29 มีนาคม 2549 00:38 น.

.....ไพรลวง.....(ตอนที่2)

ธนา

.....หากหันกลับไปมองครองครัวแล้ว จะเห็นเป็นครั้งสุดท้ายดังการลาจาก แต่ครั้งนั้นเองเหมือนมีสิ่งดลในให้หันหลังกลับไปมองครอบครัวของตนเอง ที่มายืนส่งอยู่ประตูบ้าน และอะไรดลใจอีกไม่รู้ที่ทำให้ผาคำยกมือขึ้นโบกไปมา เหมือนทำท่าบายบาย ดังคนในปัจจุบัน.....

.....ผาคำรู้สึกตัวว่าพลาดไป จึงรีบหันหลังกลับรีบเดินลาลับไปจากสายตาคนในครอบครัวที่มาส่ง ไม่นานนัก ภาพหมู่บ้านก็เลือนหายไปจากสายตาเพราะความทึบของแมกไม้เงาบังหนาทึบบดบังเสียหมดสิ้น ผาคำดั้นด้นแบกสัมภาระอันหนักอึ้งอย่างเคยชินอย่างลูกไพรตั้งแต่กำเนิด รักษาความเร็วได้คงเส้นคงวาเสมอ เสมือนว่าเค้าเดินในถนนคอนกรีตใหญ่ในเมืองนั้นและ เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ ผาคำยึดเส้นทางเดินตามล่องลำธารเป็นหลัง นัยว่า สัตว์น้อยใหญ่มักไม่หากินในที่สูง เพราะในที่สูงมีแต่ความกันดาร หาน้ำก็ยากความอุดมสมบูรณ์ต่างๆมักจะอยู่ในล่องเข่า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลำห้วยธารน้ำไหลตลอดปี ที่สัตว์ต้องให้กินเลี้ยงชีพ ตะวันเลยหัวไปนิดหน่อย ผาคำกะระยะเวลาที่เดินมา ไกลพอสมควรที่ห่างหมู่บ้าน เสียงนกการ้องเซ็งแซ่ระงมไพรขับกล่อมประสาไพรดงบงบอกความสมบูรณ์ของป่าได้เป็นอย่างดี.....

	ตะวันเลยหัวแล้ว พักกินข้าวก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยติดรอยสัตว์ต่อ... ผาคำพูดกับตนเอง

.....ผาคำเริ่มปลงสัมภาระออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายไร้พันธนาการก็เกิดความเบาสบายตัว ผาคำเริ่มเดินสำรวจไปมารอบๆเป็นนัยเพื่อความปลอดภัยจากสัตว์มีพิษ เมื่อแน่ใจก็เริ่มรื้อของในย่ามล้วงเอาเนื้อแห้งออกมากับข้าวที่เมียรักนึ่งไว้ให้ห่อในใบตอบ ค่อยๆปั่นข้าวจิ้มเกลือปริเนื้อย่างอย่างกระเหม็ดกระแหม่เข้าปากเคี้ยวคุ้ยๆ สายตาก็มองดูตลิ่งตรงข้ามลำห้วย ผาคำสังเกตตลิ่งฝั่งตรงข้าม มีรูมากมาย แต่ละรูๆใหญ่เท่าไข่เป็นไข่ไก่ ปากรูก็มีใยขาวบางๆคลุมทุกรู ผาทองเห็นดังนั้นก็นึกยิ้มกับตนเองอย่างดีอกดีใจ ที่ได้อาหารเพิ่ม รูที่ว่าคือรู บึ้ง บึ้งเป็นแมงมุมป่าสายพันธ์ ทาลันทูร่า ของประเทศไทย สายพันเดียวที่มีขนาดใหญ่ มีนิสัยดุร้าย ลำตัวออกสีนำเงินอมดำ มีเขี้ยวใหญ่ มีพิษเอาไว้ล่าเหยื่อ ทางกลับกัน มันก็เป็นอาหารยามขาดแคลนแก้ขัดได้เช่นกัน พรานป่าทั่วไปมักทราบกันดี หลังจากกินพออิ่มแล้วจากข้าวกลางวันที่อร่อยหรือไม่อร่อยก็ต้องกิน ผาคำไม่บ่อยเวลาให้เสียเปล่า ลุกขึ้นกลอกน้ำในกระบอกไผ่ตงเข้าปากดับคาวหลังอาหาร แล้วเดินอาจๆ ข้ามห้วยซึ่งไม่กว่างมากนัก มีก้อนกินเกะกะให้ข้ามได้ไปทั่วบริเวณ ผาคำเริ่มใช้เทคนิคเก่าแก่ในการล่าบึ้งออกมาใช้ทันที ผาคำตัดลำอ้อมาหนึ่งลำแล้วลอกเปลือกออก ผาคำต้องใช้ความยาวของต้นอ้อให้เป็นประโยชน์ในครั้งนี้ ผาคำค่อยๆเขี่ยใยของบึ้งให้พ้นปากหลุมของมัน แล้วค่อยๆแหย่ลำอ้อข้อไปเบาๆ แล้วบิดไปมา เป็นในว่าแหย่มัน ไม่นาน สิ่งที่โดนแหย่ในหลุมก็ทนความลำคาญไม่ไหว ก็เริ่มไต่ออกมาหมายจะราวีผู้รุกราน พอมันออกมาจนสุดตัว ผาคำใช้ความชำนาญเฉพาะตัวกดมันไว้กับพืนดินทันทีหาไม้แข็งๆจัดการงัดเขี้ยวแข็งยาวโง้งทิ้ง เพียงเท่านี้ก็สินฤทธิ์แมงบึ้ง ไม่นาน ผาคำได้บึ้งกว่า 10 ตัว จัดการก่อกองไฟจากใยไม้ตากแห้งที่เตรียมมา แล้วใช้หินไฟตีประกายจุดไฟ ก็ไม่ยากเย็นอะไรนักสำหรับชาวป่าดงในการที่จะก่อไฟ เพราะทำทุกวันจนชำนาญดั่งคนปัจจุบันจุดไฟแช็ค ไฟติด ก็จัดการเผาบึ้งร่วม 10 ตัวจนสุกแล้วโรยด้วยเกลือห่อใบตองเก็บไว้เป็นอาหารมื้อต่อไป.....

.....ใช้เวลาชั่วหม้อข้าวเดือด ทุกอย่างก็เรียบร้อย ผาคำก็พร้อมที่จะเดินทางเสาะหารอยสัตว์ที่ตนเองหมายเนื้อเขากระดูกหวังเอาไปแลกของในเมืองใหญ่ต่อไป ผาคำต้องก้มๆเงือยๆตามริ่มตลิ่งที่ตนเองสงสัยหลายๆแห่ง แต่ก็ไร้ซึ่งแววรอยตีนสัตว์ จวบจนเวลาเข้าบ่ายจวบเย็นแล้ว ก็ยังไม่พบรอย.....

	วันนี้มันขึด (ความหมายเหมือนว่า ไม่มีอะไรเป็นใจ) อาหยังนี่ ผาคำบ่นในลำคอเพราะทั้งวันไม่พบรอยเท่าสัตว์เลย
	เห็นที่จะต้องเข้าไปลึกอีก... ผาคำตัดสินใจเดินหน้าไปตามลำห้วยต่อไป

.....จวบเวลาเข้าเย็นไปเรื่อยๆ และในที่สุดสิ่งที่ผาคำตามหาก็ปรากฏให้เห็นในสายตา โป่งดินเค็ม ปรากฏอยู่ในตอนลึกของป่า สภาพโป่งไม่เก่ามากนัก ยังมีแมลงจำพวกผีเสื้อสีสันสวยงามตอมไต่เต็มดาดาษไปหมด ผาคำไม่รอช้า รีบปลดปืนประจำกายออกมาเตรียมพร้อมกับแฝงเร้นตัวเองเข้าหลังต้นไม้ใหญ่ให้เร็วและเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเจอโป่งดินเค็มในครั้งนี้ พรานป่าจะรู้ดีว่า ดั่งเจอขุมทองคำ เพราะดินที่มีสีเหลืองนวลๆนั้น มีรสชาติเค็มแต่เค็มไม่เท่าเกลือ และดินนี้เอง ที่เป็นแร่ธาตุที่สัตว์ต้องการเพื่อให้ระบบร่างกายของตนสมดุลและคงอยู่ได้ นานพอสมควรที่ผาคำจดๆจ้องๆหาสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาในทางปืน เมื่อพิจารณาแล้วก็เห็นว่าช่วงนี้ปลอด ทางเดียวที่จะล่าสัตว์ได้คือ สร้างห้างยิงสัตว์ คิดได้ดังนั้น ผาคำเริ่มลงมืออย่างชำนาญทันที ไม่นานห้างยิงสัตว์แบบชั่วคราวก็เสร็จก่อนแสงตะวันจะลาลับโลกไป ความสูงของห้างสูงกว่า 4 ช่วงคน สูงพอที่สัตว์จะไม่ได้กระสากลิ่นกายคน และปลอดภัยจากสัตว์ร้ายยามราตรี.....

.....ผาคำยัดข้าวปั้นก้อนสุดท้ายพร้อมกับบึ้งจี่(เผา)เข้าปากอย่างอร่อยกรอกน้ำในกระบอกตามเพื่อปลดความฝืดคอ เท่านี้ก็อิ่มสำหรับชาวป่าเขา ความหนาวเย็นเริ่มเข้ามาแทนที่เมื่อตะวันเริ่มจางห่างฟ้า แต่ทว่าร่างกายของพรานป่าซึ่งได้รับฝึกฝนมาเป็นอย่างดีด้วยประสบการณ์ป่าเขาอย่างผาคำ มักไม่มีปัญหาแต่ประการใด เพียงเสื้อหม้อฮ้อมเก่าๆผ้าขาวม้าปกหัวก็สู้ความหนาวได้แล้ว คืนแรกผ่านไปด้วยความหนาวเหน็บ ผาคำต้องต่อสู้กับความอ่อนล้าของร่างกายอย่างหนักเพื่อที่จะได้สิ่งที่ตนเองต้องการ แต่คืนนี้ เป็นการรอคอยที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีแม้นเสียงสัตว์เดิน ซึ่งมันก็เป็นธรรมดา เพราะสัตว์ยอมหากินไปทั่ว ไม่ได้อยู่ที่เดิม บางครั้งต้องเฝ้ารอกันเป็นอาทิตย์ก็มี ซึ่งเรื่องแบบนี้ ผาคำเข้าใจดีตามวิสัยพรานป่า ช่วงเช้าก็ต้องลงมาจากห้างจากคอน ออกมาให้ห่างจากโป่งสัตว์ ให้ห่างแต่ให้อยู่ในสายตา ขุดหลุม ก่อไฟหุงหาอาหารกินตามยถากรรมชาวไพร และใช้ช่วงเวลากลางวันนอนเอาแรง ทว่าการนอนก็ไม่อาจหลับสนิทได้ เพราะหูจะต้องฟังเสียงรอบๆข้างประสาทต้องไวอยู่เสมอๆ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเป็นอย่างมากแต่ก็อดทนรอ.....

.....ช่วงคืนที่สาม ผาคำรู้สึกว่าตนเองไม่ไหว จึงไปตัดเถาวัลย์ยาวพอประมาณน้ำขึ้นไปบนห้างบนคอนด้วย ครั้นตะวันเริ่มตกดิน จึงใช้เถาวัลย์นั้นมัดตนติดกับต้นไม่ไว้ กันเวลาเผลอหลับจะได้ไม่ตกลงมา ตะวันลับฟ้า การรอคอยในคืนที่ 3 อันทรมานและยาวนานก็เริ่มขึ้น แต่คือนี้ ผาคำมีอาการลืมตาแทบไม่ขึ้น ทนฝืนสังขารของตนเองไม่ไหว จึงปล่อยใจให้เข้าสู่ห้วงนิทรา ระหว่างเคลิ้มๆนั้น เอง..

พี่อ้าย............พี่อ้ายผาคำ........ เสียงแว้วๆ ราวกับลอยมาตามลมกระทบโสตผาคำเป็นช่วงๆ

.....ผาคำพยายามขยับเปลือกตา แต่ไม่ไหว มันทั้งหนักทั้งอ่อนแรงทุกที ขณะนั้นทุกอย่างดังความฝัน......


จบตอนที่ 2				
28 มีนาคม 2549 00:35 น.

.....ไพรลวง.....(ตอนที่1)

ธนา

.....รุ่งอรุณในวันที่อากาศหนาวเหน็บเกาะกินเนื้อเข้ากระดูกดำ บ้านกลางดอยซึ่งอยู่กลางมวลหมู่ไม้ป่าหนาทึบ อุดมด้วยไม้ใหญ่น้อยตลอดจนสัตว์ป่ามากมาย วิถีชีวิตชลชาวไพรยังดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ด้วยการหาของป่า คนต้องพึ่งพาอาศัยป่าในการดำรงชีพเลี้ยงครอบครัวตน ตามครรลองไพรที่ถูกต้องในอดีตมา.....
.....เมฆหมอกจากภูผาสูงใหญ่ง้ำ ยังมิได้จางหายไปในช่วงเช้า ยังคงปกคลุมกลุ่มบ้านตลอดจนลำเนาไพรทำให้ยิ่งดูหมู่บ้านมีความลึกลับมืดดำมากยิ่งขึ้น หนองกลางดอย เป็นชื่อของหมู่บ้านแห่งนี้.....
..... ณ บ้านหลังขนาดกลางท้ายหมู่บ้าน ซึ่งเป็นบ้านที่ปลูกสร้างกันขึ้นมาใหม่ อันหมายถึง มีชีวิตใหม่ครอบครัวใหม่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน หนุ่มสาวรักชอบพอกันตกลงกันตามจารีตไม่ผิดผี ปลงใจจะอยู่กินกันเป็นผัวเมียอย่างถูกต้อง พ่อแม่ทางสาวและบ่าว มักจะมาช่วยกันปลูกเรือนใหม่ให้อยู่ด้วยกันเสมอๆ ทุกคู่ไป

	อ้ายๆ....ตื่นได้แล้ว... เสียงใสเจื้อยแจ้วของนางเอื้องจันหอม ร้องปลุกผัวตน 

.....สองผัวใหม่ จะถือว่าเป็นครอบครัวใหม่ก็ไม่เชิง เพราะแต่งงานปลงใจอยู่กันฉันผัวเมียมากว่าปีแล้ว และทั้งนี้ ฝ่ายเมียกำลังท้อง อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ก็จะคลอด ฝ่ายผัวก็ยังนอนสบายหมกไออุ่นจากผ้านวมหนายัดงิ้ว(นุ่น)อยู่ในที่นอน ครั้งได้ยินเสียงเมียรัก ก็รีบผลุนผลันลุกขึ้นมาทันที.....

	น้องหล้าเอื้อง...อ้ายบอกน้องแล้วมิใช่ดอกหรือ ว่าไม่ต้องหักโหมลุกขึ้นมาทำอะไร ช่วงตะวันยังไม่จับฟ้า ผาคำผู้เป็นผัวมีสีหน้าตื่นๆเป็นห่วงผู้เมียซึ่งกำลังท้องแก่
	บ่เป็นหยัง...อ้าย...แม่เฒ่าบอกว่า อย่าขี้คร้านมาก จะออกลูกยาก นางเอื้องจันหอมพูดพร้อมยิ้มตอบผัวรักและเข้าใจในความเป็นห่วง
	แม่เฒ่าก็บอกกล่าวกันเกินไป...น้องหล้าก็ไม่ต้องทำตามแม่เฒ่ามากก็ได้ ท้องก็แก่ประดาแล้ว อ้ายเห็นก็อดเป็นห่วงไม่ได้... ผาคำรีบลุกจากที่นอนไปประคองเมียรัก

.....ตางคนต่างมีความอาธรต่อกัน ทำให้ทั้งสองมีความสุขกันมากในระหว่างครอบครัวเล็กๆกลางดงกลางไพรเช่นนี้.....

	นี่ๆ อ้าย..วันนี้จะเข้าป่าไปล่าสัตว์ ต้องไปแต่เช้า น้องก็เลยลุกขึ้นมาหุงหาอาหาร จัดเครื่องให้อ้าย.. เอื้องจันหอม พูดพร้องยิ้มพราย
	อื้อ..จ่ะหล้า ที่หน้าที่หลังไม่ต้องทำก็ได้.... ผาคำพูดด้วยความอินดูเมียรักพร้อมยกมือลูบแก้มงามเบาๆ
	มาๆ..พี่อ้าย...อย่าเสียเวลาเลย หล้าจัดของให้แล้ว มากินข้าวกินปลาก่อน ตะวันยังไม่ส่องฟ้า จะได้มีเวลากินข้าวอิ่มๆ นางเชิญชวนผัวรัก
	พี่อ้าย วันนี้แม่เฒ่ากับพ่อเฒ่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนหล้า ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ เอื้องจันหอมเอ่ยถามผู้เป็นผัว
	อืมม์...ก็คงแสงตะวันส่องถึงดินนั้นแหละน้องหล้า พ่อเฒ่าแม่เฒ่าจะมีนะ อ้อ..อ้ายให้อ้ายหล้าแสนน้องบ่าวมาอยู่ด้วย มีอะไรก็เรียกใช้เรียกสอยมัน ผาคำพูดพร้อมยัดผักต้มเกลือยัดปากเคี้ยวตุ้ยๆ เอื้องจันหอมรับคำ ต่างนั่งกินข้าวตามประสาผัวเมียอย่างมีความสุขฉันบ้านป่าบ้านดอย

.....เวลาผันผ่านไปนานพอสมควร กว่าที่แสงตะวันจะสาดสลายหมอกหนาให้ออกไปได้ และแทรกแสงแรกพร้อมไออุ่นส่องสว่างถึงพื้น.....

	อ้าย....พ่อเฒ่าแม่เฒ่ากับอ้ายหล้าแสน มาแล้ว เอื้องจันหอม ตะโกนบอกผัวตนให้ออกมาต้อนรับ ผู้เป็นพ่อตาแม่ยายและเด็กหนุ่มวัยราวๆ 15 ปี

.....ทั้งสามได้รับการชวนเชิญให้ขึ้นเรือน ผาคำก้มลงกราบเท้าบิดามารดาของตนเองอย่างเคารพยำเกรงตามวิสัยคนล้านนาที่ได้รับการเสี้ยมสอนมาอย่างดี ทั้ง 5 ชีวิต จึงนั่งลงสนทนากันตามประสาครอบครัว พร้อมการฝากเมียรักไว้กับพ่อแม่ตนและน้องชาย ก่อนที่ตนจะออกป่าใหญ่ ไปหาเนื้อหาหนังนำมาแลกของใช้ในเมือง นี่เป็นวิถีชีวิตแบบชาวป่าก่อนที่อารยธรรมเงินตราจะเข้ามาถึง.....

	ผาคำเอ้ย....ออกป่า อย่าผิดผี อย่าลบหลู่เจ้า อย่าง่าวเดินดอย ไม่ไหวก็กลับบ้านนะลูก คำสอนสั่งจากพ่อเฒ่าแม่เฒ่าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
	จ่ะ....พ่อ-แม่ ข้าฯจะรีบกลับบ้าน ข้าฝากนางเอื้องจันหอม เมียข้าไว้กับพ่อกับแม่ด้วยนะ ไม่นานมันก็จะมีหลานให้ พ่อกับแม่ได้อุ้มแล้ว ข้าจะรีบกลับ.. พูดจบคำผาก็ก้มลงกราบเท้าของสองเฒ่าด้วยความเคารพอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นมากล่าวกับน้องชายของตนเองเป็นการสัมทับบางอย่างเพื่อไม่ให้ลืมหน้าที่

	พี่ผาคำ ไม่ต้องห่วงข้า...ข้าจะดูแล พี่สะใภ้ให้ดี ข้าไม่ใช่ละอ่อนแล้วนะ.. หล้าแสนกล่าวอย่างฉุนๆ ผาคำลูบหัวด้วยความรักใคร่
	ดีๆข้ารู้ว่าเอ็งไม่ใช่ละอ่อน แต่ข้าต้องการได้รับฟังคำมั่นจากปากเอ็งเท่านั้น ข้ากลับมาข้าจะเอา ฮอก(กระรอก) มาฝาก ผู้เป็นน้องชายดีใจยิ่งนัก รับปากรับคำเป็นการใหญ่
	มัวแต่เอาใจมันอ้ายหล้าแสนหนะ มันจะเสียละอ่อน ไปได้แล้วหมอกจางลงมากแล้ว ผาคำเอ้ย แม่เฒ่าผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้น

.....เอื้องจันหอม รีบจัดแจงยกของที่เตรียมให้ผัวรักทันที ประกอบไปด้วย ย่ามผ้าฝ้ายสีกระดำกระด่างคราบไคลบรรจุของใช้อาหารแห้ง กระบอกไผ่ตงกระบอกใหญ่ 2 กระบอก กระบอกหนึ่งบรรจุเกลือเต็มกระบอก เอาไว้ถนอมอาหาร อีกกระบอกบรรจุน้ำ อันที่จริงน้ำท่าค่อนข้างบริบูรณ์ไม่ต้องเอาไปด้วยก็ได้ แต่การเดินทางช่วงแรกค่อนข้างห่างน้ำจึงจำเป็นต้องมีน้ำติดไปด้วย ไถ้ข้าวสารซึ่งเย็บเป็นถุงยาวบรรจุข้าวสารเต็มหัวท้ายยังมีส่วนที่เป็นผ้าเกินออกมา ใช้เพื่อแทนเชือกมัดรอบเอว นอกนั้นจะมีแขนงดินปืน, ลูกจืน(ตะกัว), ปืนคาบศิลาและพร้าคู่มืออีกส่วนหนึ่ง ซึ่งขาดไม่ได้สำหรับพรานไพรทั้งมวล.....
.....จัดแจงทุกอย่างเสร็จ ผาคำก็เดินลงเรือนไป โดยไม่พยายามหันหลังกลับไปมองครองครัว เสมือนถือว่า หากหันกลับไปมองครองครัวแล้ว จะเห็นเป็นครั้งสุดท้ายดังการลาจาก แต่ครั้งนั้นเองเหมือนมีสิ่งดลในให้หันหลังกลับไปมองครอบครัวของตนเอง ที่มายืนส่งอยู่ประตูบ้าน และอะไรดลใจอีกไม่รู้ที่ทำให้ผาคำยกมือขึ้นโบกไปมา เหมือนทำท่าบายบาย ดังคนในปัจจุบัน.....

	ผาคำลูก...........ผาคำ..... เสียงเครือๆเบาๆลอดออกจากลำคออันยากเย็นของพ่อเฒ่า........

จบตอนที่ 1				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธนา
Lovings  ธนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธนา
Lovings  ธนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธนา
Lovings  ธนา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงธนา