14 มิถุนายน 2551 21:17 น.
นรศิริ
ปมที่ซ่อน
ความเจ็บปวดซ่อนในกลัวใครรู้
ความหดหู่ซุกไว้กลัวใครเห็น
ยิ้มระรื่นชื่นใจไร้ลำเค็ญ
หากที่เป็นที่ไปใช่ที่มอง
ทุกคราใครไถ่ถึงคนซึ้งจิต
ยอดชีวิตรู้ไหมใครหม่นหมอง
ด้วยสุดเอื้อมสุดสอยคอยเคียงครอง
น้ำตานองท่วมใจไปทุกครา
เคยออดอ้อนออเซาะฉอเลาะรัก
เคยฟูมฟักรักรื่นชื่นหนักหนา
ทุกทุกที่มีฉันเธอเสมอมา
สุขอุราแสนสราญหวานฤทัย
มาบัดนี้ไม่มีแล้วแก้วตาพี่
แววชีวีสูญแล้วสิ้นแววใส
หมดสิ้นแล้วไม่เหลือแม้เยื่อใย
เหลือเพียงใจช้ำเลือดเชือดอุรา
ขอเธอจงโชคดีเถิดที่รัก
พร้อมพบพักตร์คนที่ใจเธอใฝ่หา
ขอเธอจงครองสุขในทุกครา
ตรมอุราคราใดให้กลับคืน
14 มิถุนายน 2551 05:19 น.
นรศิริ
น้ำตาท่วมท้นใจ
น้ำตาท่วมท้นใจในวันนี้
ความเจ็บปวดที่มีจนล้นหลาม
ลืมอย่างไรเมื่อหัวใจเฝ้าติดตาม
พร่ำเพรียกหานงรามทุกครั้งครา
ฉันลืมเธอไม่ได้ในชีวิต
แม้ไร้สิทธิ์ไต่ถามความห่วงหา
ภาพอดีตสุดซึ้งยังตรึงตรา
วอนเทวายื้อยุดฉุดเธอคืน
ขอเทพไท้สูรย์จันทร์นั้นช่วยอ้อน
พาบังอรคืนมาข้าสุดฝืน
บอกเธอว่าข้าระทมล้มทั้งยืน
ให้เธอคืนหวนกลับซับน้ำตา
ไม่เหลือแล้วแววชีวีที่สดใส
เหลือเพียงใจไหม้ดำช้ำหนักหนา
สุดเจ็บปวดรวดร้าวเศร้าวิญญาณ์
โปรดกลับมาก่อนชีวีนี้ขาดรอน
ฟ้ามืดหม่นดุจคนที่สิ้นหวัง
ไร้พลังล้นระทมตรมสุดถอน
เจ็บปวดไปถ้วนทั่วทุกตัวตอน
สุดอาวรณ์แสนอาลัยใจละลาย
น้ำตาท่วมท้นใจใครจะเห็น
คงเป็นเวรกรรมเก่าเศร้าไม่หาย
ความเจ็บปวดที่มีจึงมากมาย
ทุกอณูใจกายจึงยับเยิน
12 มิถุนายน 2551 21:21 น.
นรศิริ
มอบด้วยใจให้ด้วยรัก
ขอกุศลผลบุญหนุนนำส่ง
ทุกผู้จงปรีเปรมเกษมศรี
ขอจงห่างร้างไกลผองไพรี
ขอจงมีสุขสันต์นิรันดร์กาล
อีกเวรานั้นหนาอย่าพานพบ
ขออย่าสิ่งให้ใจร้าวฉาน
จงสมหวังดั่งจินต์ถวิลพาน
สบกับความสมหวังทุกครั้งครา
แม้นผู้ใดปองร้ายหมายพิฆาต
จงปลาตร้างไกลไปเถิดหนา
จงฟูมฟักรักษ์ตนพ้นเวรา
อีกใฝ่หาศีลธรรมประจำใจ
หากแม้นไม่สมหวังดั่งใจมั่น
ก็จงหมั่นทำจิตจริตใส
ทำสิ่งใดไม่ได้จงทำใจ
ที่ร้อนรนใช่ใครหากตัวเรา
คราครั้งมีโทโสโมโหจริต
จงใช้จิตข่มใจอย่าให้เขลา
อีกรู้จักปล่อยวางให้บางเบา
อย่ารับเอาทุกข์ไว้ให้ใจตรม
มิมีใครไหนเลยไม่เคยพลั้ง
ความผิดหวังทำให้ใจขื่นขม
พาให้ใจช้ำหนองต้องระบม
ส่งอารมณ์เสริมใจให้มืดมน
จิตมืดมนหม่นไหม้ในวันนี้
พรุ่งอาจมีชีวีไม่สับสน
อาจไม่ต้องครองทุกข์ระทมทน
อาจจะท้นสุขขีที่มีมา
ก่อนอำลากันลง ณ ตรงนี้
ขอให้มีสุขสันต์และหรรษา
จงสมหวังดั่งถวิลจินตนา
ปรารถนาใดใดจงได้เทอญ
10 มิถุนายน 2551 04:36 น.
นรศิริ
สู้
เสียงไก่ขันหวานแว่วจากแนวป่า
เป็นสัญญาณ์ว่าสู้ใหม่ในอีกหน
จงตื่นเถิดทุกผู้ผู้ทุกข์ทน
สู้ให้ป่นคนจริงต้องชิงชัย
สู้ด้วยมันสมองสองมือนั้น
สู้ไม่หวั่นสู้กับความหลับใหล
ปลุกสำนึกปลุกตัวปลุกหัวใจ
เพื่อคืนวันอันไพย์กรรมาชน
ไม่อาจเลือกทางทองของชีวิต
แต่มีสิทธิ์ที่จะสู้ในอีกหน
สู้ยิบตาเถิดนักสู้ผู้ทุกข์ทน
ด้วยกมลและศักดิ์ศรีทวีคูณ
อย่าให้ใครเหยียบย่ำว่าต่ำช้า
อย่าให้ใครตีค่าว่าเสื่อมสูญ
ทุกคนมีชีวาค่าเพิ่มพูน
อย่ามามัวอาดูรเสียน้ำตา
ลุกขึ้นมาถากถางทางเทียวท่อง
เราคือท้องดินเดียวกันอันแน่นหนา
ช่วยกันปลุกปลอบปรับซับน้ำตา
ใครอ่อนล้าเรารีบรั้งขึ้นฝั่งเอย
เมื่อไม่สู้รู้ไยใครชนะ
อย่าลดละอย่าประวิงอย่านิ่งเฉย
หรือจะปล่อยเขายีย่ำอีกตามเคย
สู้เถิดเหวยพวกเราสู้เข้าไป
ต้องขออภัยด้วยนะคะดิฉันลืมบอกไปว่าป่าสงวนแห่งชาติดงระแนงอยู่แห่งหนตำบลใด พอดูภาพถ่ายทางอากาศทีไรมันสะเทือนใจ ปวดหัวใจจริงๆค่ะจึงได้รีบเขียนกลอนหน้าจอNote BooK ทันทีโดยไม่ได้เซฟเอาไว้เลยถ้าไวรัสมาเยือนคงแย่หรอก
ดิฉันเป็นคนกาฬสินธุ์ ป่าดงระแนงส่วนหนึ่งอยู่ในเขตกาฬสินธุ์มีพื้นที่ติดต่อกับดงมูล(พื้นที่สีแดงในอดีตค่ะ)เมื่อก่อนเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ทั้งป่าไม้และสรรพสัตว์
น่าเสียดายจริงๆ บัดนี้โล่งเตียนแทบจะไม่เหลือซาก
8 มิถุนายน 2551 22:02 น.
นรศิริ
กลบทนุชปยาตรา
เปลี่ยนวัฏจักรแห่งอรุณกาล
โดยทุกวันฉันมองเห็น
ทั้งเช้าเย็นในทีวี
ผลับบาร์ภาพแสงสี
ชุบโลกนี้โดยสีสัน
โดยแสงส่องแสงถึง
เปลี่ยนบวงบึงจากวานวัน
แลไปใจหายฉัน
สงสารเดท้องถิ่นไทย
โดยก่อนกาลเวลา
ผืนทุ่งนาคนคราดไถ
บัดนี้นาหายไป
เหลือเอาไว้เป็นป่าปูน
โดยเอ่อเหม่อมองคิด
ป่าถูกปลิดจนสิ้นสูญ
เหลือกองปฏิกูล
เกลื่อนขยะประดับดิน
โดยโลกการแสดง
อาจเปลื่ยนแปลงกระแสศิลป์
สูญไทยไร้ประทิน
ปรุงจรรโลงวรรณกรรม์
โดยโลกร้อนราวไฟ
คาวเลือดไปปรุงสวรรค์
ไร้ดาวและดวงจันทร์
ด้วยเมฆแห่งวาตภัย
โดยโลกวิปลาต
ด้วยอำนาจจากมือไหน
มือเราสิ ร่วมใจ
ทิ้งขยะโลกจึงร้อน