9 ธันวาคม 2549 19:06 น.
ธรรมาภิวัฏ
ในความมืด ท่ามกลางความเงียบงันที่ไม่มีวันสิ้นสุด ข้าพเจ้ายืนสงบนิ่งมองออกไปอย่างเนิ่นนาน สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นก็ล้วนแล้วแต่ว่างเปล่า.. ความเย็นยะเยือกโอบรอบบริเวณ ท่ามกลางกระแสสายลมแห่งความเงียบ พิลึกก็แต่เพียงในใจของข้าพเจ้า เต้นระรัวเร้าถึงความรู้สึกนึกคิด รู้สึกนึกคิด แลรู้สึกนึกคิดอย่างไร้รู้สัมผัส แม้นว่าสิ่งที่แอบซ่อนเร้นมิสามารถสรุปรู้เห็นอย่างเป็นตัวตน แต่ทว่า เงื้อมเงาแห่งความวุ่นวายประดาดังโถมถาเข้าถามไถ่.. ก่อนที่จะสลายท่ามกลางความเงียบงัน แห่งรัตติกาลโอบคลุมเก็บกลั้น แล้วกลับกลั่นกระทบ.. ยามแม้นจะเจนจับเจียนใกล้ก็จางหาย..
สิ่งซ่อนเร้น โอบอิ่มไปด้วยความฉงาย ครอบคลุมเช่นเคย.. ในบางครั้งกลับกระพืออารมณ์อย่างคลุ้มครั่ง และ ในบางครั้งกลับเงียบงันจนน่าสงสัย.. จนระทบทับท้นแทบทุกเสียงนับหายใจ
ข้าพเจ้าสูดลมหายใจเข้า แล้วค่อยๆ ผลัดผ่อนออกมาอย่างช้าๆ เนิบนาบ เนิ่นนาน หากแต่มินานกว่าการรอคอย เพราะจริงๆ แล้วตัวข้าพเจ้าก็มิได้รอคอยสิ่งใด อื่นใด และเหนืออื่นอันใด การรอคอยจักจำต้องมีผูกพันธสัญญา ความปรารถนาในสิ่งหนึ่ง แลหนึ่งคือสิ่งนั้นอันเป็นเป้าหมาย
..เงียบงันแยบยล กว่าเกินสิ่งเริ่มต้น แลสิ่งอันจบสลาย ข้าพเจ้ามิเคยรับรู้ถึงสิ่งที่มีอยู่ เข้าใจในสิ่งอันจะต้องเป็นไป เคลื่อนไหวในสิ่งอันจะต้องสงบ ทารุณแห่งห้วงสงัด ก่อเกาะกุมดวงใจแห่งข้าพเจ้า ซ้ำซากวนเวียนว่ายวกวกวน เสมือนบทกลอน กลอนอันขับลำนำจากจุดมิรู้ต้น ต่อบาทต่อบทต่อท้ายเติมแต่งเข้าไปอย่างมิรู้สิ้น ใสกังวาลดังแก้วเจียร แต่ทว่าทะลุปรุโปร่งจนมิอาจรู้ได้ว่าเป็นสิ่งอันใด จึงมิได้แตกต่างจากความมืดสงัดอันลับเร้น ..และเราก็ไม่รู้จักมันเหมือนดังเช่นเดิมที่มันเป็น
สอง และ หนึ่ง.. สอง และ หนึ่ง.. สอง และ หนึ่ง..
กว่าล้านริดรอนจนเหลือสอง จวบสองจักรวมเป็นหนึ่ง.. หลายจุด หลายเส้น หลายสี หลายสิ่ง ดับสูญสลาย และต่างก็ดับสูญสลายไปสู่สิ่งสูญสลาย สิ่งสูญสลายเป็นจุดรวมอันเป็นหนึ่งเดียว.. หากจะเรียกสิ่งนั้นจุดสูญสิ้น แต่เมื่อต่อเรียงเป็นวัฏกาล กลวงกลมอันโค้งเว้านั้น ข้าพเจ้ามิสังเกตเห็นจุดอื่นใด อันจะเรียกได้ว่าเป็นจุดใด มันจึงเป็นสัมพันธภาพอันเป็นจุดตั้งต้น แลจุดจบ.. แลเป็นหนึ่งเดียว
บดผสมท่ามกลางความวุ่นวาย กับการรอคอยที่ยังรอคอย..
ข้าพเจ้าเริ่มจะรับรู้แล้วล่ะว่า .. “ มันยังรอคอย..!! ” ..
16 ตุลาคม 2549 01:40 น.
ธรรมาภิวัฏ
เฮ้ย.. กินเหล้า
โอเช
หลังจบการหารือเรื่องการเรื่องงาน ดูเหมือนคงไม่มีอะไรดีไปกว่านั่งจิบเบียร์เย็นๆ กับแกล้มอร่อยๆ
สองเรา เราสองคน สองเกลอ ภาระกิจพิเศษ นั่งดื่ม นั่งบ่นบ้าๆ บอๆ
..
หลังลงรถเมลล์ เรา เดินวกๆ วนๆ เอาเป็นว่า วนไปวนมา แถวๆ ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ จนตกลงปลงใจ เลือกร้านริมบาทวิถี ได้ที่นั่งซักที ดีกว่าเดินไปเรื่อยๆ
..เบียร์รินๆ ฟองล้นๆ แล้วก็ไม่พ้นลาบต้มส้มตำ จะว่ายังไง หรือคนจน ผู้ไม่มีอันจะกิน ไม่มีสิทธิ์เลือกให้เกินว่ากำลังทรัพย์ในกระเป๋า ถึงจะว่าโลกมีเสรี คนนั้นเกิดมา แลพึงได้พึงมีอย่างถึงพร้อมเท่าเทียม แต่กรอบกั้นในโลกผู้ทุนนิยาม กระซิบบอกว่าท่านอย่าล้ำเส้น หากทุนน้อยหอยน้อย ให้ท่านคอยไปก่อน ร้านเราหรูๆ รับแต่ฝรั่งมังฆ้อง กระเป๋าหนักศักดิ์หนา ขี้ข้า.. คร้านจะเหยียบร้านให้เลอะ ไม่คุ้มค่าพนักงานถูพื้น
เฮ้ย.. มึงนั่งตรงนี้แหละ เฮียๆ.. ลาบปลาดุก กับ แหนมคลุก.. อ้อ.. เบียร์คชสาร แบบฟองน้อยๆ ขวดนึง บัดเดี๋ยวนั้น อย่าชักช้า หน้าจะมืด เพราะขาดแอลกอร์ฮอล์ ละลายในเส้นเลือดมานานแล้ว
นั่งจิบขวดแล้วขวดเล่า ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ สารพัด ขาวดำ ฝรั่ง ไทย.. ก็ย่านนี้คนต่างชาติชุม ถึงจะห้ามจับกลุ่มเกินห้า เพราะเดี๋ยวจะไปขัดขวางงานวันเด็กดูรถถังหลงฤดู ฝรั่งเขาว่าซึมๆ ไม่ค่อยอยากเดินเท่าไร แต่.. มันก็ยังเยอะอยู่ดีนั่นแหละ หลายผู้แวะเวียน ทั้งผู้ปกติ เร่งรีบหาร้าน หาของกิน ผู้จรเพื่อจะไปแจวก็เยอะ.. แลผู้ทำมาหาเงิน
เอ๊ะ.. แล้วนั่น ผู้ไม่ปกติ เขาคือใคร ใครคือผู้ไม่ได้ถูกรับเชิญ เผอิญอยากจะรับแต่เงิน ก็มันจนแทบจะไส้สิ้น หิวก็หิว
ลูกเอ๋ย.. แม่ไม่ได้กินข้าวมาสามวัน ขอเงินสักบาทสักเบี้ย นิดๆ น้อยๆ พอประทังสังขาร แม่หิวจนไส้กิ่ว นิ่วหน้า มืดมวนจวนจะเป็นลม
ขี้คร้านจะฟัง ควักสะตังค์ให้เร็วรี่ แม่เอ๋ย.. ลูกก็จน สิบบาทซาวบาทนะแม่ คงพอซื้อข้าวประทังได้บ้าง รีบไปหาข้าวกินก่อนจะสิ้นไส้เถิดแม่
แต่เอาเถิด แม่คงจะไม่พออิ่ม แม่ก็เดินขอไปเสียทุกโต๊ะจนสุดสายถนน ไอ้เกลอมันเลยว่า เฮ้ย.. มึงคิดว่าเขาเป็นยังไง คนหมู่นี้ ครั้งก่อนกระนู้นที่กูนั่งกินกับมึง มึงจำได้ไหม มีหนุ่มคนนึงสูงๆ ผอมๆ มันมาไหว้ขอเงินกินข้าว กูให้มันไป แต่ตอนที่เราเดินออกจากร้าน กูกลับเห็นมันนั่งนับเงินเป็นฟ่อนๆ เห็นแล้วก็เจ็บใจว่ะ
เอาเถิดไอ้เกลอ.. กูว่า.. คนไม่มีจึงขอ คงไม่มีใครอยากจะเป็นขอทานเท่าไรหรอก ถึงงานนั้นจะมีเยอะแยะ และคนแม้จะยังมีกำลัง แต่.. ในสภาพการณ์บางอย่าง ความอ่อนล้าอาลัย อาจจะหักหัวใจจนชีวิต อยากจะเลือกที่จะหลบพ้นปัญหา มีชีวิต อยู่วันวัน เพื่อพ้นวัน คนเหล่านี้น่าสงสารนัก ชีวิตที่หมดเป้าหมายเพื่อดิ้นรน ดูหม่นหมอง เอาล่ะถ้ามึงมีศรัทธาก็จงจ่ายค่าเหล้า ถ้าไม่มี.. ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเลี้ยง
เออๆ มึงออกๆ ไปก่อน สิ้นเดือนกูจะคืนให้ แต่ตอนนี้เอามาร้อยนึง ค่าแท็กซี่กลับที่พัก
ไอ้ชิบหาย.. เดี๋ยวค่อยเอา ตอนนี้ย้ายทำเล เดี๋ยวเราจะไปกินต่อ
ว่าแล้วก็ควักธนบัตรใบม่วง ส่งเฮียเจ้าของร้าน แล้วเดินกอดคอกัน เมาแประ เดินเฉไปเฉมา
ไอ้เวร.. ยังดีนะที่กูมีเงินพอจ่ายค่าเหล้า
เอาน่า.. เดี๋ยวสิ้นเดือนกูคืนให้ กูรู้มึงมีเงิน
ฮะฮะฮะฮ่า
25 สิงหาคม 2549 07:44 น.
ธรรมาภิวัฏ
ฝั่งน้ำเอย.. ฝั่งน้ำน่าน.. ยามจากกันหวิวหวั่นบ่วาย
เบนเอียงตามสาดซับ.. ภาพซึมซึ้งซ่านหวานใจ
คงมีวันหนึ่งไหนได้ไปเยือนถึง
ครวญ.. คะนึง.. ทิ้งทางทอดยาวผ่านเลยลา...
..เสียงโหยหวน ครวญเพลงยามโพล้เพล้ พลบค่ำ ล่องลอยมาตามสายลมยามเย็น ท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มเย็นลง เย็นลง โอบรอบบริเวณ หากทว่าฟังดี ๆ จะเป็นดังเสียงสะอื้นไห้ระคนเสียงครวญเพลงของหญิงสาว น้ำเสียงที่แว่วลึกบาดไปถึงห้วงเหวก้นบึ้งของหัวใจ.. ผู้คน ชาวบ้านแถบย่านร้านถิ่นต่างก็ล่ำลือกันว่าคุ้งน้ำนี้ผีดุเหลือหลาย พอถึงคืนเดือนหงายผู้คนต่างกล่าวกันว่าจะเห็นหญิงสาวมาเล่นน้ำที่คุ้งน้ำนี้บ่อยครั้ง หากเข้าไปใกล้ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็พลันอันตธานหายไป พอพลบค่ำก็แทบจะไม่ใครอยากจะสัญจรผ่านทางเท่าใดนัก..!!!
..
..
..
เราพบกัน.. เมื่อสามปีก่อน
เธออยู่ปีสอง ส่วนผมอยู่ปีหนึ่ง.. กับการมาค่ายครั้งแรกนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ประทับใจยิ่งสำหรับผม ไม่แพ้ไปกว่าการได้เจอเธอ.. บนรถบัสกระป๋องบุโรทั่งคันเล็ก ๆ ระยะทางจากสถานีรถไฟเมืองแพร่ไปสู่ชนบทหมู่บ้านในจังหวัดน่าน การรอคอยเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางย่อมก่อความเบื่อหน่ายแก่ผู้เดินทาง ผู้คนที่อ่อนเพลียเหนื่อยล้า ต่างโรยตัวพิงพนักพักสายตา ดิ่งลึกไปสู่อารมณ์อันหลับใหลเพื่อรอคอย..
จะมีอะไรดีไปกว่าการชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง จน.. แวบ.. นึง ที่เธอเอนตัวตามแรงเหวี่ยงของรถ จากแนวที่นั่งด้านหน้า.. ทำให้ผมได้พบกับเธอ
เธอกำลังหลับ.. เธอดูไม่สวย และเธอ ก็ไม่ใช่คนสวยที่สุดในค่ายนี้ หากแต่ดูไร้เดียงสา.. ในคราใดที่ผมแอบมองเธอในขณะที่เธอกำลังหลับ เธอ ดูอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาในสายตาผมเสมอ จนผมไม่อยากละสายตาอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้.. ทำไมหนอ
ในค่าย..
ขณะที่เธออยู่กลุ่มสอน และ ขณะที่ผมอยู่กลุ่มสร้าง.. เธอยิ้มหัวเราะ สนุกไปกับการทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ ผม.. แอบมองลอดหน้าต่าง ในแวบนึงที่เธอมองกลับมา ผมรู้สึกเขินอายเกินกว่าจะสบสายตา จึงเบนหน้าและเดินลับไป
..คืนแสงดาว ใต้เปลวเทียน ทำนองเพลงฝั่งน้ำน่านที่กรีดผ่านสายเส้นเสียง.. เธอ เอนตัวอ่อนไหวไปตามริ้วทำนองเพลง หลับเคลิ้มไปตามกระแสอารมณ์ ผม.. แอบเฝ้ามองดวงหน้าอันไร้เดียงนั้น อย่างพิศวง ท่ามกลางเงาอารมณ์ลุ่มไหลด่ำเคลิ้มเกินบรรยาย
จากค่าย..
ผมพยายามติดต่อเธอ แต่กลับถูกปฏิเสธ เธอว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก เธอมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว เราพบกันช้าเกินไปไป.. ความผิดหวัง ความสิ้นหวัง ความเศร้า มันเป็นความจริงที่เราจะต้องยอมรับ ความเศร้าที่เป็นความจริง หากแต่ผมหาลืมเธอไม่..
ผม..
เบนหน้า ทุ่มเทให้กับงานกิจกรรมสรรค์สังคม สัมผัสกับกลุ่มชนที่ถูกทิ้งให้อยู่เบื้องหลัง กับปีที่สอง.. ปีที่สองที่.. ไม่มีเธอ.. บนใบหน้าไร้เดียงสาดูอ่อนเยาว์ต่อโลก.. บนใบหน้านั้น
จนกระทั่งวันนึง..
เธอชวนผมไปค่ายด้วยกันอีกครั้ง.. เป็นโอกาสที่ผมจะตอบปฏิเสธบ้าง..
ถึงกระนั้น.. อารมณ์ที่เก็บไว้ไม่อยู่ มันฉุดตัวผมให้ต้องติดตามไปเบื้องหลัง.. หลังเปิดค่ายหนึ่งวัน
ไม่มี.. ไม่มีเธอ.. เธอไม่ได้ไป.. ความคิดถึง.. ความเศร้า.. จนกระทั่งปิดค่าย.. เราคงไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีกแล้ว
ปีที่สาม..
ความมุ่งมั่นหาคำตอบ มาพร้อมกับความเหนื่อยล้า ท้อถอย เบื่อหน่าย อันเป็นคำตอบข้อท้ายสุดอย่างที่เราไม่คาดคิดอยากจะให้เป็น.. ผมเอนตัวนอนเหยียดยาวไปตามม้านั่งหินอ่อนริมถนน มองดูท้องฟ้า แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่า ชีวิตคนเรา.. เกิดมาทำไม..?
พักนี้..
ผมไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมเท่าใดนัก อาจจะแวะมาช่วยงานบ้าง.. ก็เพียงบางครั้งบางหน
แต่.. สิ่งที่ไม่คาดฝัน ผมพบเธอที่นั่น ทุกครั้งที่ผมแวะมา..
ท่ามกลางวงเสวนา.. คำพูดที่อ่อนหวาน ใบหน้าที่อ่อนโยน ถ้อยทีถ้อยฟัง ถ้อยทีถ้อยถาม และ..
ดวงหน้าแววตาอันไร้เดียงสา.. ดวงหน้า
เธอ..
ตามตัวผม อยากจะให้ผมเข้ากิจกรรมบ่อยขึ้น.. บางทีผมรู้สึกลำคาญที่มีใครมาควบคุมความอิสระ และ ความเป็นปัจเจกชนในตัวผม.. ทำไม ? คุณต้องมายุ่งกับชีวิตผมนัก
เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ไม่อยากคุยกับชั้น ชั้นอยากรู้จักกับเธอ...??? ..ในบางเวลาการนิ่งเงียบเสีย.. และไม่เอื้อนเอ่ยคำใด.. อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด.. เดินตามบรรยากาศแห่งห้วงอารมณ์.. เราต่างสบสายตากันและกัน..
บนดวงหน้าและแววตาอันไร้เดียงสา
ในวันนี้ ที่เรา..
ต่างก็ไม่มีใคร
ความฝัน ความหวัง และ เปลวเทียนในหัวใจของผมเริ่มฉายโชนหวลกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
เรา..
ต่างก็เข้ากิจกรรมกันบ่อยขึ้น เจอกันบ่อยขึ้น.. แทบจะเรียกได้ว่าย้ายมาอยู่ที่ห้องกิจกรรมเลยก็ว่าได้..
ความสนิทสนมที่นับวันต่างทบทวีพูนเพิ่ม เราต่างเป็นเงาของกันและกัน.. เมื่อครั้งที่ผมต้องออกเดินทางไปต่างจังหวัด ผมจะเด็ดดอกหญ้า บนพื้นถิ่นที่ผมก้าวไปถึง มาให้เธอ..
ในบ้างครั้งที่ผมแอบวิสาสะค้นกระเป๋าของเธอ.. ผมมักจะพบดอกไม้แห้ง ๆ อยู่ในนั้นเสมอ ๆ..
ยังอยู่ครบทั้งห้าดอก.. เธอไม่เคยทิ้งแม้แต่ดอกเดียว
เมื่อวันสุดท้ายก่อนที่เธอจะสำเร็จการศึกษา..
ในเมื้อเย็นครั้งสุดท้ายมื้อนั้น.. เราต่างก็คุยกัน ถึงอนาคตของเราที่จำต้องเป็นไป..
เธอ.. มองโลกในแง่ดี เมตตา และ อ่อนโยน
ผม.. อยู่ในโลกที่หมองมัว เศร้าสร้อย และ เซื่องซึม
เธอ.. เป็นนักวิชาการเต็มตัวที่เดินบนแนวทางของเหตุผล
ผม.. เป็นศิลปินที่ยากจะคาดเดาจังหวะอารมณ์
เธอ.. มีภาระที่จะต้องดูแลกิจการทางบ้าน
ผม.. มีภาระที่จะต้องเลี้ยงดู และ ส่งตัวเองเรียน
..ถึงแม้ว่าผมจะยืนกราน อ้อนวอน วิงวอน ขอร้อง ที่จะฉุดรั้งไม่ให้เธอต้องจากไป หากทว่า เธอ..ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวด้วยเหตุผลอันหนักแน่น เรา.. จะไม่มีวันได้พบกันอีก
เธอยื่นดอกหญ้าแห้ง ๆ ที่ผมเคยให้ คืนให้แก่ผม กับรอยน้ำตาบนดวงหน้าอันไร้เดียงสา
โลกทั้งโลกหมุนคว้าง..
ผมเดินหอบซากเศษเดนชีวิตที่หลงเหลืออยู่ ค่อยค่อยก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ทีละขั้น แข้งขามันช่างหนักหน่วงเหมือนถ่วงท่อนซุงสักสิบตั้น ช่วงบันไดหนึ่งขั้นมันเหมือนไกลออกไปสักร้อยเมตร ห้องพักชั้นสองที่ดูเหมือนอยู่บนชั้นที่ร้อยที่พัน เดินไปเท่าไรก็ไม่ถึงสักที
ผมโยนตัวแล้วซุกหน้าลงใต้หมอน ปล่อยน้ำตาให้มันไหลออกมา ไหลออกมา ไหลออกมา
ชีวิตคนเรา.. เกิดมาทำไม..!!
..
..
..
..หลายปีแล้วที่ผมไม่ได้หวลกลับมาเยี่ยมที่แห่งนี้
สนามเด็กเล่นที่ผมเคยได้มาร่วมสร้างเมื่อค่ายครั้งนั้น หายไปเสียแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกรื้อทับด้วย
ถนนยางมะตอยที่ตัดเข้าหมู่บ้าน อาคารไม้ชั้นเดียวหลังเก่าที่เธอเคยสอนหนังสือเด็ก ๆ กลายมาเป็นอาคารเรียนถือปูนสองชั้น เรื่องราวของผมและเธอต่างก็ผันผ่านไปนานแล้ว พอกับที่ค่อยค่อยเลือนไปตามกระแสธารแห่งการเวลาที่ไม่เคยไหลย้อน..
ผมเดินไปที่ริมฝั่งน้ำน่านด้านหลังโรงเรียน.. แล้วล้วงหยิบเอาดอกหญ้าแห้งจากย่ามออกมา
โปรยดอกหญ้าดอกแรก.. ให้ไหลไปกับสระแสน้ำ
..เธอจะยังจำครั้งที่ผมเคยแอบมองเธอลอดหน้าต่างบานนั้นได้ไหมหนอ
โปรยดอกหญ้าดอกที่สอง
เธอจะยังจำคืนใต้แสงเทียนที่นี่ได้ไหมหนอ
โปรยดอกหญ้าดอกที่สาม
เธอจะยังจำทำนองเพลงฝั่งน้ำน่านที่ผมเล่นให้ฟังได้ไหมหนอ
หยิบดอกหญ้าดอกที่สี่..
ผมลังเลที่จะโปรยมัน..
จึงเปลี่ยนใจ.. ตั้งใจที่จะเก็บมันไว้เป็นที่ระลึกถึงวันเก่า ๆ..
แต่ผมจำได้ว่า ผมเคยให้ดอกไม้เธอไป ทั้งหมดมันมีอยู่ห้าดอก ..หรือเธอให้มาไม่ครบ ..หรือผมจะทำหล่นหายไประหว่างทาง..
พลันสะดุ้ง..
กับเสียงเรียกของชาวบ้านบนเรือหาปลา ที่กำลังลอยเรือมาเทียบฝั่ง
หนุ่มเอ้ย.. เป็นคนต่างบ้านล่ะสิ นี่ก็จวนจะมืดค่ำแล้ว ถ้ายังไม่รีบกลับ แวะไปกินข้าว พักบ้านลุงซักคืนก่อนสิ เดินทางค่ำมืดมันอันตราย.. รีบ ๆ หน่อยแถว ๆ นี้ผีดุซะด้วยสิ
ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความหวังดี นี่ก็ค่ำแล้ว รถออกจากหมู่บ้านก็คงจะไม่มี อีกอย่างผมก็เป็นโรคกลัวผีหนักเอาการเสียด้วย
ระหว่างที่กินข้าวนั้น..
ลุงแกเล่าว่า.. เมื่อสักสามสี่เดือนก่อน มีผู้หญิงคนนึง ใส่แว่น สูง ๆ ผมยาว ผิวขาว หน้าตาท่าทางเหมือนลูกผู้ดีหน่อย ดูจะมาจากกรุงเทพ เห็นมานั่งร้องห่มร้องไห้ที่ริมคุ้งน้ำที่เองไปยืนเมื่อเย็นนี้ แต่พอวันถัดมา ก็มีคนไปเห็นเป็นศพลอยอืดอยู่ใต้แพปลาไปเสียแล้ว.. น่าเสียดายยังสาวยังนางอยู่แท้ ๆ.. เองพอจะรู้จักเขาบ้างไหมล่ะ..
..พลันน้ำตาของผมไหลพราก
ผมว่า.. ผมเจอดอกหญ้าดอกสุดท้ายแล้ว..!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ฝั่งน้ำเอย.. ฝั่งน้ำน่าน.. ยามตะวันสายันสั่งลา
โรยรอนรอนอ่อนแสง.. สีทองพลิ้วอาบทาบทา
ธารธาราสะท้อนริ้วทองทิวเขา
งาม.. เหมือนมนต์เทพไทสรรค์เอา.. ถิ่นแดนไพร
เปลี่ยวค่ำลง.. แว่วเพลงหลงหวลไห้
วอนลมฝากใจล่องไกลสุดดอย
ดังกังวานแผ่วผา.. เวิ้งทรายคล้ายคำมั่นคอย
คนดงดอยทิวไหนทิ้งใจฝากลม..
พรม.. รักพร่างใสดังแสงดาว เด่นประกาย
ฝั่งน้ำเอย.. ฝั่งน้ำน่าน.. ยามจากกันหวิวหวั่นบ่วาย
เบนเอียงตามสาดซับ.. ภาพซึมซึ้งซ่านหวานใจ
คงมีวันหนึ่งไหนได้ไปเยือนถึง
ครวญ.. คะนึง.. ทิ้งทางทอดยาวผ่านเลยลา.
18 เมษายน 2549 11:24 น.
ธรรมาภิวัฏ
กริ้งกริ้ง เสียงโทรศัพท์ดัง
เลยหมุนตัว บิดขี้เกียจ คว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับ
ครับ แม่..
โทรมาตั้งแต่เช้าเลยนะ..
ยังไม่ตื่นเลย เพิ่งตื่นเมื่อตะกี๋นี้แหละ..
ครับ ครับ..
วันนี้เลยหรือ..
บ่าย เย็นๆ นู่นแหละจะถึงบ้าน..
ครับ ครับ ผมจะรีบไป..
สวัสดีครับ..
ลุกหยิบผ้าเช็ดตัว เข้าห้องน้ำ.. สักพักแต่งตัว.. จัดเตรียมสิ่งของดูว่าไม่ได้ลืมอะไร ดึงคันโยกสะพานไฟลง ล็อคลูกบิดประตูห้อง คล้องกุญแจ..
เดินมาถึงชั้นหนึ่งของหอพัก..
พี่เนียง.. ฝากดูห้องด้วยนะ จะกลับบ้านต่างจังหวัดสองสามวัน..
ม้วนวีดีโอที่พี่ยืมไป ฝากไว้ก่อนนะ กลับมาค่อยว่ากัน..
ขอบคุณมากครับพี่เนียง แล้วจะหาของติดไม้ติดมือมาฝาก..
ครับ.. ไม่ลืมครับไม่ลืม
ป้ายรถเมล์.. ยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกา.. เวลาสามโมงกว่าๆ ไม่สายมากเท่าไร คงไปถึงหมอชิตก่อนเที่ยง..
รถเมล์มา สาย 63 .. รีบวิ่งตาม.. จนกระทั่งได้ขึ้นไปนั่งบนรถ..
ตังค์ที่ให้ไม่พอดีหรือครับ..
อะไรนะ.. 8 บาทแล้ว..
เพิ่งจะขึ้นเมื่อเช้าเองหรือ.. ยื่นเงินเพิ่มให้ และ รับเงินทอน..
รถเมล์จอด.. รีบเบียดคนข้างๆ เดินลง..
อะไรวะ.. ขึ้นอีกแล้ว แถมยังไม่ถึงหมอชิต หมดระยะซะก่อนแล้ว รถเสริมก็ไม่บอกก่อน บ่นพึมพึมพำพำ
เดินลัดเลาะเข้าไปในสวนหย่อม ข้างๆ ห้างใหญ่กลางเมือง.. ระหว่างทางเดินในสวนหย่อม.. เหลือบมองไปเห็นคนแก่คุกเข่าสวดมนต์ไหว้ฟ้าไหว้ดินอยู่ปลกปลก..
เดินแวะเข้าไปใกล้ๆ.. ยกมือไหว้
ทำอะไรตา..
สวดมนต์ไหว้เทวดา..
อ๋อ.. เป็นหมอดู..
ไม่ล่ะครับ.. เงินไม่ค่อยมี ขอนั่งพักหลบแดดหายเมื่อยสักหน่อย
ขอบคุณครับ.. นั่งลงบนเสื่อที่คุณตาหมอดูปูไว้
สักพัก..
ไม่แพงหรือครับ..
ไม่ล่ะครับผมไม่ค่อยชอบดูหมอเท่าไร..
ดูให้ถูกถูก.. ? ไม่ครับ ขอบคุณครับคุณตา
ฟรีเลยหรือครับ.. ?
อ๋อ.. ตามศรัทธา..
เกิด.. 25 มีนา 25 ครับ ปี..
ปีจอ..
ไม่ใช่ปีจอ.. ทำไมล่ะครับ..
อ๋อครับ.. มันยังไม่พ้นสงกรานต์ปีใหม่ไทย.. มองดูคุณตาขีดขีดเขียนกระดานชนวน..
มองดูขี้ธูปหลุดจากก้านธูปตามแรงลม..
ลมพัด.. ใบไม้ร่วง.. เอนกิ่งอยู่ไหวไหว..
หันหน้ากลับมาสู่คุณตาตามเสียงเรียก..
อ่า.. ครับ.. เป็นคนดวงดี..
จะครองกิจการสามอย่าง..
มหาเศรษฐี 500 ล้าน เลยหรือครับ..
ไม่จริงมั้งตา.. ถ้างั้นผมขอยืมจ่ายค่าเทอมที่ค้างเค้าสักหมื่นหน่อยสิ.. เดี๋ยวรวยเมื่อไรจะเอามาคืนสักแสน..
พูดทั้งหัวเราะติดตลก..
เงียบฟังต่อ..
จะเสียเพราะผู้หญิง.. ยังไงครับตา
อืม.. อืม.. ครับ 23 24 ต้องระวัง.. แล้วคู่แท้หล่ะครับ..
อะไรนะ.. ตั้ง 34 จะรอไหวเหรอ ..
เทวดาบวกเลขให้ผิดหรือเปล่าตา.. พูดทั้งหัวเราะติดตลก แล้วเงียบฟังต่อ..
จะต้องย้ายถิ่นพำนัก..
คงใช่อะครับ.. ย้ายหอทุกเทอมอยู่แล้ว ย้ายเข้าย้ายออก หอนอกหอใน..
ครับ.. ผมจะระวังอุบัติเหตุขาซ้าย คุณตายื่นใบขาวขาวตัวหนังสือสีม่วงให้.. เป็นตารางดวงชะตา.. ดูเหมือนนามบัตร แต่เขียนว่ามุมด้านล่างว่า สมาคมโหรไทย.. พร้อมกับซองสีขาว.. เขียนตัวหนังสือแดงแดงว่า ค่าบูชาครู 299 บาท.. 299 บาทไทย..
ชะงักนิดนิด..
ล้วงธนบัตรสีแดง 3 ใบใส่ซองยื่นให้..
คุณตาลายมือดีสวยนะครับ.. คุณตายิ้มเล็กๆ.. พร้อมกับยื่นมือรับ แล้วพนมมือ หลับตา บ่นอุบอิบอุบอิบ เหมือนกำลังให้พร..
พนมมือค้อมหัวลงรับพร..
ไปล่ะครับคุณตา สวัสดีครับ คุณตารับไหว้
..บนรถประจำทางมุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัดทางภาคอีสาน
นั่งที่นั่งขอบริมหน้าต่าง ดูทิวทัศน์รายทาง..
นึกนึกคิดคิด.. เรื่องราวสาระตะที่ผ่านมา..
คุณตาหมอดู..
แม่.. พ่อ.. ทางบ้าน..
คงกลับถึงบ้านมืดค่ำกว่าที่คาดไว้..
พระอาทิตย์แดงแดงคล้อยลงสู่ดงพุ่มไม้ไกลตาออกไป..
เสาลายต้นเมื่อกี้ผ่านไปแล้ว..
เสาลายต้นใหม่ข้างหน้ากำลังวิ่งเข้ามา..
มืดลงมืดลง.. จนกระทั่งไม่เห็นเสาลายต้นใดวิ่งผ่านตา..
11 เมษายน 2549 07:58 น.
ธรรมาภิวัฏ
เรื่อง:จมลงไป..
-------------------------------------------------------------------------------------บ้านเรา
---------------------------------------------11 เมษา 46
ถึงเธออันเป็นที่รัก..
..ในทุกๆวินาทีแห่งความคิดถึงช่างนานแสนนาน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันไม่เคยคิดถึงเธอ เวลาแห่งความเศร้าไม่เคยห่างไปไหนมันคอยทักทายเสมอๆ ภาพเก่าๆ ใช่.. ฉันมักจะพูดเสมอๆ ว่าฉันชอบลำน่าน เพราะฉันมีความรู้สึกดีที่นั่น ภาพนั้นมันผ่านไปก็นานเสีย.. นานมาก แต่หัวใจของฉันยังหวลระลึกนึกถึงมันเสมอ กับทุกวันนี้ที่เราต่างก็ต้องมองออกไปข้างหน้า ช่างแตกต่างกันยิ่งนัก ใช่.. การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แนวทางที่จะนำไปสู่ความเลวร้ายเสมอ การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่ง เพื่อนำไปสู่เหตุผลที่ดีขึ้นของชีวิต มันไม่มีความผิดอะไรที่จะต้องไปบีบคั้นเอาคำตอบกับใคร ในความรู้สึกผิดชอบอย่างจงใจ เพราะเราต่างรู้และมีคำตอบในมุมมองของตนเอง ความคิดและมุมมองของเรา คือตัวของเรา เรา.. ย่อมต่างไปจากกัน บนรากเหง้าที่ติดค้างในอดีตที่ต่างกัน จึงมองไม่เหมือนกันในวันนี้ แต่.. สิ่งหนึ่งที่เราเหมือนกันก็คือความเป็นคน ความรักความคิดถึงความสงสารความเห็นใจ จะมีในใจของเราทุกคนเหมือนๆ กัน เพียงแต่ว่า เราจะให้น้ำหนักความสำคัญของมันมากเพียงไหน.. ความผิดถูกจึงแยกออกไปไม่ได้ ถึงแม้วันนี้น้ำหนักของมันช่างเบาบางยิ่งนักในใจของเธอหากเปรียบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ก็นับว่าน้อยเหลือ.. เหลือเกิน ที่จะเบนให้ถึงซึ่งความเข้าใจในมุมมองของฉัน แต่สำหรับฉันแล้ว.. น้ำหนักตรงนี้มันยิ่งหนักนัก หนักเกินกว่าที่จะวางมันลงไปได้ จดหมายฉบับนี้คงไม่ต้องได้ตัดพ้อกันว่าใจดำ ฉันรู้ เข้าใจ แต่ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเข้าใจ ฉันจึงปฏิเสธมันเสมอมา..
"เราจะประคับประคอง" มันหายไปไหน ไม่รู้เหมือนกัน ทิ้งไว้กับอดีต เพื่อที่จะก้าวต่อไป กับอนาคตที่เธอว่า"เรื่องของชั้น จะทำอะไรก็เรื่องของชั้น วันนั้นก็วันนั้น วันนี้ก็วันนี้ วันนั้นไม่เหมือนวันนี้ วันนี้จึงต่างกัน" ถึงบทของมัน.. น้ำตาก็แทบจะเล็ด บทจะฆ่ากันให้ตายก็ไม่อาลัยอะไรเลยสักอย่าง มองเห็นแต่ความเลว.. แม้ถึงจะมองไม่เห็น ก็ยังว่าฉันเห็น อย่างนั้นแหละมันเลวร้ายเสียยิ่งกระไร สมเหตุผลแล้ว ลุแก่เหตุผลแล้ว จึงได้เหตุผลแล้วอย่างนี้แหละ มันจะสมคะเนยิ่ง ใช่.. แน่นอน ฉันผิด แต่เราจะยอมรับไหมหล่ะ ว่าเราต่างก็ผิดเหมือนๆ กัน และก็แน่หล่ะคงไม่มีใครทำถูกไปเสียหมด หากเธอถูกและฉันถูก เราก็ถูกเหมือนๆ กัน คงไม่ต้องมานั่งเสียใจจนป่านนี้ นั่นหน่ะสินะฉันรู้ว่าฉันเสียใจ แต่เธอหล่ะ..?
..ได้โปรดอย่าคาดคะเนว่าคิดแทน เพราะคงไม่มีใครคิดแทนใครได้ ฉันเพียงแค่คาดเดา มิได้มีเหตุชี้แจง หรือชักนำอันใด ฉันยอมรับว่าฉันผิด ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คาดเดา แต่ขอแสดงความคิดเห็นบ้างได้ไหม เพราะฉันกินข้าว จึงเดินได้และคิดเป็น อย่างนั้นก็อย่ามาเหยียดว่าไม่มีความคิด ไม่มีเหตุผล และไม่เข้าใจอะไรเลย..
..ในความเป็นจริงที่ตื้นเขินของปํญหา ได้โปรดอย่าปฏิเสธว่ามันลึกกว่านั้น มันตื้นอย่างที่ตาเราเห็น เดินออกไปนอกบ้านสิ ถ้าเจอผู้ชายคนไหน ก็ลองถามคำถามอย่างเดียวกันดู ดูสิว่า จะได้คำตอบแบบเดียวกันบ้างไหม และด้วยความเป็นธรรมอันที่ไม่ค่อยจะหาเจอในโลก ลองถามคำถามแบบเดียวกันนี้กับผู้หญิงทุกคน เขาจะให้คำตอบเช่นไร มันจะตรงหรือต่าง.. ไม่รู้..?
..หรือจะตัดหัวตัดท้ายรวบยอดหล่ะว่า ใช่แล้ว.. ฉันไม่แคร์ ไม่ใส่ใจ ไม่คิดว่าจะให้เป็น เพราะไม่คิดแต่แรกแล้วว่าจะให้เป็นไป ปฏิเสธออกไป บ่ายเบี่ยงออกไป ก็ไม่ได้พ่ายแพ้แก่ปัญหานี่.. แค่ปัดมันออกไป อย่างไม่เป็นปัญหา..? ..? ..?
..อย่าได้ตีค่าความรักเป็นราคาแห่งเหตุผล ยามเมื่อที่เราสิ้นเหตุผลใช่ว่าความรักจะสิ้นไป แล้วหากถ้าสิ้นรักไป แล้วเหตุผลอันใดหล่ะ ที่เราจะยังอยู่.. เมื่อใดที่ไม่เหลืออะไรอีกแล้วในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นราคา หรือคุณค่า โปรดนึกถึงความรักนี้..
..ทุกวันที่ฉันยื้อ เพราะต้องการให้ยืดยาวและมั่นคง ในความมั่นใจ.. มือข้างหนึ่งที่พยายามตะกายเข้าหาฝั่ง มือข้างหนึ่งที่ฉุดรั้งเธอเอาไว้ เธออย่าได้หมดแรง อย่าได้สิ้นหวัง.. แต่พลันปัดป่าย ให้มันยิ่งจมลงไป เราก็ยิ่งจะจม สุดท้ายฝั่งก็คงไม่ถึง เป็นแค่คลื่นระลอก วงน้ำกระเพื่อมยามตะเกียกตะกาย กระทบตลิ่งแล้วก็คงจะกลืนหาย ไม่มีความหมายอะไร..
ไม่มีความหมาย..?
..จากความคิดถึงลำน่านแต่ก่อนนั้น จนถึงวันนี้ ด้วยความรัก ฉันก็ยังหนักแน่นในใจอยู่เสมอๆ ใช่จะหาเรื่องราวเสแสร้งใส่ร้าย หากแต่ความรักและความคิดถึงที่หนักอก จึงเพ้อๆพร่ามๆ เพราะว่ารักหนักหนา คิดถึงหนักหนา ทั้งเมื่อตื่นลืมตา หรือว่าข่มตาหลับ มันคอยถามย้ำในใจเสมอๆ "เธออยู่ไหน เธอทำอะไร เธอเหงามั้ย เศร้าหรือเปล่า จะมีใครบ้างไหมหนอคอยดูแลห่วงใย ปลอบใจ ในยามที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร"
..โปรดรู้ไว้เถิดว่า ยามเธอเหงา เราก็เหงาไม่ต่างกัน
..โปรดรู้ไว้เถิดว่า ยามเธอเศร้า เราก็เศร้าไม่ต่างกัน
..กลับมาเถิดที่รัก..
เรื่องราวร้ายๆ ได้โปรดให้อภัย และสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจากอะไร หรือเหตุอันใด.. ได้โปรดปล่อยวางมัน ให้อภัยแก่กัน แล้วกลับคืนมาเถิด มันจะไม่มีวันสาย หากเราต่างคนต่างคิดจะแก้ใข
-----------------------------------------------------------------------------ด้วยรักที่คงมั่น
------------------------------------------------------------------------ด้วยคืนวันไม่ผันแปร
----------------------------------------------------------------------------คนเดิมของเธอ..