7 ธันวาคม 2547 23:43 น.
ธรรณกับวุ้นเส้น
ณ บ้านเสงียว อำเภอเมืองหนองคาย ได้มีข่าวครึกโครมเขย่าขวัญผู้คนทั้งบางว่าครอบครัวเจ้าของโรงงานน้ำดื่มได้โดนฆ่าชิงทรัพย์เสียชีวิตลงอย่างอนาถ มีพ่อ แม่ ลูกสาว (ชื่อ แหม่ม) แล้วก็ลูกชายหนุ่มที่ขอมาเลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะ ศพทั้งหมดได้โดนคนร้ายหั่นเป็นชิ้นๆแล้วถ่วงแม่น้ำโขง บางชิ้นส่วนของศพลอยไปเกยตลิ่งที่โคนหญ้าอ้อยหนู บางชิ้นส่วนลอยไปตามกระแสน้ำหาไม่เจอเลย ทำให้ชาวบ้านระแวกนั้นหวาดกลัวทั้งผีทั้งคนร้าย ตำรวจกำลังสืบหาร่องรอยของฆาตกรเลือดเย็น ซึ่งตำรวจสัญนิฐานว่าฆาตกรคงจะมีมากกว่าหนึ่ง
กานร์เป็นคู่รักของลูกสาวเจ้าของโรงงานผลิตน้ำดื่ม หลังจากแฟนสาวของกานร์ (หนุ่มหน้าตาดี) และครอบครัวตายได้ไม่กี่วัน กานร์เสียใจมากจึงได้ตัดสิ้นใจย้ายถิ่นฐานมาบวชอยู่ที่หมู่บ้านเกวียนหัก อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ซึ่งที่นั้นกานร์ก็มีญาติทางแม่(น้าหญิง)ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยจัดหาที่พักให้กานร์ก่อนจะบวชเป็นพระ น้าหญิงของกานร์มีกิจการค้าไม้ในตัวอำเภอซึ่งก็ทำรายได้ดีพอสมควรในแต่ล่ะเดือน นานๆทีน้าถึงจะไปวัดทำบุญแล้วก็แวะเยี่ยมเยียนทักทายพระกานร์เพราะน้าหญิงก็มัวแต่ยุ่งๆกับงาน
หมู่บ้านเกวียนหักเป็นหมูบ้านที่มีประชากรแค่ 38 หลังคาเรือน ถือว่าเป็นบ้านเล็กๆหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านแถวนั้นจะทำสวนผลไม้เป็นอาชีพหลัก ทุกฤดูก็จะมีผลไม้ของฤดูนั้นผลิดอกออกใบ ชาวบ้านจะไม่ค่อยได้คบค้าสมาคมกันเพราะต้องทำงานที่สวนใครสวนมัน นานๆถึงจะมีงานทำบุญที่วัดหนหนึ่งซึ่งชาวบ้านก็จะพากันมารวมตัวทำบุญที่วัด วัดเกวียนหักเป็นวัดที่มีพระอยู่สองรูป (ร่วมทั้งพระกานร์) แล้วก็มีสามเณรน้อยอยู่อีกสองรูป กานร์ได้บวชเป็นพระและได้อยู่อย่างสงบสุขใต้ร่มผ้าเหลืองของพระมาเป็นเวลาหกพรรษา ในระยะหกปีมานี้เจ้าอาวาสซึ่งอายุห้าสิบสามปีก็ได้มรณะภาพลงด้วยโรคหลับไม่ตื่น ทำให้พระกานร์ได้กลายเป็นเจ้าอาวาสโดยชอบธรรม
ชาวบ้านรู้เรื่องการสูญเสียที่เจ็บปวดของความรักของพระกานร์ก่อนมาบวชเป็นพระ บางคืนชาวบ้านบางคนเดินผ่านไปวัดก็จะเห็นพระกานร์นั่งอยู่ในมุมมืดคนเดียวเหมือนกับรออะไรหรือใครบางคน บ่อยครั้งชาวบ้านจะเห็นเงาผู้หญิงผมยาวแต่งชุดดำเดินในความมืดในบริเวณกุฏิของพระกานร์ บางคืนก็จะเห็นเงาสลัวๆของรูปร่างผู้ชายหนุ่มแต่งชุดดำเดินออกไปจากบริเวณวัด ชาวบ้านแถวนั้นกลัวขนลุกขนชันกันเป็นแถวๆ ชาวบ้านบางคนก็กลัวจนไม่กล้าออกไปเดินดึกๆคนเดียว แล้วก็ไม่กล้าเดินผ่านบริเวณวัดเลย
ด้วยความกลัวและสงสัย สีกาแก่คนหนึ่งไปถวายเพลที่วัด หลังจากพระฉันเพลเสร็จแล้ว แกก็ได้ถามพระกานร์ขึ้นว่า "ท่านเคยเห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดดำ หรือว่าผู้ชายหนุ่มใส่ชุดดำเดินดึกๆในบริเวณวัดบ้างไหมเจ้าค่ะ" พระกานร์ก็ตอบเป็นปริศนาว่า "สรรพสิ่งในโลกนี้ถึงตายไปแล้วจะไม่มีตัวตนแล้วก็ตาม จิตวิญญาณยังคงอยู่สืบต่อไป" ชาวบ้านที่ได้ยินคำพูดของพระกานร์ต่างก็เข้าใจในปริศนานั้น แล้วก็กลัวหนักยิ่งกว่าเดิมพอตกดึกมา
ชาวบ้านหวาดผวามากจน พระกานร์ได้แนะนำให้ทุกคนมาร่วมใจทำอะไรเพื่อให้ชาวบ้านได้อยู่เย็นเป็นสุข พระกานร์บอกกับทุกคนว่าท่านได้สนทนากับวิญญานชายหญิงที่ว่านี้บ่อยๆวิญญาณไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งถึงได้มาเดินเพ่นพ่านให้คนเห็นตอนดึกๆ ถ้าหมู่บ้านไหนอันเชิญวิญญาณมาสิงสถิตย์เป็นที่เป็นทาง หมู่บ้านนั้นก็จะมีความเจริญมั่งคั่ง ชาวบ้านจึงพากันทำสุสานให้วิญญาณหญิงชายคู่นี้ที่บริเวณวัดเพื่อที่จะไม่ให้พวกเค้าได้มีที่อยู่อาศัยและไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นอีกต่อไป บางคนเคารพมากจะนำข้าวของอาหารมาถวาย บางคนก็ขอหวยเพื่อตนจะได้ร่ำรวย บางคนก็มาบนเวลาของหายหรือว่าอยากได้อะไรตามที่ต้องการ สุสานนั้นกลายมาเป็นสุสานวิญญาณคู่หมู่บ้านเกวียนหัก
หญิงสาวหน้าตาสวยน่ารักคนหนึ่ง (ชื่อ หน่อย) ซึ่งเป็นลูกสาวคนร่ำรวยได้ย้ายหนีพ่อแม่จากกรุงเทพได้เกือบห้าปีแล้วมาอยู่คนเดียวเพราะไม่อยากแต่งงานกับลูกชายของเพื่อนรักพ่อแม่ซึ่งพ่อแม่จัดหาให้ เธอปลูกบ้านสองชั้นอยู่ติดวัดแต่ไม่เคยไปเหยียบวัดเลย ยิ่งจะให้ไปเชื่อเรื่องสุสานวิญญาณด้วยแล้วเธอยิ่งไปกันใหญ่ เธอเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยสุงสิงกับชาวบ้านคนอื่น แต่เธอก็ได้รู้จักคุ้นเคยกับลูกสาวเจ้าของกิจการค้าไม้ที่ชื่อว่า บีม เพราะอยู่ในวัยเดียวกัน (ลูกสาวของน้าพระกานร์) ทั้งสองสนิทสนมกันมากจนหน่อยได้เล่าเรื่องตัวเองและเรื่องครอบครัวทั้งหมดให้กับบีมฟัง
อยู่ๆวันหนึ่งหน่อยก็ท้องขึ้นมาทั้งๆที่หน่อยก็ไม่มีสามีหรือแฟนเลย หน่อยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันใครเลย ไม่มีเพื่อนด้วยซ้ำ มีแต่บีมคนเดียวที่เป็นเพื่อน จากที่เคยเล่าเรื่องตัวเองให้บีมฟังบ่อยๆหน่อยก็เริ่มเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว บีมถามว่าหน่อยท้องกับใคร หน่อยก็บอกว่าไม่รู้ หน่อยไม่ได้นอนกับผู้ชายคนไหนเลย จนชาวบ้านชาวช่องสงสัยว่าทำไมหน่อยถึงท้องได้ แต่ทุกคนก็มีความเห็นตรงกันว่าเพราะหน่อยไม่เชื่อเรื่องวิญญาณคู่ชายหญิงนั้น ไม่ยอมไปสักการะบูชาสุสานวิญาณคู่บ้าน ท่านจึงได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นเป็นการลงโทษ
หน่อยท้องได้หกเดือนแล้ว ชาวบ้านต่างก็อยากรู้อยากเห็นว่าหน้าตาของเด็กจะเกิดมาเป็นยังไง จะหน้าเหมือนผีหรือคน หน่อยทนอายชาวบ้านไม่ไหวจึงได้ประกาศขายบ้านพร้อมที่ดินเพื่อจะได้ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ซึ่งที่ไม่มีคนรู้จักตน เพื่อให้ไม่อับอายขายขี้หน้าต่อไป หลายคนมาติดต่อจะซื้อบ้านแต่ตกลงราคาไม่ได้ คนมาซื้อก็อยากกดราคาเพราะรู้ว่าหน่อยต้องการจะหนีจากหมู่บ้านเกวียนหักให้พ้นๆ หน่อยจึงไม่ได้ขายสักที และแล้วก็มีชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งมีที่ดินติดกับที่ของหน่อยอยู่แล้วก็ได้มาเสนอราคาที่หน่อยพอจะขายได้ หน่อยจึงย้ายออกจากหมู่บ้านนั้นไป แล้วทุกคนก็ไม่มีข่าวคาวของหน่อยอีกเลย
สองวันต่อมา พระกานร์เห็นว่าตนบวชมานานแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังมีกิเลสจิตใจก็ไม่สงบอยู่ดี พระกานร์จึงไปบอกเรื่องราวที่จะสึกให้น้าหญิงฟัง น้าหญิงก็ไม่ว่าอะไรตามใจพระกานร์ว่าเห็นสมควรสิ่งใดก็ทำไป พระกานร์กำหนดจะสึกภายในหนึ่งเดือน ชาวบ้านต่างพากันอาลัยอาวรว่าคนดีๆมีแต่โปรดสัตว์ต้องมาจากบ้านเกวียนหักไป ชาวบ้านก็อดใจหายไม่ได้ แต่ไม่มีใครห้ามพระกานร์ไม่ให้สึกได้เพราะนั่นเป็นความประสงค์ของท่าน
อีกสองอาทิตย์ต่อมา สารวัตรธีรพงษ์ ได้นำกำลังตำรวจอีกสิบสองนายมาล้อมพี่กุฏิพระกานร์ไว้ แล้วตำรวจอีกสี่นายก็บุกกุฏิพระกานร์ ค้นพบชุดดำหนึ่งชุดแล้วก็หมวกดำอีกหนึ่งใบซ่อนอยู่ใต้เตียงของพระกานร์ ตำรวจจับพระกานร์ใส่กุญแจมือ ชาวบ้านต่างฮือฮากันเป็นแถวๆว่าทำไหมตำรวจต้องทำแบบนั้น พระกานร์เป็นคนดีมีศีลธรรมไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครเลย ท่านมาอยู่บ้านเกวียนหักก็มีแต่คนเคารพนับถือ ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครเลย ชาวบ้านต่างพูดจาเป็นเสียงเดียวกันว่าตำรวจจับผิดคนแล้ว ตำรวจขับรถพาพระกานร์ไปสอบสวนที่โรงพักข้อหาคดีฆาตกรรมและก็ทำผิดวินัยสงฆ์
ในโรงพัก นางสาว แหม่ม หรือ หน่อย (ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เพื่อปลอมตัวเป็นคนอื่น) เป็นลูกสาวเจ้าของโรงงานน้ำดื่มที่จังหวัดหนองคาย ที่ทุกคนคิดว่าได้ตายไปแล้ว ได้นั่งเศร้าอยู่ในคุกเป็นห้องขังเดียว เพราะตอน แหม่ม หรือ หน่อย ได้ขายบ้าน ขับรถออกไปตามถนนพหลโยธินหวังว่าจะไปตั้งถิ่นฐานที่ใหม่ บังเอิญรถได้เกิดอุบัติเหตุชนเด็กที่กำลังจะข้ามถนนพอดี เด็กได้เสียชีวิตคาที่ แล้วแหม่มก็พยายามจะขับรถหนี โชคไม่ช่วยแหม่มอีกต่อไป คนที่เห็นเห็นการณ์จับแหม่มส่งตำรวจ
พอตำรวจค้นประวัติแหม่มจริงๆ ก็ได้ทราบว่าแหม่ม ได้แจ้งตายไปหลายปีที่แล้วเพราะโดนฆ่าหั่นศพพร้อมกับคนในครอบครัวคนอื่น แต่แท้ที่จริงแหม่มยังมีชีวิตอยู่ ตำรวจที่ สถานีอำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ได้ติดต่อกับตำรวจ สถานีตำรวจที่จังหวัดหนองคาย และสุดท้าย แหม่มก็ยอมรับว่าตนได้ร่วมมือกับแฟนหนุ่มที่ชื่อกานร์วางแผนฆ่าพ่อแม่และน้องชายของเธอเอง เพื่อที่จะได้เอาเงินทั้งหมดเป็นจำนวน 13.2 ล้านบาทที่พ่อแม่เพิ่งจะขายกิจการให้กับนายทุนคนอื่นมาเป็นของตนคนเดียว ถ้าหากพ่อแม่เอาไปใช้หนี้และก็ไถ่บ้านที่จำนองไว้ก็จะเหลือเงินเพียง 2 ล้านกว่าบาทเท่านั้น แล้วกว่าจะเอามาใช้อยู่กินแต่ละวัน แล้วยังจะต้องแบ่งน้องชายที่ไม่ใช่สายเหลืดของตัวเองอีก แหม่มก็เลยคิดอุบายกับแฟนหนุ่มเพื่อจะได้เงินทั้งหมดมาครองโดยไม่ต้องไปใช้หนี้เลย
แหม่มสารภาพว่า วันที่พ่อแม่ขายเส็งกิจการให้เจ้าของคนใหม่นั้น เค้าได้จ่ายเงินสด แล้วพ่อกับแม่ก็ให้แหม่มเอาเงินไปฝากธนาคาร เย็นนั้นแหม่มกลับมาบอกพ่อและแม่ว่าเงินได้อยู่ในบัญชีทั้งหมดแล้ว และในคืนเดียวกันกานร์ก็ได้มาบ้านแหม่มคนรักของตน กานร์ได้ร่วมทานอาหารค่ำกับครอบครัวคนรัก พอเที่ยงคืนทุกคนเข้านอนหมดแล้ว กานร์กับแหม่มก็ได้ลงมือทำตามแผนการที่วางไว้ กานร์ลงมือฆ่าพ่อ แม่ และ น้องชาย ของคนรักโดยใช้ปืนเก็บเสียง หลังจากนั้นก็กานร์กับแหม่มก็ช่วยกันหั่นศพแต่ละศพอยู่ที่ตรงพวกเค้านอนตายให้เหมือนกับว่าแหม่มก็ถูกตัดเป็นชิ้นส่วนด้วย แล้วก็นำชิ้นส่วนไปโยนลงแม่น้ำโขง ชึ่งไม่ไกลจากหลังบ้านนัก
หลังจากคืนนั้นแหม่มก็ได้เอาเงินใส่กระเป๋าสะพายไปหลบซ่อนอยู่ที่จังหวัดยะลาปีกว่าๆ จนกานร์ได้เขียนจดหมายไปบอกกับแหม่มที่ยะลาให้แหม่มย้ายมาอยู่ที่จันทบุรี แหม่มได้แกล้งสนิทสนมกับบีมเพื่อที่จะบอกเรื่องที่แหม่มกุขึ้นมาเกี่ยวกับตัวเองเพื่อไม่ให้ใครสงสัยตน แล้วแหม่มก็อยู่เงียบโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครเท่าไร แหม่มสารภาพต่อไปว่าได้ใส่ชุดดำลอบเข้าไปในวัดดึกๆเพื่อไม่ให้ใครมองเห็นตนเพื่อจะไปร่วมหลับนอนกับกานร์ บางครั้งกานร์ก็นุ่งชุดดำและใส่หมวก แอบออกมาหาตนที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัด พอนานวันเจ้าอาวาสเกิดรู้ความจริงว่ากานร์กับตนได้แอบลักลอบได้เสียกัน ดึกวันนั้นตอนเจ้าอาวาสนอนหลับสนิทแล้วกานร์ก็เลยจัดการย่องเข้าไปฆ่าเจ้าอาวาสโดยการเอาหมอนกดทับบนใบหน้าจนเจ้าอาวาสจนขาดใจตาย แล้วกานร์ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสแทน
ความสัมพันธ์ของกานร์กับแหม่มจึงได้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีเสี้ยนหนาม กานร์ได้รับความสะดวกสบายจากการเป็นพระ แล้วก็มีคนมากราบไหว้ทุกเช้าเย็น ทำอาหารให้กินแล้วก็ยังเอาเงินมาให้ใช้อีก จนกระทั้งแหม่มท้องขึ้นมาทำให้ชาวบ้านฮือฮา แหม่มกับกานร์จึงปรึกษากันว่าถึงเวลาที่จะต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่กินกันแบบสามีภรรยาเหมือนคนอื่นสักที แล้วอีกไม่นานลูกก็จะเกิดและกานร์ต้องการที่จะทำหน้าที่พ่อและสามีที่ดีของลูกของเมีย
แต่โชคไม่ยอมเข้าข้างคนชั่ว ก่อนที่ฝันของกานร์และแหม่มจะเป็นจริง เวรกรรมก็ตามทันพวกเค้าในชาตินี้ โดยไม่ต้องรอถึงชาติหน้า พวกเค้าทั้งสองคนถูกศาลพิพากษาประหารชีวิต แต่ต้องรอแหม่มคลอดลูกก่อน ซึ่งเป็นการชดใช้ความผิดที่พวกเค้าได้ก่อขึ้น
4 ธันวาคม 2547 07:55 น.
ธรรณกับวุ้นเส้น
หนูอายุสิบสองขวบเต็มแล้ว หนูย้อนคิดถึงอดีต หนูพอจะรู้เรื่องราวความเป็นไปในตอนสมัยหนูยังเด็ก หนูเด็กมากสามขวบจะย่างเข้าสี่ขวบเอง มาบัดนี้หนูรู้แล้วว่าพี่สาวหนูไปไหนแล้วใครเอาพี่สาวหนูไป
ตอนนั้นหนูจำได้ว่า เราเช่าบ้านหนูอยู่แถวสนามบินดอนเมือง เป็นบ้านหลังเล็กๆสองชั้นสองห้องนอน ชั้นล่างจะเป็นห้องรับแขก ห้องครัว ห้องน้ำ แล้วก็มีบันไดขึ้นไปยังชั้นสอง ชั้นบนจะมีสองห้องนอนแล้วก็ห้องน้ำอยู่ตรงกลางแต่อยู่อีกฝากหนึ่งของห้องนอนทั้งสอง พ่อหนูมีแท็กซี่ขับเป็นของตัวเองรับลูกค้าช่วงดึก แม่(เลี้ยง)ของหนูเป็นคนโอบอ้อมอารีขยันทำมาหากิน แม่ขายผลไม้อยู่แถวสถานีรถไปตรงข้ามกับสนามบิน หนูมีพี่สาวคนหนึ่ง(พี่เหมียว)เป็นลูกติดของแม่ก่อนมาแต่งงานกับพ่อหนู พี่สาวหนูอายุสี่ขวบกว่าๆเป็นคนหน้าตาดีน่ารักขาวอวบแต่ไม่ค่อยยิ้ม
วันเสาร์วันหนึ่งอากาศร้อนมากๆตั้งแต่เช้า หนูดูทีวีและก็เล่นตุ๊กตาที่แม่ซื้อให้ในวันเกิดครบสามปีของหนู และข้างๆหนูพี่สาวก็นั่งดูการ์ตูนญี่ปุ่นที่เล่นในทีวีในห้องนอนของเรา ทุกวัน พ่อจะส่งแม่ไปขายผลไม้แต่เช้าก่อนพ่อจะมานอนแล้วก็รับแม่กลับตอนเย็น พ่อหนูจะนอนตอนกลางวันแล้วเย็นๆหน่อยจะลุกมาอาบน้ำกินข้าวพักผ่อนนิดหน่อยแล้วก็ออกไปตระเวรขับแท็กซี่เพื่อรับผู้โดยสาร วันนี้พ่อตื่นเร็วเป็นพิเศษเพราะอากาศร้อนทำให้นอนไม่สบาย พ่อเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำ พออาบเสร็จพ่อจึงนึกได้ว่าลืมเอาผ้าเช็ดตัวไป พ่อเรียกให้พี่เหมียวเอาผ้าเช็ดตัวในห้องนอนพ่อมาให้ในห้องน้ำ
ทำไมพี่เหมียวไปนานเหลือเกินหนูยิ่งกลัวผีอยู่ด้วย? หนูได้ยินเสียงโครมครามในห้องน้ำ และก็เสียงพี่เหมียวร้องไห้เป็นพักๆ ด้วยความกลัวหนูก็เลยปิดโทรทัศน์แล้วก็นอนเอาผ้าห่มคลุมหัวเอาไว้ พ่อเคยบอกหนูกับพี่เหมียวว่าถ้าพ่อแม่ไม่อยู่บ้านถ้าได้ยินเสียงอะไรอย่าไปไหนให้อยู่ในห้องนอน อาจเป็นขโมยหรือคนไม่ดีจะมาทำร้ายเราก็ได้ หรือว่าขโมยกำลังเข้าบ้าน? หนูเอาผ้าห่มคลุมหัวจนเหงื่อโชกไปทั้งตัว หนูดักฟังเสียงขโมยอยู่นานจนเสียงนั้นหายไป
อีกสักพักหนูได้ยินเสียงพ่อพูดว่า "อย่าร้องไห้นะ อย่าบอกใคร ถ้าพูดพ่อจะตีให้เลือดออก" หนูดีใจที่ได้ยินเสียงพ่อ พ่อคงจัดการกับขโมยได้แล้ว อีกไม่กี่วินาทีหนูก็เห็นพี่เหมียวเดินเข้าห้องนอนของเราพร้อมใช้มือปราดน้ำตาแต่ไม่ได้ร้องออกเสียง พี่เหมียวคงเห็นขโมยที่เข้าบ้านเลยกลัวจนร้องไห้ พี่เหมียวก็เดินตรงมาที่เตียงแล้วก็นอนเอาผ้าห่มอีกผืนคลุมหัว หนูเห็นพี่ทำแบบนั้นด้วยความกลัวหนูก็เลยคลุมหัวต่อ
เย็นนั้นแม่กลับบ้านจากขายผลไม้แม่ก็ทำกับข้าว แม่ทำแกงจืดวุ้นเส้น แล้วก็ผัดหมูหน่อไม้ เราสี่คนพ่อแม่ลูกนั่งกินข้าวด้วยกัน แม่พูดขึ้นมาว่า "เงาะขายดีมากๆ เลยวันนี้ส่วนใหญ่คนจะซื้อขึ้นรถไฟกัน" พ่อกินข้าวเร็วไม่พูดไม่จาสงสัยหิวมาก พี่เหมียวกินสองสามคำก็หยุด แม่บอกพี่เหมียวให้กินอีกเพราะว่าเด็กๆต้องกินเยอะๆจะได้ตัวโตๆ หนูชอบแกงจืดวุ้นเส้นหนูเลยหม่ำข้าวสองจาน
เราปกติจะเปิดหน้าต่างนอนเพื่อรับลมให้อากาศในห้องเย็นขึ้น คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ดึกแล้วพี่เหมียวกับหนูนอนอยู่บนเตียงห่มผ้าคนล่ะผืนเช่นเคย แสงไฟสลัวจากถนนในซอยแล้วก็แสงดวงจันทร์ทำให้หนูมองเห็นในห้องเพียงสลัวๆ พี่เหมียวนอนคลุมโปงคงหลับสนิทแล้ว แต่หนูเพิ่งตื่นจากฝันร้าย หนูฝันเห็นผีตัวดำๆใหญ่ๆกำลังวิ่งไล่หนู หนูกลัวมาก หนูไม่กล้าขยับตัวหนูนอนคลุมโปงหันหน้าไปทางทีวีแต่ทำช่องลมในผ้าห่มเล็กน้อยพอให้มองออกไปนอกผ้าห่มได้แล้วก็หายใจสะดวกขึ้นมานิด หนูกลัวผีมาก
ดึกสงัดหนูยังนอนแข็งทื่ออยู่ท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อน ใจหนูเหม่อลอยคิดแต่เรื่องผี หนูกลัวผี ทันใดนั้น หนูก็เห็นร่างผู้ชายคนหนึ่งเป็นเงาในจอทีวีที่ไม่ได้เปิด เป็นคนไม่ใช่ผี แต่อีกใจหนูก็คิดว่าเป็นผีอยู่ดี ลักษณะรูปร่างนั้นเหมือนพ่อหนูเลย ใส่เสื้อยึดสีขาวเหมือนที่พ่อชอบใส่ด้วย แต่พ่อหนูไปทำงานนี่ คงเป็นผีแน่นอน หนูไม่กล้าขยับ ได้แต่นอนนิ่งๆสายตามองผ่านรูผ้าห่มเล็กๆที่ทำไว้ไปยังจอทีวี หนูมองแบบไม่คลาดสายตา
หนูเห็นผู้ชายคนนั้นก้มลงข้างเตียงตรงข้างพี่เหมียวแล้วก็หยิบหมอนขึ้นมากดทับที่หน้าพี่เหมียวแล้วก็ใช้เหล็กแหลมๆขนาดใหญ่กว่า ตะเกียบสี่เท่าทิ่มลงไปตรงที่ที่พี่เหมียวนอน มือหนึ่งกดหมอนไว้อีกมือหนึ่งก็ จับเหล็กแหลม ทิ่ม ทิ่ม ทิ่ม ตั้งหลายหน หนูกลัวมากแต่หนูก็ไม่กล้าส่งเสียง หนูก็มองเงาที่จอทีวีนั้นตลอดจนเงาผู้ชายคนนั้นเดินออกจากห้องไป
วันรุ่งขึ้น พี่เหมียวไม่ยอมตื่นไปเรียนพิเศษวันอาทิตย์ หนูเลยไปฟ้องแม่ว่าพี่เหมียวขี้เกียจไม่ยอมตื่นนอน แม่กำลังจัดของจะออกไปขายผลไม้กับพ่อพอดี พอหนูฟ้องเสร็จ แม่รีบขึ้นไปบนบ้าน หนูได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ อีกสักพักตำรวจหลายคนมาบ้านหนูเต็มเลย หนูกลัวตำรวจ พ่อเคยบอกว่าถ้าหนูกับพี่เหมียวเล่นกันเสียงดังหรือซนตำรวจก็จะมาบ้านแล้วก็จับพวกเราไปเข้าคุก หนูไม่พูดอะไรกับใครเลย หนูรู้ว่าพี่เหมียวซนตำรวจก็เลยจะมาจับพี่เหมียวไปเข้าคุกเพราะพี่เหมียวไม่ยอมตื่นไปโรงเรียน หนูร้องไห้ทั้งกลัวตำรวจทั้งกลัวจะไม่ได้เจอพี่เหมียวอีก
หลายวันต่อมาหนูถามพ่อกับแม่ว่า "พี่เหมียวไปไหน ทำไหมตำรวจใจร้ายไม่ยอมปล่อยพี่เหมียวมาบ้าน หนูคิดถึงพี่เหมียว" หนูร้องไห้คิดถึงพี่สาวทุกวัน หนูรักพี่เหมียว แต่หนูก็ไม่ได้ยินคำตอบจากทั้งพ่อและแม่ หนูสะอื้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า "หนูคงจะไม่ได้เจอพี่เหมียวอีกต่อไปแล้ว คนใจร้ายเอาพี่เหมียวไปจากหนูแล้ว"