6 มีนาคม 2552 06:03 น.
นรศิริ
สุคติ
สะอาดใสเย็นฉ่ำทุกค่ำเช้า
เย็นใจเราคราสงบพบสิ่งสุข
ไร้ร้อนรนขวนขวายหาความทุกข์
เย็นยิ่งสุขเหลือล้ำมีธรรมครอง
ไม่เดือดร้อนกังวนหมองหม่นจิต
อีกไม่คิดกังวลให้หม่นหมอง
ไม่ยึดมั่นอะไรเอาไปครอง
ด้วยทั้งผองแน่แท้อนิจจัง
มีใดเล่าที่เรายึดไว้ได้
ร่างกายเราก็ยังถูกเผาฝัง
ไม่มีใดดอกหนาที่จีรัง
จะรักชังค่าเท่ากันเท่านั้นเอย
จงหมั่นสร้างทางทองไว้เทียวท่อง
ก่อนรูปกายร่วงกองอย่าเมินเฉย
กาลเวลานับวันจะผ่านเลย
ทั้งไม่เคยหยุดยั้งหรือรั้งรอ
ก่อนจะสายเกินไปให้หยุดคิด
ที่เคยผิดพลาดพลั้งช่างเถิดหนอ
เริ่มต้นใหม่ด้วยใจใสออ
สุขจริงหนอทางธรรมนำกมล
1 มีนาคม 2552 20:36 น.
นรศิริ
แนบเนาในทิพย์ทองอันผ่องใส
หากหัวใจไร้สุขทุกสถาน
มีชีวีอยู่ไปในวันวาร
เพียงเพื่อรอทรมานทั้งย่ำยี
มีชีวิตแต่ไร้สิทธิ์ที่จะใช้
มีหัวใจเพียงไว้ให้หมองศรี
ไร้ความสุขทุกเวลาทุกนาที
แล้วจะมีชีวีเพื่ออะไร
อิสรเสรีที่มีอยู่
ก็มีผู้เข้าครอบตีกรอบไว้
เป็นของเราก็เพียงลมหายใจ
กับรูกายที่ไร้ค่าควรชม
ดวงตาวันเปลี่ยนผันในวันพรุ่ง
จึงหวังมุ่งว่าใจได้สุขสม
อนิจจาตะวันมาก็ยังตรม
สุดท้ายจมคมมีดกรีดเชือดคอ
นี่แหละคือไก่ชนผู้ทนอยู่
ในสังเวียนต้องสู้ฆ่าเพื่อนหนอ
แม้นไม่เก่งความแกร่งไม่เพียงพอ
เจ้าของก็ต้องเชือดเลือดโลมดิน
28 กุมภาพันธ์ 2552 03:33 น.
นรศิริ
ธรรมดาของโลกมีโศกสุข
ธรรมดาทนทุกข์ต้องหมองไหม้
ก็คงไม่ธรรมดาหากไร้ใจ
และทนได้ฉันใดหากไร้เธอ
เธอเป็นเพื่อนเหมือนเป็นทั้งพี่น้อง
คราฉันหมองเธอปลุกปลอบเสมอ
คราฉันรั้นเธอรั้งทุกทีเจอ
ฉันพลั้งเผลอเธอเพื่อนแท้เอย
เคยร่วมเรียนร่วมสอนทุกตอนที่
เพื่อนแสนดีเกินคำพร่ำเฉลย
เธอดูแลคราป่วยไข้ไม่ละเลย
เธอไม่เคยเมินเฉยหรือบึ้งตึง
มาบัดนี้เธอไปไกลสุดกู่
โปรดรับรู้เพื่อนคนนี้เฝ้าคิดถึง
ภาพความหลังฝังใจให้คะนึง
ยังซาบซึ้งความดีที่มีมา
ส่งอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้
ขอดวงใจไร้ทุกข์สุขเถิดหนา
อย่าได้หวนห่วงหลังฝังอุรา
ด้วยทุกคนเกิดมาจะต้องตาย
ปล.ออกจากห้องพระมาเจอภาพถ่ายร่วมกับเพื่อนรักที่ตายแล้วทั้งสองคนเลยรันทดใจ
ครั้งนั้นกลับจากไปปฏิบัติธรรมกับลูกชายที่ถ้ำวัวแดงกลับมาคิดถึงเพื่อนจับใจไปแวะเยี่ยมแม่เขาร้องไห้โฮบอกว่างานศพพึ่งเสร็จเมื่อวันวาน
อีกปีถัดมาไปปลีกวิเวกตามดอยในภาคเหนือหลายที่และพักที่ถ้ำผาแดงหลายวันกลับมาเพื่อนเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายตอนนี้ตายแล้ว
ปิดเทอมปีนี้จึงลังเลว่าจะเร่ร่อน(ธุดงค์)อีกหรือไม่ไป
27 กุมภาพันธ์ 2552 04:41 น.
นรศิริ
ไม่อยากรับรู้ใดในเป็นอยู่
ไม่อาจสู้ความความจริงสิ่งที่เห็น
ไม่อาจรับทุกทางที่เธอเป็น
จึงซ่อนเร้นห่วงหาและอาลัย
ใช่ว่าฉันไม่ห่วงดวงใจจ๋า
แต่กลัวว่าไปพบ(เธอ)สลบไสล
ฉันคงเจ็บรวดร้าวราวขาดใจ
จึงต้องทนหม่นไหม้อยู่เอกา
ไหว้วอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกทิศที่
โปรดคุ้มครองคนดีด้วยเถิดหนา
ให้เธอยังชีวีมีชีวา
ได้กลับมาเพื่อเป็นเช่นที่เคย
วานสายลมพัดไกลไปเยือนด้วย
แล้วจงช่วยบอกเขาเล่าเฉลย
ว่าคนไกลแสนห่วงมิเลือนเลย
อีกเอื้อนเอ่ยคิดถึงซึ้งกมล
เมื่อรู้ข่าวเธอเจ็บฉันเหน็บแน่น
อยากโลดแล่นไปหาทุกแห่งหน
ทุกวันวารดวงจิตคิดเวียนวน
ใจห่วงหาเหลือล้นคนห่างไกล
ไม่อยากรับรู้ใจกลัวไหม้หม่น
ไม่อาจทนรู้เห็นเป็นไฉน
ไม่อาจทนการสลายของหัวใจ
ฉันจะอยู่อย่างไรเมื่อไร้เธอ
กลอนบทนี้เขียนตอนกลับจากไปบวชชีพราหมณ์ตอนปลีกวีเวกภาคเหนือ กลับมา รู้ข่าวเพื่อนเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายค่ะ
24 กุมภาพันธ์ 2552 05:09 น.
นรศิริ
หลากหลายเรื่องราวเฝ้าคิด
ดวงจิตวุ่นวายสับสน
เหน็ดเหนื่อยกับความวกวน
ทานทนอยู่ได้ฉันใด
อยากปิดเปลือกตาหลับพัก
หน่วงหนักเกินจักรับไหว
อิดโรยอ่อนล้าดวงใจ
หมองไหม้มืดมิดปิดทาง
ทอดลมหายใจแผ่วผ่าว
ปวดร้าวดวงแดอ้างว้าง
ดุจเดือนเคลื่อนดับกลับทาง
จืดจางจริงหนอใจคน
กบเขียดระงมท้องทุ่ง
ริ้นยุงตอมไต่ตัวตน
หนึ่งร่างนั่งท้อทุกข์ทน
หนึ่งคนยังนั่งเดียวดาย