19 มิถุนายน 2551 10:38 น.
ธมกร
ครูกานท์ : ทุ่งสักอาศรม ออกธุดงค์วิชาการสัญจรเป็นวิทยาทาน แก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ภาคกลาง-ภาคตะวันออก ๑๗-๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรม เป็นศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้การศึกษาเรียนรู้เชิงอุดมคติ กระบวนการเรียนรู้แบบ ชีวิตเป็นศูนย์กลาง [Life Center] สร้างเสริมทักษะ และผัสสะแห่ง ปัญญาธรรม ได้ดำเนินโครงการแบบธุดงค์วิชาการสัญจรเป็นวิทยาทานการศึกษาสำหรับครูภาษาไทย ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาในชื่อโครงการต่างๆ ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ ครั้งนี้ได้จัดโครงการสัญจร ๑๑ วัน ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก
จากข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการที่พบว่าเด็กไทยวันนี้มีภาวะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เป็นจำนวนมาก (ดูรายละเอียดได้ที่ www.oknation.net/blog/krugarn และ www..siwagarn.multiply.com) ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กโดยตรง คือเมื่อเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้กระบวนการเรียนรู้วิชาอื่นๆ ก็มืดบอดและบกพร่อง เมื่อเด็กไม่รักการอ่าน โลกแห่งการเรียนรู้ก็จำกัดและคับแคบ เมื่อเด็กคิดไม่เป็นการเรียนรู้ก็ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติและการใช้ชีวิตอย่างมีศักยภาพได้
ศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรมจึงได้จัดทำโครงการ สัญจรเป็นวิทยาทาน แก้ปัญหาเรื่องนี้ขึ้นอีกครั้งในชื่อโครงการ สี่เดือนอ่านออกเขียนได้และปลูกใจรักการอ่าน สัญจรเป็นวิทยาทานการศึกษาสำหรับครูภาษาไทย ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาทุกระดับและสังกัดขึ้น สำหรับครูภาษาไทย ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาทุกระดับและสังกัด ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก ระหว่างวันที่ ๑๗๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑ โดยมี ครูกานท์ หรือ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ เป็นวิทยากร เพื่อให้ครูภาษาไทย ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการเรียนรู้ กระบวนการและวิธีการในการแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้และไม่รักการอ่าน ที่จะสามารถนำไปปฏิบัติการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลแท้จริงต่อไป
กำหนดการ / เนื้อหา
๑๗ - ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ลำดับเส้นทางสัญจร วันที่ ๑๗-๑๘ สุพรรณบุรี,ชัยนาท ๑๙-๒๐ ลพบุรี,สระบุรี ๒๑-๒๒ ฉะเชิงเทรา,ชลบุรี ๒๓-๒๔ ระยอง,จันทบุรี,ตราด ๒๕-๒๖-๒๗ สระแก้ว,ปราจีนบุรี,นครนายก
๐๘.๐๐ ผู้เข้าอบรมเดินทางถึงที่ประชุม / ลงทะเบียน
๐๘.๓๐ พิธีเปิด (มีหรือไม่มีก็ได้ ถ้ามี,เน้นเรียบง่ายและกระชับ)
๐๙.๐๐ นำเสนอ PowerPoint เรื่อง ที่มาของโครงการ
๐๙.๑๕ บรรยายผ่าน PowerPoint เรื่อง การอ่าน การคิด และการวิเคราะห์เหตุแห่งปัญหา
๑๐.๐๐ พัก / อาหารว่าง (ถ้ามี)
๑๐.๑๕ บรรยายผ่าน PowerPoint เรื่อง วิธีสอนแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
๑๒.๐๐ พัก / อาหารกลางวัน
๑๓.๐๐ บรรยายผ่าน PowerPoint เรื่อง การปลูกฝังความรักการอ่านและการคิด
๑๔.๔๕ พัก / อาหารว่าง (ถ้ามี)
๑๕.๐๐ บรรยายผ่าน PowerPoint เรื่อง การวางแผนแก้ปัญหาทั้งระบบเพื่อเด็กอ่านออกเขียนได้ภายในสี่เดือน (เรื่องนี้มีความสำคัญต่อผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้รับผิดชอบมาก)
๑๖.๐๐ อภิปรายซักถาม
๑๖.๓๐ ปิดการอบรม / เดินทางกลับ
หมายเหตุ เนื้อหาอาจปรับเปลี่ยนได้บ้างตามความเหมาะสม
วิธีเข้าร่วมโครงการ
สพท. หรือหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ให้ดำเนินการในข้อ ๑ - ๕ ดังนี้
๑.ติดต่อเข้าร่วมโครงการกับศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรม โดยโทรศัพท์จองวันและทำหนังสือตอบรับเข้าร่วมโครงการร่วมภายใน ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑
๒.จัดเตรียมครูกลุ่มเป้าหมาย ผู้บริหาร และบุคลากรที่สนใจเข้าร่วมฟังและเรียนรู้ไม่น้อยกว่า ๑๐๐ คน
๓.จัดเตรียมสถานที่ เครื่องเสียง และโปรเจกเตอร์ที่พร้อมใช้กับโน้ตบุ๊ค (วิทยากรจะนำโน้ตบุ๊คมาเอง)
๔.จัดเตรียมอาหารและที่พักสำหรับวิทยากร
๕.จัดสรรค่าน้ำมันรถวิทยากร ๑,๐๐๐ ๒,๐๐๐ บาท เท่านั้น ไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนวิทยากร!
ติดต่อเข้าร่วมโครงการได้ที่ นางสาวในดวงตา ปทุมสูติ เลขานุการศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรม ๓๕ หมู่ที่ ๑๓ ต.จรเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ๗๑๑๗๐ โทร. ๐๘๑๗๕๗๘๘๕๔, ๐๘๑-๙๙๕๖๐๑๖
19 มิถุนายน 2551 09:07 น.
ธมกร
เวียงคอกช้างดิน ๒๕๕๑
หรือกรุงเทพมหานคร (ร้าง) ในอนาคต!
ศิวกานท์ ปทุมสูติ
.
เมื่อเมษายนที่ผ่านมา ผมและเยาวชนหนุ่มสาวโรงเรียนกวีรุ่น ๓ ได้ห่อข้าวใบตองไปกินกลางป่าเชิงภูเขาถ้ำเสือ อู่ทอง สุพรรณบุรี ไปสัมผัสอารมณ์กับร่องรอยอาณาจักรรกร้างครั้งเมืองอู่ทองรุ่งเรือง ตามนัยที่นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่เชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับแผ่นดินสุวรรณภูมิครั้งกระโน้น ผมเองไม่ลึกซึ้งกับเรื่องประวัติศาสตร์จึงขอที่จะไม่ขยายรายละเอียด เรา คือผมและศิษย์โรงเรียนกวีทุ่งสักอาศรม จึงมุ่งไปเยี่ยมไปเยือนเมืองร้างด้วยอารมณ์รู้สึกของคนเขียนบทกวีเป็นสำคัญ
รูปรอยโบราณสถานอันเกี่ยวข้องกับศาสนาและลัทธิความเชื่อ จะเรียกว่าปราสาทหรือวิหารหรืออะไรบ้างผมไม่ได้จำ รู้แต่ว่าด้วยสายตาและอารมณ์รู้สึก ผมคิดอะไร และหนุ่มๆ สาวๆ เยาวชนเขาคิดอะไร เราต่างหามุมซุ่มเขียนความรู้สึกนึกคิดกัน บนก้อนหินบ้าง ใต้ร่มไม้บ้าง บนเนินดินบริเวณคอกช้างดินโบราณบ้างตามอิสระ
.
สิ่งที่ผมเขียนในวันนั้น วันนี้ (๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๑) ผมกลับมาย้อนอ่าน มันทำให้ผมประหวัดรู้สึกเอ๊ะๆ กับ อะไร บางสิ่งบางอย่าง ที่กำลังก่อตัวขึ้นในบ้านเมืองของเราขณะนี้ ลองอ่านบทกวีก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ว่านั้น...
.
"เวียงคอกช้างดิน ๒๕๕๑"
******************************
.
โอ้...โบราณสถานพูนทอง
พูนกองอิฐก่อยังพอเห็น
รอยอารยนครซ่อนเร้น
ในเส้นทางโคและรอยคน
.
ธารเมืองพุม่วงไร้น้ำ
ลาดต่ำลำรางร้างฝน
หุบช้างคอกดินดำรงตน
หมู่ต้นไม้เติบชีวิตา
.
ซากศาสนสถานสึกกร่อน
สิขรซ่อนนิมิตปริศนา
ไร้เงาท้าวเทพเทวา
ไม้หญ้าเซิงเหย้าลำเนาพฤกษ์
.
จั๊กจั่นเรไรจำเรียง
สรรพเสียงรู้สู่รู้สึก
เวียงวังว่างเปล่าเหงาลึก
บันทึกเส้นทางรางเลือน
.
บางเราเคยอยู่ที่นี่
กี่ภพกี่ชาติมาแล้วเพื่อน
ยังเวียนมาเยี่ยมมาเยือน
รูปเรือนวิญญาณอันเปลี่ยวไร้
.
"ธมกร"
ณ สถานที่เขียน
๒๓เมย.๕๑
(คำ เวียงคอกช้างดิน เป็นคำที่ผู้แต่งสร้างขึ้นสำหรับบทกวีนี้เท่านั้น มิใช่คำเรียกขานในประวัติศาสตร์ เป็นการประสมคำขึ้นใหม่โดยเติมคำว่า "เวียง" เข้าข้างหน้าคำเรียกสถานที่ "คอกช้างดิน" ที่เป็นร่องรอยโบราณสถานแห่งหนึ่งในบริเวณเมืองเก่าอู่ทองนั้น)
.
อะไรที่ผมประหวัดรู้สึกหรือครับ ขณะผมกลับมาย้อนอ่านบทกวีและดูภาพเวียงวังร้างรก ปรักหักโทรม เหลือเพียงรอยซากสึกกร่อนผมก็พลันวาบรู้สึกถึงการก่อตัวของความเลวร้ายของสายใยอำนาจฉ้อฉล อยุติธรรมต่างๆ จนเป็นแรงกดกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านและขับต้อนอย่างต่อเนื่องในกรุงเทพมหานครวันนี้ มันเหมือนเห็นภาพรางๆ ของ กรุงเทพมหานครร้าง! ในอนาคต ซ้อนทับกับภาพ เวียงคอกช้างดิน-อู่ทองเมืองร้าง!
.
โอ้...มันเป็นคนละเรื่องเดียวกันของความเสื่อม ที่ก่อตัวจากความเสื่อมในจิตใจคน โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจปกครอง!
เราจะทำอย่างไร หรือทำอะไรได้บ้าง?
คนไทยทุกคนคงต้องถามเองแล้วตอบเอง...ด้วยการกระทำของแต่ละคนที่ สร้างสันติธรรม นำสันติสุข อย่างแท้จริง และอย่างยั่งยืนสืบไป
อย่าให้ภาพประหวัดวาบรู้สึกของผมเป็นจริงเลยครับ
16 มิถุนายน 2551 16:01 น.
ธมกร
สพท.อุทัยธานี ร่วมกับ ศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรม จัดทำโครงการแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ สัมฤทธิ์ผลงดงามภายใน ๔ เดือน!
ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ข้อมูลจาก web site ของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)เรื่อง เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ (ล่าสุด) นับเป็นความล้มเหลวของการเรียนการสอนภาษาไทยที่น่าเป็นห่วงที่สุด
๑.เฉพาะนักเรียนชั้น ป.๒ ปีการศึกษา ๒๕๔๙ ที่ขึ้น ป.๓ ปีการศึกษา ๒๕๕๐ ทั่วประเทศที่มีจำนวนเขตพื้นที่การศึกษา ๑๗๕ เขต จำนวนเด็ก ๖๓๗,๐๐๔ คน มีสภาพอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จำนวน ๗๙,๓๕๘ คน
๒.กระทรวงศึกษาธิการได้อนุมัติงบประมาณเพื่อการแก้ปัญหา ๓๐๐ บาทต่อ ๑ คน รวมเป็นงบประมาณที่ใช้จ่ายไปแล้ว ในปีการศึกษา ๒๕๕๐ เป็นเงินทั้งสิ้น ๓๙,๖๗๙,๐๐๐ บาท (สามสิบเก้าล้านหกแสนเจ็ดหมื่นเก้าพันบาทถ้วน)
๓.เมื่อโฟกัสภาพลงไปที่เขตพื้นที่การศึกษา ในส่วนของ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุทัยธานี มีจำนวนนักเรียน ป.๒ ที่ขึ้น ป.๓ ปีการศึกษา ๒๕๕๐ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ตามที่โรงเรียนสำรวจแจ้งเป็นข้อมูล สพท.อุทัยธานี และ สพท.อุทัยธานี แจ้งเป็นข้อมูล สพฐ. มีจำนวน ๕๖๕ คน
สพท.ต่างๆ ทั่วประเทศจะแก้ปัญหากันด้วยวิธีการอย่างไร และมีผลสัมฤทธิ์อย่างไรบ้าง เป็นเรื่องที่น่าติดตาม...
แต่ในส่วนของ สพท.อุทัยธานี ได้จัดให้มีการประชุมอบรมครูผู้สอนชั้น ป.๓ ครั้งที่ ๑ เมื่อ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๐ จำนวน ๗๕ คน โดยเชิญ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ (ครูกานท์) จาก ศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรม เป็นวิทยากร หลังจากการอบรม และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระทั่งเข้าถึงองค์ความรู้ของเหตุแห่งปัญหา แนวทางแก้ไขปัญหา วิธีการสอน และกระบวนการบริหารจัดการที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างชัดเจนร่วมกันแล้ว สพท.อุทัยธานี จึงได้จัดทำโครงการ อ่านออกเขียนได้ภายในสี่เดือน ขึ้น โดย สพท.อุทัยธานี ร่วมกับ ศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรม (ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ) จัดอบรม ครั้งที่ ๒ เมื่อ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๐ เพื่อให้การอบรมแก่ผู้บริหารโรงเรียน ที่สมัครใจเข้าร่วมเรียนรู้ทั้งสิ้น จำนวน ๑๕๐ โรงเรียน (จำนวนโรงเรียนในเขตมี ๒๕๙ โรงเรียน) หลังการอบรมเรียนรู้แล้ว เปิดโอกาสให้โรงเรียนที่เห็นด้วยกับแนวทางและกระบวนการแก้ปัญหาของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ สมัครเข้าร่วมโครงการตามความสมัครใจ ปรากฏว่ามีโรงเรียนที่สมัครเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๘๘ โรงเรียน
จากนั้น สพท.อุทัยธานี โดย นายชวฤทธิ์ จงเกษกรณ์ (หัวหน้ากลุ่มงานนิเทศ) นางอำนวย กาญจนะ (ศึกษานิเทศก์) และคณะศึกษานิเทศก์ที่เกี่ยวข้อง จึงสำรวจข้อมูลทั้งโดยการลงพื้นที่สำรวจเองโดยตรงและส่งแบบสำรวจให้โรงเรียนดำเนินการ กลับพบว่ามีนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เพิ่มจากจำนวนที่โรงเรียนแจ้งไว้เดิมอีกเป็นจำนวนมาก และมีสภาพปัญหาทุกชั้นปี จำนวนโดยสรุปตั้งแต่ชั้น ป.๒ ถึง ม.๖ เฉพาะโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ จำแนกเป็นกลุ่มอำเภอ ดังนี้
อำเภอเมืองอุทัยธานี ๑๗๒ คน
อำเภอหนองขาหย่าง ๙ คน (จำนวนแตกต่างจากอำเภออื่นอย่างน่าตั้งข้อสังเกต)
อำเภอหนองฉาง ๑๑๔ คน
อำเภอทัพทัน ๒๓๘ คน
อำเภอบ้านไร่ ๘๗๔ คน
อำเภอสว่างอารมณ์ ๒๙๖ คน
อำเภอลานสัก ๕๒๒ คน
อำเภอห้วยคต ๑๔๘ คน
รวม ๒,๔๗๓ คน
นี่แค่จังหวัดเดียว ที่ลงลึกถึงความจริงแห่งการ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จากยอดจำนวน (ป.๒) ๕๖๕ คนทั้งจังหวัด เพิ่มเป็นจำนวน (ป.๒ ถึง ม.๖) ๒,๔๗๓ คนใน ๘๘ โรงเรียน จังหวัดอุทัยธานีจังหวัดเดียว ยังพบข้อมูลจริงของปัญหาถึงเพียงนี้ แล้วทั่วประเทศ ๑๗๕ เขตล่ะจะเป็นยอดจริงที่มหาศาลเพียงใด น่าใจหาย...!
สพท.อุทัยธานี จัดอบรมครั้งที่ ๓ เมื่อ ๒๙-๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ เพื่อให้การอบรมแก่ ครูอาสา ผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นครูผู้สอนแก้ปัญหา หลังการอบรมแล้วนั้นให้ทุกโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจัดกิจกรรมดำเนินการสอนแก้ปัญหา และกลุ่มงานนิเทศจัดทำแผนงานติดตามนิเทศและประเมินผลเดือนละ ๑ ครั้ง รวม ๔ ครั้ง โดยมี ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ จาก ศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรม เป็นที่ปรึกษาร่วมติดตามสนับสนุนด้วยทุกครั้งอย่างใกล้ชิด
กระบวนการสอนแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ดังกล่าว กำหนดให้ดำเนินการตามแนวทางของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ และหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ซึ่งมีสาระสำคัญแต่ละขั้นคือ
๑.เนื้อหา
เน้นให้ครูอ่านออกเสียงแจกลูกผันเสียงนำนักเรียน แล้วให้นักเรียนเปล่งเสียงอ่านตาม ทั้งคำเดี่ยวและคำประสม จากนั้นให้ฝึกเขียนคำ เขียนคำตามคำบอก เขียนคัดลายมือ และเขียนกลุ่มคำตามแบบฝึกในหนังสือ (เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว)
เดือนแรก แจกลูกผันเสียง แม่ ก กา
เดือนที่สอง แจกลูกผันเสียง ตัวสะกดคำเป็น แม่ กง กน กม เกย เกอว
เดือนที่สาม แจกลูกผันเสียง ตัวสะกดคำตาย แม่ กก กด กบ คำสระเปลี่ยนรูปและลดรูป
เดือนที่สี่ สอนแจกลูกผันเสียง คำควบกล้ำ คำอักษรนำ และคำที่มีลักษณะพิเศษอื่นๆ
๒.วิธีการ
(๑) โรงเรียนจัด ครูอาสา เพื่อเป็นผู้สอนแก้ปัญหาเป็นการเฉพาะ กำหนดให้ใช้ ครู ๑ คน ต่อนักเรียนไม่เกิน ๑๐๐ คน
(๒) ครูอาสาจัดแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มละไม่เกิน ๒๐ คน แล้วจัดตารางสอนให้แต่ละกลุ่มมาเรียนวันละไม่น้อยกว่า ๑ ชั่วโมง รวม ๔ เดือนไม่น้อยกว่า ๘๐ ชั่วโมง ต่อกลุ่มต่อคน โดยให้ใช้เวลาเรียนปกติเป็นชั่วโมงสอนแก้ปัญหา ให้นักเรียนทิ้งชั่วโมงเรียนวิชาอื่นมาวันละ ๑ ชั่วโมง (ไม่ซ้ำวิชากันในแต่ละวัน) เป็นเวลา ๔ เดือนตลอดโครงการ ซึ่งนักเรียนที่มีปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้นั้น แม้จะอยู่ในชั่วโมงเรียนวิชาอื่นใดก็ไม่บรรลุผลการเรียนอะไรมากนัก ตราบใดที่พวกเขายังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จึงควรให้มาฝึกทักษะอ่านเขียนให้ได้ก่อน และโครงการนี้ก็ไม่สนับสนุนให้สอนแก้ปัญหาในช่วงเวลาพักของนักเรียน หรือในช่วงเวลาเลิกเรียนที่นักเรียนจะกลับบ้าน เพราะเหตุว่าช่วงเวลาพักนักเรียนจะขาดสมาธิในการฝึกฝน จิตเขาจะห่วงเพื่อน และห่วงเล่น ส่วนช่วงเลิกเรียนนั้นเป็นช่วงที่นักเรียนอ่อนล้า ขาดพลังในการเรียนรู้ อีกทั้งผู้ปกครองก็มารอรับกลับบ้าน ไม่สะดวกและได้ผลไม่เต็มที่
(๓) กำหนดให้ครูเขียนคำ และแจกลูกคำที่สำหรับออกเสียงอ่าน ออกเสียงสะกดคำ และผันเสียงบนกระดานดำ ชวนนักเรียนเปล่งเสียงอ่านตามครู อ่านซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง และครบถ้วนทุกคำที่มีอยู่ในแบบฝึกของหนังสือ เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว อ่านได้แล้วฝึกเขียนคำตามคำบอก และเขียนคัดลายมือ ตามลำดับไปทีละบททีละเดือน จากง่ายไปหายาก
แต่ในการติดตามการดำเนินโครงการ ได้พบเหตุปัจจัยหลายประการที่น่านำมาเป็นข้อมูลประกอบพิจารณาแก้ไขปรับปรุงโครงการต่อไป ได้แก่ บางโรงเรียนไม่ได้ทำตามแนวทางที่กำหนด เช่น ไม่ได้จัดวางตัวครูอาสาที่แน่ชัด ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนแก้ปัญหาวันละ ๑ ชั่วโมงให้สม่ำเสมอได้ โดยอ้างว่าติดกีฬาบ้าง ติดการเตรียมเด็กเพื่อสอบวัดประเมินผลเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง ขาดแคลนครูบ้าง ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาต่างๆ ล้วนเกิดจากการไม่ยอมเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีบริหาร และวิธีสอน ดังจะเห็นว่าโรงเรียนในโครงการส่วนใหญ่ที่เอาจริงเอาจังกับการดำเนินกิจกรรมทั้งด้านการบริหารจัดการ และการจัดการเรียนการสอนตามแนวทางและวิธีการที่กำหนด ล้วนประสบผลสัมฤทธิ์ที่ดี แตกต่างกันอย่างมาก
ขณะนี้การดำเนินกิจกรรมโครงการเสร็จสิ้นลงแล้ว สพท.อุทัยธานี ร่วมกับ ศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรม ได้ออกติดตามประเมินผลแล้วเสร็จ ณ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๑ จำนวน ๗ โรงเรียน ปรากฏว่า นักเรียนอ่านออกเขียนได้ผ่านเกณฑ์ เขียนตามคำบอก คำที่กำหนดให้ครอบคลุมคำในมาตราสะกดต่างๆ (ตรงมาตรา) ทั้ง ๙ แม่ คำที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรสูง อักษรกลาง อักษรต่ำ คำควบกล้ำ คำอักษรนำ และคำผันวรรณยุกต์เสียงต่างๆ จำนวน ๕๐ คำ คิดเป็น ๑๐๐% กำหนดช่วงคะแนนดังนี้
ผ่านดีเยี่ยม ได้คะแนนระหว่าง ๕๐-๖๐ %
ผ่านดีมาก ได้คะแนนระหว่าง ๖๑-๗๐ %
ผ่านดี ได้คะแนนระหว่าง ๗๑-๘๐ %
ผ่านพอใช้ ได้คะแนนระหว่าง ๘๑-๑๐๐ %
ไม่ผ่าน ได้คะแนนระหว่าง ๐๐-๔๙ %
รายนามโรงเรียนและผลการประเมิน
๑.โรงเรียนบ้านเขาวง อำเภอลานสัก นักเรียนในโครงการ ๒๔ คน ผ่านดีเยี่ยม ๕ คน ผ่านดีมาก ๑๐ คน ผ่านดี ๖ คน ผ่านพอใช้ ๓ คน ไม่ผ่าน - คน รวมผ่าน ๑๐๐ %
๒.โรงเรียนบ้านหนองผักกาด อำเภอลานสัก นักเรียนในโครงการ ๓๓ คน ผ่านดีเยี่ยม ๑๙ คน ผ่านดีมาก ๘ คน ผ่านดี ๖ คน ผ่านพอใช้ - คน ไม่ผ่าน - คน รวมผ่าน ๑๐๐ %
๓.โรงเรียนวัดหนองมะกอก อำเภอหนองฉาง นักเรียนในโครงการ ๑๙ คน ผ่านดีเยี่ยม ๖ คน ผ่านดีมาก ๘ คน ผ่านดี ๓ คน ผ่านพอใช้ - คน ไม่ผ่าน ๒ คน รวมผ่าน ๘๙.๔๗ % รวมไม่ผ่าน ๑๐.๕๓ % (หมายเหตุ โรงเรียนนี้จัดการเรียนการสอนไม่เต็มเวลา และดำเนินการไม่เต็มตามวิธีการที่กำหนด)
๔.โรงเรียนบ้านน้ำพุ อำเภอบ้านไร่ นักเรียนในโครงการ ๑๘ คน ผ่านดีเยี่ยม - คน ผ่านดีมาก ๒ คน ผ่านดี ๓ คน ผ่านพอใช้ ๕ คน ไม่ผ่าน ๑๐ คน รวมผ่าน ๕๕.๕๖ % รวมไม่ผ่าน ๔๔.๔๔ % (หมายเหตุ โรงเรียนนี้จัดการเรียนการสอนไม่เต็มเวลา และดำเนินการไม่เต็มตามวิธีการที่กำหนด)
๕.โรงเรียนวัดทัพคล้าย อำเภอบ้านไร่ นักเรียนในโครงการ ๓๗ คน ผ่านดีเยี่ยม ๖ คน ผ่านดีมาก ๑๑ คน ผ่านดี ๑๓ คน ผ่านพอใช้ ๗ คน ไม่ผ่าน - คน รวมผ่าน ๑๐๐ %
๖.โรงเรียนบ้านกลาง อำเภอห้วยคต นักเรียนในโครงการ ๕๖ คน ผ่านดีเยี่ยม ๓๑ คน ผ่านดีมาก ๑๔ คน ผ่านดี ๗ คน ผ่านพอใช้ ๓ คน ไม่ผ่าน ๔ คน รวมผ่าน ๙๒.๘๖ % รวมไม่ผ่าน ๗.๑๔ % (หมายเหตุ โรงเรียนนี้ดำเนินการทั้งตามแนวทางและวิธีสอนที่กำหนด และนอกแนวทางที่กำหนดบางประการ)
๗.โรงเรียนบ้านหินงามสามัคคี อำเภอบ้านไร่ นักเรียนในโครงการ ๒๓ คน ผ่านดีเยี่ยม ๔ คน ผ่านดีมาก ๒ คน ผ่านดี ๖ คน ผ่านพอใช้ ๓ คน ไม่ผ่าน ๘ คน รวมผ่าน ๖๕.๒๒ % รวมไม่ผ่าน ๓๔.๗๘ % (หมายเหตุ โรงเรียนนี้ดำเนินการตามวิธีสอนที่กำหนด แต่ไม่เต็มเวลา และไม่เต็มกระบวนการ)
สรุป ณ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๑ โรงเรียนที่ได้ดำเนินการประเมินเสร็จแล้ว จำนวน ๗ โรงเรียน จำนวนนักเรียน ๒๑๐ คน นักเรียนผ่านการประเมิน ๑๘๖ คน คิดเป็น ๘๘.๕๗ % และไม่ผ่านการประเมิน ๒๔ คน คิดเป็น ๑๑.๔๓ % ส่วนโรงเรียนที่เหลือกำลังดำเนินการประเมิน กำหนดเสร็จสิ้นในวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๑
...
หลังจากวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๑ สพท.อุทัยธานีได้รับรายงานการประเมินผลโครงการจากโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งที่ปฏิบัติตามแนวทางกระบวนการที่กำหนดเต็มรูปแบบ และที่ปฏิบัติตามแนวทางกระบวนการไม่เต็มรูปแบบ ผลปรากฏตามเอกสารสรุปของ สพท.อุทัยธานี ดังนี้
การดำเนินงานอ่านออกเขียนได้ภายในสี่เดือนเริ่มดำเนินการตั้งแต่ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ถึง ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ โรงเรียนสมัครเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๙๓ โรงเรียน แบ่งออกเป็น ๒ รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ ๑ หมายถึง มีครูอาสา ๑ - ๓ สอนวันละไม่น้อยกว่า ๑ ชั่วโมงและสอนในเวลาปกติ เวลาสอนทั้งหมดไม่ต่ำกว่า ๘๐ ชั่วโมง มีจำนวน ๖๙ โรงเรียน มีโรงเรียนส่งผลการทดสอบจำนวน ๕๖ โรงเรียน เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก(มีนักเรียนไม่เกิน ๑๒๐ คน) จำนวน ๓๘ โรงเรียน โรงเรียนที่มีนักเรียนมากกว่า ๑๒๐ คนขึ้นไปจำนวน ๑๘ โรงเรียน นักเรียนปกติที่อยู่ในโครงการจำนวน ๑,๕๗๒ คน
ผลการดำเนินงาน
๑. นักเรียนปกติผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๕๐ ทุกคน จำนวน ๑๑ โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๖๔ ของโรงเรียนที่ส่งผลการทดสอบ และมีโรงเรียนที่มีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ทุกคน จำนวน ๔๕ โรงเรียน
๒. โรงเรียนที่มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ทุกคน เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก (มีนักเรียนไม่เกิน ๑๒๐ คน) จำนวน ๙ โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ ๘๑ ของโรงเรียนที่มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ทุกคน และโรงเรียนที่มีนักเรียน ๑๒๐ คนขึ้นไป จำนวน ๒ โรงเรียน
๓. นักเรียนปกติในโครงการมีจำนวน ๑,๕๗๒ คน
๓.๑ ไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๕๐ จำนวน ๔๕๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๙.๒๐
๓.๒ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๕๐ จำนวน ๑,๑๑๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๗๐.๘๐
๓.๒.๑ ระดับพอใช้ จำนวน ๓๗๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๓.๙๘
๓.๒.๒ ระดับดี จำนวน ๒๓๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๔.๖๓
๓.๒.๓ ระดับดีมาก จำนวน ๑๙๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๕๓
๓.๒.๔ ระดับดีเยี่ยม จำนวน ๓๐๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๖๖
ผลสำเร็จ/ปัญหา อุปสรรคที่พบ
โรงเรียนที่สอนได้ครบตามเกณฑ์และมีนักเรียนผ่านเกณฑ์ทุกคน ส่วนมากเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก (มีนักเรียนไม่เกิน ๑๒๐ คน) จำนวน ๙ โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ ๒๓.๖๘ ของโรงเรียนขนาดเล็กที่เข้าโครงการ โรงเรียนที่มีนักเรียนมากกว่า ๑๒๐ คน จำนวน ๒ โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๑๑ ของโรงเรียนที่มีนักเรียนมากกว่า ๑๒๐ คน ขึ้นไป ทั้งนี้เพราะ การบริหารจัดการคล่องตัว สามารถเพิ่มเวลาและแก้ไขปัญหานักเรียนได้ทันเวลา และที่สำคัญก็คือผู้บริหารสถานศึกษาและครูอาสามีความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
โรงเรียนที่ดำเนินการไม่บรรลุตามเป้าหมาย เป็นโรงเรียนที่สอนครบ ๘๐ ชั่วโมงแต่เนื่องจากนักเรียนมีปัญหาในการอ่านและเขียนอย่างมาก เวลาที่ใช้ทำการสอนและฝึกฝนทักษะยังไม่เพียงพอ มีจำนวน ๕ โรงเรียน และโรงเรียนที่มีเวลาสอนไม่ครบ ๘๐ ชั่วโมง จำนวน ๔๐ โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กจำนวน ๒๒ โรงเรียน และโรงเรียนที่มีนักเรียนมากกว่า ๑๒๐ คนขึ้นไป จำนวน ๑๘ โรงเรียน เนื่องจาก ๑)โรงเรียนมีกิจกรรมมาก ๒) บุคลากรในโรงเรียนยังไม่เห็นความสำคัญและไม่มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกันในการแก้ปัญหาการอ่านการเขียน ๓) นักเรียนเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
รูปแบบที่ ๒ หมายถึง ครูอาสาเป็นครูสอนประจำชั้นในระดับประถมศึกษา และครูภาษาไทยระดับมัธยมศึกษา สอนวันละไม่น้อยกว่า ๑ ชั่วโมง สอนในเวลาปกติ/นอกเวลา เวลาสอนทั้งหมด ไม่ต่ำกว่า ๘๐ ชั่วโมง มีจำนวน ๒๔ โรงเรียน มีโรงเรียนส่งผลการทดสอบ จำนวน ๒๑ โรงเรียนเป็น โรงเรียนขนาดเล็ก (มีนักเรียนไม่เกิน ๑๒๐ คน) จำนวน ๑๑ โรงเรียน โรงเรียนที่มีนักเรียนมากกว่า ๑๒๐ คนขึ้นไป จำนวน ๑๐ โรงเรียน นักเรียนปกติที่อยู่ในโครงการจำนวน ๕๖๘ คน
ผลการดำเนินงาน
๑. นักเรียนปกติผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๕๐ ทุกคน จำนวน ๔ โรงเรียน เป็นโรงเรียนขนาดเล็กทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๐๔ ของโรงเรียนที่ส่งผลการทดสอบ และมีโรงเรียนที่มีนักเรียน ไม่ผ่านเกณฑ์ทุกคนจำนวน ๑๗ โรงเรียน
๒. นักเรียนปกติในโครงการมีจำนวน ๕๖๘ คน
๒.๑ ไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๕๐ จำนวน ๑๗๑ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๐.๑๑
๒.๒ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๕๐ จำนวน ๓๙๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๖๙.๘๙
๒.๒.๑ ระดับพอใช้ จำนวน ๑๔๔ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๓๕
๒.๒.๒ ระดับดี จำนวน ๑๑๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๓๗
๒.๒.๓ ระดับดีมาก จำนวน ๖๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๙๗
๒.๒.๔ ระดับดีเยี่ยม จำนวน ๗๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๓.๒๐
ผลสำเร็จ/ปัญหา อุปสรรคที่พบ
โรงเรียนที่สอนได้ครบตามเกณฑ์และมีนักเรียนผ่านเกณฑ์ทุกคน จำนวน ๔ โรงเรียน เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก (มีนักเรียนไม่เกิน ๑๒๐ คน) คิดเป็นร้อยละ ๓๖.๓๖ ของโรงเรียนขนาดเล็กที่เข้าโครงการ ทั้งนี้เพราะ การบริหารจัดการคล่องตัว สามารถเพิ่มเวลาและแก้ไขปัญหานักเรียนได้ทันเวลา และที่สำคัญก็คือผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนมีความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
โรงเรียนที่ดำเนินการไม่บรรลุตามเป้าหมาย เป็นโรงเรียนที่สอนครบ ๘๐ ชั่วโมงแต่เนื่องจากนักเรียนมีปัญหาในการอ่านและเขียนอย่างมาก เวลาที่ใช้ทำการสอนและฝึกฝนทักษะยังไม่เพียงพอ จำนวน ๗ โรงเรียน และโรงเรียนที่มีเวลาสอนไม่ครบ ๘๐ ชั่วโมง จำนวน ๑๐ โรงเรียน เนื่องจาก ๑) โรงเรียนมีกิจกรรมมาก ๒) บุคลากรในโรงเรียนยังไม่เห็นความสำคัญและไม่มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกันในการแก้ปัญหาการอ่านการเขียน ๓) นักเรียนเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
* * *
จากผลของการดำเนินโครงการและบรรลุเป้าหมายของการทำให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้อย่างแท้จริงภายในเวลา ๔ เดือนดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า...เมื่อผู้บริหารโรงเรียนเอาจริง ครูเอาจริง และสอนอย่างถูกวิถีของภาษาไทยแท้จริง นักเรียนก็จะอ่านออกเขียนได้อย่างแน่นอน ซึ่งนักเรียนในทุกโรงเรียนที่ผ่านการประเมินตามรายการที่ปรากฏก็ล้วนเป็นตัวอย่างที่พร้อมท้าพิสูจน์ เช่น โรงเรียนบ้านเขาวง โรงเรียนบ้านหนองผักกาด โรงเรียนวัดทัพคล้าย ฯลฯ...
แต่สำหรับนักเรียนบางคนในบางโรงเรียนที่ไม่ผ่านการประเมินนั้น ปัญหาส่วนใหญ่อยู่ที่ผู้บริหารยังไม่ได้ใช้การบริหารจัดการให้การดำเนินการเป็นไปตามแนวทางที่โครงการกำหนดอย่างเต็มรูปแบบ และครูผู้สอนยังไม่ได้สอนเต็มเวลา ขั้นตอน วิธีการ และเนื้อหาโครงการ ซึ่ง สพท.อุทัยธานี จะต้องติดตามให้การสนับสนุนดำเนินการต่อไปในปีการศึกษา ๒๕๕๑
โรงเรียนอื่นๆ สพท.อื่นๆ และกระทรวงศึกษาธิการล่ะ ตื่นหรือยัง! หลับใหลได้ปลื้มกับหลักทฤษฎีของชาติพันธุ์ภาษาอื่นที่ครอบงำจนหลงลืมรากเหง้าวิถีแจกลูกผันเสียงแบบไทยกันมาเนิ่นนาน...พอหรือยัง ฤๅถึงคราจะต้องเปลี่ยนชื่อกระทรวงศึกษาธิการเป็น กระทรวงศึกษาพิการ! เสียแล้ว ผิดบาปที่แสดงผลมากมายในวันนี้ แก้ง่ายนิดเดียว เพียงหันมาให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนแบบเน้นย้ำทักษะออกเสียงอ่านแจกลูกสะกดคำ ผันเสียง คัดคำ และเขียนคำตามคำบอกให้มากๆ เท่านั้นเอง ไม่ต้องทำตามแนวทางที่ สพท.อุทัยธานี ทำก็ได้ ไม่ต้องใช้วิธีของ ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ ก็ได้...ถ้าท่านมีวิธีที่ดีกว่า แต่อย่างไรก็ตามท่านไม่ควรนำทฤษฎีหรือแนวของภาษาอื่นมาใช้กับภาษาไทยมากนัก ภาษาไทยต้องใช้วิธีแห่งวิถีภาษาไทยเป็นหลักในการเรียนการสอนจึงจะได้ผลแท้จริง อย่ามัวแต่ขี่ม้าเลียบค่ายเหยาะย่าง และแก้ปัญหาแบบเหยาะแหยะหย่อนยานกันอยู่ต่อไปเลย สงสารเด็กๆ ที่ตกอยู่ในโลกมืดของการอ่านเขียนเถอะครับ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ปล.
๑.ขณะนี้ ศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรม ต้องการรับสมัคร ครูอาสา เพื่อให้การอบรมเรียนรู้วิธีการและกระบวนการ แก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ตามแนวทางดังกล่าว และเพื่อสร้างความเป็น นวัตกร ผู้เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหานี้อย่างต่อเนื่องต่อไป โดยไม่จำกัดวุฒิและอายุ ขอเพียงให้ เป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่น มีความสามารถออกเสียงอักขระได้ชัดเจน มีความพร้อมในการสอนแบบ แจกลูก-สะกดคำ-ผันเสียง มีความขยันมุ่งมั่นเอาจริง มีบุคลิกภาพอบอุ่น รักเด็กและเข้าใจเด็ก (หลังการฝึกอบรมแล้ว เมื่อมีสถานศึกษาใดต้องการว่าจ้างเป็นผู้แก้ปัญหา "อ่านออกเขียนได้ภายใน ๔ เดือน" กำหนดอัตราค่าตอบแทนต่อเดือนเท่ากับระดับปริญญาโท...แม้ว่า "ครูอาสา" จะมีวุฒิระดับต่ำกว่าหรือสูงกว่าปริญญาโทก็ตาม ซึ่งขณะนี้มีสถานศึกษาจำนวนหนึ่งที่แจ้งความประสงค์ต้องการ "ครูอาสา" เข้ามายังทุ่งสักอาศรมบ้างแล้ว) การอบรมเรียนรู้ที่ทุ่งสักอาศรมจะจัดให้นั้น เป็นการบริการฟรี! สำหรับ "ครูอาสา" ที่ไม่ได้เป็นข้าราชการประจำ
แต่ถ้าเป็นครูหรือข้าราชการประจำการ ศูนย์ยินดีจัดอบรมให้โดยมีค่าใช้จ่ายตามอัตรา และกระบวนการเชิงอุดมคติ...ที่ศูนย์กำหนด
๒.สพท.ใด หน่วยงานทางการศึกษาใด และโรงเรียนใดที่สนใจและอยากเข้าร่วมโครงการ หรือต้องการปรึกษาหารือ ศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรม ติดต่อได้ตลอดเวลา
...
ติดต่อ ศูนย์เรียนรู้ทุ่งสักอาศรม หรือ ครูกานท์ ได้ที่ ๓๕ หมู่ ๑๓ ต.จรเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ๗๑๑๗๐ โทร.๐๘๑-๙๙๕๖๐๑๖
email : tungsakasome@yahoo.com
www.siwagarn.multiply.com
www.oknation.net/blog/krugarn
* * *
16 มิถุนายน 2551 14:57 น.
ธมกร
การอ่านอย่างมีมิติ
ศิวกานท์ ปทุมสูติ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ภาษามิได้มีเพียงความหมายของถ้อยคำเท่านั้น เมื่อภาษาถูกส่งออกจากผู้ส่งสาร มันจึงมิได้มีเพียงเรื่องราวที่เป็นความหมายของถ้อยคำ แต่ในเรื่องราวและความหมายที่ส่งออกมานั้นจะประกอบไปด้วยความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติ เจตนา ท่าทีของความคิดความรู้สึกหรือน้ำเสียง ความหมายตรง ความหมายแฝง วัฒนธรรม พื้นภูมิประสบการณ์ ภูมิปัญญา ปรัชญา อุดมการณ์ มโนคติ อุดมคติ ท่วงทำนอง วิถี ลีลา รูปแบบ บุคลิกภาพ อัตลักษณ์ เบื้องหน้าเบื้องหลัง บริบทชีวิต สังคม การศึกษา ความจริงใจ เล่ห์เหลี่ยม ชั้นเชิง ความดี ความงาม ความชั่วร้าย ความกล้า ความเชื่อมั่น ความหวั่นไหว ความหวาดระแวง ความคาดหวัง ฯลฯ
ไม่ว่าภาษาที่ส่งออกมานั้นจะเป็นภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษาท่าทาง หรือภาษาสัญลักษณ์ต่างๆ ก็ตาม ก็อาจมี อะไร ที่นอกเหนือจากความหมายตามถ้อยคำและเรื่องราวตามตัวหนังสือหรือสื่อแสดงภาษานั้นๆ ยิ่งมีอะไรที่แฝงมาในสารนั้นมากเท่าไร ผู้รับสารก็จำเป็นที่จะต้อง อ่าน อะไรๆ เหล่านั้นให้ครบถ้วน จึงจะถือว่าเป็นผู้รับสารที่มีคุณภาพ ยังประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจ การนำไปใช้ หรือกระทำการใดๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับรู้นั้นอย่างมีคุณค่า
เราเรียกการอ่านที่สามารถ เข้าถึงสารอย่างถ่องแท้ทุกแง่ทุกมุมหรือทุกนัยแห่งสาร นั้นว่า การอ่านอย่างมีมิติ การอ่านเช่นนี้ จะส่งเสริมสติปัญญา ความคิด อารมณ์ความรู้สึก และวุฒิภาวะในการอ่านโลก อ่านชีวิต และอ่านสิ่งต่างๆ ให้งอกงามพัฒนา ส่งผลให้บุคคลผู้มีวิถีการอ่านเช่นที่ว่านี้เป็นผู้แตกฉานต่อชีวิต มีศักยภาพทางความคิด สติปัญญา ความสามารถสร้างสรรค์ การทำงาน และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพยิ่ง และบุคคลผู้สมควรที่จะต้องเป็น นักอ่าน ซึ่งมีวิถีการอ่านอย่างมีมิติที่สมบูรณ์อยู่ตลอดเวลาก็คือ ครูนั่นเอง
การอ่านไม่ใช่แค่เรื่องของวิชาภาษาไทย หรือวิชาภาษาใดๆ แต่มันเป็น เครื่องมือแห่งชีวิต ที่ครูทุกคนจะต้องเป็นนักอ่าน การอ่านมากและอ่านอย่างลุ่มลึกแหลมคม อย่างทะลุทะลวงมิติต่างๆ ของสาร เข้าถึงสารอย่างสมบูรณ์ถ่องแท้อยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ จะทำให้ครูได้พบกับสิ่งใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ วิถีทางใหม่ๆ ความสนุกในรสแห่งการอ่าน ความบันเทิงทางจิตวิญญาณและปัญญา ทำให้สามารถคิดอะไรใหม่ๆ ในการสอนและการพัฒนาคุณภาพทางวิชาการของตน ข้อสำคัญมันจะทำให้ครูทุกคนได้พบความภาคภูมิใจในตนเอง เชื่อมั่นในตนเอง มีความกล้าหาญทางจริยธรรม และจะได้อะไรดีๆ ในชีวิตของการเป็นครูอีกมาก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะเป็นดอกผลแสนงามที่ตกทอดแก่เด็กๆ และเยาวชนของชาติอย่างมิต้องสงสัย
งานเขียนที่มักมีมิติซับซ้อน มีอรรถรสชวนอ่าน มีแก่นสารทางปัญญาและมโนคติ โดยทั่วไปจะพบได้ในกลุ่มงานเขียนประเภท บันเทิงคดีสร้างสรรค์ ได้แก่ กวีนิพนธ์ เรื่องสั้น นวนิยาย หรือที่มักเรียกรวมๆ ว่าวรรณกรรมสร้างสรรค์และปรัชญานิพนธ์ต่างๆ การอ่านงานประเภทเหล่านี้จะช่วยให้มีความสนุกบันเทิงในการอ่าน ซึ่งอาจเป็นการสนุกคิด สนุกติดตาม สนุกกับความตื่นเต้น หรือสนุกกับท่วงทำนองต่างๆ ในมิติของงานเขียนที่สร้างสรรค์ แต่การที่ครูจำนวนไม่น้อยยังมิใคร่จะให้ความสำคัญกับการอ่านงานเขียนประเภทนี้ ก็เพราะมักจะคิดว่าไม่มีความสำคัญ ไม่ได้ให้คำตอบกับโจทย์ชีวิตหรือหน้าที่การงานที่ต้องการโดยตรง หารู้ไม่ว่าการคิดเช่นนั้น แท้แล้วเป็นการคิดที่ผิวเผินนัก!
การมุ่งอ่านเพื่อรู้เรื่องราวที่อยากรู้โดยตรงเช่นการอ่านตำราจะได้อย่างมากก็แค่รู้เรื่องนั้นๆ เท่านั้น สมองจะสั่งสมแต่ ตัวรู้ที่รู้ตาม ตามที่คนอื่น บอกความรู้ ให้ แต่การอ่านงานเขียนที่มิได้บอกความรู้โดยตรง จะเป็นการกระตุ้นความงอกงามทางปัญญา กระบวนการคิด มโนคติ และวุฒิภาวะทางอารมณ์ ฯลฯ ทำให้บุคคล พัฒนาสมองแบบเชื่อมโยง ด้วยตัวของตัวเอง และก็จะสนับสนุน ตัวรู้ ที่รับรู้เรื่องราวต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และสังเคราะห์อย่างเป็นองค์รวม
อยากให้ลองพิจารณาทบทวนว่า การเรียนการสอนที่ครูโดยทั่วไปปฏิบัติกันอยู่นั้นได้ก้าวพ้นวิธีการแบบ บอกความรู้ แล้วหรือยัง ถ้ายัง ก็แสดงว่าครูยังมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มาตรา ๒๔ ยังมิได้ก้าวไปสู่ทิศทางการปฏิรูปการศึกษา ยังพายเรืออยู่ในอ่างที่ไม่สามารถหาทางออก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะครูเอง (ส่วนใหญ่) ล้วนผ่านการสั่งสมการเรียนรู้แบบรับความรู้จากครูผู้บอกความรู้ เช่นเดียวกันมาเป็นเวลานานแสนนาน ทั้งระบบ ทั้งสังคมการศึกษาของเรา วันนี้เราสามารถพัฒนาความรู้ไปได้ไกลชนิดไม่น้อยหน้าใครในโลกแล้ว แต่การพัฒนาความคิด กระบวนการคิด ความคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างเท่าทัน และการคิดอย่างมีมิติของเรากลับถดถอย ขาดหาย และพัฒนาไปได้น้อยอย่างน่าตกใจ จนกระทั่งต้องบัญญัติกฎหมายบังคับ (มาตรา ๒๔) ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะเราสั่งสมเหตุแห่งการจัดการศึกษาแบบให้น้ำหนักแก่ ตัวรู้ มากกว่า ตัวคิด นั่นเอง ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องใช้กระบวนการอ่านอย่างขบคิดแทรกซึมเข้าไปในทุกสาขาวิชา ทุกตัวครูและผู้บริหาร ซึ่งเครื่องมือสำคัญของการอ่านที่ว่านี้ก็คือ การอ่านอย่างมีมิติ นั่นเอง
เพราะชีวิตมนุษย์มีมิติที่ซับซ้อน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม การมีอิริยาบถเคลื่อนไหว บริโภค คิด พูด ทำ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเพียงส่วนที่มองเห็นเหมือนภาพแบนๆ เท่านั้น ยังมีสิ่งที่ซ่อนเร้น ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจ และเข้าไม่ถึงอีกมากมาย เช่นนี้แล้วเราจะยังมัวอ่านชีวิตและใช้ชีวิตเพียงภาพแบนๆ กันอีกหรือ
การสอนให้รู้จักคิด มิใช่การบอกทฤษฎีความคิด หรือมิใช่แนะให้คิดอย่างนี้อย่างนั้น เปล่าเลย การรู้จักคิด นั้นบอกกันไม่ได้ แต่กระตุ้นเร้าได้ และปฏิบัติการแบบสั่งสมทักษะได้ ถ้าครูมีทักษะประสบการณ์การอ่านอย่างมีมิติที่เพียงพอ
การเรียนการสอนทุกวิชาจะต้องให้บูรณาการกับ ความรักการอ่าน สุกกับการขบคิด คิดอย่างเอาชีวิตเป็นศูนย์กลาง หรือเอาชีวิตคนเป็นหลัก มิใช่เอาวิชาเป็นหลัก หรือวิชาใครวิชามันอย่างที่ทำๆ กันอยู่ เราจะต้องเอาทักษะการจำเป็นเครื่องสนับสนุนการคิด มิใช่เอาการจำนำหน้าการคิดอย่างเช่นทุกวันนี้ ข้อสอบที่วัดความจำก็จะต้องพลิกแพลงให้เป็นข้อสอบวัดศักยภาพการคิด ข้อสอบที่วัดความรู้ก็จะต้องเปลี่ยนเป็นข้อสอบที่วัดศักยภาพการใช้ความรู้ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปได้และทำได้แท้จริงก็ต่อเมื่อการอ่านหนังสือแตกฉาน มีมิติ การเรียนการสอนมีชีวิตชีวา มีชีวิตที่เป็นจริงอยู่ในภาวะมิติแห่งความเป็นมนุษย์
ที่สุดของที่สุดก็คือ ครูจะต้องรักการอ่าน ถ้าครูไม่รักการอ่านทุกสิ่งทุกอย่างก็จบ กบแห่งการศึกษาที่เราคาดหวัง คงมิสามารถกระโดดจากบ่อน้ำเก่าๆ ในถ้ำมืดออกไปสู่โลกกว้างแห่งจินตนาการอันเปี่ยมด้วยพลังทางปัญญาที่เจิดจ้าประภัสสรได้!
แต่อย่างไรก็ตาม ก็มิได้คิดว่าครูที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นครูอันงดงามจะเป็นเช่นนั้น บทความนี้จึงเขียนขึ้นด้วยความรู้สึกที่มีความหวัง ขอให้เรามาร่วมกันสร้างมิติแห่งคุณค่าให้เกิดขึ้นในความหวังนั้นเถิด
14 มิถุนายน 2551 16:28 น.
ธมกร
อาขยานสร้างสรรค์การเรียนรู้
ศิวกานท์ ปทุมสูติ
หากคุณคิดว่าการท่องอาขยานเป็นเรื่องล้าสมัย คุณนั่นแหละล้าสมัย
ถ้าคุณคิดว่าการท่องอาขยานเป็นเรื่องของนกแก้วนกขุนทอง
คุณนั่นแหละนกแก้วนกขุนทอง
จำคำพูดของใครเขามาตื้นเขินนัก
ถ้าคุณคิดว่าการท่องอาขยานเป็นเรื่องเสียเวลา
นั่นแสดงว่าคุณไม่เคยได้ให้เวลากับการท่องอาขยานเลย
จึงไม่เคยได้รับรู้รสและอิ่มเอมกับรัก
และถ้าคุณคิดว่าการท่องอาขยานเป็นเรื่องต้องห้าม!
คุณก็ต้องห้ามพระและนักบวชทุกลัทธิศาสนาในบ้านเมืองของเราสวดมนต์!
อีกทั้งจะต้องห้ามนักร้องหรือผู้คนทั้งหลายในประเทศนี้ร้องเพลง!
เพราะทั้งนักสวดและนักร้องก็ล้วนเป็นนักท่องจำ
อาขยาน [อา-ขะ-หยาน] น.บทท่องจำ; การเล่า, การบอก; การสวด; เรื่อง, นิทาน
ซึ่งในที่นี้จะเน้นเฉพาะความหมายของ บทท่องจำ อันเป็นบทกวีเท่านั้น
แต่ก่อนอื่น, ขอถามคุณว่าชอบฟังเพลงไหม เคยร้องเพลงไหม
นิทานล่ะ เรื่องเล่าล่ะ ชอบฟังไหม เคยฟังไหม
เกิดมาเคยสวดมนต์บ้างหรือเปล่า
ถ้าไม่ชอบและไม่เคย คุณน่าจะเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษ!
และขอร้องเถอะ โปรดหยุดอ่านข้อเขียนนี้
คาลิล ยิบราน กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ คำครู ของเขาว่า
ฉันควรจะเป็นต้นอ้อที่หักเพราะถูกฝ่าเท้าของผู้คนเหยียบย่ำ
เพราะการเป็นเช่นนั้นดีเสียยิ่งกว่าการเป็นพิณในบ้านของบุคคล
ผู้ซึ่งนิ้วมือของเขาพิการ และคนในบ้านของเขาก็หูหนวก เมินต่อเสียงดนตรี
สำหรับผม, อยากจะบอกว่า ถ้าหากคุณเป็นผู้ซึ่งเปล่าไร้ดวงใจ
ที่จะแบ่งปันให้กับบทเพลงของชีวิต
แม้แต่นิทานหรือเรื่องเล่าก็มิสดับรับรส
มิไยดีต่อบทสวดบริกรรมก็ป่วยการที่เราจะเสพเสวนาต่อกัน!
เพราะบทท่องจำหรืออาขยานที่ผมกำลังพูดถึงมันก็คือคนละเรื่องเดียวกันนั่นเอง
แท้จริงแล้วการท่องอาขยาน [บทกวี] มีคุณค่ามากกว่าที่ใครหลายคนคิด
นั่นคือ ขณะท่องจะก่อให้เกิดกระบวนการจัดระเบียบจิต
เกิดความมีสมาธิ
สั่งสมทักษะแห่งท่วงทำนองชีวิต ซึมซับอรรถรสแห่งเนื้อหา
โน้มนำสภาวะจิตวิญญาณให้ดื่มด่ำกับสุนทรียภาพ
กระตุ้นความคิดและจินตนาการเชื่อมโยงสู่การเข้าถึงความนัยหลายมิติ
อันจะผลิดอกออกผลเป็นผลึกและพลังทางปัญญา
ความมีจิตประภัสสรต่อความงาม ความรัก และผัสสะทางอารมณ์ต่างๆ
ความลึกซึ้ง ภาวะการเข้าถึงมโนคติ ความมีรากเหง้าและตัวตน
คุณและผมต่างก็ได้คำตอบตรงกันว่า
บรรดาพ่อเพลงแม่เพลงพื้นบ้านพื้นเมือง
ล้วนไม่เคยเรียนฉันทลักษณ์คำประพันธ์ใดๆ ในห้องเรียน
แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นต่างท่อง
และร้องเพลงครูกันมาคนละมากมายหลายบทหลายเพลง
ท่องร้องจนได้เนื้อ ได้ทำนองจังหวะ ได้คำได้ความคิด
ได้อารมณ์เพลงและจิตวิญญาณพื้นบ้านพื้นเพลง
วันหนึ่งท่านก็สามารถร้องแยกแตกหน่อ ด้นได้
และผูกเพลงใหม่ๆ เป็นของตนเองได้
เพลงที่รัก คำที่ร้อง ความคิดความอ่านที่เป็นดั่งดวงดอกไม้แห่งชีวิต
อันประดิดประดอยก็ค่อยๆ จัดจิตจัดใจให้งาม
ให้ประสบพบคุณค่าของชีวิตในรสในรักอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน
เป็นวิถีที่คุณและครูภาษาไทยทุกคนต้องไม่ละเลย
ลองหันกลับมาสำรวจพิจารณาตนเองดูว่าสอนอะไรผิดไปบ้าง
นักการศึกษาและผู้บริหารก็เช่นกัน รู้ เข้าใจ
และทำอะไรผิดพลาดกันไปมากน้อยแค่ไหน
สำนึกบาปและกระทำการไถ่บาป [อย่างถูกต้อง] กันบ้างหรือยัง
สำหรับเด็กๆ ถ้าสามารถท่องอาขยานจนขึ้นใจได้
เหมือนพ่อเพลงแม่เพลงที่ท่องเพลงครูนั้นบ้างล่ะ
พวกเขาก็จะเขียนกาพย์กลอนได้
โดยไม่ต้องเรียนรู้ฉันทลักษณ์คำประพันธ์เช่นเดียวกัน
ลองเดินตามรอยครูเพลงพื้นบ้านพื้นเมืองกันดูเถิด
นั่นแหละของแท้ของการเรียนรู้
หรือแม้ว่าไม่ประสงค์จะคิดจะเขียนกาพย์กลอนก็ตาม
การท่องอาขยานก็จะยังส่งผลให้พัฒนาการเรียนรู้
และเติมคุณค่าของชีวิตที่กำลังขาดหาย
ตัวตนและรากเหง้าที่เราต่างถวิลหาก็จะมีและกลับคืนมา
สำคัญอยู่แต่ว่า ครูจะต้องกระทำตนให้เป็น ตัวอย่างสร้างศรัทธา ด้วย
ยากใช่ไหมเรื่องนี้, ไม่ยากหรอกครับถ้ารักและมุ่งมั่น
อาขยานที่จะส่งเสริมให้เด็กๆ ท่อง อาจเป็นบทสั้นๆ จบเรื่องในตัว
เช่น บทสักวา บทดอกสร้อย หรือบทกวีขนาดสั้น [ไม่เกิน ๑๐ บท]
หรือเลือกคัดตัดตอนจากเรื่องยาวเฉพาะตอนใดตอนหนึ่ง
ซึ่งมีอะไรที่ลึกซึ้ง กินใจ หรือโดนใจ
อะไร ในที่นี้หมายถึงอะไรก็ได้
ที่ก่อให้เกิดพลังกระทบทางปัญญา สร้างสรรค์คุณค่าต่ออารมณ์รู้สึก
มีมิติของชีวิต จิตวิญญาณ รากเหง้า ตัวตน
มีลีลา ท่วงทำนอง ความงาม ความรัก และสุนทรียรสต่างๆ
เป็นแบบฉบับให้ยึดถือเป็นแนวทางและพัฒนาสร้างสรรค์ต่อไปได้
หรืออะไรๆ ทำนองนี้
อาขยานที่ดีมิควรเป็นบทสอนตรง หรือเทศนา หรืออรรถาธิบายแต่เนื้อหา
แต่ควรมีชีวิตชีวา มีภาษาของอารมณ์รู้สึก ชวนนึกชวนคิด
มีพื้นที่ทางจินตนาการให้เป็นเกียรติยศแก่ผู้รับสารจะคิดอ่านเอาเองบ้าง
ซึ่งครูจะต้องค้นหาอ่านให้มาก และอ่านให้แตกฉาน
อ่านให้สามารถสัมผัสนัยที่ลึก และแหลมคม
เพื่อให้สามารถเลือกสรรอาขยานที่ดีจริง
นำอาขยานชั้นดีหลายๆ บทที่เลือกแล้วนั้นมาให้เด็กๆ เลือกท่อง
หรือจะบังคับเลือกบ้างก็ได้ เพราะเสรีภาพไม่ใช่การตามใจจนสุดโต่ง!
ชีวิตต้องมียืดมีหยุ่นและมียื้อยุดฉุดดึงกันบ้างพอเป็นกลางๆ ของสายพิณ
ตัวอย่าง
ผลิเอ๋ยผลิใบ
บนกิ่งก้านวันวัยแสวงหวัง
จากต้นพฤกษ์น้อยน้อมหลอมพลัง
ปกบังร่มใบให้แผ่นดิน
รู้จักตอบแทนไม่ทอดทิ้ง
ขวัญมิ่งภูมิลำเนาเหย้าถิ่น
สู้แดดสู้ฝนจนคุ้นชิน
มีชีวินเพื่อชีวาน่ารักเอย
อย่ามัวแต่รออาขยานที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดอีกต่อไปเลย
บางบทที่กระทรวงกำหนดแล้วครูเห็นว่าดีจึงค่อยเอาด้วย
บางบทที่เห็นว่ายังไม่ดีพอ หรือไม่โดนใจ ก็ไม่ต้องเอา
เลือกเอาเองบ้าง หาเอาเองบ้าง กำหนดเองบ้างเถิด
และต้องไม่ลืมที่จะให้โอกาสเด็กๆ ได้เลือกสรรนำเสนอบ้าง
โดยมุ่งที่ความมี อะไร ซึ่ง ควรค่า แก่การท่องเป็นเป้าหมายร่วมกัน
อาจใช้กระบวนการประชาพิจารณ์ย่อมๆ ด้วยก็จะดีไม่น้อย
เมื่อมีพื้นที่ของความมีส่วนร่วมก็จะยิ่งเพิ่มพื้นที่ของความรัก
และความสมัครยินดีด้วยเสมอ
ไม่ว่าคุณจะเป็นครูหรือครูอาจจะเป็นคุณ
ตราบที่คุณและผมยังเกี่ยวข้องกับเด็กๆ และเยาวชนบนเส้นทางภาษา
อาขยานก็คือสวนดอกไม้ระหว่างทางที่จำเป็นต้องมีเพื่อชีวิต
เพื่อลมหายใจของการเดินทาง
และสร้างสรรค์การเรียนรู้
ขอเป็นกำลังใจให้คุณและครูทุกคน
อาเอ๋ยอาขยาน
กินครูเป็นอาหารจรรโลงจิต
ซึมซับสุนทรีย์แห่งชีวิต
ดื่มด่ำความคิดของวันเวลา
หอมอารมณ์ดอกไม้ในมนุษย์
พิสุทธิ์ล้ำลึกรู้สึกรู้สา
พี่ชวนน้องท่องเล่นเจรจา
ปลูกรักอาขยานสุขสันต์เอย
มาลองท่องอาขยานจากบทกวีต่อไปนี้กันเถิด
๑.บทดอกสร้อย
(๑)
ดอกเอ๋ยดอกสร้อย
ค่อยร้อยค่อยเรียงสร้อยเดียงสา
ชุบชะลอชีพลำนำคำผกา
เพื่อเจ้าดวงกมลาที่ข้ารัก
ด้วยรู้สึกนึกคิดสุจริตร่ำ
ในดื่มด่ำอารมณ์บรรโลมสลัก
หวังสักคนหนึ่งใครจะทายทัก
เก็บไว้ถักไว้ทอต่อสร้อยเอย
(ศิวกานท์ ปทุมสูติ, ทุ่งสักอาศรม, ๒๕๔๙)
.........................................................
(๒)
ดอกเอ๋ยดอกข้าว
หอมจริงนะเมื่อคราวลมหนาวล่อง
ข้าวนาปีพี่ปลูกด้วยปรองดอง
ข้าวนาปรังของน้องปลูกด้วยรัก
ดอกข้าวเราจึงหอมไม่จางหาย
เมื่อลมริ้วหนาวร่ายได้ปกปัก
ขวัญแม่ข้าวเนานามีค่านัก
พี่ตระหนักน้องถนอมหอมใจเอย
(ศิวกานท์ ปทุมสูติ, ชุด ดอกข้าวถึงคมเคียว ในหนังสือ
วรรณกรรมปฏิสัมพันธ์ ช่วงชั้นที่ ๑ ป.๑-๓, กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๘)
.....................................................
(๓)
เคียวเอ๋ยเคียวคม
พ่อเคยก้มแม่เคยเกี่ยวมาแต่ก่อน
เหงื่อที่หว่านรักที่หวังกลางนาดอน
ทั้งนาลุ่มอรชรขึ้นช้อนเคียว
เคียวของใครคมวาวไยเล่าช้า
มาซิมาเต้นกำรำเพลงเกี่ยว
โลกต้องการกินข้าวอยู่กราวเกรียว
อย่าโดดเดี่ยวชาวนาอ่อนล้าเอย
(ศิวกานท์ ปทุมสูติ, ชุด ดอกข้าวถึงคมเคียว ในหนังสือ
วรรณกรรมปฏิสัมพันธ์ ช่วงชั้นที่ ๑ ป.๑-๓, กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๘)
.....................................................
(๔)
ตัวเอ๋ยตัวเอง
ไยมิเร่งรู้จักมักจี่
มักรู้แต่เขามิเข้าที
คนไม่มีตัวเองน่าอายแท้
เสื้อผ้าผมเผ้าเอาอย่างใคร
สุ้มเสียงผิดไปจากพ่อแม่
กลับมาเถอะตัวเองอย่าอ่อนแอ
เที่ยววิ่งแร่ตามเขาไม่เอาเอย
(ศิวกานท์ ปทุมสูติ, ทุ่งสักอาศรม, ๒๕๔๙)
......................................................
(๕)
ตัวเอ๋ยตัวหนังสือ
เสียใจอะไรหรือเดินร้องไห้
จะมีกี่คนที่สนใจ
จะมีกี่ใครใฝ่ร่วมทาง
สะพายเป้ปัญญามาแบ่งปัน
ความคิดความฝันมาสรรค์สร้าง
เที่ยวหาเพื่อนหญิงชายทักทายพลาง
พบบ้างหรือยังหนังสือเอย
(ศิวกานท์ ปทุมสูติ, ทุ่งสักอาศรม, ๒๕๔๙)
.........................................................
(๖)
ปลาเอ๋ยปลาตะเพียน
เคยว่ายเวียนเปลสานเจ้าแก้มใส
ว่ายออกไปนอกเปลเหห่างไกล
วันที่โลกเปลี่ยนไปเปลี่ยนใจปลา
ตะเพียนเงินตะเพียนทองผิดพ้องพักตร์
ไม่รู้จักรู้จ้องแล้วน้องข้า
แต่แบเบาะจ้องจอรอเวลา
ปาปริก้าอบกรอบครอบงำเอย
(ศิวกานท์ ปทุมสูติ, ทุ่งสักอาศรม, ๒๕๔๙)
..........................................................
๒.บทกวีทั่วไป
(๑) ความรัก
ศิวกานท์ ปทุมสูติ, ๒๕๔๖
ความรักมิใช่เรื่องน่ารังเกียจ
หากรู้เจียดหัวใจให้เหมาะสม
มิให้รักชักพาเผลออารมณ์
จนเกินข่มความใคร่ก่อนวัยงาม
ความรักมิใช่เหตุเทวษทุกข์
ถ้ามิชั่วชิงสุกเสียก่อนห่าม
ถ้ารู้จักพิทักษ์ไฟมิให้ลาม
รักจะพาฝ่าข้ามขวากหนามร้าย
ความรักมิใช่จบที่เตียงนอน
แต่จะเอื้ออาทรซ่อนความหมาย
เพียงบุปผาค่าคุณกรุ่นกำจาย
ถ้ามิด่วนทำลายก่อนเวลา
ความรักมิใช่ของทดลองเลือก
เบื่อก็ถอดเช่นเกือกแล้วซอกหา
ความสำส่อนใช่ทักษะเสริมชีวา
ราคะใช่ราคาของชีวิต
หนุ่มเอย สาวเอย เพิ่งเคยรัก
จงค่อยฟูมค่อยฟักให้ศักดิ์สิทธิ์
อย่าให้สติปัญญาเธอมืดมิด
เชื่อว่ารักจักวิจิตร ทุกดวงใจ.
........................................................
(๒) โลกคงจะสดใส
ศิวกานท์ ปทุมสูติ, สร้อยสันติภาพ, ๒๕๓๒
หากคนเรารู้จักรักผู้อื่น
พร้อมหยิบยื่นไมตรีบริสุทธิ์
โลกคงจะสดใสไม่โทรมทรุด
เจริญรุดด้วยรักที่ถักทอ
เข้าใจและเห็นใจกันให้มาก
น้ำใจหลากเลี้ยงใจมิให้ฝ่อ
อย่าเหมือนปากปราศรัยใจเชือดคอ
จริงใจต่อกันและกันเป็นมั่นคง
ช่วยปลอบปลุกทุกข์ท้อให้ต่อสู้
ให้รับรู้ภาระอันสูงส่ง
ว่าสูงสุดมนุษยชาติผู้หยัดยง
จะปักธงมนุษยธรรมเพียงผืนเดียว
หากคนเรารู้จักเสียสละ
ละความเห็นแก่ได้ไม่แลเหลียว
แม้ต้องฝืนธรรมชาติที่มัดเกลียว
กิเลสเหนียวกล้าหน่ายภูมิใจนัก
ไม่เอาเปรียบแต่พร้อมยอมเสียเปรียบ
เป็นเรือเทียบโดยสารรับงานหนัก
เป็นเมตตาอาทรไม่ผ่อนพัก
แล้วจะรู้ว่ารักเป็นอย่างไร
รักที่มีแต่ให้โดยไม่ขอ
รักจะก่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่
ยิ่งให้เขาเราจะสบายใจ
ใครไม่เคยให้ใครลองให้ดู.
(๓) กอดแน่นแน่นนะแขนน้อย
ศิวกานท์ ปทุมสูติ, รักนั้นเป็นฉันนี้, ๒๕๔๖
กอดฉันไว้แน่นแน่นนะแขนน้อย
เราจะลงเรือลอยสายน้ำเชี่ยว
เราจะเลาะเราจะลัดตัดคดเคี้ยว
ประเดี๋ยวก็จะถึงบึงเวิ้งว้าง
ที่นั่นตะวันรุ่งจะเรืองแสง
รอนักเสาะแสวงหัวใจสว่าง
นกฟ้า กาน้ำ จะนำทาง
ไปสู่ความลึกกว้างอันพร่างพราย
ระวังนะที่รักเรือเราเล็ก
กายใจมิใช่เหล็กบอบช้ำง่าย
พบมัจฉาปลาปูอย่าดูดาย
อาจบางทีคิดร้ายทำลายเรา
กอดฉันไว้แน่นแน่นนะแขนน้อย
เรือจะคล้อยคลองคดและโขดเขา
ลมจะพัดเมฆจะพาฟ้าทึมเทา
จะเพียงหยอกเพียงเย้าให้เรายล
ดูโน่นสิที่รักฟ้าถักรุ้ง
เรือเรากำลังมุ่งไม่สับสน
อยากฝันก็หลับตาเถอะนฤมล
ฝันถึงเราสองคนนะคนดี
...................................................
(๔) ประจักษ์ประจานใจ
ศิวกานท์ ปทุมสูติ, หนึ่งทรายมณี, ๒๕๓๑
พิศตีนก็ตีนแตก.....บนรอยแยกระแหงย่ำ
หนังตีนถูกทิ่มตำ.....จนหนาเตอะดั่งเนื้อตาย
พิศมือก็มืองาน.....คือมือกร้านใช่กรีดกราย
จอบเสียมสากระคาย.....ลบลายเส้นวาสนา
พิศบ่าก็บ่าลู่.....ให้รู้เห็นความเป็นบ่า
แบกรับตลอดมา.....ในมรรคาที่ขื่นขม
พิศผิวก็ผิวเผือด.....ไร้เลือดฝาดจะพึงชม
ผ่านฝนทนแดดลม.....มาหลายชั่วฤดูชิน
พิศตาก็ตาช้ำ.....น้ำตากล้ำไว้กลืนกิน
ซ่อนหน้าน้ำตาริน.....กี่ร้อนหนาวพราวน้ำตา
พิศปากก็ปากแห้ง.....เพียงแล้งห้อมทุกหย่อมหญ้า
โหยหิวเพรียกโหยหา.....ก็เหว่ว้าก็วังเวง
พิศร่างก็ร่างเรียว.....ทั้งซูบเซียวไม่ปลั่งเปล่ง
ซมแซ่วและแกร่วเกรง.....ความอยู่รอดอันเลือนราง
พิศชีพก็ชีพชั้น.....กรรมาชีพขาดยุ้งฉาง
ด้อยเปลี้ยเสียทุกทาง.....ท้อรันทดไม่สดใส
พิศโครงก็โครงผูก.....กระดูกโครงทุกคราวไป
ประจักษ์ประจานใจ.....คือภาพใดในแผ่นดิน.
.....................................................
(๕) กล่อมตุ๊กตา
ศิวกานท์ ปทุมสูติ, นครคับแคบ, ๒๕๓๗
(เพลงร้องเรือประยุกต์)
ตุ๊กตาเอย ตุ๊กตาชาวไร่
ยามยากยามไร้ นั่งรถไฟความฝัน
ทิ้งไร่ดอกไม้แห้ง ไปเสาะสีแสงเมืองหมอกควัน
โอ้รถไฟสายฝัน พบแต่ดอกไม้จันทน์ยามจน
ตุ๊กตาเอย ตุ๊กตาชาวนา
ยามโลกสนธยา ลงนาวาลำพยนต์
ทิ้งกระท่อมใบตาล ไปสู่สายธารใบไม้หม่น
โอ้นาวาลำพยนต์ ไปล่มกลางฝนทะเลไฟ
ตุ๊กตาเอย ตุ๊กตาราคาถูก
เป็นของเล่นของลูก ยักษ์มารตนไหน
จึงเหมือนทาสอนาถา เหมือนลูกกาลูกไก่
ให้ยักษ์มารพันธุ์ใหม่ มันกำวิญญาณไว้ในมือ
ตุ๊กตาเอย ตุ๊กตาราคาต่ำ
ดึกดื่นคืนค่ำ จองจำในคาขื่อ
หวังชีวิตวันใหม่ จะสดใสสักมื้อ
แต่คาแต่ขื่อ ก็ขังเจ้าไว้จนตาย
ตุ๊กตาเอย ตุ๊กตายาจก
ขับเกวียนวนิพก มายกศพเจ้าเนื้อทราย
บ้านนี้เมืองนี้ มีแต่คนดูดาย
จะเข็นศพเจ้าเนื้อทราย ไปปลงที่ไร่ปลายนาเอย.
........................................................
(๖) คิดถึงเทพธิดา
ศิวกานท์ ปทุมสูติ, เสียงปลุกยามค่ำคืน, ๒๕๔๑
(กาพย์สาวหาบน้ำ ๑๓)
สาวน้อย.....กระโจมอก
อาบน้ำท่านก.....อาบอาทิตย์อุทัย
นกน้ำ.....ลำประโดง
เฝ้ายามอยู่โยง.....ให้สาวแก้มใส
ลอยคอ.....ในลำคู
มือน้อยค่อยถู.....เนื้อนกอกใจ
ขยับ.....เขยื้อนปม
เพียงเทพพนม.....โฉมน้องยองใย
เนียนผ้า.....เนียนกายสาว
ยิ่งเนียนใจหนาว.....ทุกคราวฝันใฝ่
แฝงตัว.....ใต้บัวบอน
ปทุมทิพย์อรชร.....ช้อนน้ำรำไร
ปลอดตา.....ลำประโดง
ทำซิ่นตีโป่ง.....กระทุ่มน้ำใส
สายน้ำ.....กับสาวน้อย
ตะวันรุ่งร้อย.....สร้อยอรุณวิไล
สนาน.....สราญชื่น
ระลอกหยอกกลืน.....เกี้ยวโลมโฉมวัย
กล้องภาพ.....จากสวรรค์
บันทึกภาพวัน.....ชีวิตสวยใส
นกกา.....ริมท่าชล
ร่ายกวีนิพนธ์.....เพราะพริ้งยิ่งใหญ่
สายลม.....เล่นดนตรี
บรรสานดีดสี.....กับซอลำไผ่
กบเขียด.....ขับลำนำ
สาวน้อยอาบน้ำ.....อาบรักฝากใจ
สาวน้อย.....กระโจมอก
จากนาท่านก.....อาบน้ำท่าไหน
เปลือยอก.....และเปลือยตัว
อยู่ใต้ฝักบัว.....สิ้นแล้วหรือไร
ทุ่งนา.....และฟ้าโค้ง
เทพธิดาลำประโดง.....อยู่ไกลแสนไกล
..............................................................
(๗) ทวนกระแส
ศิวกานท์ ปทุมสูติ, หนึ่งทรายมณี, ๒๕๓๑.
รางวัลบทร้อยกรองสร้างสรรค์ สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ปี ๒๕๓๐.
ทวนน้ำขึ้นเหนือน้ำ.....เพื่อเห็นน้ำที่อยู่เหนือ
ถ่อเรือสวนทางเรือ.....เพื่อเห็นเรือที่สวนทาง
โต้คลื่นเข้าหาคลื่น.....เพื่อรู้คลื่นที่ครืนคราง
ฝ่าลมพัดโหมพลาง.....เพื่อพลางรู้ลู่ทางลม
เสียดทานสิ่งต้านทาน.....เพื่อต้านสิ่งที่เสียดสม
จ่อมจ้วงห้วงลึกจม.....เพื่อจะแจ้งแห่งห้วงลึก
ปะทะแรงกระแทก.....เพื่อแทรกส่ำความรู้สึก
แน่วนำสำนึกนึก.....เพื่อนึกหาหนทางนำ
กล้าทวนกระแสโลก.....เพื่อโลกสู่กระแสธรรม
ก่นเกลาเกลศกรรม.....เพื่อกรรมเกลาเกลศกล
หาญบ่าเข้าแบกบุก.....เพื่อบ่าทุกข์ผ่านทุกข์ทน
สลัดอัตตาตน.....เพื่อตัวตนพ้นอัตตา
ทวนน้ำขึ้นเหนือน้ำ.....เพื่อข้ามน้ำไปเบื้องหน้า
แรมเรือล่วงธารา.....ตราบธาราว่างเปล่าเรือ.