ดุจเพชรพราว
เธอคือเพชรน้ำหนึ่งของที่นี่
คือมณีทองไทยน้ำใจสาว
เนตรสดใสดุจเดือนเพ็ญที่เด่นพราว
กังวานราวกังสดาลหวานเสียงนวล
ไร้ที่จะเปรียบประดุจสุดเอ่ยอ้าง
งามทุกอย่างเพริศพริ้งเจ้ามิ่งขวัญ
นางเป็นหนึ่งซึ้งใจให้คร่ำครวญ
แสนรัญจวนหัวใจใฝ่คะนึง
ดอกบัวบานดอกนี้มีค่าเหลือ
ทุกคราเมื่อห่างไกลให้คิดถึง
ห่างเพียงกายหากอุรายังตราตรึง
ยังแอบซึ้งซึ้งใจไม่ลืมเลือน