3 มิถุนายน 2552 20:16 น.
นรศิริ
คิดถึง คิดถึง และคิดถึง
คิดถึงดอยภูผาสารพัด
คิดถึงสัตว์น้อยใหญ่ในไพรสัณฑ์
คิดถึงห้วยหุบเขาเคยเนานั้น
อยากกลับไปสานฝันหมั่นถักทอ
ผีเสื้อเอยเคยฝันถึงกันไหม
คนห่างไกลห่วงหาอาวรณ์หนอ
สำเภาลมจงข่มใจเจ้าไว้รอ
โอนเอนอ้อ ล้อลมชมทุกวาร
ดวงดอกเอื้องเหลืองอร่ามงามจับจิต
แสงอาทิตย์ชูช่อล้อลมผ่าน
เอื้องฟ้าม่วงโดเด่นเห็นตระการ
เอื้องแซะบานโชยกลิ่นกรุ่นกำจาย
คำหม่อนไข่แอบค้อนออดอ้อนว่า
ฉันก็สวยโสภาระย้าสาย
หางจ้อนส่งยิ้มใสไปทักทาย
สามปอยส่ายก้านดอกออกเนิ่นนาน
เอื้องปากดำช้ำใจใครไม่ทัก
ฉันเล็กนักหรือไรใยมองผ่าน
กะเรกะร่อนบ่นว่าน่ารำคาญ
ก็เจ้าบานห้า หก ดอกชอกช้ำใย
เข็มขาวยิ้มเย้ายวนชวนชมชื่น
ปลุกทุกให้ตื่นจากหลับใหล
ส่งกลิ่นหอมอ่อนอ่อนสะท้อนใจ
แม้นไม่สวยไฉไลหอมไม่จาง
กุหลาบม่วงดวงดอกออกช่อม่วง
ระย้าพวงดวงดอกออกด้านข้าง
ชูช่องามอร่ามเด่นเน้นทุกทาง
งามมิจางเกินคำยอลออตา
เข็มแสดเอยแสดส้มชมมิเบื่อ
สุขใจเหลือเมื่อชมมวลบุปผา
แม้นโศกศัลย์หม่นเศร้าเหงาอุรา
เมื่อได้มาชมชิดจิตชื่นบาน
31 พฤษภาคม 2552 20:02 น.
นรศิริ
กำสรวลลูกไก่
เสียงโหยเสียงร่ำไห้ อาวรณ์
ซุกซบศพมารดร ด่าวดิ้น
พรากพรากดั่งชลธร รินหลั่ง
สูญเสียอีกสุดสิ้น แผ่นฟ้า ผืนดิน
ใครกกกอดลูกน้อย หวงแหน
อกอุ่นใครฤาแทน เทียบได้
หนาวเนื้อเหน็บเหลือแสน อิงอก อุ่นใด
ดั่งภพมืดมิดไซร้ สุดสิ้น สุรีย์
29 พฤษภาคม 2552 20:42 น.
นรศิริ
ก่อนสิ้นลม
แม่จ๋าช่วยหนูด้วย ครวญครางให้ช่วยเจ็บปวด
กระโดดเต้นดิ้นพรวด เฮือกสุดท้ายลมหายใจ
ดั่งหนึ่งตัวแตกดับ มิอาจรับรู้ใดได้
ร้อนรุ่มราวสุมไฟ อีกเย็นเยือกสลับกัน
ลูกน้อยนอนแน่นิ่ง ทุกสรรพสิ่งมืดดับพลัน
แม่นี้จะฆ่ามัน เจ้าชั่วช้ามาคุกคาม
เจ็บแปลบปวดแสบทั่ว ราวเนื้อตัวต้องพิษหนาม
แผ่ซ่านรานรุกราม ความมืดมิดเข้าครอบครอง
เลือนรางความรู้สึก มิอาจนึกใดทั้งผอง
ตั้งจิตเข้าประคอง เพื่อต่อต้านกับมวลพิษ
ก่อนที่จะม้วยมรณ์ ข้าขอวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ขอยลลูกสักนิด พร้อมสั่งลาก่อนลาไกล
ลมหายสุดท้ายก่อนไกลร่าง
ทั่วสรรพางค์หน่วงหนักพักทุกสิ่ง
แว่วแว่วเสียงแม่จ๋าอย่าทอดทิ้ง
ยังเล็กยิ่งลูกจะอยู่กับผู้ใด
ความรู้สึกขาดห้วงยังห่วงลูก
เจ้าบุญปลูกของแม่อยู่ที่ไหน
มาให้แม่ยลยินจวนสิ้นใจ
ก่อนที่แม่จะหลับใหลชั่วนิรันดร์
ปีกบางกางโอบลูกน้อยกลอยใจ
มิอาจขยับได้เพียงไหวสั่น
เคลื่อนเพียงปลายปีกขนที่เบาเท่านั้น
ลูกน้อยร้องลั่นแทรกซบอกเอย
งูเห่าเอยใยเจ้าใจร้ายนัก
กล้าพรากรักแม่ลูกสุขเสวย
แล้วหลบเลื้อยหนีไปไม่เหลือเลย
สองชีวีสังเวยที่เหลืออยู่ใย
ณ เวลานี้ดิฉันต้องเป็นแม่ให้ลูกเจี๊ยบทั้งสองที่เหลือ คอยดูแลประคบประหงบ
ตั้งชื่อให้ว่าเจ้าตุ๊ก กับเจ้าติ้ก
21 พฤษภาคม 2552 19:22 น.
นรศิริ
ยิ่งมืดมากเท่าใด แสงไฟนั้นยิ่งแจ่มชัด
ปัญญาย่อมขจัด อวิชชาบรรดาปวง
ตัณหาและราคะ ไม่ลดละยิ่งหนักหน่วง
กิเลสนั้นเป็นบ่วง ที่คล้องมัดรัดเวรกรรม
โทสะอีกโมหะ เอาชนะอย่าถลำ
ศีลทานผลบุญนำ ส่งสู่ทางกระจ่างใจ
อบายทั้งหลายนั้น ย่อมแปรผันชีวีให้
จากขาวเป็นดำไป มืดบอดแท้ทุกทิศทาง
ความมืดเข้าครอบงำ ย่อมตกต่ำในทุกอย่าง
เดียวดายอีกอ้างว้าง ผู้ใดเล่าเขาจะยล
จงกล้าก้าวออกมา สิ่งชั่วช้าจงหลีกพ้น
สู่ทางที่บันดล ให้ชีวาสว่างพราว
แสงทองส่องสว่าง ณ ท่ามกลางใจสีขาว
กระจ่างใสในทุกคราว สว่างล้ำพุทธคุณ
แย่งชิงอีกเข่นฆ่า อนิจจากรรมนำหนุน
ยับแตกแหลกเป็นจุล เถ้าธุลีที่เหลือครอง
หยุดแข่งแย่งชิงฆ่า ปรับเปลี่ยนมาเป็นธรรมผอง
ร่มเย็นดุจทิพย์ทอง ล้วนสดใสด้วยใบบุญ
ธรรมะชนะมวล ทุกถิ่นล้วนท้นการุณย์
ทำลายทั้งทารุณ จะไม่มีในแผ่นดิน
15 พฤษภาคม 2552 15:31 น.
นรศิริ
มิอาจฉุดรั้ง
ศักราชมิอาจจะหยุดได้
รักเหนือสิ่งใดมีแหนงหน่าย
จงรักตัวเราตราบเท่าวันวาย
อย่าได้หมายใครอื่นชื่นจริง
มรณามอดม้วยมรณัง
กายายังถูกเขาเผาทิ้ง
อีกลาภยศเงินทองทุกสิ่ง
จักประวิงตายไว้ฉันใด
หยุดเถิดจงหยุดมองอย่าช้า
เหตุแห่งปัญหาอยู่หนไหน
อยู่ที่กายตัวหรือหัวใจ
รีบแก้ไขเร็วไวจุดนั้น
เนื้อร้ายเมื่อปล่อยไว้กลายเน่า
แน่นักรักเมื่อเก่าแปรผัน
สรรพสิ่งอนิจจังทั้งนั้น
จักยึดมั่นใดใดได้ฤา
จงลืมตาเถิดเปิดเปลือกตา
ค้นหาทางธรรม์มั่นยึดถือ
ปล่อยทุกข์ทั้งจากผองสองมือ
นั่นคือทางพ้นทุกข์แท้จริง