13 พฤศจิกายน 2548 14:35 น.
ธรรมาภิวัฏ
๑ จากร่มเงาเราร่มรื่นชื่นลมร่ม
จะพัดชมแผ่วเฉื่อยเอื่อยสังขาร์
ร่มแลเงาเนาว์แนบยังแอบพา
ลำเพยว่าพาคลายบ่ายรอนโรย
๒ น้ำเย็นนิดหยิบยื่นชื่นกษัย
ขอโพยภัยหลบร้อนยามอ่อนโหย
ยามโรยแดดแผดพร่าอุราโรย
พอได้โชยหายห่อนก่อนเร้นเงา
๓ อาทิตย์ส่องสอดทออยู่ริ้วริ้ว
พระพลบพริ้วริ้วเพื่อมเชื่อมสันเขา
พระภิเพกพรายพรูอยู่แผ่วเบา
ลมก็เพลาเงาก็ครื้นชื่นลมลม
๔ สมคะเนเร่ขนายบ่ายร้อนร้อน
เพียงหลบก่อนห่อนไห้ ได้สุขสม
ให้ลมโรยโชยชื่นรื่นปรารมย์
คงชมโชยโรยอารมย์สมคะเนน
๕ ลมระริดปริดใบไม้อยู่เปรื่องเปรื่อง
โชยลมเรื่องรอยโรยโดยระเหน
ยามระแคะและระคายบ่ายจรดเยน
พอจะเปนสร้อยอารมย์สมประคอง
๖ จากหยดน้ำริมใบไม้สายบ่ายแสง
พอจะแยงแสงสะท้อนร้อนสนอง
ระเหยให้เมื่อใบบังยังทำนอง
ให้ลมต้องล่องระบัดใบละลอย
๗ หลังคล้อยค่ำย่ำโยชน์ระโนดฟ้า
พริ้วพรมมาบ่ายฝนลมละห้อย
แย้มแสงสิ่งส่องเร้นเย็นลามลอย
ให้คอยคอยลอดมาบ่าอรุณ์
๘ ณุรุนร่มชมชื่นรื่นแสงฟ้า
บ่ายจะพาใต้แต้มใบได้ระอุ
เพียงแผ่วแผ่วแนวฟองพองผุดพุ
คงไม่ลุแนวพอรอร่มใบ
๙ ชื่นเอ๋ยชื่นลมร่มหลังบ่ายฝน
ได้นิยลนำนิยามที่ถามไว้
หากยามแผดที่แผ่วลมอยู่ร่ำไร
ใจหนอใจคงเย็นได้ในลำลอง
๑๐ ก็ยังหลบร่มใต้ใบไม้ที่บ่ายฝน
ไม่ค้อนข้นลนค่อนร้อนสนอง
เพราะร่มบังใบปริดริ้วระออง
ฟ้าลำยองยิ้มละไมใบไม้รุ้ง
๑๑ จากแสงสีมีแสงจะเสียดส่อง
ฟองฝอยฟองท้องฝนโปรยทิวทุ่ง
รุ้งสามแสดแผดสามสายที่ปลายรุ้ง
พอเฟื่องฟุ้งรุ้งเรืองเรื่องอัมไพ
๑๒ ก็แอบยิ้มเงาย้ายที่ปลายหน้า
สุขเสพย์สิ่งยิ่งจะพาใจราไว้
รื่นระอองฟองฝอยฝนล้นฤทัย
เพราะใจได้ฉ่ำบ่ายที่สายฝน
๑๓ อันเขาว่าสีทองทำนองรุ้ง
คงพลอยพรุ้งรุ้งเฟื่องที่บ่ายท้น
ใครหนอปั้นสรรค์สีให้บ่ายยล
หรืออาทิตย์แสงท้นล้นระบาย
๑๔ พระอาทิตย์แห่งจิตกร
ปาดแปลงป้ายแสดส้มซ้อนตอนร่ำบ่าย
ฑิคัมพรมินอนรู้อย่างดูดาย
จะแย้มไว้ระบัดบายที่ปลายฟ้า
๑๕ จากที่ร้อนยามบ่ายกระจายฝน
จากที่เย็นย่ำฝนหลั่งพ้นบ่า
จากที่โปรยโรยลมพรมอุรา
จากทุ่งนาปลายหญ้าระดาระออง
๑๖ สร้อยพระแสงแรงบ่ายที่ได้เห็น
เพราะหลบเร้นฝนโปรยมาโรยฟ้อง
ร้อนก็เห็นเร้นได้รายระออง
เย็นจะป้องต้องผิวริ้วอารมย์
๑๗ ให้สมเหตุแห่งสิ่งไม่นิ่งเฉย
หรือละเลยอารมย์ที่สุขสม
เรานิยามความงามตามปรารมย์
ที่คำคมร่มรื่นยามชื่นเย็น..
----------------------------------------------------
4 พฤศจิกายน 2548 12:29 น.
ธรรมาภิวัฏ
จากทางเดินไกลลิบที่พริบตา
มองเวลาใจหายก็หน่ายแหนง
เพียงเรามองความฝันยังมีแรง
คงเห็นแสงก้าวฝันเพื่อวันคอย
โอ้.. คืนนี้เจ้าดาวช่างแสงหม่น
ก็เพียงคนพ้นร้างห่างสุดสอย
ใครจะว่าเรายิ้มเพื่อรอคอย
หรือใจหงอยคอยคืนฝืนเวลา
แสงกระพริบลิบดาวสกาวหมอง
เพียงเหม่อมองพริบพริบปริบปรางค์หน้า
มองอารมณ์ชมชื่นรื่นเวลา
คงนำพาแสงดาวที่ราวนั้น
หากมองเห็นมองได้สายเส้นแสง
อาจร้อนแรงเร้นแสงตะวันนั่น
หากระวีเบิกแสงแรงตะวัน
คงไหวหวั่นสิ้นฝันที่ดาวเรือง
ทางที่ทอต่อยอดมาทอดหนึ่ง
ไม่ห่างซึ่งคำดาวเฝ้าเล่าเรื่อง
เวลาหดชีวิตลดคงหมดเปลือง
ใครเล่าเรื่องเปลืองเปล่าเมื่อเช้าก่อน
เพียงหยิบยื่นรอยยิ้มปริ่มปลายหน้า
ให้ใจพาไหวหวั่นฝันแรงร้อน
จะแผดผ่าวร้าวริดอยู่รอนรอน
ก็เพียงตอนหนึ่งหนึ่งที่ใจลอย
คอยเอ๋ยคอยคนนั้นอย่างหวั่นไหว
ก็ดวงใจดวงนิดจิตละห้อย
มองเจ้าดาวแสงพริบที่ลิบลอย
หรือเจ้าคอยคืนวันฝันอันใด
จะมองเห็นเป็นประหนึ่งเพื่อนร่วมฟาก
หรือเราจากกันแล้วให้แววไหว
แสงสะกิดลิบอยู่ดูร่ำไร
คงร้างไกลตกฟากแล้วคืนนี้
เพียงพร่ำเพ้อถึงเจ้าดาวได้ไหมหนอ
อย่าร้างรอแรมไกลไปหลีกลี้
ก็ยังเพ้อพร่ำพลางหว่างฤดี
กี่นาทีก็ชั่วโมงหรือกี่นาน..
แสงอรุณกรุ่นกลับมารับแล้ว
คงไม่แคล้วใจคอยละห้อยหาญ
เราก็เพียงคงหนึ่งในบึงกาล
ไม่ลบวานเวียนวนคนคนหนึ่ง
คงจะตัดอาลัยไม่ได้หรอก
คำล่อหลอกหวั่นวกพกทะลึ่ง
ถึงเขาหลอกก็เต็มใจให้หลอกเสียซะซึ้ง
ก็เพียงคนหนึ่งจึงถลำซ้ำไถล
เอื้อมมือคว้าเจ้าแสงดาว..
ให้หนาวลมห่มแล้งอย่างเฉไฉ
ก็ดาวยังเป็นดาวบนฟ้าไกล
เอื้อมเท่าไรก็ไม่ถึงจึงเพียงมอง
เอื้อมมือคว้าหยาดเพชร์แก้ว เผลอรักแล้วจึงฝันใฝ่
หยาดเพชร์หยาดละอองผ่องใส แม้อยู่ในความมืดมน..(หยาดเพชร์)
ยังเวียนวนคว้าแสงที่ดาวส่อง
คงริบรองว่องไว้ไม่อาจต้อง
เพราะหลงลมเขาแล้วแนวทำนอง
จึงเพียงร้องลมลมลมลอยลอย
มองเจ้าดาวน้อยนั้นก็สุดไกล กลัวแต่ว่าใจหนอใจคงจะต้องพลัดเจ้าดาวแล้ว
หากแนวอรุณระวีรุ่งมุ่งลงมาเมื่อคราเช้า คงจะเร้นรับดับดาวคืนกลับแสงที่ฟากฟ้า หากเวิ้งฟ้ากว้างและวันใหม่แห่งพระอรุณ จะเพียงเพื่อการุณย์แก่ตัวข้า ข้าน้อยผู้รอคอยที่หว่างเวลาขอให้เจ้าแสงดาวจงนำพา คืนกลับมา.. ดังข้าเพ้อพร่ำวอนพระอรุณ..
26 ตุลาคม 2548 21:57 น.
ธรรมาภิวัฏ
..ยามบ่าย
คลับคล้ายไม้แมกแอบอัม-พรร่มพอรื่นไพรสันฑ์
ให้โบกตะวันเวลา
เพียงใกล้พร่ำเพรียกเรียกมาตามรู้แหล่งรา-
ตรีรับระงับร้อนลน
เพียงชื่นแจ่มเจิดเทิดท้น..ดื่มด่ำอารมณ์
ใต้ต่ำระบำราตรี
..พลบพล้อย
ร้อยพลบพรมมาป่านี้.คล้อยคล้อยในที
ให้มีวิเวกเมฆลอย
เขาว่าเราเพียงได้สอย..ร้อยร่ำด่ำดอย
กลางเถื่อนถึกพงดงพา
กระซิบตามไตร่เวลากล้ำไกลปักษา
เวหาร่อนร่ายพรายลม
แอบมองยามพลบลบลม..ตะวันฉ่ำยล
ให้คนหวลห้อยคอยคลอ
ดังแอบอิงเอ่ยเคยรอ.เคลียเคล้าเคียงคลอ
พอได้ห่มไอไล่เย็น
ยามรุกยามทุกข์ยากเข็ญ..เพียงเราได้เร้น
หากเย็นย่ำวันพลันฝน
เพียงมาให้ป่าชื่นยล.ฉ่ำเย็นต่อตน
โบกพ้นไพรพฤกษ์ลึกรู้
..ยามค่ำ
ค่ำยามต่ำไต้ได้ดู...ไฟฟอนขอนคู่
ดูวอมวามไว้แววแวม
แสงไต้คล้ายค่ำนำแซม..ระยิบระแยม
แวมวับรับลมโบกโบย
ซาลมระห่มระโหย.โชยดึกนึกโดย
พอโรยกลิ่นกล่นฝนซา
เขาว่าป่าพลับหลับตา..ฝันในเวลา
รอมารอยพ้นคนความ
กระท่อมทมเถื่อนยังวาม.แววแวมแสงยาม
ได้ส่องพอมองได้เห็น
หรือเราเพียงหนึ่งพึงเป็น.ส่วนสุขทุกข์เย็น
โลกย์เห็นเคล้าคำทำนอง
..ยามดึก
ลึกฝันแจร่มจันทร์เจิดจ่องส่องแส้วแท้วท้อง
ผ่องห้องท้องผองนภา
เรียบเรียบเคียงป่า.ยังว่ายังวา
เรามาเดินตามทางเกวียน
กลางป่าหากส่องท่องเทียน.เวียนแววแววเวียน
พอเลียนส่องทางนำเดิน
ก็เพียงใจเพลิดใจเพลิน.หากได้เผชิญ
สุขสุขทุกข์ทุกข์บุกไป
แผ่นดินถิ่นนี้ถิ่นใดเสกสรรค์ปั้นไป
ใครหนอแต่งได้งามงาม
พอใจจะได้ใคร่ถามถึงว่าความงาม
นิยามนั้นหนออย่างไร
หรือเรานั้นเพียงพอใจ.สุขได้กลางไพร
กลางพฤกษ์สำนึกลึกรู้
เขาว่าเพียงมาได้อยู่..เย็นล้ำด่ำดู
คลอคู้ใกล้ใกล้ไฟเทียน
ใจเอ๋ยยังเคยวนเวียน.จากใจไฟเทียน
คอยเขียนคำนำทำนอง
เรียบเรียงสร้อยเสียงเคียงร้องใครต่างยังปอง
ทำนองประคองสุขใจ
เหตุได้อยู่ยงค์คงไพร.กระท่อมแสงไฟ
กลางไต้แสงเทียนวูบหวิว
ดึกแล้วใจจิตผิดพลิ้ว..วูบวูบวะหวิว
ริ้วริ้วระงับดับไป
แสงหรี่ระลิบระไร.วอมวอมไวไว
ดับไส้แสงเทียนเวียนวูบ
23 ตุลาคม 2548 12:12 น.
ธรรมาภิวัฏ
ในคืนหนาวคราวฟ้าประสาหม่น
ในคืนข้นอารมณ์ที่หมองหมาง
หลากริ้วรอยร้างรักจักจืดจาง
จากฟ้าสางสายหมอกมาหลอกลวง
ก็ยากแค้นแสนเข็ญระกำจิต
เพราะด่ำพิษอื่มอาประสาหวง
หากทิ่มแทงยอกเจ็บให้เหน็บทรวง
จะวายดวงวอดเว้นทุกเย็นเช้า
ตะก่อนนี้เคยมีฤดีเดี่ยว
กับทางเปลี่ยวเหลียวหลงพะวงเศร้า
กลับผลันพริบหนิบแนบมาแอบเนาว์
ให้ใจเราหวั่นวกอกระกำ
คำหนอ.. คำลวงเจ้าดวงดอก
ให้ผ่างพิษผิดบอกหลอกขันขำ
คงตกตายตะกองกอนทอดถอนซ้ำ
ให้โศกส่ำเศร้าสร้อยพลอยน้ำตา
เพราะนอนหนาวอกเอยเจ้าเคยครวญ
จากลมหวลละห้อยไห้ในใบหน้า
จากทางรินไหลไหลในสายตา
จากน้ำตาเหน็บหนาวคราวเลื่อนลอย
คอยเอ๋ยคอยคืนวันมาหวั่นอก
จะตายตกร่วงมาอยู่ผ็อยผล็อย
ใจดวงนิดจิตหวลชวนละห้อย
จะเลื่อนลอยคอยทางกระจางจาย
ฟายฟื้นตื่นเย็นไม่เห็นหน้า
จนเช้าสายบ่ายมาไม่พาหาย
จะเดินได้อย่างไรใจเปลี่ยวดาย
คงจะฟายน้ำตาทาเป็นทาง
อย่าหมางเลยอกรู้อยู่เพียงหลง
ก็ทางดงหลงเถื่อนในเดือนร้าง
แสงคงมืดจืดใจให้หลงทาง
คงวกว้างร้างรอยคอยดวงดาว
เจ้าผีเสื้อเศร้าสร้อยละห้อยหา
คอยดอกไม้วันเวลาในคืนหนาว
คงหล่นกลีบกระจายจางเป็นทางกราว
ก็คอยเช้าคอยเย็นไม่เห็นเคย
เดือนจะลับแลโพ้นอยู่โผนพลบ
จะหลงหลบสบเร้นเพียงเห็นเฉย
เมฆเหลี่ยมบดลับแล้วไม่แคล้วเคย
คงลอยเลยเลื่อนอยู่ดูจางจาง
ทางเอ๋ยทางทางเปลี่ยวเสียวระส่ำ
ให้ชอกช้ำหมองคล้ำอยู่หมางหมาง
อกจะแตกแยกริ้วในทิ้วทาง
เพราะพลัดห่างสายใยใจอาวรณ์
คำคิดถึงจากผีเสื้อ
คงไม่เหลือกลิ่นรักสลักถอน
กลีบเจ้ากล่นเกลื่อนแล้วจากแนวนอน
คงหลับลึกดึกดอนนอนน้ำตา
8 ตุลาคม 2548 09:51 น.
ธรรมาภิวัฏ
๑ อยากอยู่ใกล้คอยให้กำลังใจ
อยากจับมืออุ่นไอในความหวัง
อยากโอบกอดปลอบโยนเติมพลัง
อยากเคียงนั่งแนบข้างนางในใจ..
๒ บุสบกเรียมเจ้าอย่าสะอื้น
ละห้อยหื่นฝืนคร่ำระครวญใคร่
เพราะรักนิดจิตละห้อยกลอยหทัย
พี่บ่ไกลเพียงห่างตัวชั่วห่างจินต์
๓ จะแดนไหนเมืองแมนหรือแสนฟ้า
ถึงฟากกั้นฝันทิวาหาจะสิ้น
จะกู่ก้องป้องตะโกนโพ้นแผ่นดิน
ล้ำเสิบถิ่นดินสะเทือนเลื่อนสะท้าน
๔ เขาวิเวกหรือแว่วแว่ววิเวก
ให้โยกเยกโยเยละเหหาญ
จะโอนเอนออบน้อมค้อมตะลาน
กราบกะกรานรักเสียงสะเนียงครวญ..
๕ ครวญขลุ่ยครวญเคียงผิวหวิววิเวก
เอกขเนกเสกสิแผ่วแว่วว่าหวล
โอ้อกเอยเคยสนิทรจิตระจวญ
เจ้าลำดวลอย่าด่วนเฉาเหงาดอกดวง
๖ ก็แสนรัก ก็แสนห่วง ก็แสน..
อกพี่แร้นแค้นค่อนค่อนดั่งขอนหน่วง
เจ้าจากจรดอนดอกจานบานจะพวง
จนผ็อยร่วงกล่นกลีบจานบานตะเกิง
๗ ก่อนเย้าหยอกดอกเหน็บมาทัดเทียบ
ใต้จานเสียบส่างทัดถนัดเถิง
เจ้าแย้มยิ้มปริ่มละไมชม้อยเมิง
ชายชะเชิงชิงสะอ้อยคล้อยพนอ..
๘ ละออเอยละออเจ้าเถิดเนาว์บ้าน
มาสู่ชานลานจานบานหล่าหนอ
หล่าเอ๋ย.. อีหล่าน้อง บ้านยังรอ
สิคึดฮอดกันบ่หนอสิว้อวอน
๙ จะเจ็บไข้หรือกระไรสบายอยู่
อยากจะรู้สุขทุกข์เย็นหรือเข็ญร้อน
เบี้ยจะพอหยิบจับจ่ายไหมบังอร
จะไหว้วอนใครผ่อนช่วยด้วยเข็ญเคือง..
๑๐ รักพี่เอยรำเพยพร่ำเจ้าลมล่อง
ให้เจ้าพ้องผิวพรูอยู่เครือเคื้อง
ลอยละลมชมสะอองต้องเนืองเนือง
คอยประเทืองผิวกระซิบกำซาบซา..
๑๑ มาเถิดมาฟ้าสางที่ทางนั้น
เพราะทอฝันใกล้ใกล้กันวันอุตส่าห์
พี่จะคอยเจ้าดาวน้อยที่ปลายนา
มาเถิดมาดอกจานยังบานรอ..
-----------------------------------------------------