18 เมษายน 2550 00:38 น.
ธนา
.....ครั้งหนึ่งฉันก็เคยมีเรือนกายเนื้อที่อบอุ่น มีสัมผัสที่อ่อนโยนและอบอุ่นนุ่มนวลดั่งเช่นคนทั่วๆไป ชีวิตในครั้งนั้น... ฉันจำได้ว่า มีความสุขมากที่สุด เพราะฉันเต็มไปด้วยความหวัง เต็มไปด้วยพลังใจ....
.....พลังใจที่ได้จากคนที่ฉันรัก ครั้งนั้น ฉันได้พลังใจที่สม่ำเสมอ จนฉันมีแรงลุกขึ้นมาจากหลุมแห่งซากศพ ซากศพที่ทับถมไปด้วยอดีตที่ไม่น่าภิรมณ์ของฉันมากมาย...
.....เธอคนนั้น คนที่ฉันรักได้คืนพลังชีวิตแบบที่ฉันไม่เคยได้รับมาก่อนให้ฉัน ฉันได้ตัดสินใจลุกจากหลุมเน่าหนอนขึ้นมา เพื่อ...เพื่อ เผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายของโลกใบนี้ และต่อสู้กับมันตลอดมา...
.....เธอคนนั้น ได้มอบความหวังกำลังใจให้ฉันเสมอๆ จนฉันได้ปลุกกระแสความฝันที่หลับไหลให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งที่เธอมอบให้ฉันคือ "ยาวิเศษ" ที่สุดวิเศษที่สุดในโลก เพื่อรักษาดวงใจที่แตกร้าวของฉันให้ประกอบกันจนแทบจะสนิท ทำให้ฉันมีร่างกายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง....
.....เมื่อร่างกายฉันได้รับยาวิเศษ กระแสความฝันของฉันตื่นตัวเต็มที่ ชีวิตฉันก็มีพลังต่อในการสร้างแรงปรารถนาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ฉันดีใจมาก ดีใจที่สุด ดีใจที่ได้คืนชีพอีกครั้ง และความหวังที่จะได้ใช้ชีวิตดั่งเช่นคนธรรมดาที่มีความสุขเสียที....
.....ความหวังต่างๆ มันทำให้ฉันละทิ้งความเน่าหนอนในหัวใจฉันได้ ฉันคิดว่า "ฉันจะรักเธอตลอดไป" เพราะพลังที่เธอมอบให้ฉันนั้น มันทำให้ "ฉันมีพลังที่จะลุกขึ้นมาสร้างสิ่งดีๆให้เธอเสมอๆ" ให้สมกับคำว่า "คนที่ฉันรัก" ....
.....แต่ปาดแผลต่างๆ รอยร้าวต่างๆ ในร่างกายฉัน ในจิตใจฉัน ที่ประกอบฉันขึ้นมาเป็นร่างกาย ยังไม่ทันจะสมานกันดี ก็มีเหตุที่ทำให้เธอหยุดการส่งยาวิเศษแก่ฉันลง เพียงเพราะจุดดำๆเล็กๆกลางใจเธอ ที่มีมาแต่กาลก่อน เธอจึงด่วนตัดสินใจ หยุดการให้ยาวิเศษแก่ฉันลงในทันที.....
.....จะให้ฉันวิงวอนอย่างไร ในเมื่อเธอไม่ยอมรับ แต่เธอกลับมองเห็นจุดเล็กๆเท่าเม็ดถั่ว สำคัญกว่าผู้ที่มีพลังที่จะสร้างสิ่งดีๆให้เธอใหม่ได้ "ฉันทำไม่ได้ ฉันให้ยาเธอต่อไม่ได้ เพราะฉันทิ้งอดีตไม่ลง และไม่มีใครมาแทนที่เค้าได้"...
.....ฉันตกใจ เสียใจและร้องไห้กับโชคชะตา ที่ฉันอุสาห์ขึ้นมาจากหลุ่มเน่าหนอนนั้นได้แล้ว แต่ฟ้าไม่ปราณีต้องการฝังฉันให้กลับลงหลุ่มเน่าหนอนนั้นใหม่ ฉันเฝ้ามองฟ้าและคอยถาม....
.....ร่างกายฉันค่อยๆสลายไปที่ละนิดๆ แต่แรกยังพอประกอบขึ้นมาใหม่ได้ แต่บัดนี้ มันสลายหายเป็นผงธุลีดิน ยากที่จะกลับมาได้แล้ว.....
.....ขณะนี้ฉันมีแต่วิญญาณ เป็นวิญญาณที่คอยวนเวียนเฝ้าเธอ เพราะความเป็นห่วงใย คอยกระซิบบอกรักและความห่วงหาอาธรโดยที่ไม่มีใครที่จะได้ยิน...
.....หวังเพียงว่า หากเธอคนนั้นได้ยิน เธอจะมอบดวงไฟประกายรักให้ฉันใหม่อีกครั้ง ฉันยังรอเธออยู่เสมอ รอด้วยวิญญาณของความรัก....
1 กันยายน 2549 23:16 น.
ธนา
ไอ้เบิ้มแห่งโป่งคำ (ตอนจบ)
โดย.ธนา
........เสียงลูกซองเดียวจากใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่ม ดังสนั่นทั้งราวป่า พร้อมกับเสียงร้องแปลกๆของไอ้เบิ้มเจ้าหมีใหญ่ นาครพยายามข่มความรู้สึกจุกเสียดไว้ เป็นนัยว่า อย่าประมาท เมื่อส่วนของร่างการไม่มีส่วนชำรุดเสียหาย นาครก็คลำที่เอวเพื่อหาปืนพกขนาด 9 มม. สมิทฯ โมเดล 3906 ที่พกติดตัวตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปไหน มันยังอยู่ในสภาพดี พร้อมแม็คกาซีนจุ 8 นัดอีก 2 แม็ค ยังอยู่ครบ ไม่ได้หล่นหายไปไหน ก็เบาใจไปอีกเปาะหนึ่ง
........ยังไม่ทันไร ก็ปรากฏพงป่าข้างบนไหวยวบ ปรากฏร่างดำทะมึนใหญ่ พุ่งลงมา เล่นเอานาครใจหายชาไปทั่วไขสันหลัง
ไอ้เบิ้ม... นาครครางในลำคอ
ตายหะ....กูอยู่คนเดียวด้วย.... เมื่อพระกาฬอยู่ข้างหน้า ไม่มีเวลาคิดอะไรมากนัก เท่าที่ดี ไอ้เบิ้มเจ้าหมีใหญ่ ก็มีอาการที่ไม่สู้ดีนัก ในขณะที่มันพุ่งตัวตกลงมา ท่าทางมันทรงตัวไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ความคล่องแคล่วลดลงไปมาก จังหวะเวลานี้ ใครได้เปรียบก่อนก็ลอด นาครไวเท่าความคิด ยกปืนประทับบ่าทันที จังหวะไอ้เบิ้มกำลังจะตั้งตัวได้ ระยะ ไม่เกิน 10 เมตร นาครกลั้นใจและแล้ว
ตูม....!! เสียงไบคาลเดียวลูกซองคู่ใจคำรามสนั่นทุ่ง ระยะขนาดนี้ ไม่พลาด ลูกซองขนาดเกจ 12 โอโอบั๊ค 9 เม็ด ระเบิดเข้าสู่สีข้างไอ้เบิ้มอย่างจัง จนเห็นกระเซ็นเลือดของมันสาดออกมา ขนสีดำกระจายว่อน
โอ๊กกกกกกกก!! มันร้องพร้อมกับเซตามแรงปะทะของกระสุนลูกซอง นาครไม่ปล่อยโอกาส ระยะไม่เกิน 10 เมตร เป็นระยะอันตราย และไอ้เบิ้มก็ยังไม่ล้ม สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงได้ นาครเหวี่ยงลูกซองเดี่ยวทิ้งลงข้างตัว มือขวากลับชักเอา เจ้าสมิทแอนเวสสัน ขนาด 9 มม. ออกมาจากเอว พร้อมปลดเซฟ พยายามบังคับมือให้นิ่ง เล็งบริเวณลำตัวตรงแผลลูกซองเปิดเอาไว้ แล้ว...
ปังๆๆๆๆๆ..... เสียงรัวถี่ยิบของ 9 มม.กระสุนไฮดราช็อคหัวรู ลั่นออกไปอย่างหูดับตับไหม้
........นาครค่อยๆเสือกเท้าเข้าไปหาเป้าหมายอย่างช้าๆ เพื่อเป็นการรักษาวิถีกระสุนให้เข้าเป้าทุกนัด ได้ผล ไอ้เบิ้มเริ่มเซ ทำท่าจะล้ม หมดแม็คที่หนึ่ง นาครยัดแม็คที่ 2 ตามเข้าไป ปลดคันค้างสไลค์ลง พร้อมก็ลั่นไกต่อ จนหมดชุดที่ 2 ผลคือ ไอ้เบิ้มหมีใหญ่ล้มทั้งยืน นอนชักแล้วค่อยๆแน่นิ่งไปในที่สุด จบเกมเลือดเสียที นาครถึงกับเข่าอ่อน แต่ปืนยังจ้องที่ซากของไอ้เบิ้มอยู่ รอดูจนแน่ใจว่า มันสิ้นฤทธิ์จริงๆ จึงลดปืนลงเก็บเข้าซองข้างเอว
ว่าไงๆ สำราญกล่าวทักทายคณะที่ไล่ล่าไอ้เบิ้มกลับมา อย่าร่าเริง
อ้าว...ไม่ได้ออกไปช่วยเค้าหรอกรึพี่ เฉลิมพลร้องถาม
ไม่ไปหรอก นั่งเฝ้าขวดเหล้าอยู่นี่ดีกว่า กูแก่แล้ว หน้าที่นี้ยกให้รุ่นน้องๆทำก็แล้วกัน แกหัวเราะพร้อมกรอกเหล้าเข้าปากอักๆ
........นาครเพิ่งนึกขั้นได้ว่า ตลอดเวลาที่พันตูอยู่กับไอ้เบิ้ม พี่สำราญ แกไม่ได้จับปืนเลย เพียงแต่ถือขวดเหล้าวิ่งไปวิ่งมาแล้วก็ร้องโวยวายก็เท่านั้นเอง เมื่อทุกคนทราบเรื่องจากนาคร ต่างก็ร้องด่ากันโขมงโฉงเฉงกันไปตามเรื่อง แต่ก็ไม่มีใครถือสาหาความกันมากนัก
........ในใจลึกๆของนาคร ที่ยืนนิ่งอยู่หันหน้าไปทางทิศที่เจ้าเบิ้มนักเลงใหญ่แห่งพงไพรนอนสงบอยู่ คงแต่ได้แต่ขออโหสิกรรมที่ทำไว้ซึ่งกันและกัน แต่ก็ไม่มีอะไรที่สูญเสียอย่างเปล่าประโยชน์ เนื้อของเจ้าเบิ้ม ก็กลายเป็นเสบียงให้กับคณะ เพื่อใช้ในการเดินทางอันยาวนานต่อไป และไม่รู้ว่าเมื่อไร วันไหน จะถึงจุดหมาย
จบ.
1 กันยายน 2549 02:15 น.
ธนา
ไอ้เบิ้มแห่งโป่งคำ (ตอนที่ 2)
โดย.ธนา
ไอ้เบิ้มมา!!! ทุกคนระวัง!! สรณ์ตะโกนสุดเสียง และทุกคนเข้าใจดีว่า ไอ้เบิ้ม คืออะไร?
........ไอ้เบิ้มคือ หมีควายตัวขนาดใหญ่ ซึ่ง คำว่า ไอ้เบิ้ม เป็นภาษาเรียกเฉพาะกลุ่มของพรานทั้ง 8 คน หมี เป็นสัตว์ที่กินทุกอย่างที่ขวางหน้าหรือแม้นแต่ซากของสัตว์ที่ตายแล้ว อีกทั้งมันเป็นสัตว์ที่อารมณ์ค่อนข้างคาดเดาได้ยากยิ่ง ดุดัน ฉุนเฉียวง่ายและเป็นสัตว์ที่หวงเขตที่อยู่อาศัยหรือหากินเป็นอย่างยิ่ง อาวุธที่ร้ายกาจของหมีคือ กรงเล็บที่ใหญ่โง้งแหลมคมบวกกับพลังตบอันมหาศาลของมันเอง ซึ่งหากโดนเข้าไป ไม่ตายก็คางเหลืองไม่เป็นผู้เป็นคนแน่ๆ ยิ่งถ้าหมีที่ตัวใหญ่เอามากๆ มันมักจะไม่มีความเกรงกลัวต่อสัตว์อืนๆเลย หรือแม้นแต่มนุษย์
........สิ้นเสียงตะโกนเตือน ทุกคนต่างรู้สึกชาไขสันหลังวาบกันท่วนหน้า แต่ต่างคนต่างคุมสติไว้ให้ดี และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ที่มันคลั่งในครั้งนี้ คงเป็นเพราะมันได้กลิ่นมนุษย์ที่เข้ามาบุกรุกในเขตหากินของมัน มันจึงแผงฤทธิ์กับต้นกล้วยน้อยใหญ่ จนหักไปหลายต้น
........หลังเสียตะโกนของสรณ์ เจ้าเบิ้มใหญ่มันจึงเบนความสนใจตามเสียงของสรณ์มาทันที และหมายแม่นว่า นั่นคือผู้บุกรุกในเขตหากินของมัน
โฮ๊กกกกกกกกก!!! เสียงคำรามข่มขู่ลั่นป่า ฝ่ายมนุษย์ ต่างเริ่มก้าวถอยหลังช้าๆ ตาก็จ้องมองในทิศทางของหมีอย่างไม่วางตา
โครม!! ผลั้ว!!คลืนนนนนนนน!! ปราการด้านสุดท้าย ที่กันอยู่ระหว่างคนกับหมีซึ่งเป็นต้นกล้วยขนาดใหญ่ได้หักโค้นลง ร่างอันใหญ่ดำทะมึน ราวๆถัง 200 ลิตร ขนที่หนา หัวที่ใหญ่ ก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับยืนด้วยขาหลังของข้าง ทำให้มันดูใหญ่กว่าคนกว่าเท่าตัว เพื่อเป็นการข่มขวัญมนุษย์ผู้บุกรุกถิ่นของมัน
........ทันทีที่มันพังปราการด้านสุดท้ายเข้ามาถึงเขตแคมป์ ฝ่ายพรานต่างตั้งตัวไม่ติดต่างวิ่งถอยหลังไปตั้งหลักข้ามลำห้วยขึ้นไปอยู่บนตลิ่งเตี้ยๆ อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นแนวป่ากล้วยและรกทึบพอสมควร
เจ้าเบิ้มหมีใหญ่ มันคำรามลั่นป่า ประกาศศักดิ์ดาอีกครั้งหนึ่งหรือด้วยความสะใจก็ไม่มีใครทราบได้ พร้อมกับยกขาหน้าขึ้นกางกรงเล็บที่ใหญ่ดูน่ากลัว
อึ๋ย.......ใหญ่แท้ไอ่เบิ้ม !! สำราญผู้อาวุโสสุดพูดออกมาเมื่อเห็นรูปร่างของมันอย่างถนัดตา และแล้ว!
เปรี๊ยงๆๆ.... เชิดชัยเป็นผู้เปิดศึกในครั้งนี้ก่อน ประเดิมด้วยกระสุนขนาด .22 จากปืน อันชูท เซมิออโตเมติก ติดกล้องเล็ง แต่ไม่ได้ใช้กล้อง เพราะความรีบร้อน เพียงกะประมาณให้ลำกล้องปืนตรงเป้าหมายเท่านั้น แต่... งานนี้ กระสุนขนาดนี้ พลาดถนัดใน เพราะขนาดเล็กเกินไป ไม่สามารถจะทะลุหนังหมีที่หนาและเหนียวเข้าไปได้ จึงเป็นการไปเติมเชื้อโทษะของเจ้าเบิ้มเท่านั้นเอง เจ้าเบิ้มมันร้องลั่นด้วยโทสะ ก้มลงวิ่งตะกุย 4 ตีน ตรงเข้ามาที่ตลิ่งแหล่งกำบังของคณะล่องไพร ไม่นาเชื่อว่า สัตว์อ่างหมีควายตัวใหญ่ขนาดถัง 200 ลิตร มันจะมีความว่องไวขนาดนี้
ตาย....แล้ว...หลบเร็ว...!! เชิดชัยร้องเสียงหลง แล้วตามด้วยเสียงปะทะโครมใหญ่ คณะพรานแต่ละคนแตกกระเจิดกระเจิงตั้งตัวไม่ติด ต่างคนต่างหลบกรงเล็บของไอ้เบิ้มวุ่นวายไปหมด ทั้งๆที่มันไม่ได้ขึ้นตลิ่งเลย เพียงแต่ยืนข้างล่างตลิ่งเท่านั้น
........พลังอันมหาศาลของมันเล่นเอาซะต้นกล้วยล้มคลืนคณะพรานล่องไพรต่างวิ่งหาที่กำบังใหม่ บ้างก็สะดุดเถาวัลย์ล้มลุกคลุกคลานเป็นที่สับสนวุ่นวายไปหมด
ลุกโว๊ย....ลุกเร็วๆๆๆ อเนกร้องโวยวาย เหตุว่า หนานกล้าวิ่งจนเถาวัลย์พันขาล้มลงทับตุงนังอยู่ตรงนั้น
ตูม...!!! เสียงระเบิดของเดี่ยวลูกซองไบคาล เมทอิน รัสเซีย ของนาคร คำรามสนั่นป่า เรียกสติทุกคนให้กลับคืนมา แต่เป็นการยิงที่ไม่ได้หวังผลความแม่นยำอะไร เพราะอยู่ในท่านอนหงายท้องยิง เพียงเพราะต้องการถ่วงเวลาการบุกของเจ้าหมีใหญ่เสียมากกว่า เสียงปืนอาจทำให้มันตกใจ ได้ผล เจ้าเบิ้มหมีใหญ่ สะดุดเล็กน้อย พร้อมก้มลงหันหัวกลับอย่างรู้ทันและว่องไว
ตูมๆๆ ฝ่ายมนุษย์สติกลับมา พอจะตั้งตัวได้บ้าง ต่างหลับหูหลับตายิงกันออกไป อย่างไม่ได้เล็งประณีตแต่ประการใด ช่วยกันประเคนออกไปสงเดชคนละตูม เล่นเอาต้นกล้วยเบื้องหน้าขาดกระจุยแหลกลานไปหลายต้น
........สลัดปลอกกระสุนเก่าทิ้งบรรจุใหม่อย่างรวดเร็ว แต่ทว่า ช้าไปกว่าไอ้เบิ้มเล็กน้อย เพราะมันหายไปแล้ว เหลือไว้แต่กลิ่นดินปืนที่กระจายในอากาศ
เฮ้ย...อะไรวะ มีตัวยังกะยังษ์หาย สรณ์พูดอย่างตื่นๆ
ไม่รู้โว๊ย...ดูดีๆสิ๊ เฉลิมพลตอบกลับมาเบาๆ ราวกับกลัวเจ้าเบิ้มมันจะได้ยิน
........ทุกคนค่อยๆก้าวออกมาจากที่กำบัง ก้าวออกมาตรงลานที่นั่งกินข้าวกันเมื่อสักครู่นี้ อาหารการกินต่างๆกระจายไปทั่วบริเวณ เฉลิมผลร้องด่าโขมงโฉงเฉงอยู่อย่างนั้น
มันไปไหนๆ นาครไม่ค่อยไว้ใจในสถาพการแบบนี้ ต่างจดๆจ่องๆ ตามพุ่มไม้ต่างๆ และแล้ว ทุกคนต้องเย็นไขสันหลังอีกครั้งชาวาบ ตัวชาดิ๊กแทบขยับไม่ได้ ทันทีที่ได้ยินเสียงคำรามข่มขวัญดังลั่น คราวนี้มันเล่นโผล่ออกมาจากทางซ้ายมือ เสี้ยววินาที มันก็ก้มลง 4 ตีน ตลุยเข้ามากลางกลุ่มพรานโดยทันที กลุ่มพรานแตกกระเจิงอีกครั้ง ร้องโวยวายลั่นป่า ต่างพุ่งออกซ้ายออกขวาจ้าละหวั่นไปหมด ไอ่เบิ้มเล่นวิ่งผ่ากลางวงเป็นแนวเส้นตรงออกไปทางป่าโปร่ง ฝั่งตรงกันข้าม
........นาครได้สติคนแรก กระโจนออกมายืนจังก้ามองเห็นมันวิ่งไปข้างหน้าอยู่หลัดๆ นาครประทับปืนขึ้นบ่าแล้วลั่นไกทันที
ตูม.... ไบคาลคำรามสนั่นป่า ตามด้วยเสียงร้องอย่างโกรธโกธา แสดงว่า มันต้องคมกระสุนเข้าแล้วแต่ไม่จังนัก
........นาครบรรจุกระสุนใหม่และออกวิ่งตามโดยทันที มีอเนกและหนานกล้าวิ่งตามมาติดๆ ส่วนคนอื่นๆวิ่งออกไปอีกทางหวังดักหน้าไอ้เบิ้มมันให้ได้ ระยะ 50 เมตร ป่าโปร่งมากขึ้น ไอ้เบิ้มพาคณะผู้ล่าวิ่งลงทางชัน นาคร, หนานกล้าและอเนก วิ่งกันเป็นหน้ากระดาน ทันใดนั้นเหมือนมันจะเล่นเกมหรือดักเล่นงานฝ่ายผู้ล่า มันหยุดตัวเองอย่างกะทันหัน หันหน้ากลับมายืนสองขา เผชิญหน้ากับคนอย่างปัจจุบันทันด่วน
เวรแล้ว ตายห่ะ... นาครตกใจ อเนกและหนานกล้าไวไม่แพ้มัน ต่างคนต่างสปริงตัวเองออกให้พ้นระยะ ซ้ายและขวา ทั้งๆที่วิ่งลงทางชัน แต่ดันเหลือนาครคนเดียวที่ยังเบรกตัวเองไม่อยู่ และเป็นคนที่อยู่ตรงกลาง ไวเท่าความคิด นาครยกปืนประทับแล้วลั่นไกทันที แต่จังหวะก่อนจะลั่นไก ไอ้เบิ้มมันเหมือนจะรู้เท่าทัน มันก้มตัวลงตะกุย 4 ตีน หันหัววิ่งออกไปทางซ้ายอย่างว่องไว ทำให้กระสุนนาครพลาดเป้าหมาย ระยะนั้นหากมันยังยืนอยู่คงเต็มแผงหน้าอกมันอย่างแน่นอน
........ ตูม... อีกนัดหนึ่งจากหนานกล้า ที่ยิงตามมันไป อเนกและหนานกล้าลุกตั้งตัวได้ก่อนก็พากันออกวิ่งตามมันไป เหลือแต่นาครที่ดั่งเบรกแตก เสียหลักกลิ้งตกลงไปตรงเวิ้งข้างล่าง ซึ่งเป็นตลิ่งสูงกว่าเมตร เล่นเอาจุดเสียดจนพูดไม่ออกเมื่อร่างกระแทกพื้น
........เวิ้งข้างล่างมีพื้นที่กว้างเท่ากับสนามฟุตบอลสักหนึ่งสนาม มีหญ้าคาสูงประมาณระดับเอวพื้นราบเหมือนเคยมีคนมาปรับแต่งไว้ นาครนอนแอ้งแม้งอยู่ตรงขอบตลิ่ง ความจุกเสียดแล่นไปทั่วทั้งตัว
อูย......จุกอิ๊บ...... ลงมาได้ไงวะ หลังจากรีบสำรวจตัวเองว่า ไม่มีส่วนใดเสียหาย จึงรีบบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงใหม่ทันที และแล้ว ตูม ไม่รู้ว่าใครยิง ตามด้วยเสียงร้องฟังดูแปลก
โดนเข้าแล้ว...ไอ้เบิ้ม... นาครพูดรอดไรฟันด้วยความจุกเสียด
จบตอนที่ 2
31 สิงหาคม 2549 00:40 น.
ธนา
ไอ้เบิ้มแห่งโป่งคำ
โดย. ธนา
.....คณะล่องไพรทั้ง 8 ชีวิต ฝ่าดงมาอย่างหนักตลอดระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมา และขณะนี้เข้ามาถึงใจกลางป่า ห้วยโป่งคำ ซึ่งเป็นที่หมายพักระหว่างทาง ทั้ง 8 คนประกอบด้วย อเนก, นาคร, หนานกล้า, หนานวันชัย, สรณ์, สำราญ, เชิดชัยและเฉลิมพล จุดประสงค์แค่กิจกรรมล่องไพร ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของคณะล่องไพรชุดนี้อย่างยิ่ง ชอบเสียยิ่งกว่า ไปเที่ยว ห้างในเมืองใหญ่ เที่ยวบาร์ผับเทค ต่างๆ การล่องไพรลักษณะนี้ เป็นการล่องไพรที่ใช้เวลายาวนาน คือจะเดินทางกันไปเรื่อยๆ อ้อมภูเขาลูกต่อลูก แล้วค่อยหาทางมาบรรจบกัน ณ จุดเริ่มต้นอีกที คือการสิ้นสุดการล่องไพรในทริปนี้
3 วันมาแล้วที่เดินทางกันมา ขึ้นเขาลงห้วย สนุก สาแกใจกันจริงจริ๊ง เชิดชัยกล่าวขึ้นขณะปลงของออกจากแผ่นหลัง เชิดชัยผู้มองเห็นผืนป่าดั่งเสรีภาพ
บ่ายมากแล้ว ผมว่า พักที่นี่ดีกว่าพี่ ดงกล้วยมาก น้ำท่าก็บริบูรณ์ดี นาครมองดูรอบๆแล้วออกความคิดเห็น พร้อมปลงของออกจากหลังบ้าง ไม่มีใครคัดค้าน ต่างเห็นด้วยกับความคิดนี้ ต่างคนต่างปลงของลง และรู้หน้าที่ช่วยกันปรับพื้นที่ให้เรียบพอเหมาะแก่การพักนอน ตัดใบตองที่มีอยู่มากมายปูพื้นรองนั่ง
คร อาหารเหลือมากไหม สำราญผู้มีอาวุโสสุดในกลุ่ม เอ่ยถามนาคร
ข้าวสารพอมีครับ คนละโล 8 คน ก็ 8 โลหละ ก็คงพอประทังหละครับพี่ เนื้อแห้งเหลืออีกนิดหน่อย ส่วนเกลือหายห่วง เพียงเลยพี่ กินข้าวกับเกลือไหมหละพี่ นาครตอบพร้อมกระเซ้า สำราญไม่ว่ากระไร ได้แต่ค้อนแล้วทำเสีย อืมๆ ในคอแทนการรับทราบ
ข้าวเหลือ ถึงไม่พอก็ไม่เดือดร้อนมากนัก เอาหละๆ ออกหาอาหารกันดีกว่าโว้ย ดงกล้วยแบบนี้หละ กระรอกมากมายเลย คนเราต้องใช้พลังงานมาก ต้องหาโปรตีนทดแทน หนานวันชัยพูดจบ ก็ชวนเชิดชัยออกไปดักยิงกระรอกแดงด้วยกัน เพราะทั้งคู่ใช้ปืน ขนาด .22 ด้วยกันทั้งคู่
พวกที่เหลือต่างก็รู้หน้าที่ของตนเอง ต่างทำงานต่างๆเข้าขากันเป็นอย่างดี ว่าจะทำอะไรบ้างในยามนี้ ต่างช่วยกันปรับพื้นที่ ก่อไฟ สร้างเพิง(หมาแหงน)กันน้ำค้างยามค่ำคืน (เป็นเพิงพักแบบพวกผีตองเหลือใช้พักกัน แต่มีขนาดใหญ่กว่า นอนได้ 8 คนสบายๆ
........นาครกับหนานกล้าช่วยกันล้มต้นกล้วยที่มีขนาดใหญ่ที่ติดปลีกล้วยลงมา ผ่าเอาแต่หยวกกล้วยอ่อนๆขาวๆข้างใน พร้อมปลี สรณ์กับอเนก ช่วยกันตัดลำไม้ไผ่ขนาดใหญ่กว่าขวดเหล้ามา 3-4 กระบอก เพื่อนำมาใช้แทนภาชนะหุงต้ม ข้าวก็ใช้วิธีการหลามแบบข้าวหลาม ร่วมทั้งแกงป่าต่างๆด้วยก็ใช้วิธีการเดียวกัน ส่วนเครื่องแกงต่างๆ ก็ตำในกระบอกไม้นั่นแหละ เสร็จแล้วก็เอาน้ำใส่ สับหยวกกล้วยปลีกล้วยใส่ตามลงไป นำไปหลามเป็นอันเสร็จ ถ้วยชามก็เอากระบอกไม่ไผ่มาผ่าครึ่งเอา การกินการอยู่ไม่ยุ่งยากสำหรับนักล่องไพรกลุ่มนี้ ทั้ง8 ชีวิต แต่นี้ก็ถือว่าเป็นสุขที่สุดยากอยู่ป่าแล้ว
........ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงระเบิดเบาๆของปืนขนาด .22 ดังมาเป็นระยะห่างๆกัน ระยะห่างของเสียงปืนแบบนี้ทุกคนเข้าใจดีว่า เป็นการยิงเพื่อหาอาหาร ไม่ใช่การยิงต่อสู้ ไม่นานทั้ง 2 ก็กลับมา โดยหิ้วกระรอกแดงตัวเขื่องมาด้วย 4-5 ตัว
โอ้วววว.....โปรตีนๆ มาเร็วๆ จัดการซะแกงยังไม่เดือดดี ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้ สำราญผู้อาวุโส ตลอดเวลาไม่ได้ทำอะไรพูดขึ้นอย่างปรีดา
เออนั่นๆ...พี่ดูสิ ทำอะไรก็ไม่ทำ ชี้โน้นชี้นี่ นาครกระซิบกับหนานวันชัยเป็นการแหย่ๆ พร้อมหัวเราะคิกคักๆ
เออ...กูเห็นแล้ว เดี๋ยวกูจะให้พี่ราญกินแต่น้ำข้าว งานการไม่ช่วยกันทำ หนานวันชัยพูดพร้อมกับหัวเราะ
........ไม่นานนักอาหารที่สุกกับกระบอกไม้ไผ่ก็พร้อม ส่งกลิ่นหอมเยื่อไผ่คลุ้งไปทั่ว ทุกคนกินด้วยความเอร็ดอร่อยเพราะความหิว พออิ่มก็นั่งคุยกันถึงวันที่ผ่านๆมา แซวกันมั่งเฮฮาตามประสาคอล่องไพร
เอ๊า..เฮ้ย นี่น้ำย้อยโว๊ย อเนกล้วงมือเข้าไปในเป้หลังหยิบขวดเหล้าออกมาตั้งกลางวง
ฮาๆ วิเศษๆ สำราญชอบใจตบมือฉาดใหญ่
เพื่อฝูงรักกันเรารู้ แต่เหล้ามีจำกัด เพลาๆกันหน่อย อเนกพูดยิ้มกว้าง เทเหล้าแจก
ไม่ต้องห่วงพี่ ของผมกับหนานกล้า ก็มีคนละขวด นาครเสริมรับเหล้ามาก็โยนเข้าปากอย่างกระหาย
อยากกินนานๆก็ผสมน้ำกินสิวะ น้ำในห้วยมีเยอะแยะไม่ต้องเสียตังค์ซื้อ เชิดชัย แซว อเนกได้แต่หัวเราะ
........เวลา 17.00 น.ความสนุกสนานเฮฮาดำเนินไปเรื่อยๆ และแล้วทุกอย่างก็ต้อง ชะงัก เมื่อได้ยินเสียงต้นกล้วยหักโครมคราม จากทิศทางที่หนานวันชัยกับเชิดชัยเดินออกมาหลังจากไปล่ากระรอก
โฮ๊กกกกก!!! เสียงคำราม ดังแว้วมา เป็นเสียงที่ทำให้ทุกคนในคณะรู้สึกสะดุ้ง เพราะมันอยู่ไม่ห่างจากแค้มป์ที่พักเลย แต่ด้วยความทึบของป่ากล้วยทำให้มองไม่เห็นตัวมัน
โฮ๊กกกกกกกกก!!! คำรามประกาศศักดิ์ดาอีกครั้งดังสนั่น คราวนี้ คณะล่องไพรทั้ง 8 ชีวิต คนอยู่เฉยไม่ได้ ต่างคนตานรนรานลุกรีบไปหยิบปืนพร้อมเครื่องกระสุนของตนเองขึ้นมาประจำตัวทันที
และแล้ว สรณ์ ก็ตะโกนออกมาสุดเสียง ระวัง ไอ้เบิ้มมาแล้ววววววววววว
จบตอนที่ 1
2 เมษายน 2549 01:19 น.
ธนา
พี่อ้าย............พี่อ้ายผาคำ........ เสียงแว้วๆ ราวกับลอยมาตามลมกระทบโสตผาคำเป็นช่วงๆ
..ผาคำพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะลืมตาให้ขึ้น แต่ทำไมมันชั่งหนักนักหนา เสียงเรียกยังดังอยู่ในโสตประสาทคล้ายกับเสียงเรียกในความฝันอย่างต่อเนื่อง พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าผาคำก็ยังลืมตาไม่ขึ้น และแล้วน้ำค้างหยดหนึ่งซึ่งเย็นยะเยือบเกาะกลุ่มกันเป็นก้อนใหญ่จนหนักก็ไหล ตกลงจากใบไม้สูงตกลงมากระทบใบหน้าผาคำเข้าพอดี ความเย็นของน้ำค้างเรียกสติผาคำกลับคืนมา สิ่งแรกที่ลืมตาขึ้นได้คือสำรวจรอบๆตัวถึงที่มาของเสียง ว่าเป็นเสียงในความฝันหรือจริงกันแน่ ผาคำตั้งสติได้นิ่งฝัง ความเงียบของราวป่าเงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจของตนเองอย่างถนัดถนี่.....
ข้าฝันไปหรือป่าวนี่.....อะไรกัน ฤ เจ้าป่าเขาอำข้าเล่นลองใจ.. ผาคำความคิดเริ่มฟุ้ง
.....อยู่คนเดียวระวังความคิดก็เห็นจะจริง ผาคำเริ่มมีความระแวงสงสัยขึ้นมา ในรอบชีวิตของการเป็นพรานมาเกือบค่อนชีวิต ไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อนจึงเต็มไปด้วยความฉงน แต่ก็ยังนิ่งฟังเสียงต่างๆแปลกปลอมรอบข้าง และแล้ว เสียงย้ำเท้าเบาๆดังขึ้นเป็นจังหวะๆ อย่างสม่ำเสมอ ในเงามืดข้างหน้า ผาคำตกใจเล็กน้อย ค่อยๆยกปืนเล็งกะไปตามเสียงนั้น เสียงก้าวย่างเบาฟังดูคล้ายระวังอะไรบางอย่าง แล้วมาหยุดตรงโคนไม้ใหญ่ห่างจากขัดคอนห้างผาคำไม่เกิน 15 ก้าว ระหว่าง เงาไม้ยังพอมีแสงจันทร์สาดส่องกระทบดินเป็นช่อง พอเห็นสิ่งที่อยู่บนดินรางๆ ขณะนี้ประสาทผาทองเครียดผึงจะดับจิตให้ได้ เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร และแล้ว....
พี่อ้าย........พี่อ้าย ข้าเอง....... เสียงเบาบานกระซิบแต่ทว่าได้ยินในความเงียบชัด
.....ผาคำจำได้ทันที่ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของน้องชายตนเอง แต่ยังไม่แน่ใจ ยังคงจดๆจ้องๆอยู่.....
พี่อ้าย....ข้าเอง....ข้ามาตามพี่............ เสียงเบารอดออกมาจากเงามืดหลังต้นไม้
หล้าแสน.....น้องหรือ......หล้าแสนใช่ไหม...... ผาคำพูดออกไปเหมือนกระซิบเช่นกัน กะพอคุยกันรู้เรื่อง
พี่อ้าย....ข้าเอง....ข้ามาตามพี่อ้าย...... เสียงหล้าแสนยังคงยืนยันประโยคเดิม
แสน.... เจ้ามีสิ่งใด.......ถึงฝ่าดงตามพี่มาถึงนี่........หรือเอื้องจันหอมเมียพี่เป็นอะไร หรือพ่อเฒ่าแม่เฒ่า..... ดั่งชี้โพลงให้กระรอกผาคำเอ่ยชื่อคนในเรือนตนออกไป เสียงนั้นหายไปครู่หนึ่ง แล้วก็พูดออกมาต่อ
ใช่แล้วเอื้องจันทร์หอม ไม่สบายหนัก.........มาเถอะกลับบ้านกัน ข้ามาตาม พ่อเฒ่าก็มา...
ผาคำใจหายวาบเมื่อได้ยินคำว่า พ่อเฒ่ามาด้วย เพราะพ่อเฒ่าแก่ชรามากแล้ว
.....ผาคำรีบปลดเถาวัลย์ที่พันธนาการตนเองไว้ออกจนหมด กุรีกุจอควานหาของของตนเองเป็นการใหญ่.....
หล้าแสน....ออกมาเถอะ...ไม่ต้องหลบที่นี่ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวพี่อยู่บนนี้.... ผาคำบอกเสียงน้องของตน
ไหน....พี่อ้ายอยู่ไหน.... เสียงนั้นดังตอบมาซักถาม
ข้างบนๆ ไม่ต้องกลัว พี่เก็บของก่อน ผาคำพูดไม่ได้สนใจอะไร คงงมหาโน้นหานี่ยัดใส่ย่าม
.....และแล้ว ก็ปรากฏร่างๆหนึ่ง ค่อยๆก้าวเดินออกมาจากเงามืดหนังต้นไม้ใหญ่ มายืนอยู่ชายขอบต้นไม้ใหญ่ที่ผาคำขัดห้างอยู่ ร่างนั้นยังคงยืนก้มหน้านิ่ง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ผ้าเตี่ยวผืนเดียวที่ปกปิดร่างกาย ผาคำเก็บของเสร็จ ก็แลเห็นร่างนั้นจากที่สูง ก็สร้างความแปลกใจยิ่งนัก.....
หล้าแสน เสื้อผ้าหายไปไหนหมด.. ผาคำถาม
มันมืดพี่อ้าย คงหลุดระหว่างทางมา หนามมันเยอะ ร่างนั้นตอบ ผาคำไม่ใส่ใจ ค่อยๆปีนต้นไม้ลงมาหา แล้วไม่นาน ทั้งคู่ก็มาเผชิญหน้ากัน ร่างน้องชายยังคงยืนก้มหน้าอยู่
ไหนพ่อเฒ่า.. ผาคำเอ่ยถาม ร่างนั้น หันหลังกลับแล้วยกมือชี้ไปทางต้นไม้ใหญ่ที่ตนออกมา ผาคำพยายามหรี่ตามองตาม คงเพราะความมืดตนเองจึงเดินล้ำหน้าร่างหล้าแสนออกไปข้างหน้าเพื่อมองหาพ่อเฒ่า
.....และก่อนที่จะหันกลับมาซักถามหล้าแสนในเรื่องราวต่างๆ ผาคำรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวบริเวณต้นคอ ดั่งคมมีดเล่มใหญ่แทรกเข้าเนื้อ ผาคำสะดุ้งสุดตัว หันตัวกลับได้ สิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้า กลับกลายเป็นเสือร้ายตัวใหญ่กว่า 8 ศอก คมเขี้ยวของมันขย่ำลงต้นคอผาคำพอดี แต่ยังไม่ถูกจุดตาย ผาคำรวมกำลังผลักมันออกทันที เมื่อคมเคี่ยวถอนออกจากคอ เลือดอุ่นๆจากปากแผลผาคำกลับพุ่งกระฉูดคาวออกมาเป็นสาย ปากสมิงร้ายแดงฉานไปด้วยเลือดมันยังคงแลบลิ้นเลียลิ้มรสเลือดที่ติดฝีปากมันอย่างโอชะและย่ามใจ ผาคำโซเซแต่ยังมีสติ ชักพร้าคู่ใจออกมาจากเหน็บหลังกำไว้ในมือ แต่ทะว่ากำแทบไม่อยู่ เพราะมือทั้งสองข้างลื่นไปด้วยเลือดของตนเอง.....
.....อ๊าววววววววววววววว ฮึ๊ม.....!!!! เสียงคำรามประกาศศักดิ์ดาสนั่นหวั่นไหว แต่ทะว่าไม่ใช่เสียงคำรามจากสมิงร้ายตัวที่กัดผาคำ แต่.....กลับเป็นอีกตัวหนึ่งซึ่งมีขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย และดูแก่กว่าตัวแรก ผาคำแทบเขาทรุด...
.....สมิงแก่ตัวที่มาใหม่ไม่รอช้า กระโจนหมายขย้ำผาคำดั่งสมั่นน้อยทันที่ ผมคำตั้งสติ สู้อย่างยิ๊บตาด้วยเลือดพรานไพร สองสมิง หนึ่งคน พันตูกันจนเลือดสาดกระจาย ต่างส่งเสียงคำรามและโวยหวน เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด.....
.....เช้ามืดวันต่อมา ป่าท้ายหมู่บ้าน ร่างที่โชกไปด้วยเลือดของผาคำ พยายามกระโหยกกระเหยก อย่างลำบากยากเย็น เพื่อหวังจะกลับบ้าน สภาพผาคำตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับซากที่เดินได้ เนื้อบางส่วนที่หลุดหายไปเป็นกระบิๆ เลือดโทรมกายจำไม่ได้ว่า เป็นคนหรือไม่ พยายามแข็งใจเดินกลับบ้านตนเอง กลับมาด้วยความห่วงหาเมียรัก ของตนเอง เมียที่กำลังจะให้กำเนิดลูกน้อยเชื้อสายของตนเองคนแรก สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผาคำกัดฟันทนมาได้จนถึงหมู่บ้าน ตะวันยังไม่จับขอบฟ้า หมู่บ้านยังตกอยู่ในความมืด แต่บ้านบางหลังก็ตื่นแล้วตื่นขึ้นมาหุงหาอาหารเตรียมไปไล่ไปนาล่าสัตว์ตามวิสัยชาวป่าดง.....
.....ผาคำแข็งใจ เดินจนถึงหน้าบ้านต้นเอง แต่ตนเองกลับไม่มีเสียงร้องเรียกคนในบ้าน สัญญาณบนบ้านบ่งบอกว่า ทุกคนตื่นหมดแล้ว เพราะได้ยินเสียงทำครัว ตำน้ำพริก เสียงพูดคุยของพ่อเฒ่าแม่เฒ่าเสียงเจ้าน้องชายหล้าแสนเอะอะอยู่ในครัว เสียงเมียรักของตนเองพูดคุยกับพ่อเฒ่าแม่เฒ่าเกี่ยวกับลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมา ผาคำรวมแรงเฮือกสุดท้ายปีนป่ายขึ้นบันได เข้าไปในเรือนจนสำเร็จแต่หมดแรงอยู่หน้าประตูบ้าน สิ้นเรียวแรงแม้นจะเรียก ทุกคนภายในบ้านนั่งหันหลังให้ ต่างพูดจาหยอกล้อกัน ไม่มีใครเอะใจเลยสักคน.....
.....และแล้วก็มีแมวดำตัวหนึ่ง มันมายืนอยู่หน้าผาคำ มันจ้องมองผาคำเหมือนกับฉงนอะไรบางอย่าง ชั่วไม่นาน มันก็ออกเดิน แต่ทว่า มันไม่ได้เดินอ้อมผาคำไปแต่ประการใด มันเดินผ่านตัวผาคำออกไปดื้อๆ ผ่านไป ราวกับผาคำไม่มีตัวตน ร่างผาคำเป็นเพียงแต่อากาศธาตุหาที่จับต้องไม่ได้ มันเดินผ่านไป แล้ววกกลับมาผ่านไปอีกครั้งหนึ่ง เดินมุ่งตรงไปยังห้องครัว แล้วก็มีเสียงเอะอะโวยวายออกจากครัว.....
ไปๆๆ อ้ายแมวโพง จะมาลักแกงลักปลากิน ไปๆ หล้าแสนถือไม้วิ่งไล่แมวออกมา ทั้งแมวทั้งคนวิ่งตรงมายังผาคำ ผาคำพยายามยกมือเหมือนจะห้ามน้องแต่...ทั้งแมวทั้งคน วิ่งผ่านเค้าไป.... ผาคำไร้ตัวตน เป็นเพียงอากาศธาตุ ผาคำเป็นเพียงวิญญาณธาตุ วิญญาณที่ยังรักเมียตนห่วงลูกของตน......
.....ขณะนี้มีแต่เสียงร่ำไห้ของผาคำ แต่ไร้ผู้คนที่จะได้ยินเสียงที่ร่ำไห้นั้น.....
จบ ไพรลวง