7 ธันวาคม 2547 23:43 น.
ธรรณกับวุ้นเส้น
ณ บ้านเสงียว อำเภอเมืองหนองคาย ได้มีข่าวครึกโครมเขย่าขวัญผู้คนทั้งบางว่าครอบครัวเจ้าของโรงงานน้ำดื่มได้โดนฆ่าชิงทรัพย์เสียชีวิตลงอย่างอนาถ มีพ่อ แม่ ลูกสาว (ชื่อ แหม่ม) แล้วก็ลูกชายหนุ่มที่ขอมาเลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะ ศพทั้งหมดได้โดนคนร้ายหั่นเป็นชิ้นๆแล้วถ่วงแม่น้ำโขง บางชิ้นส่วนของศพลอยไปเกยตลิ่งที่โคนหญ้าอ้อยหนู บางชิ้นส่วนลอยไปตามกระแสน้ำหาไม่เจอเลย ทำให้ชาวบ้านระแวกนั้นหวาดกลัวทั้งผีทั้งคนร้าย ตำรวจกำลังสืบหาร่องรอยของฆาตกรเลือดเย็น ซึ่งตำรวจสัญนิฐานว่าฆาตกรคงจะมีมากกว่าหนึ่ง
กานร์เป็นคู่รักของลูกสาวเจ้าของโรงงานผลิตน้ำดื่ม หลังจากแฟนสาวของกานร์ (หนุ่มหน้าตาดี) และครอบครัวตายได้ไม่กี่วัน กานร์เสียใจมากจึงได้ตัดสิ้นใจย้ายถิ่นฐานมาบวชอยู่ที่หมู่บ้านเกวียนหัก อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ซึ่งที่นั้นกานร์ก็มีญาติทางแม่(น้าหญิง)ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยจัดหาที่พักให้กานร์ก่อนจะบวชเป็นพระ น้าหญิงของกานร์มีกิจการค้าไม้ในตัวอำเภอซึ่งก็ทำรายได้ดีพอสมควรในแต่ล่ะเดือน นานๆทีน้าถึงจะไปวัดทำบุญแล้วก็แวะเยี่ยมเยียนทักทายพระกานร์เพราะน้าหญิงก็มัวแต่ยุ่งๆกับงาน
หมู่บ้านเกวียนหักเป็นหมูบ้านที่มีประชากรแค่ 38 หลังคาเรือน ถือว่าเป็นบ้านเล็กๆหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านแถวนั้นจะทำสวนผลไม้เป็นอาชีพหลัก ทุกฤดูก็จะมีผลไม้ของฤดูนั้นผลิดอกออกใบ ชาวบ้านจะไม่ค่อยได้คบค้าสมาคมกันเพราะต้องทำงานที่สวนใครสวนมัน นานๆถึงจะมีงานทำบุญที่วัดหนหนึ่งซึ่งชาวบ้านก็จะพากันมารวมตัวทำบุญที่วัด วัดเกวียนหักเป็นวัดที่มีพระอยู่สองรูป (ร่วมทั้งพระกานร์) แล้วก็มีสามเณรน้อยอยู่อีกสองรูป กานร์ได้บวชเป็นพระและได้อยู่อย่างสงบสุขใต้ร่มผ้าเหลืองของพระมาเป็นเวลาหกพรรษา ในระยะหกปีมานี้เจ้าอาวาสซึ่งอายุห้าสิบสามปีก็ได้มรณะภาพลงด้วยโรคหลับไม่ตื่น ทำให้พระกานร์ได้กลายเป็นเจ้าอาวาสโดยชอบธรรม
ชาวบ้านรู้เรื่องการสูญเสียที่เจ็บปวดของความรักของพระกานร์ก่อนมาบวชเป็นพระ บางคืนชาวบ้านบางคนเดินผ่านไปวัดก็จะเห็นพระกานร์นั่งอยู่ในมุมมืดคนเดียวเหมือนกับรออะไรหรือใครบางคน บ่อยครั้งชาวบ้านจะเห็นเงาผู้หญิงผมยาวแต่งชุดดำเดินในความมืดในบริเวณกุฏิของพระกานร์ บางคืนก็จะเห็นเงาสลัวๆของรูปร่างผู้ชายหนุ่มแต่งชุดดำเดินออกไปจากบริเวณวัด ชาวบ้านแถวนั้นกลัวขนลุกขนชันกันเป็นแถวๆ ชาวบ้านบางคนก็กลัวจนไม่กล้าออกไปเดินดึกๆคนเดียว แล้วก็ไม่กล้าเดินผ่านบริเวณวัดเลย
ด้วยความกลัวและสงสัย สีกาแก่คนหนึ่งไปถวายเพลที่วัด หลังจากพระฉันเพลเสร็จแล้ว แกก็ได้ถามพระกานร์ขึ้นว่า "ท่านเคยเห็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดดำ หรือว่าผู้ชายหนุ่มใส่ชุดดำเดินดึกๆในบริเวณวัดบ้างไหมเจ้าค่ะ" พระกานร์ก็ตอบเป็นปริศนาว่า "สรรพสิ่งในโลกนี้ถึงตายไปแล้วจะไม่มีตัวตนแล้วก็ตาม จิตวิญญาณยังคงอยู่สืบต่อไป" ชาวบ้านที่ได้ยินคำพูดของพระกานร์ต่างก็เข้าใจในปริศนานั้น แล้วก็กลัวหนักยิ่งกว่าเดิมพอตกดึกมา
ชาวบ้านหวาดผวามากจน พระกานร์ได้แนะนำให้ทุกคนมาร่วมใจทำอะไรเพื่อให้ชาวบ้านได้อยู่เย็นเป็นสุข พระกานร์บอกกับทุกคนว่าท่านได้สนทนากับวิญญานชายหญิงที่ว่านี้บ่อยๆวิญญาณไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งถึงได้มาเดินเพ่นพ่านให้คนเห็นตอนดึกๆ ถ้าหมู่บ้านไหนอันเชิญวิญญาณมาสิงสถิตย์เป็นที่เป็นทาง หมู่บ้านนั้นก็จะมีความเจริญมั่งคั่ง ชาวบ้านจึงพากันทำสุสานให้วิญญาณหญิงชายคู่นี้ที่บริเวณวัดเพื่อที่จะไม่ให้พวกเค้าได้มีที่อยู่อาศัยและไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นอีกต่อไป บางคนเคารพมากจะนำข้าวของอาหารมาถวาย บางคนก็ขอหวยเพื่อตนจะได้ร่ำรวย บางคนก็มาบนเวลาของหายหรือว่าอยากได้อะไรตามที่ต้องการ สุสานนั้นกลายมาเป็นสุสานวิญญาณคู่หมู่บ้านเกวียนหัก
หญิงสาวหน้าตาสวยน่ารักคนหนึ่ง (ชื่อ หน่อย) ซึ่งเป็นลูกสาวคนร่ำรวยได้ย้ายหนีพ่อแม่จากกรุงเทพได้เกือบห้าปีแล้วมาอยู่คนเดียวเพราะไม่อยากแต่งงานกับลูกชายของเพื่อนรักพ่อแม่ซึ่งพ่อแม่จัดหาให้ เธอปลูกบ้านสองชั้นอยู่ติดวัดแต่ไม่เคยไปเหยียบวัดเลย ยิ่งจะให้ไปเชื่อเรื่องสุสานวิญญาณด้วยแล้วเธอยิ่งไปกันใหญ่ เธอเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยสุงสิงกับชาวบ้านคนอื่น แต่เธอก็ได้รู้จักคุ้นเคยกับลูกสาวเจ้าของกิจการค้าไม้ที่ชื่อว่า บีม เพราะอยู่ในวัยเดียวกัน (ลูกสาวของน้าพระกานร์) ทั้งสองสนิทสนมกันมากจนหน่อยได้เล่าเรื่องตัวเองและเรื่องครอบครัวทั้งหมดให้กับบีมฟัง
อยู่ๆวันหนึ่งหน่อยก็ท้องขึ้นมาทั้งๆที่หน่อยก็ไม่มีสามีหรือแฟนเลย หน่อยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันใครเลย ไม่มีเพื่อนด้วยซ้ำ มีแต่บีมคนเดียวที่เป็นเพื่อน จากที่เคยเล่าเรื่องตัวเองให้บีมฟังบ่อยๆหน่อยก็เริ่มเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว บีมถามว่าหน่อยท้องกับใคร หน่อยก็บอกว่าไม่รู้ หน่อยไม่ได้นอนกับผู้ชายคนไหนเลย จนชาวบ้านชาวช่องสงสัยว่าทำไมหน่อยถึงท้องได้ แต่ทุกคนก็มีความเห็นตรงกันว่าเพราะหน่อยไม่เชื่อเรื่องวิญญาณคู่ชายหญิงนั้น ไม่ยอมไปสักการะบูชาสุสานวิญาณคู่บ้าน ท่านจึงได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นเป็นการลงโทษ
หน่อยท้องได้หกเดือนแล้ว ชาวบ้านต่างก็อยากรู้อยากเห็นว่าหน้าตาของเด็กจะเกิดมาเป็นยังไง จะหน้าเหมือนผีหรือคน หน่อยทนอายชาวบ้านไม่ไหวจึงได้ประกาศขายบ้านพร้อมที่ดินเพื่อจะได้ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ซึ่งที่ไม่มีคนรู้จักตน เพื่อให้ไม่อับอายขายขี้หน้าต่อไป หลายคนมาติดต่อจะซื้อบ้านแต่ตกลงราคาไม่ได้ คนมาซื้อก็อยากกดราคาเพราะรู้ว่าหน่อยต้องการจะหนีจากหมู่บ้านเกวียนหักให้พ้นๆ หน่อยจึงไม่ได้ขายสักที และแล้วก็มีชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งมีที่ดินติดกับที่ของหน่อยอยู่แล้วก็ได้มาเสนอราคาที่หน่อยพอจะขายได้ หน่อยจึงย้ายออกจากหมู่บ้านนั้นไป แล้วทุกคนก็ไม่มีข่าวคาวของหน่อยอีกเลย
สองวันต่อมา พระกานร์เห็นว่าตนบวชมานานแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังมีกิเลสจิตใจก็ไม่สงบอยู่ดี พระกานร์จึงไปบอกเรื่องราวที่จะสึกให้น้าหญิงฟัง น้าหญิงก็ไม่ว่าอะไรตามใจพระกานร์ว่าเห็นสมควรสิ่งใดก็ทำไป พระกานร์กำหนดจะสึกภายในหนึ่งเดือน ชาวบ้านต่างพากันอาลัยอาวรว่าคนดีๆมีแต่โปรดสัตว์ต้องมาจากบ้านเกวียนหักไป ชาวบ้านก็อดใจหายไม่ได้ แต่ไม่มีใครห้ามพระกานร์ไม่ให้สึกได้เพราะนั่นเป็นความประสงค์ของท่าน
อีกสองอาทิตย์ต่อมา สารวัตรธีรพงษ์ ได้นำกำลังตำรวจอีกสิบสองนายมาล้อมพี่กุฏิพระกานร์ไว้ แล้วตำรวจอีกสี่นายก็บุกกุฏิพระกานร์ ค้นพบชุดดำหนึ่งชุดแล้วก็หมวกดำอีกหนึ่งใบซ่อนอยู่ใต้เตียงของพระกานร์ ตำรวจจับพระกานร์ใส่กุญแจมือ ชาวบ้านต่างฮือฮากันเป็นแถวๆว่าทำไหมตำรวจต้องทำแบบนั้น พระกานร์เป็นคนดีมีศีลธรรมไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครเลย ท่านมาอยู่บ้านเกวียนหักก็มีแต่คนเคารพนับถือ ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครเลย ชาวบ้านต่างพูดจาเป็นเสียงเดียวกันว่าตำรวจจับผิดคนแล้ว ตำรวจขับรถพาพระกานร์ไปสอบสวนที่โรงพักข้อหาคดีฆาตกรรมและก็ทำผิดวินัยสงฆ์
ในโรงพัก นางสาว แหม่ม หรือ หน่อย (ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เพื่อปลอมตัวเป็นคนอื่น) เป็นลูกสาวเจ้าของโรงงานน้ำดื่มที่จังหวัดหนองคาย ที่ทุกคนคิดว่าได้ตายไปแล้ว ได้นั่งเศร้าอยู่ในคุกเป็นห้องขังเดียว เพราะตอน แหม่ม หรือ หน่อย ได้ขายบ้าน ขับรถออกไปตามถนนพหลโยธินหวังว่าจะไปตั้งถิ่นฐานที่ใหม่ บังเอิญรถได้เกิดอุบัติเหตุชนเด็กที่กำลังจะข้ามถนนพอดี เด็กได้เสียชีวิตคาที่ แล้วแหม่มก็พยายามจะขับรถหนี โชคไม่ช่วยแหม่มอีกต่อไป คนที่เห็นเห็นการณ์จับแหม่มส่งตำรวจ
พอตำรวจค้นประวัติแหม่มจริงๆ ก็ได้ทราบว่าแหม่ม ได้แจ้งตายไปหลายปีที่แล้วเพราะโดนฆ่าหั่นศพพร้อมกับคนในครอบครัวคนอื่น แต่แท้ที่จริงแหม่มยังมีชีวิตอยู่ ตำรวจที่ สถานีอำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ได้ติดต่อกับตำรวจ สถานีตำรวจที่จังหวัดหนองคาย และสุดท้าย แหม่มก็ยอมรับว่าตนได้ร่วมมือกับแฟนหนุ่มที่ชื่อกานร์วางแผนฆ่าพ่อแม่และน้องชายของเธอเอง เพื่อที่จะได้เอาเงินทั้งหมดเป็นจำนวน 13.2 ล้านบาทที่พ่อแม่เพิ่งจะขายกิจการให้กับนายทุนคนอื่นมาเป็นของตนคนเดียว ถ้าหากพ่อแม่เอาไปใช้หนี้และก็ไถ่บ้านที่จำนองไว้ก็จะเหลือเงินเพียง 2 ล้านกว่าบาทเท่านั้น แล้วกว่าจะเอามาใช้อยู่กินแต่ละวัน แล้วยังจะต้องแบ่งน้องชายที่ไม่ใช่สายเหลืดของตัวเองอีก แหม่มก็เลยคิดอุบายกับแฟนหนุ่มเพื่อจะได้เงินทั้งหมดมาครองโดยไม่ต้องไปใช้หนี้เลย
แหม่มสารภาพว่า วันที่พ่อแม่ขายเส็งกิจการให้เจ้าของคนใหม่นั้น เค้าได้จ่ายเงินสด แล้วพ่อกับแม่ก็ให้แหม่มเอาเงินไปฝากธนาคาร เย็นนั้นแหม่มกลับมาบอกพ่อและแม่ว่าเงินได้อยู่ในบัญชีทั้งหมดแล้ว และในคืนเดียวกันกานร์ก็ได้มาบ้านแหม่มคนรักของตน กานร์ได้ร่วมทานอาหารค่ำกับครอบครัวคนรัก พอเที่ยงคืนทุกคนเข้านอนหมดแล้ว กานร์กับแหม่มก็ได้ลงมือทำตามแผนการที่วางไว้ กานร์ลงมือฆ่าพ่อ แม่ และ น้องชาย ของคนรักโดยใช้ปืนเก็บเสียง หลังจากนั้นก็กานร์กับแหม่มก็ช่วยกันหั่นศพแต่ละศพอยู่ที่ตรงพวกเค้านอนตายให้เหมือนกับว่าแหม่มก็ถูกตัดเป็นชิ้นส่วนด้วย แล้วก็นำชิ้นส่วนไปโยนลงแม่น้ำโขง ชึ่งไม่ไกลจากหลังบ้านนัก
หลังจากคืนนั้นแหม่มก็ได้เอาเงินใส่กระเป๋าสะพายไปหลบซ่อนอยู่ที่จังหวัดยะลาปีกว่าๆ จนกานร์ได้เขียนจดหมายไปบอกกับแหม่มที่ยะลาให้แหม่มย้ายมาอยู่ที่จันทบุรี แหม่มได้แกล้งสนิทสนมกับบีมเพื่อที่จะบอกเรื่องที่แหม่มกุขึ้นมาเกี่ยวกับตัวเองเพื่อไม่ให้ใครสงสัยตน แล้วแหม่มก็อยู่เงียบโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครเท่าไร แหม่มสารภาพต่อไปว่าได้ใส่ชุดดำลอบเข้าไปในวัดดึกๆเพื่อไม่ให้ใครมองเห็นตนเพื่อจะไปร่วมหลับนอนกับกานร์ บางครั้งกานร์ก็นุ่งชุดดำและใส่หมวก แอบออกมาหาตนที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัด พอนานวันเจ้าอาวาสเกิดรู้ความจริงว่ากานร์กับตนได้แอบลักลอบได้เสียกัน ดึกวันนั้นตอนเจ้าอาวาสนอนหลับสนิทแล้วกานร์ก็เลยจัดการย่องเข้าไปฆ่าเจ้าอาวาสโดยการเอาหมอนกดทับบนใบหน้าจนเจ้าอาวาสจนขาดใจตาย แล้วกานร์ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสแทน
ความสัมพันธ์ของกานร์กับแหม่มจึงได้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีเสี้ยนหนาม กานร์ได้รับความสะดวกสบายจากการเป็นพระ แล้วก็มีคนมากราบไหว้ทุกเช้าเย็น ทำอาหารให้กินแล้วก็ยังเอาเงินมาให้ใช้อีก จนกระทั้งแหม่มท้องขึ้นมาทำให้ชาวบ้านฮือฮา แหม่มกับกานร์จึงปรึกษากันว่าถึงเวลาที่จะต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่กินกันแบบสามีภรรยาเหมือนคนอื่นสักที แล้วอีกไม่นานลูกก็จะเกิดและกานร์ต้องการที่จะทำหน้าที่พ่อและสามีที่ดีของลูกของเมีย
แต่โชคไม่ยอมเข้าข้างคนชั่ว ก่อนที่ฝันของกานร์และแหม่มจะเป็นจริง เวรกรรมก็ตามทันพวกเค้าในชาตินี้ โดยไม่ต้องรอถึงชาติหน้า พวกเค้าทั้งสองคนถูกศาลพิพากษาประหารชีวิต แต่ต้องรอแหม่มคลอดลูกก่อน ซึ่งเป็นการชดใช้ความผิดที่พวกเค้าได้ก่อขึ้น
4 ธันวาคม 2547 07:55 น.
ธรรณกับวุ้นเส้น
หนูอายุสิบสองขวบเต็มแล้ว หนูย้อนคิดถึงอดีต หนูพอจะรู้เรื่องราวความเป็นไปในตอนสมัยหนูยังเด็ก หนูเด็กมากสามขวบจะย่างเข้าสี่ขวบเอง มาบัดนี้หนูรู้แล้วว่าพี่สาวหนูไปไหนแล้วใครเอาพี่สาวหนูไป
ตอนนั้นหนูจำได้ว่า เราเช่าบ้านหนูอยู่แถวสนามบินดอนเมือง เป็นบ้านหลังเล็กๆสองชั้นสองห้องนอน ชั้นล่างจะเป็นห้องรับแขก ห้องครัว ห้องน้ำ แล้วก็มีบันไดขึ้นไปยังชั้นสอง ชั้นบนจะมีสองห้องนอนแล้วก็ห้องน้ำอยู่ตรงกลางแต่อยู่อีกฝากหนึ่งของห้องนอนทั้งสอง พ่อหนูมีแท็กซี่ขับเป็นของตัวเองรับลูกค้าช่วงดึก แม่(เลี้ยง)ของหนูเป็นคนโอบอ้อมอารีขยันทำมาหากิน แม่ขายผลไม้อยู่แถวสถานีรถไปตรงข้ามกับสนามบิน หนูมีพี่สาวคนหนึ่ง(พี่เหมียว)เป็นลูกติดของแม่ก่อนมาแต่งงานกับพ่อหนู พี่สาวหนูอายุสี่ขวบกว่าๆเป็นคนหน้าตาดีน่ารักขาวอวบแต่ไม่ค่อยยิ้ม
วันเสาร์วันหนึ่งอากาศร้อนมากๆตั้งแต่เช้า หนูดูทีวีและก็เล่นตุ๊กตาที่แม่ซื้อให้ในวันเกิดครบสามปีของหนู และข้างๆหนูพี่สาวก็นั่งดูการ์ตูนญี่ปุ่นที่เล่นในทีวีในห้องนอนของเรา ทุกวัน พ่อจะส่งแม่ไปขายผลไม้แต่เช้าก่อนพ่อจะมานอนแล้วก็รับแม่กลับตอนเย็น พ่อหนูจะนอนตอนกลางวันแล้วเย็นๆหน่อยจะลุกมาอาบน้ำกินข้าวพักผ่อนนิดหน่อยแล้วก็ออกไปตระเวรขับแท็กซี่เพื่อรับผู้โดยสาร วันนี้พ่อตื่นเร็วเป็นพิเศษเพราะอากาศร้อนทำให้นอนไม่สบาย พ่อเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำ พออาบเสร็จพ่อจึงนึกได้ว่าลืมเอาผ้าเช็ดตัวไป พ่อเรียกให้พี่เหมียวเอาผ้าเช็ดตัวในห้องนอนพ่อมาให้ในห้องน้ำ
ทำไมพี่เหมียวไปนานเหลือเกินหนูยิ่งกลัวผีอยู่ด้วย? หนูได้ยินเสียงโครมครามในห้องน้ำ และก็เสียงพี่เหมียวร้องไห้เป็นพักๆ ด้วยความกลัวหนูก็เลยปิดโทรทัศน์แล้วก็นอนเอาผ้าห่มคลุมหัวเอาไว้ พ่อเคยบอกหนูกับพี่เหมียวว่าถ้าพ่อแม่ไม่อยู่บ้านถ้าได้ยินเสียงอะไรอย่าไปไหนให้อยู่ในห้องนอน อาจเป็นขโมยหรือคนไม่ดีจะมาทำร้ายเราก็ได้ หรือว่าขโมยกำลังเข้าบ้าน? หนูเอาผ้าห่มคลุมหัวจนเหงื่อโชกไปทั้งตัว หนูดักฟังเสียงขโมยอยู่นานจนเสียงนั้นหายไป
อีกสักพักหนูได้ยินเสียงพ่อพูดว่า "อย่าร้องไห้นะ อย่าบอกใคร ถ้าพูดพ่อจะตีให้เลือดออก" หนูดีใจที่ได้ยินเสียงพ่อ พ่อคงจัดการกับขโมยได้แล้ว อีกไม่กี่วินาทีหนูก็เห็นพี่เหมียวเดินเข้าห้องนอนของเราพร้อมใช้มือปราดน้ำตาแต่ไม่ได้ร้องออกเสียง พี่เหมียวคงเห็นขโมยที่เข้าบ้านเลยกลัวจนร้องไห้ พี่เหมียวก็เดินตรงมาที่เตียงแล้วก็นอนเอาผ้าห่มอีกผืนคลุมหัว หนูเห็นพี่ทำแบบนั้นด้วยความกลัวหนูก็เลยคลุมหัวต่อ
เย็นนั้นแม่กลับบ้านจากขายผลไม้แม่ก็ทำกับข้าว แม่ทำแกงจืดวุ้นเส้น แล้วก็ผัดหมูหน่อไม้ เราสี่คนพ่อแม่ลูกนั่งกินข้าวด้วยกัน แม่พูดขึ้นมาว่า "เงาะขายดีมากๆ เลยวันนี้ส่วนใหญ่คนจะซื้อขึ้นรถไฟกัน" พ่อกินข้าวเร็วไม่พูดไม่จาสงสัยหิวมาก พี่เหมียวกินสองสามคำก็หยุด แม่บอกพี่เหมียวให้กินอีกเพราะว่าเด็กๆต้องกินเยอะๆจะได้ตัวโตๆ หนูชอบแกงจืดวุ้นเส้นหนูเลยหม่ำข้าวสองจาน
เราปกติจะเปิดหน้าต่างนอนเพื่อรับลมให้อากาศในห้องเย็นขึ้น คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ดึกแล้วพี่เหมียวกับหนูนอนอยู่บนเตียงห่มผ้าคนล่ะผืนเช่นเคย แสงไฟสลัวจากถนนในซอยแล้วก็แสงดวงจันทร์ทำให้หนูมองเห็นในห้องเพียงสลัวๆ พี่เหมียวนอนคลุมโปงคงหลับสนิทแล้ว แต่หนูเพิ่งตื่นจากฝันร้าย หนูฝันเห็นผีตัวดำๆใหญ่ๆกำลังวิ่งไล่หนู หนูกลัวมาก หนูไม่กล้าขยับตัวหนูนอนคลุมโปงหันหน้าไปทางทีวีแต่ทำช่องลมในผ้าห่มเล็กน้อยพอให้มองออกไปนอกผ้าห่มได้แล้วก็หายใจสะดวกขึ้นมานิด หนูกลัวผีมาก
ดึกสงัดหนูยังนอนแข็งทื่ออยู่ท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อน ใจหนูเหม่อลอยคิดแต่เรื่องผี หนูกลัวผี ทันใดนั้น หนูก็เห็นร่างผู้ชายคนหนึ่งเป็นเงาในจอทีวีที่ไม่ได้เปิด เป็นคนไม่ใช่ผี แต่อีกใจหนูก็คิดว่าเป็นผีอยู่ดี ลักษณะรูปร่างนั้นเหมือนพ่อหนูเลย ใส่เสื้อยึดสีขาวเหมือนที่พ่อชอบใส่ด้วย แต่พ่อหนูไปทำงานนี่ คงเป็นผีแน่นอน หนูไม่กล้าขยับ ได้แต่นอนนิ่งๆสายตามองผ่านรูผ้าห่มเล็กๆที่ทำไว้ไปยังจอทีวี หนูมองแบบไม่คลาดสายตา
หนูเห็นผู้ชายคนนั้นก้มลงข้างเตียงตรงข้างพี่เหมียวแล้วก็หยิบหมอนขึ้นมากดทับที่หน้าพี่เหมียวแล้วก็ใช้เหล็กแหลมๆขนาดใหญ่กว่า ตะเกียบสี่เท่าทิ่มลงไปตรงที่ที่พี่เหมียวนอน มือหนึ่งกดหมอนไว้อีกมือหนึ่งก็ จับเหล็กแหลม ทิ่ม ทิ่ม ทิ่ม ตั้งหลายหน หนูกลัวมากแต่หนูก็ไม่กล้าส่งเสียง หนูก็มองเงาที่จอทีวีนั้นตลอดจนเงาผู้ชายคนนั้นเดินออกจากห้องไป
วันรุ่งขึ้น พี่เหมียวไม่ยอมตื่นไปเรียนพิเศษวันอาทิตย์ หนูเลยไปฟ้องแม่ว่าพี่เหมียวขี้เกียจไม่ยอมตื่นนอน แม่กำลังจัดของจะออกไปขายผลไม้กับพ่อพอดี พอหนูฟ้องเสร็จ แม่รีบขึ้นไปบนบ้าน หนูได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ อีกสักพักตำรวจหลายคนมาบ้านหนูเต็มเลย หนูกลัวตำรวจ พ่อเคยบอกว่าถ้าหนูกับพี่เหมียวเล่นกันเสียงดังหรือซนตำรวจก็จะมาบ้านแล้วก็จับพวกเราไปเข้าคุก หนูไม่พูดอะไรกับใครเลย หนูรู้ว่าพี่เหมียวซนตำรวจก็เลยจะมาจับพี่เหมียวไปเข้าคุกเพราะพี่เหมียวไม่ยอมตื่นไปโรงเรียน หนูร้องไห้ทั้งกลัวตำรวจทั้งกลัวจะไม่ได้เจอพี่เหมียวอีก
หลายวันต่อมาหนูถามพ่อกับแม่ว่า "พี่เหมียวไปไหน ทำไหมตำรวจใจร้ายไม่ยอมปล่อยพี่เหมียวมาบ้าน หนูคิดถึงพี่เหมียว" หนูร้องไห้คิดถึงพี่สาวทุกวัน หนูรักพี่เหมียว แต่หนูก็ไม่ได้ยินคำตอบจากทั้งพ่อและแม่ หนูสะอื้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า "หนูคงจะไม่ได้เจอพี่เหมียวอีกต่อไปแล้ว คนใจร้ายเอาพี่เหมียวไปจากหนูแล้ว"
26 พฤศจิกายน 2547 15:18 น.
ธรรณกับวุ้นเส้น
และแล้วเราก็เจอกัน
"เค้ารักตัวเองนะ"
"เค้ารักตัวเองนะ"
"เค้ารักตัวเองนะ"
ผมพูดในโทรศัพท์แต่พูดไปเท่าไรน้องยุ้ยก็ไม่เชื่อเพราะว่าผมไม่กล้าที่จะพบหน้าเธอ เพราะผมละอายใจที่ไม่ได้บอกความจริงเรื่องตัวผมตั้งแต่แรก แล้วผมยังโกหกน้องเค้าไปด้วย มันรู้สึกกลัวรู้สึกอายยังไงไม่ทราบเวลาน้องบอกว่าจะมาพบผมที่สนามบิน ผมกลัวน้องจะทิ้งผมไปโดยไปเหลือเยื่อใยให้กันอีกเลย แต่อีกใจผมก็รู้ว่าสักวันหนึ่งก็คงต้องได้บอกน้องความจริงอยู่ดี ผมอยากเจอน้องใจจะขาดเหมือนกัน
หลานผมคนโตก็เริ่มกะจองอแงเพราะง่วงนอนจัด แล้วที่เก้าอี้ต่อกันที่สนามบินก็นอนไม่สบาย ส่วนหลานคนเล็กก็ยังร้องไห้อยากกลับหนองคายบ่นไม่อยากไปอยู่ที่อื่นเพราะติดยายกับแม่เค้ามาก ส่วนผมก็ไม่รู้จะทำไง ทั้งอยากพาหลานไปนอนโรงแรม ทั้งอยากปลอบใจหลานอีกคน ทั้งกลัวว่าน้องยุ้ยจะมาเจอผมแล้วก็หนีจากไปโดยที่ไม่ยอมคุยกัน ดึกมากแล้วผมไม่ยักกะง่วงนอนเลยทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้นอนมาทั้งวัน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมตกใจ แล้วรับโทรศัพท์น้องยุ้ยถามว่า "นั่งอยู่เก้าอีสีเขียวหรอ"
ผมมองรอบๆแล้วก็บอกว่า "สีส้ม อยู่หน้าไปรษณีย์ท่าอากาศยานกรุ่งเทพ"
น้องยุ้ยบอกในโทรศัพท์ว่า "ไม่เห็นมีเก้าอี้สีส้มเลย"
แล้วผมก็ได้ยินเสียงน้องถามพนักงานแถวนั้นว่า "ไปรษณีย์ท่าอากาศยานกรุ่งเทพอยู่ที่ไหนค่ะ"
ผมตกใจกลัวหนักกว่าเดิม ผมคิดในใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามผมก็ดีใจที่ได้รักน้องยุ้ยถึงว่าน้องยุ้ยจะรับผมไม่ได้ก็ตาม ผมจะไม่โทษคนอื่นนอกจากชะตาชีวิตของตัวผมเอง
หลานคนเล็กของผมร้องไห้ไม่ยอมหยุดบอกคิดถึงยาย ตา น้าดาว อยากกลับหนองคาย ผมก็กำลังปลอบใจหลานโดยบอกว่าเดียวพรุ่งนี้จะพากลับหนองคาย หลานคนโตตอนนี้นอนหลับเอาหัวมาพาดบนตักผมแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก ผมล่วงมือไปในกระเป๋าเสื้อยีนแจ๊คเก็ตแล้วดูเบอร์ว่าเป็นเบอร์องยุ้ย ผมกดรับ ทันได้นั้นหลานคนเล็กผมก็พูดขึ้นว่า "หน้ายุ่ย" ผมเหลือบมองขึ้นไปเห็นน้องยุ้ยยิ้มหวานแล้วก็กำลังเดินตรงมาทางเรา ผมแอบชมความสวยของเธอแล้วผมรีบปิดโทรศัพท์แล้วก็ก้มหน้าทันที
ผมระอายใจมากที่ทำไม่ดีกับน้องยุ้ยไว้ผมอาย ผมเขิน ผมกลัว ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนในชีวิต ผมก้มหน้าเอามือคลุมหน้าไว้ผมแอบบิดจมูกตัวเองดูสิว่าผมฝันไปไหม ผมดีใจยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งที่ได้เจอน้องยุ้ย แต่ผมก็เศร้าใจในขณะเดียวกันกลัวจะเป็นวันสุดท้ายของเรา ผมแก้อายโดยการต่อโทรศัพท์ไปหนองคายให้หลานคนเล็กผมพูด แล้วผมก็มองหน้าน้องยุ้ยเป็นพักๆแอบชมความงามของน้องเรื่อยๆอยู่ในใจตอนน้องยุ้ยยืนอยู่ตรงหน้าผม
เสียงน้องฟังแปลกๆกว่าเสียงที่เคยคุยกันในเน็ต เป็นเสียงอ่อนๆหวานๆออกมาจากรูจมูกมากกว่าปาก ผมไม่ค่อยพูด แต่น้องก็ถามผมเรื่อยๆว่าเป็นอะไร ผมได้แต่บอกว่าไม่เป็นอะไร (บื้อที่สุด) น้องจ้องผมโดยไม่กระพริบตา ผมยิ่งระอายใจมากขึ้นไปอีก ผมไม่กล้าสู้หน้าน้องเลยแม้แต่น้อย น้องบอกปวดท้องเป็นประจำเดือน แล้วก็นั่งลงตรงหน้าผมมองผมโดยไม่ให้คลาดสายตาอีก
เอาไว้ให้น้องยุ้ยเขียนต่อแล้วกัน รักนะ
ฉันไม่รู้ว่าทำไมเค้าต้องเศร้ามากขนาดนี้ด้วย การที่เรามาเจอกันมันทำให้เค้าเป็นเพียงนี้เชียวหรือ ฉันก็พอจะเดาออกว่าเหตุผลคืออะไร ฉันรู้สึกสงสารเค้า ที่เค้ารู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ การที่เราได้เจอกันฉันไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือคาดหวังกับสิ่งภายนอกว่าจะเป็นอย่างไรรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงฉันไม่เคยจินตนาการถึงมันเลย ฉันรู้อย่างเดียวว่าฉันรักพี่ทัฟ
พี่ทัฟนั่งบนเก้าอี้ฉันนั่งยองๆกับพื้นอยู่ข้างหน้าเค้าแล้วก็มองเค้าตลอด พี่ทัฟไม่ยอมสบตาฉันเลยเค้ามองไปข้างๆตลอด ฉันถามว่าเป็นอะไรเค้าก็บอกว่าไม่กล้าสู้หน้าแล้วก็เอามือปิดหน้าไปด้วย หลานของพี่ทัฟทั้งสองคนก็นั่งเก้าอี้ข้างๆพี่ทัฟ อาทิตย์คุยโทรศัพท์อยู่ส่วนมีนาก็นั่งยิ้มให้ฉัน ฉันก็ถามมีนาว่าน้าทัฟเป็นอะไรมีนาบอกว่าไม่รู้
มีนาจึงหันไปถามพี่ทัฟว่าน้าทัฟเป็นอะไร พี่ทัฟยังคงเงียบอยู่แล้วเค้าก็รับเอาโทรศัพท์ม าพูดต่อจากอาทิตย์แล้วก้มลงมา
กอดฉัน ไม่รู้ว่าพี่ทัฟร้องไห้ด้วยรึป่าวเลยแอบเช็ดน้ำมูกกับเสื้อเรา พี่ทัฟกอดฉันไว้ตลอดเวลาที่คุยโทรศัพท์ นั้นก็อาจคงเป็นเหตุผลที่เค้าไม่อยากสบตาฉันมั้ง
จู่ๆฉันรู้สึกริมฝีปากของฉันโดนสัมผัสเบาๆฉันตกใจแต่ก็รู้ว่าใครเป็นคนขโมยจูบของฉันไป เพราะครั้งแรกเค้าถามฉันว่าขอจูบได้ไหม ฉันมองเค้าแล้วตอบไปว่าไม่ ฉันอายเลยตอบไปแบบนั้น ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่พูดเลย ฉันรู้สึกว่าเค้าน่ารักมาก ที่เค้าพูดแบบนั้น แต่อาจทำให้เค้าคิดว่าฉันรังเกลียดเค้าก็เป็นได้
พอมีนาลุกไปจากเก้าอี้ข้างๆพี่ทัฟ ฉันก็มานั่งแทนที่มีนาแล้วก็หันไปมองพี่ทัฟแต่พี่ทัฟก็ยังคงเหมือนเดิมไม่พูดไม่มองไม่สบตาฉันเลย แล้วพี่ทัฟก็เอ่ยปากถามฉันขึ้นว่า เปลี่ยนใจได้นะ เสียใจไหมที่พี่ทัฟเป็นแบบนี้แล้วเค้าก็ดึงแหวนที่สวมไว้ออกมาให้ฉัน แหวนวงนั้นเป็นแหวนที่ฉันให้พี่ทัฟเอง ฉันจึงเอาแหวนวงนั้นสวมให้เค้าเหมือนเดิม
เรื่องต่อมา
น้องยุ้ยถามผมว่า "ตัวเองเป็นอะไร" ผมก็ได้แต่ตอบว่า "ไม่เป็นอะไร ไม่กล้วสู้หน้าน้องยุ่ย" น้องยุ้ยเรียกผมว่า "ตัวเอง" แล้วก็แทนตัวน้องเองว่า "เค้า" ในใจผมก็คิดว่าความสัมพันธ์ของเรายังเหมือนเดิมเมื่อได้ยินคำเหล่านี้ ผมเผลอแอบยิ้มกับคำพูดนั้นแล้วก็ที่น้องยุ้ยสวมแหวนที่ผมถอดให้คืน ผมสบตาน้องยุ้ยแปปนึ่งแล้วก็ก้มลงไปมองที่ท้าวของน้อง ผมสังเกตเห็นหัวแม่โป้งที่เท้าซ้ายของน้องมันเหมือนเป็นเชื้อราหรือไงไม่ทราบ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ผมเงยหน้าขึ้นมองน้องนิดหนึ่งแล้วก็ย้ำถามน้องว่า "แน่ใจหรอ ถ้าจะเปลี่ยนใจก็ยังไม่สายนะ แต่ถ้ายังคบกันต่อไปแล้วมาเปลี่ยนใจทีหลังไม่ได้นะ" น้องยุ้ยตอบผมว่า "แน่ใจสิ" คำตอบนั้นล่ะที่ทำให้ผมมีความสุขแบบที่จะหาอะไรมากเปรียบไม่ได้เลย ผมเผลอตัวโขมยจูบที่ริมฝีปากน้องอีกที
ผมไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไร น้องยุ้ยก็ถามผมนั่นนี่แล้วก็ไปคุยกับหลานผมทั้งสองคน หลานคนโตก็ยิ้มแล้วก็ตอบน้องบ้าง แต่หลานคนเล็กจะไม่พูดอะไรแล้วก็หลบสายตาน้องประจำ เหมือนกับผมเลย ผมก็จำเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้เท่าไรเพราะว่าผมดีใจจนลืมเนื้อลืมตัวเผลอจูบน้องไปหลายทีเหมือนกัน อยู่ดีๆน้องก็บอกว่า "ขอจับ""""""""หน่อย" ผมตกใจแล้วก็รีบบอกออกไปว่า "ไมjคนตั้งเยอะตั้งแยะ อายเค้า" น้องก็ยิ้มแล้วก็บอกให้ผมยืนขึ้น ผมยืนตามคำขอ แล้วน้องก็บอกว่า "เตี้ยจริงๆด้วยแฮะ" ไม่เตี้ยได้ไงผมสูงเท่าหูน้องเอง ผู้หญิงอะไรไม่รู้โครตสูงเลย คิดอีกที หรือว่าผมโครตเตี้ยเอง
หลานผมทั้งสองคนก็ทำตาปอยๆง่วงนอนเต็มที่ผมก็เลยถามน้องยุ้ยขึ้นว่า "ไปนอนที่หอได้มั้ย" น้องยุ้ยตอบว่า "ได้จ่ะ" เราก็ลุกขึ้นเก็บข้าวของแล้วผมก็ถือโอกาสจับมือน้องเวลาเดิน ผมเหลือบไปเห็นมือน้องโครตขาวเวลาเทียบกับมือผม หลานชายผมเดินช้าผมก็เลยต้องละมือน้องยุ้ยแล้วเดินติดๆหลาน แต่หลานสาวผลักรถเข็ญกระเป๋า เดินไปก่อนผมแล้ว แล้วน้องยุ้ยก็เดินตามหลานสาวผม ผมแอบภูมิใจที่น้องยุ้ยไม่รังเกียจผม แล้วก็ภูมิใจที่แฟนของผมสวยสุดๆเลย ระหว่างเดินอยู่นั้นผมเห็นคนมองน้องยุ้ยกันใหญ่เลยโดยเฉพาะผู้ชาย ผมก็ยิ่งดีใจไปใหญ่เพราะว่าคนที่พวกเค้ามองกันนั้นเป็นแฟนผมแล้วก็เป็นของผมคนเดียว
เราเอากระเป๋าเดินทางสามใบใหญ่ๆไปฝากไว้ที่เก็บกระเป๋าแล้วเราจึงมุ่งหน้าไปตรงคิวรถแท๊กซี่
ไปพาต้าปิ่นเกล้าค่ะ" เสียงน้องยุ้ยบอกกับคนขับรถ
ผมเริ่มจะลืมตาไม่ขึ้นแล้วตอนนี้แต่ผมก็สังเกตเห็นน้องยังคงจ้องผมโดยไม่คลาดสายตาเลย ด้วยความที่ทั้งอายทั้งง่วงผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย
"ตัวเองเคยไปหอเค้าจริงๆหรอ" น้องยุ้ยถาม ทำเอาผมสดุ้งนิดนึ่งเพราะผมกำลังจะเคลิมหลับพอดี ผมก็ตอบว่า "เคยสิ"
พอรถไปถึงย่านปิ่นเกล้าน้องยุ้ยก็สั่งให้คนขับรถกลับรถไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วก็เลี้ยวเข้าซอยหลังจากผ่านสะพานลอย น้องก็บอกให้ผมบอกทางกับแท๊กซี่เพื่อพิสูจน์ว่าผมได้เคยไปที่หอน้องจริงๆหรือไม่ มันมืดแล้วผมก็ง่วงด้วยผมก็ไม่พูดอะไร น้องก็เลยบอกทางแท็กซี่ตลอด
แท็กซี่จอดที่ตรงหน้าหอน้อง ผมยื่นเงินให้น้องยุ้ยค่ารถ เราก็ลงกัน หลานผมคนเล็กเป้กระเป๋าแบ๊คแพ๊คแล้วก็ทำตาลอยๆเหมือนจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว เราขึ้นลิฟมุ่งหน้าไปยังห้องพักของน้อง พอน้องเปิดประตู หลานผมคนเล็กก็ว่างสัมภาระแล้วก็ถอดรองเท้าแล้วก็ขึ้นนั่งบนเตียงนอน ผมได้กลิ่นเท้าเหม็นของหลานชายแต่ผมก็เหนื่อยจนไม่อยากพูดอะไรเลย หลานคนโตรู้สึกจะอยากรู้อยากเห็นมากเดินตามน้องยุ้ยไปห้องน้ำแล้วก็ระเบียงข้างนอก
"มีนากลัวหรอค่ะ เข้ามา เดียวล่วง" เสียงเล็กๆเบาๆของน้องบอกกับหลานผม
ผมเหนื่อยมากผมก็ถอดร้องเท้าแล้วก็เสื้อยีนออกแล้วก็ล้มลงนอน หลานผมก็เอนตัวลงนอนทั้งสองคน เราเหนื่อยจนไม่คิดถึงเรื่องแปรงฟันก่อนนอนเลย ตอนนี้น้องยุ้ยอยู่ในห้องน้ำปฏิบัติภาระกิจส่วนตัวอยู่ผมก็สลึมสลือแล้วก็เคลิมหลับไป
ให้น้องยุ้ยเขียนต่อนะ รักนะ
ทำไมเค้าอยากมานอนที่หอพักเรานะ ไกลก็ไกลกว่าจะเดินทางมาถึงก็30 นาทีแล้ว เราคงได้นอนกันสองสามชั่วโมงเอง ต้องรีบตื่นตั้งแต่เช้าเพราะพี่ทัฟและหลานหลานต้องขึ้นเครื่องตอน 7 โมงเช้าสงสัยจะกลัวเราเอาหนุ่มๆมาซ่อนแน่แน่ เค้าอาจไม่ไว้ใจเราก็ได้ โฮอะไรจะขาดนั้นนะ แต่ห้องเราสิรกจะตายอายจังแต่คงไม่เป็นอะไรหรอก ห้องเราไม่ได้รกมากจนน่าเกลียดนี้น่า แต่พี่ทัฟเคยบ่นถึงห้องฉันว่ารกมาก ทำไมไม่จัดห้องให้เรียบร้อย คิดแล้วก็น่าอายจริงๆด้วย
พอฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้นเสื้อยืดเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาจากห้องน้ำเห็นทุกคนนอนกันแล้วแต่ไม่รู้หลับกันไปแล้วรึยัง พวกเค้านอนทางขวางซึ่งนอนแบบนี้ทำให้นอนได้พอดี4คน ฉันมองไปที่ว่างว่างที่หนึ่งบนเตียงมันเป็นที่สำหรับฉันหรอ แล้วคนที่นอนข้างข้างฉันล่ะ พี่ทัฟนั้นเอง
พี่ทัฟนอนคว่ำหน้าลงกับที่นอนฉันเลยไม่รู้ว่าเค้าหลับไปรึยัง อาทิตย์กับมีนาก็นอนแล้วฉันจึงไปปิดไฟแล้วลงไปนอน ฉันรู้สึกว่าที่นอนไม่พอดีสำหรับฉันเลยขาฉันเลยที่นอนไปเยอะเหมือนกัน อากาศก็หนาวเพราะฉันต้องเปิดแอร์เนื่องจากเด็กทั้งสองคนบ่นร้อนพี่ทัฟก็คงเหมืนกัน เพราะฉันก็รู้ว่าพี่ทัฟชอบอากาศเย็นๆ ฉันหนาวจังเลย
ทันใดนั้นพี่ทัฟก็หันหน้ามาทางฉันแล้วใช้ปากจูบฉัน ฉันตกใจ เราไม่ทันได้พูดคุยกันเลย พี่ทัฟก็จู่โจมทันที แล้วพี่ทัฟก็หัวเราะขึ้นมา ฉันถามว่าหัวเราะทำไมพี่ทัฟก็ไม่ตอบฉันเลยแล้วพี่ทัฟก็หันมาจูบอีกครั้ง หนูรักพี่ทัฟที่สุดเลย
ต่อมาของเรื่อง
ผมผวาลืมตาขึ้นหลังจากที่ผมเคลิ้มหลับไปไม่กี่นาที ผมลืมตั้งนาฬิกาปลุก ผมต้องตื่นไม่ทันแน่เครื่องออกเจ็ดโมงเช้า แล้วผมก็จะพาหลานตกเครื่องแน่ๆ คิดได้ผมจึงลุกพรวดพราดไปหยิบมือถือขึ้นมาแล้วตั้งปลุก เสร็จแล้วก็นอนคว่ำหน้าลงเหมือนเดิม ผมได้ยินเสียงหลานทั้งสองคนขยับ ผมนึกในใจว่าหลานผมคงแปลกทีถึงนอนกันไม่หลับขนาดนี่มันก็ตีสองกว่าๆแล้วด้วย ผมไม่พูดอะไรกับหลานแต่แอบฟังอยู่นิ่งๆเสียงประตูห้องน้ำเปิด น้องยุ้ยเดินออกมา ผมเหลือบตาไปเห็นน้องใส่เสี้อยืดสีขาวกางเกงยีนขาสั้น คนอะไรหุ่นโครตดีเลย น่ารัก สวยมากด้วย น้องคลานตัวลงมานอนบนเตียงข้างๆผม แล้วน้องก็ลุกขึ้นไปปิดไปพอนึกได้ว่าไฟยังเปิดอยู่แล้วน้องก็คลานลงมานอนอีกที
น้องยุ้ยคว้าผ้าห่มมาห่มอย่างรวดเร็ว คงจะหนาวมากเพราะแอร์กำลังเปิดอยู่เย็นฉ่ำ ผมคิดว่าอากาศกำลังพอดี แต่ผมรู้ว่าน้องหนาวเพราะน้องเป็นคนชอบอากาศร้อน น้องนอนห่มผ้าหันหน้ามาทางผม ผมบอกน้องให้ตั้งนาฬิกาปลุกด้วยเดียวตื่นกันไม่ทัน น้องก็จัดการอย่างรวดเร็วแล้วก็นอนต่อ หันหน้ามาทางผมอีกเช่นเคย ผมพลิกตัวนิดนึ่งแล้วผมก็ประทับจูบลงไปในความมืดบนริมฝีปากของน้อง น้องไม่ว่าอะไรแถมยังเผยอปากรับจูบผมด้วย ผมบอกน้องว่าผมรักน้องมาก แล้วผมก็จูบน้องต่อ หลานผมคนโตก็ลุกขึ้นมามองผมกับน้องยุ้ยผ่านความมืด ผมบอกให้หลานนอน ผมกอดน้องยุ้ยแล้วก็จูบ ผมรักน้องยุ้ยมากที่สุด
เสียงหลานผมคนเล็กนอนสะอื้นเป็นพักๆอยู่ข้างๆผม บ่นอยากกลับหนองคายตลอด ผมพลิกตัวไปปลอบหลานผมตลอด แล้วผมก็พลิกตัวกลับมาทางน้องยุ้ยอีกแล้วก็จูบน้องยุ้ยอีก อีกครั้งหลานผมก็สะอื้นอีก มีนาบอกผมว่า "ชฏา อาทิตย์ต้องไห้อีกแล้ว" ผมเขยิบตัวมาหาหลานคนเล็ก ผมบอกกับหลานว่า "มันไม่เป็นอะไรหรอก น้าทัฟรักนะ พรุ่งนี้จะพากลับไปหนองคาย" มีนาได้ยินที่ผมพูดก็ลุกขึ้นมาร้องไห้แล้วบอกว่า "อยากไปอเมริกา" ผมก็บอกว่า จะส่งอาทิตย์ไปหนองคายแล้วมีนาไปอเมริกา แล้วผมก็บอกให้หลานผมนอนมันดึกแล้ว แล้วหลานก็นอนเงียบไป
สักพักนึ่งต่อมาผมก็ได้ยินเสียงหลานผมคนเล็กสะอื้นขึ้นอีก ผมพลิกตัวไปบอกให้หลานเลิกร้องไห้แล้วก็ให้นอนซะ หลานผมบอกว่า "นอนไม่หลับ" ผมก็คิดว่ามันแปลกที่คงนอนไม่หลับกันแน่ๆ ผมบอกให้หลานนอนอีกหน่อยก็ได้ตื่นไปขี้นเครื่องแล้ว แต่หลานทำเอาผมผงะตอนมันบอกผมว่า "นอนไม่หลับเพราะว่าหน้าทัฟกับหน้ายุ้ยกำลังมี s-e-x" หลานผมได้ยินเสียงผมกับน้องยุ้ยจูบกันอย่างดูดดื่มนั่นเอง ผมนึกว่าหลานหลับซะอีกนะเนี่ย ผมก็ใจร้อนรอให้หลานหลับก่อนก็ไม่ได้น่าอายที่สุด ทำหลานเสียเด็ก ทำน่าเกลียดประเจิดประเจอให้หลานได้ยิน น่ากระทืบตัวเองนักเชียว
ให้น้องยุ้ยเขียนต่อ
อาทิตย์ก็ไห้ตลอดทั้งคืน ร้องจนหลับไป ฉันเริ่มรู้สึกง่วงเหมือนกันคงอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว ฉันรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้อยู่ใกล้คนที่ฉันรัก เราก็กอดกันจนฉันหลับไปฉันได้ยินเสียงพี่ทัฟกระซิบข้างหูว่า รักน้องยุ้ยนะ หลายครั้ง แต่ฉันจำไม่ได้ว่าหลับไปตอนไหน พี่ทัฟหลับบ้างรึเปล่า หรือไม่ได้หลับเลย เสียงปลุกจากโทรศัพท์Eองฉันก็ดังขึ้นฉ้นจึงเอื้อมมือไปหยิบมาปิดเสียงและดูเวลา ตี 5 แล้วหรอ แต่พี่ทัฟกับหลานๆต้องออกเดินทางจากหอฉันก่อน 6โมงเช้า ฉันจึงนอนหลับต่อด้วยความง่วง แต่ระหว่างที่เสียงปลุกจากโทรศัพท์ดังขึ้น พี่ทัฟก็ตื่นขึ้นทันทีและลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง ในขณะที่ฉันกับหลานๆของพี่ทัฟยังคงนอนขี้เซาอยู่เลย
พี่ทัฟเดินออกจากห้องน้ำแล้วไปปลุกมีนากับอาทิตย์ท ันทีเพื่อให้แปรงฟันล้างหน้าให้เรียบร้อย เตรียมออกเดินทางแต่ฉันก็ยังคงนอนและรู้สึกหนาวมากทั้งๆที่ฉันห่มผ้าอยู่ฉันจึงลุกไปปิดแอร์ พี่ทัฟก็พยายามปลุกอาทิตย์นอนไม่ยอมตื่นเหมือนกัน พี่ทัฟถามฉันว่าจะไปส่งไหม ฉันตอบว่าไปสิ พอเด็กทั้งสองคนล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ลุกขึ้นไปแต่งตัวให้เรียบร้อย ฉันใส่เสื้อยืดสีแดง กับกางเกงยีนขายาว
พวกเราก็พากันเดินออกจากหอพักเพื่อที่จะไปขึ้นรถหน้าปากซอย เราขึ้นแท๊กซี่ตรงไปยังสนามบินดอนเมือง ขณะนั่งรถไปฉันก็มองพี่ทัฟตลอดเวลาแต่พี่ทัฟไม่หันมามองฉันเลยมองแต่ข้างทางอยู่ตลอด ทำให้ฉันรู้สึกว่าพี่ทัฟไม่สนใจฉัน ทำไมนะหรือเค้าอาจจะอายก็เป็นไปได้ เวลาที่พี่ทัฟหันมาเค้าจะหันหน้ามาพร้อมกับจุมพิตที่ปากฉันเบาเบา
ใช้เวลาประมาณ 30นาทีกว่าจะถึงดอนเมือง พวกเรารีบลงจากรถแท็กซี่ไปยังที่รับฝากเป๋าเพื่อเอากระเป๋าคืน ระหว่างที่รอเอากระเป๋าพี่ทัฟก็หันมาจูบฉันอีก เราช่วยกันลากกระเป๋าเดินทางคนละ 1 ใบ มีนา 1 ใบ พี่ทัฟ 1 ใบ และฉัน 1 ใบ ทั้งหมดมี 3 ใบ ระหว่างที่ทางที่เดินไปนั้นได้มีเสียงดังขึ้น โครมเสียงกระเป๋าที่ฉันลากหล่นลงไปกองกับพื้น เพราะฉันจับผิดไปบีบที่ถือกระเป๋าเลยหลุด ฉันรู้สึกอายที่ทำอะไรเปิ้นเปิ้นให้พี่ทัฟเห็นครั้งแรกที่เจอกันเลย แต่พี่ทัฟบอกกระเป๋าใบนี้ไม่ค่อยดีมันพังอยู่แล้ว แต่ฉันก็นึกขำตัวเองในใจจริงคงเป็นเพราะฉันเองที่ไม่รู้เรื่อง แล้วพี่ทัฟก็ช่วยยกกระเป๋าให้ฉัน แฟนฉันน่ารักจังเลย
ต่อจากนั้น
โครม!!!! เสียงกระเป๋าเดินทางสีดำแขบเหลืองใบใหญ่ที่สุดของสามกระเป๋าที่ผมจะเอาเดินทางติดตัวไปด้วยหล่นลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น ในกระเป๋าใบนั้นถึงจะใหญ่สุดแต่ก็เบาที่สุดถ้าเปรียบเทียบกับกระเป๋าอื่นๆเพราะในนั้นมีตุ๊กตาหมีสีชมพูที่น้องยุ้ยซื้อให้ผมแล้วสั่งให้ผมเอากลับอเมริกาด้วย ทันใดนั้นผมก็มองไปที่ใบหน้าน้องยุ้ย ผมสังเกตเห็นน้องหน้าซีดนิดนึ่ง ผมก็เลยตั้งกระเป๋าที่ผมลากไว้แล้วเดินไปยกกระเป๋าใบที่หล่นขึ้นมา ในมือน้องยุ้ยยังถือชิ้นส่วนที่ลากกระเป๋าอยู่เลยถึงแม้กระเป๋าจะกองอยู่บนพื้นก็ตาม ผมรู้ว่าน้องอายคนแถวนั้นแล้วก็ตัวผมเองด้วย ผมรับที่ดึงกระเป๋ามาจากน้องเพื่อมาเสียบใส่ที่เดิมของมันพร้อมกับเอ่ยปลอบน้องไปว่า "กระเป๋าใบนี้มันไม่ค่อยดี มันพังอยู่แล้ว เวลาลากอย่ากดปุ่มแดง" น้องก็ยิ้มอายๆน้องน่ารักมากเลย คนอะไร ลากกระเป๋าแรงมากจนด้ามกระเป๋าหลุดออกมา สงสัยใช้แรงช้าง หรือไม่ก็แรงม้าคู่เป็นแน่กระเป๋าผมดีๆน้องทำพังเลย แต่ผมก็แอบขำน้องอยู่ในใจเหมือนกัน น่ารักที่สุด
ผมหยุดก้มลงดูว่าสายการบินอะไรที่ผมจองไว้พอผมรู้ผมก็บอกทุกคนให้มองหาสายการบิน UA เราเดินต่อมาจนถึง ช่องตรวจกระเป๋า ผมกับหลานคนโตก็ช่วยกันห้ามกระเป๋าขึ้นเช็ค พอเสร็จเราก็ลากกระเป๋าไปเข้าแถวที่เค้าเตอร์เช็คอินของ UA มีผู้หญิงคนหนึ่งค้อนข้างแก่ยืนถือวอกี้ทอกกี้ กวักมือเรียกให้พวกเราไปเช็คอิน เธอถามผมว่าเดินทางกี่คน ผมไม่พูดแต่ยกมือสามนิ้วให้เธอดู แล้วเธอก็ถามดูหนังสือเดินทาง ผมก็ควักให้ทันที เธอจึงบอกเราให้ไปตรงช่องข้างหน้าตรงที่ผู้หญิงสาวคนหนึ่งกำลังทำการเช็คอิน ผมยื่นหนังสือเดินทางให้หล่อน แล้วผมก็ยกกระเป๋าขึ้นตราชั่ง น้องยุ้ยขณะนี้มายืนอยู่ข้างๆผม น้องเอ่ยขึ้นมาว่า "ตัวเองเจาะรูหูด้วยหรอ" ผมก็บอกว่าเจาะมานานแล้วแต่ไม่ใส่บ่วงหูหรอก แล้วผมก็ยึดตัวจูบน้องที่ปากเบาๆอีกที
พอเช็คอินเสร็จผมตรวจดูเงินว่าคงไม่พอค่าภาษีสนามบินแน่ผมจึงควักเงิน $100 ออกไปเปลี่ยน ผมไม่อยากเล่าตอนที่น้องยุ้ยกับผมต้องจากกันเลย ผมขอหยุดเพียงแค่นี้นะครับ ถึงแม้ว่าตัวผมจะอยู่ไกลจากน้องแต่ว่าหัวใจของผมก็อยู่กับน้องตลอดเวลา ผมดีใจที่ความสัมพันธ์ของเรายังเหมือนเดิม ขอบคุณสวรรค์ประทานความสุขอันที่แท้จริงมาให้ผม แล้วก็ขอบคุณน้องยุ้ยมากๆที่ให้โอกาสผมได้มาเป็นคู่ใจของน้อง ผมประทับใจในตัวน้องมาก แล้วครั้งแรกที่เราเจอกันก็จะประทับใจผมไปตลอดชีวิต ผมรักน้องยุ้ยมากที่สุดในโลกเลยครับ
เราต้องหาที่แลกเงิน เพราะธนาคารส่วนใหญ่จะไม่เปิดกันตอนนี้เกือบทุกธนาคารปิด เราต้องเดินกันไปไกลเหมือนกันกว่าจะเจอธนาคาร แลกได้4พันกว่าบาท แล้วพี่ทัฟก็เอาไป1พันบาทเป็นค่าภาษีสนามบินอีก3 พันพี่ทัฟก็ยื่นให้ฉัน สงสัยจะกลัวแฟนกลับบ้านไม่ได้ เพราะฉันลืมหยิบประเป๋าตังค์มาด้วย ฉันมักจะเป็นแบบนี้ประจำเพราะฉันจะเปลี่ยนกระเป๋าใส่ของบ่อยๆ คราวนี้ก็เหมือนกันฉันลืมอีกแล้ว ระหว่างที่รอพนักงานคิดเงินอยู่พี่ทัฟก็หันมาจูบฉันเบาๆอีก1 ครั้ง
แล้วพวกเราก็พากันเดินไปที่จ่ายภาษีสนามบิน หลังจากนั้นพี่ทัฟก็ต้องรีบเข้าไปข้างใน ก่อน 7โมง อาทิตย์กับมีนาก็บ่นว่าหิวน้ำ แต่ที่ขายมันอยู่ไกลเหลือเกินแล้วก็ต้องรีบเข้าไปด้วย พี่ทัฟก็หยิบโทรศัพท์ส่งให้ฉัน ส่วนซิมการ์ดพี่ทัฟเก็บไว้ ฉันก็รับมันมา โทรศัทพ์เครื่องนี้ฉันซื้อที่กรุงเทพแล้วส่งไปให้พี่ทัฟเพราะช่วงที่พี่ทัฟอยู่เมืองไทยเราค่อนข้างติดต่อกันยาก โทรศัพท์บ้านพี่ทัฟมักจะมีปัญหาไม่ค่อยได้ยินเวลาโทรมา แต่ถ้าโทรไปก็ชัดแจ๋วเลยละ สงสัยโทรศัพท์ไม่อยากให้เสียเงินเยอะเลยแกล้งให้ไม่ได้ยินเวลาใช้โทรออก แล้วพี่ทัฟก็ค้นเอาเงินไทยออกมา มีเงินเหรียญเยอะมากๆส่วนใหญ่เป็นเหรียญ5 บาทกับ 10 บาท ฉันไม่รู้พี่ทัฟจะเอาออกมาทำไม ในนั้นก็มีเงิน
เหรียญเซนด้วยอยู่หลายเหรียญเหมือนกัน แล้วพี่ทัฟก็แยกเงินไทยกับดอลล่าห์ พี่ทัฟก็ส่งเงินไทยให้ฉันทั้งหมดเลย มันเยอะมากสงสัยจะเป็นร้อยบาท แล้วฉันก็เอ่ยปากขอเงินเหรียญเซนจากพี่ทัฟพี่ทัฟก็ถามว่าอยากได้หรอ ฉันก็ตอบว่าใช้ฉันอยากได้แค่เหรียญเดียวแต่พี่ทัฟให้ฉันมาหมดเลย สรุปเงินที่เอาออกมาทั้งหมด ทั้งแบงค์ทั้งเหรียญอยู่ที่ฉันหมดเลย
พี่ทัฟบอกฉันว่าต้องรีบไปแล้ว และถามฉันอีกว่าจะเปลี่ยนใจตอนนี้ได้นะถ้าไม่เปลี่ยนใจตอนนี้หลังจากนี้จะเปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว ฉันรู้สึกแปลกกับคำพูดนี้ทำไมเค้าต้องถามอีกหรือว่าไม่เชื่อที่ฉันบอกเค้าแต่แรก ฉันจึงตอบไปว่าไม่หรอก แล้วเราก็กอดกันแน่นเลย จูบกันด้วยเหมือนในหนัง
รักโรแมนติก ที่เวลาพระเอกกับนางเอกจะต้องจากกันไป พี่ทัฟบอกฉันว่า รักน้องยุ่ยนะ แล้วก็ให้อาทิตย์กับมีนามาสวัสดีฉันก่อน มีนายกมือไหว้ฉันแต่อาทิตย์ทำท่าอายๆแล้วยกมือแล้วพูดว่า
บายบ้าย แบบเขินๆอายๆไม่กล้าสบตาฉันด้วย
พี่ทัฟก็เดินพาหลานเข้าไป ระหว่างที่เดินก็หันมามองฉันตลอดฉันก็ยืนมองจนที่ทัฟหายเข้าไปข้างใน ฉันจึงเดินออกจากตรงนั้นระหว่างที่เดินไปฉันก็เหลือบเห็นที่ทัฟกับหลานๆตรงช่องทางเดินฉันก็มองแต่พี่ทัฟไม่ได้หันกลับมาจึงไม่เห็นเพราะเป็นช่องที่อยู่เยื่องกลับช่องที่พี่ทัฟเดินเข้าไป ฉันจึงเดินต่อไปเพื่อหาทางออก พอฉันหันหลังกลับไป เห็นพี่ทัฟ มีนาและอาทิตย์กำลังชโงกหัวออกมามองหาฉันที่ช่องทางเข้าก่อนนี้ ทั้งที่เดินเข้าไปแล้วแต่ก็เดินกลับมาหาฉันอีก แล้วเราสองคนก็ต้องต่างคนจากต้องเดินทางห่างไกลกันไปเรื่อยๆ ฉันเดินไปขึ้นรถแท็กซี่กลับหอพัก ส่วนพี่ทัฟนั่งเครื่องบินไปทำงานที่เขมรแล้วก็กลับอเมริกา
เรามีเวลาได้เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงซึ่งมันเป็นเวลาที่มีค่ามาก เป็นวันที่เรารอมาเกือบปี วันที่เราได้เจอกัน ได้เจอคนที่เรารัก