16 กรกฎาคม 2551 10:06 น.
นรศิริ
มุมตรงข้ามที่ไม่เท่ากัน
เราเมตตากรุณาปรานีสัตว์
เขาขจัดไล่ล่าฆ่าข่มเหง
เราสวดมนต์ภาวนามาตามเพรง
เขานั้นเร่งอิเลคโทรนโกญจนา
เราสวดมนต์ก่อนนอนเฝ้าวอนไหว้
เขาว่าเราบ้าใบ้ในศาสนา
เราถือศีลอาจิณภาวนา
เขาว่าเรานั้นหนาบ้านั้นสิ้นดี
เราทำทานให้อาหารหมูเป็ดไก่
เขานั้นไซร้ไล่เข่นฆ่าน่าบัดสี
เราทำบุญกุศลทานบารมี
เขาบอกคอยดูสิมึงจะจน
เราพาลูกเขียนอ่านงานศึกษา
อีกกีฬาสารพัดหัดฝึกฝน
เขาระรัวอิเลคโทรนดังเหลือทน
ข้างบ้านบ่นหนวกหูอยู่ทุกวัน
เขาตำหนิติกล่าวลูกเช้าค่ำ
เป็นประจำเราพาเล่นเย็นสุขสันต์
สารพัดจัดทดลองอเนกอนันต์
เขาหัวเราะเย้ยหยันเดี๋ยวมันตาย
ครากินข้าวทุกคราวคำพร่ำบ่นลูก
ความพันผูกจึงลี้ทั้งหนีหาย
ถอนสะอื้นกลืนน้ำตาล้าใจกาย
โอ้ลูกชายสุดรักจักตรอมตรม
ทนอีกนิดนะลูกแก้วแววตาแม่
เพียงพ่ายแพ้โชคชะตาพาขื่นขม
คงไม่นานเกินไปที่จำใจระบม
สิ้นโศกตรมสักวันนั้นสุขใจ
15 กรกฎาคม 2551 04:16 น.
นรศิริ
ความเหมือนที่แตกต่าง
อรุณทองทาทาบฉาบขอบฟ้า
สกุณาขับขานกังวานใส
โชยบุปผารวยรื่นชื่นฤทัย
ปลุกชีวีที่หลับใหลจากนิทรา
หมู่ภมรร่อนไปในไพรกว้าง
ทั้งเก้งกวางฝูงชะนีหนีเลียงผา
เหตุเนื้อเย็นเหม็นเน่าเคล้ากายา
อีกหมีควายหมูป่าลาลับไกล
เสือกระทิงลิงค่างบ่างกระจ้อน
อุ้นตุ่นนอนในรูคู้หลับใหล
เหยี่ยวถลาจับกิ้งก่าพาบินไป
ภุชงค์ค่อยเคลื่อนไคล้ขึ้นจากรู
พังพอนกระโจนแผล็วจากแนวป่า
พุ่งถลาเข้าใส่เห่าไฟสู้
รณรงค์โรมรันพันตรู
พังพอนงูสู้กันจนบรรลัย
เปรียบมนุษย์ในเมืองผู้เรืองรุ่ง
ต่างก็มุ่งฆ่าเข่นเป็นนิสัย
ไม่เคยมีคุณธรรมค้ำจุนใจ
สันดานไซร้เลวกว่าป่าที่ฆ่ากัน
หมายเหตุ อุ้นหมายถึงสี่เท้าขนาดเล็กตัวเท่าหนูนาตัวโตๆลายขาวสลับดำบางตัวคล้ายหมูพันธ์ นิวแฮมเชียร์ ตัวโตเท่ากันกับตัวตุ่น คนอิสานเรียกอ้นตัว ส่วนไทยไต๋เรียกอุ้น ค่ะ อาศัยอยู่ในรูชอบขุดดินเป็นรอยบริเวณกว้าง
13 กรกฎาคม 2551 15:27 น.
นรศิริ
คารวะรัตนศรีกวีศิลป์
สองกรกรานกราบแก้ว กวีศิลป์
คือเพชรแห่งผืนดิน แผ่นด้าว
คือแสงทองส่องธานินทร์ นานาทวีป
เกลียวคำกิ่งฟ้าน้าว เหนี่ยวแดน
หมื่นแสนโลกธาตุล้วน หลากหลาย
เกิดแต่ดาวบ่วาย วายเว้น
คือศาติธารสาย อันสงบ
ปทุมบานรับอุษาเฟ้น เฟื่องไศล
ดาวใดหรือเด่นด้าว ดาวกวี
กล่อมกรุงษาปฐพี พุ่งหล้า
คือเกียรติคือศักดิ์ศรี สวนศิลปะทีป
แกร่งเพชรแกร่งแก้วกล้า กรัตฉาย
รายรายแลโลกล้วน ศฤงคาร
หอมศิลป์กว่าจิตราธาร ธรณีดับ
คารวะปฐมบรมกวีแก้ว กว่าฟ้าดินสลาย
สืบกาพย์สืบศิลป์ บสุดบสิ้น
สืบสายกวี
ไทยพัฒนา เมื่อมหา
อภิฤทธี
ดรุณวันนี้ ต้องรักศักดิ์ศรี
ต้องรักษ์ศาสตร์ศิลป์
กวียุคใหม่ เจ้าคือดวงไฟ
ฉายโชนแผ่นดิน
ส่องทุกข์เห็นทุกข์ คนจนเป็นสุข
ยุติธรรมธานินทร์
รสกวีเจ้าริน เสาวรสจินต์
พลีแด่ปวงชน
ใครผิดว่าผิด ใครทุจริต
ว่าโทษทัณฑ์ผล
สังคมสมดุล โดยธรรมนำหนุน
ประชาสุขล้น
มุ่งพัฒนาคน บริรักษ์คนจน
โดยจิตแห่งกวี
ขอคารวะ ผู้อมตะ
กาพย์ร่ำธานี
ทั้งปัญญาชน เห็นเหตุรู้ผล
เป็นศักดิ์เป็นศรี
อันข้าเพียงธุลี คารวะเมธี
ประทีปแห่งแผ่นดิน
+++++แต่งเป็นโคลง๔แปลงห่อกาพย์ขับไม้+++++++
12 กรกฎาคม 2551 15:57 น.
นรศิริ
ความเปลี่ยนแปลง
ครั้งปู่ย่าตายายไทอิสาน
ร่วมเผ่าพงศ์วงศ์วานกันแน่นเหนียว
สามัคคีสมานฉันท์ฟั่นพันเกลียว
เพียงหนึ่งเดียวบ้านใหญ่อาศัยกัน
มีปู่ย่าตายายอาศัยอยู่
ล้วนทุกผู้ปรองดองครองสุขสันต์
ให้ร่มเย็นเป็นสุขทุกคืนวัน
ร่วมสังสรรค์เครือญาติมิขาดวงศ์
มาบัดนี้ไม่มีแล้วแนวก่อนเก่า
ทั้งเด็กเล็กแก่เฒ่าเฝ้าไหลหลง
อารยธรรมนำใจให้เลวลง
ทิ้งเผ่าพงศ์วงศ์วานสานสืบมา
จากลงแขก ลงข่วงครั้งก่อนเก่า
มาบัดนี้มีเขาเรา จ้าง ซื้อหา
ไม่เหลือแล้วแววการุณย์อุ่นนัยน์ตา
ต่างซื้อมาด้วยเงินประเมินคน
สายสัมพันธ์ฉันญาติขาดสะบั้น
อยากย้อนวันเวลามาอีกหน
มีสัมพันธ์ฝั้นเกลียวเหนียวกมล
เลิกสับสนสิ่งใหม่ๆที่ไร้ดี
10 กรกฎาคม 2551 05:08 น.
นรศิริ
ทางสีขาว
พระพุทธองค์ทรงชี้ทางสว่างให้
ทุกผู้ได้ร้างกรรมกระทำเข็ญ
แม้นทำดีไม่มีหมองครองลำเค็ญ
ได้รู้เห็นสัจธรรมล้ำเลิศคุณ
ทำจิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์
ไร้สมมติเขาเราเข้านำหนุน
จิตผ่องแผ้วแววใสใจการุญ
สร้างสมบุญบารมีที่ใฝ่ปอง
ไม่ถือโทษโกรธใครอภัยหมด
จิตจึงสดชื่นใสไร้หม่นหมอง
รู้ปล่อยวางว่างหมดปลดทุกข์ครอง
เพียงปกป้องจิตตนให้พ้นภัย
ทุกข์ชีวิตล้วนตายวายชีวาตม์
ใครจักอาจหลีกพ้นวังวนไหว
เลิกก่อกรรมทำชั่วพาตัวไกล
เริ่มต้นชีวีใหม่ใสสกาว
หยุดทำชั่วมัวเมาเคล้าตัณหา
หยุดเข่นฆ่าล้างผลาญให้รานร้าว
บริหารจิตพิสุทธิ์ผุดผ่องพราว
เลือกทางเดินสีขาวสว่างใจ