14 มิถุนายน 2549 17:07 น.
ทิวสน
ต้นมะยม...เด็กซน...และชายคนนั้น
โดย ::: ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com
สายมากแล้ว...แต่ยังมีอีกหลายชีวิตที่จดจ่อรอรถประจำทางที่ป้ายชานเมืองแห่งนี้ สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังทิศทางที่พาหนะซึ่งนานๆ จะโผล่มาสักคัน และเวลานี้มีเพียงระยับแดดที่โลดเต้นเหนือผิวถนน กับลมร้อนที่พัดวูบมาปะทะกาย หญิงสาวหลายรายหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ผุดพราวขึ้นมา เกรงว่าจะเลอะเครื่องสำอาง
ป้ายรถประจำทางแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเช้า มักจะมีผู้โดยสารมารอขึ้นรถเพื่อเข้ากลางเมืองประกอบภารกิจด้วยต่างจุดประสงค์จำนวนมาก บ้างก็ไปเรียน บ้างไปทำงาน และสิ่งหนึ่งที่ผู้โดยสารเหล่านี้เหมือนกันคือ เป็นชนชั้นกลาง รายได้ไม่มากนัก และพักอาศัยในชุมชนหลังป้ายรถประจำทางนี้เอง
ที่พักผู้โดยสารสร้างอย่างง่ายๆ พื้นที่ไม่กว้างนัก มีที่นั่งที่ยังใช้การได้เพียงไม่กี่ตัว ทำให้ทุกเช้าเมื่อแดดจัดหลายคนจะยืนชิดเบียดกันดั่งคนสนิท ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบจะดูแลเรื่องที่พักผู้โดยสารแห่งนี้ เพราะเมื่อแรกมีก็ได้จากนักการเมืองท้องถิ่น ที่สร้างบริจาคเพื่อขอคะแนนเสียงและชื่อก็ยังเด่นที่หลังคาอ่านชัดเจนได้แต่ไกล
ห่างจากที่พักผู้โดยสารไม่ไกลนัก คือต้นมะยมลูกดกแต่บางใบ ที่โคนต้นมีภาพหนึ่งที่ทุกสายตาเมื่อทอดมองไปในทิศทางที่รอรถจะต้องพบกับรถเก๋งสปอร์ตสีแดงบาดตา มองปราดเดียวก็รู้ว่า ราคาค่างวดมิใช่น้อย ความสงสัยใคร่รู้ของทุกคนที่พบเห็นคือ เป็นรถของใครกันหนอ.... เพราะยังไม่เคยมีใครเคยพบเจ้าของรถในยามเช้า เมื่อใดที่เดินมารอรถประจำทาง ก็จะพบรถคันงามจอดนิ่งอยู่ใต้ต้นมะยมนี้เสมอ บ้างก็ว่าน่าจะเป็นรถของผู้มีอันจะกิน ที่มาเปิดบริษัทอยู่ปากซอยถัดไป บ้างก็ว่าเป็นรถของคนในหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ลึกถัดไปอีกซอยหนึ่ง แต่ที่แน่นอนคือความรู้สึกของทุกคนที่มอง เหมือนตอกย้ำในความแตกต่าง และรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในฐานะของตน คละปนอิจฉาเจ้าของรถคันนี้นัก
รถมาแล้ว เสียงหนึ่งดังขึ้น เหมือนบอกสัญญาณให้แทบทุกชีวิตขยับตัวเตรียมขึ้นรถ ทว่ามองจากระยะไกลก็รู้ว่าบนรถที่กำลังแล่นเข้าเทียบป้าย มีผู้โดยสารอยู่เต็มคัน แต่แทบไม่มีใครรอคันต่อไป เพราะอีกนานนัก กว่าคันต่อไปจะมา และนั่นหมายถึงการไปถึงที่หมายล่าช้า อันส่งผลต่อการเรียนและการทำงาน.... รถประจำทางวิ่งเทียบป้ายพร้อมฝุ่นดินที่หอบเข้ามา...
เพียงครู่รถคันนั้นก็พร้อมวิ่งจากป้ายไป ทิ้งผู้โดยสารเหลือไว้เพียงไม่กี่ราย ที่รอรถสายอื่น...และรถเก๋งสปอร์ตคันงามยังคงจอดนิ่งที่ใต้ต้นมะยมต้นนั้น...
* * * * *
สายวันนี้...ที่เดิม...ยังคงมีผู้โดยสารรอรถแน่นขนัดเช่นเดิม ต่างก็แต่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องเจ้าของรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันที่จอดนิ่งโคนต้นมะยมคันนั้น
เห็นเขาว่ากันว่า เป็นพวกเศรษฐีหน้าเลือดมาออกดอกให้กู้ตั้งร้อยละสี่สิบแหนะเธอ...แย่จริงๆ รวยแล้วยังมาเอาเปรียบคนจนๆ อย่างพวกเรา...คนอาไร้...ไม่รู้จักพอ
ใช่...รวยแล้วก็น่าจะมาเจือจาน ทำประโยชน์ช่วยเหลือคนจนอย่างพวกเราบ้างนะ จริงมั้ย ดูซิ...ไอ้เพิงโทรมๆ นี้น่ะ มันคุ้มแดดคุ้มฝนได้ซะที่ไหน
โอ้ย.ย.ย.ย...ฝันไปเถอะ...รวยแล้วไม่มีใครเขาจะมามองเห็นหัวคนจนอย่างพวกเราหรอก
เออ...ว่าแต่มีใครเคยเห็นเศรษฐีคนนี้มั่งมั้ย... ท่าจะตื่นเช้าน่าดูเลยนะ บางวันฉันว่าฉันตื่นเช้าแล้วนา...แต่มาทีไรก็เห็นรถจอดอยู่ก่อนแล้วทุกทีเลย
นั่นไง...นึกแล้วเชียว...รวยแล้วยังงกอีกนะ ฉันว่าที่ขยันก็เพราะงกนั่นแหละ
เฮ้อ...อย่าไปสนใจคนพวกนี้เลย เขากับเรามันคนละชั้น...นั่นรถมาแล้ว ไปกันเถอะ
* * * * *
สายวันนี้ ลมร้อนยังคงพัดวูบเข้ามาเป็นระยะ ระยับแดดที่โลดเต้นสะท้อนบนพื้นถนนดูท่าจะร้อนกว่าทุกวัน ผู้โดยสารยังคงยืนเบียดชิดใต้ชายคาที่พักเช่นเดิม เช้านี้ไม่ใคร่จะมีใครสนทนากันสักเท่าไร อากาศที่อบอ้าวทำเอาหลายรายหน้านิ่วคิ้วขมวด ยิ่งเวลาผ่านไป กับการรอคอยรถที่ทอดยาว ก็ทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจของใครต่อใครเป็นระยะ ครั้นหันมองรถเก๋งสปอร์ตคันนั้น ก็พาลหงุดหงิดขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ
ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่ไร้วี่แวว ก็แว่วเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากเด็กกลุ่มหนึ่งใกล้เข้ามา ครั้นบางคนหันไปมองก็พบว่าเป็นเด็กวัยประถมอายุราว 8-10 ขวบ กำลังวิ่งมาที่ต้นมะยมด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า กับภารกิจที่รออยู่ นั่นคือการปีนต้นเพื่อเก็บผล
เด็กเหล่านี้ คงเป็นลูกของคนในชุมชนแออัดหลังป้ายรถประจำทางชานเมืองแห่งนี้ และคงไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลให้ได้รับการศึกษา จะด้วยว่าฐานะ หรือสิ่งใดก็ตามที ทำให้แทนที่จะได้นั่งเรียนหนังสือ ทว่าต้องมาเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นเช่นนี้
ต้นมะยมที่หลายคนมองข้าม สูงเสียดยอดให้ลูกดกโตสุกเหลือง รอให้เด็กๆ คว้ารูดเก็บ ซึ่งแต่ละคนต่างปีนป่ายแคล่วคล่อง ไม่หวั่นกลัวความสูง ครั้นเอื้อมถึงก็คว้ารูดแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงจนตุงทั้งสองข้าง บ้างก็คว้าใส่ปากเป็นกำเคี้ยวกร้วมๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย จนน้ำฉ่ำหวาน-อมเปรี้ยวไหลเลอะมุมปาก
แต่แล้ว ทันใดนั้น เด็กชายคนหนึ่งได้เหยียบลงไปบนกิ่งแห้ง ที่เกินจะทานน้ำหนักไว้ได้ จึงหักเสียงดัง เป๊าะ! พร้อมกับร่างร่วงสู่พื้นจากความสูงราว 5 เมตร
เด็กชายคนนั้นหล่นลงมานอนคลุกฝุ่น ห่างจากรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันนั้นราว 2 เมตร ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึง ผลมะยมตกเกลื่อนพื้น พร้อมสีหน้าจุกเสียดตามด้วยเสียงร้องโอดโอย แล้วคว้าที่เท้า ซึ่งบัดนี้มีกิ่งมะยมแห้งปักคาอยู่...! เลือดสีแดงสดเริ่มไหลออกมานองพื้นแล้วซึมผสมฝุ่นดิน เสียงร้องทำเอาเพื่อนๆ รีบปีนลงมาหน้าตาตื่น แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่หันมองซ้ายขวาระร่ำระลัก น้าๆๆ...ช่วยเพื่อนผมทีครับ....ช่วยเพื่อนผมทีครับ แข่งกับเสียงร้องโอดโอยของเด็กคนนั้น
บัดนี้ทุกสายตาของผู้โดยสารที่อยู่ในเพิงพัก ซึ่งไม่ห่างจากเหตุการณ์นัก ต่างจับจ้องมองดูพร้อมออกความเห็น
โห..ดูสิ เลือดออกเยอะจัง ท่าจะหนัก คงเกือบจะทะลุเลยนะนั่น
เข้าไปช่วยเด็กหน่อยสิเธอ...น่าสงสารออก
อะไร...จะไปไหน...อย่าไปยุ่งเชียวนะ เดี๋ยวก็ต้องเป็นธุระค่าหยูกยาหรอก ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้
พ่อ!...อย่าไปยุ่งเชียวนะ...โน่น รถมาแล้ว รีบไปกันเถอะ
ไอ้หลานชาย...โทษทีนะ น้าต้องรีบไปธุระ ขอให้อย่าเป็นอะไรมากเลยนะ
รถมาแล้ว! รถมาแล้วไปกันเถอะ เร็ว...!
ขณะที่บางส่วนหนีหายขึ้นรถ และที่เหลือยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ทว่าไม่มีแม้สักคนที่จะเข้าไปช่วยเหลือ จะมีก็แต่บางรายที่เข้าไปมุงดูอยู่ห่างๆ
ทันใดนั้น...ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ขอโทษครับ ขอทางหน่อยครับเด็กเป็นอะไรมากรึเปล่า
ทุกสายตาหันขวับไปยังที่มาของเสียงพร้อมเปิดทางให้แต่โดยดี ชายหนุ่มวัยราวสามสิบเศษ รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายแลดูสะอาดภูมิฐาน เดินแหวกคนมุง ตรงไปยังเด็กชายมอมแมมที่นอนเกลือกกลิ้งคลุกฝุ่นคนนั้น
ชายหนุ่มทรุดนั่งข้างร่างเด็กชาย ซึ่งบัดนี้เสียงร้องแผ่วไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มผสมคราบไคลเป็นรอยด่างดำ ครั้นช้อนร่างขึ้นอุ้ม เลือดที่ยังไหลจากฝ่าเท้าก็หยดลงเปื้อนกางเกงสีครีมของชายหนุ่มเลอะเป็นทางยาว
ใครก็ได้ ช่วยเอากุญแจนี่ไขประตูให้ผมทีครับ เขาหันบอกกลุ่มคนที่มุง
ชายคนหนึ่งรับกุญแจมาไขประตูรถให้ ชายหนุ่มนำเด็กขึ้นวางบนเบาะหลังหนังสีครีม...เลือดสีแดงเข้มยังคงไหล และเลอะเปื้อนบนเบาะนั้น
ครู่ต่อมา รถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันงามก็ถอย แล้ววิ่งปราดออกไปจากโคนต้นมะยม ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่เห็นเหตุการณ์ โดยไม่มีคำกล่าวใดๆ
* * * * *
สายวันนี้...ใต้ชายคาที่พักผู้โดยสารผู้คนยังคงแออัดเช่นเดิม แต่ลมโชยพัดมาไม่ร้อนเช่นทุกวัน ใบมะยมวูบไหวตามลม บางใบที่แห้งเหลืองก็ร่วงพลิ้วหล่นลงซบพื้นดิน บ้างก็หล่นลงหลังคารถสปอร์ตสีแดงคันงาม
ความขึงเครียดไม่ปรากฏบนใบหน้าผู้คนเช่นทุกวัน ทุกสายตายังคงจดจ่อกับทิศทางที่รอรถประจำทางสายประจำจะแล่นมา...ไม่มีอะไรแตกต่างจากทุกเช้าที่ผ่านมา
จะต่างก็เพียงความรู้สึกที่สื่อผ่านสายตาทุกคู่ ที่หันมองรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันนั้น
* * * * * * * * * *
14 มิถุนายน 2549 13:46 น.
ทิวสน
ความหมายในตะกร้า
โดย ::: ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com
แดดบ่ายปลายร้อนแผดกล้าท้าคลื่นลม ระยับแดดโลดเต้นเหนือท้องทะเลอันดามัน ที่ระบายด้วยสีเขียวใส โค้งฟ้าสีครามตัดกับผิวน้ำไกลออกไปลิบตาแลดูงดงามสบายตา ยังความอลังการซ่อนไว้ ลมทะเลหอบไอเค็มบางมาพร้อมกับเกลียวคลื่นขนาดย่อม ที่ม้วนตัวทยอยซัดสู่ฝั่งทักทายทรายขาวอยู่เป็นระลอก
ชาตรียืนชื่นชมความงามแห่งธรรมชาติอยู่ริมหาด เนื้อหนุ่มพราวด้วยน้ำที่เพิ่งขึ้นจากการว่ายเล่นเมื่อครู่ เขายืนทอดสายตาผ่านเลนส์สีเขียวเข้มออกไปสุดปลายฟ้า แล้วหันสำรวจรอบกายคล้ายกำลังดื่มด่ำผลงานของจินตกรผู้ยิ่งใหญ่ ที่บรรจงรังสรรค์ทิวทัศน์ เพื่อกำนัลแด่ทุกลมหายใจ...
เขาสูดลมหายใจลึกเต็มปอด และอยากจะกักเก็บมันไว้เช่นนั้นนานนักแล้วที่เขาไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์เช่นนี้ ที่ผ่านมาเขาเหมือนถูกพันธนาการไว้ในกล่องใบใหญ่ มีละอองควันสีหม่นห่มคลุมตลอดเวลา ในทุกอณูที่ก้าวย่าง ซึ่งใครต่อใครต่างเรียกขานกล่องใบนี้ว่า "เมืองหลวง"
ไม่ง่ายนัก ที่เขาจะสามารถปลีกตัวจากภาระหน้าที่มายืนตากอากาศเช่นนี้เพราะตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายการตลาด ของบริษัทชั้นนำด้านโทรมนาคม ทำให้แทบทุกเวลาทุกนาทีต้องทุ่มเทให้กับงานจนแทบจะลืมไปว่าที่บ้านยังมีภรรยาและลูกรออยู่ ความที่ยังหนุ่มแน่น มีไฟ เวลาจึงหมดไปกับงาน
การมองเกมอย่างเฉียบคมและชาญฉลาด ทำให้เขาเป็นที่รักและไว้วางใจของประธานบริษัท แต่ผลที่ตามมากลับวิ่งสวนทางกัน ระหว่างความสำเร็จในหน้าที่การงาน กับชีวิตครอบครัว ที่พร้อมจะพังครืนลงได้ทุกขณะ หากเขาไม่คิดทำอะไรเพื่อประสานสัมพันธ์ไว้ ซึ่งได้แต่หวังว่าสักวันคงจะผ่อนคลายลงบ้าง หากสามารถจัดสรรการงานให้คนภายใต้มาช่วยแบ่งเบาภาระ เมื่อนั้นคงไม่ต้องห่วงกังวลอะไร..คงมีเวลาพาครอบครัวมาพักผ่อนตากอากาศบ้าง นั่นคือความตั้งใจ กระทั่งผ่านพ้นมาเกือบ 3 ปี จึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนี้
ย้อนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาพาครอบครัวเหินฟ้าจากเมืองหลวงลงมาพักผ่อนที่ชายทะเลทางภาคใต้ แม้จะใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษในการเดินทาง แต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าหลุดออกมาอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว
ชายหนุ่มหันกลับ แล้วเดินไปยังเปลผ้าใบ 2 ตัว ซึ่งมีร่มขนาดใหญ่วางแทรกระหว่างกลาง...หย่อนกายลงนั่ง พลางหันมองภรรยาซึ่งนอนอยู่อีกด้าน หมายจะชวนคุย ทว่าคงเพราะความเหนื่อยล้าจากการเล่นน้ำเมื่อครู่ จึงได้ยินเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ...พริ้มตาใต้แว่นสีชา
เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วประสาเด็กดังแว่วอยู่ไม่ไกล เขาหันมองเด็กน้อยวัยไล่เลี่ยสองคนกำลังหารือและช่วยกันก่อกองทรายอย่างเพลิดเพลิน...เขาระบายยิ้มชื่น...รู้สึกเป็นสุขที่เห็นลูกสนุกและรื่นเริงเช่นนี้
ถัดจากลูกทั้งสอง เด็กผมทองสองคนกำลังยืนมองหญิงชราคนหนึ่งอย่างสนใจ จากการแต่งกายคงเป็นชาวบ้านละแวกนี้ เขาเริ่มเกิดความรู้สึกแปลกใจ มองเผินๆ เธอก็ค่อนข้างชรามาก แล้ว ก้าวเดินเชื่องช้า หลังเริ่มคุ้มงอ ยามที่ก้มลงเก็บบางสิ่งบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายเล็กๆ ก็ดูแสนจะลำยาก เด็กผมทองเดินตามดูพฤติกรรมของนางอยู่ห่างๆ อย่างสนใจ ขณะหนึ่งนางหันมองเด็กๆ แล้วเดินเข้าหา ทว่าเด็กกลับหันหน้าวิ่งหนี ประหนึ่งหน้าตาของนางน่าเกลียดน่ากลัวกระนั้น
เธอมองตามเด็กครู่หนึ่งจึงบ่ายหน้าเดินตรวจตราผืนทราย นานๆ ครั้งจะเห็นเธอก้มลงเก็บบางสิ่งหย่อนลงในตะกร้า...เขาเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาแล้วสิ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร และอีกครั้งเมื่อเธอก้มลงเก็บ เขาก็เห็นว่าวัสดุนั้นต้องแสงแดดวาบเป็นประกาย เขายิ่งทวีความสงสัยมากขึ้น ว่ามันคืออะไรกันแน่ หรือว่ามันอาจจะเป็นโลหะหรือของมีคม?
นึกขึ้นได้ดังนั้นเขาใจหายวูบ เมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินเข้าไปใกล้ลูกๆ ซึ่งเล่นก่อกองทรายอยู่ห่างเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว หญิงชราเดินเข้าไปใกล้ลูกของเขา...ใกล้เข้าไป
ในมือของเธอมีวัสดุบางอย่าง ส่งสะท้อนประกายจนแสบตา เขาใจเต้นถี่ รีบยันกายลุกขึ้นยืนจับตามองพฤติกรรมของเธอ...
เด็กๆ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง นอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า เธอประสงค์ดีหรือร้าย และเหตุใดเธอจึงให้ความสนใจมองจ้องลูกๆ ของเขานานเช่นนั้น เธอขยับเดินเข้าไปใกล้ในระยะพอจะเอื้อมมือเข้าไปหาลูกคนเล็ก เขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียก
"ปิ๊กป๊อกมาหาพ่อเร็วลูก!!!"
เด็กทั้ง 2 ชะงักมือที่โกยทราย หันมองซ้ายขวา เมื่อแหงนมองเห็นหน้าหญิงชราก็ร้อง กรี๊ด!! แล้ววิ่งเข้ามากอดขาเขาไว้แน่น
ชายหนุ่มถอดแว่น แล้วมองจ้องหญิงชราเขม็ง เธอช้อนตามองจ้องกลับด้วยแววตาแตกต่าง คล้ายมีคำอธิบาย แต่แล้วก็หันหลังทำภารกิจของเธอต่อไป
ฝ่ายภรรยาสะดุ้งตื่น ด้วยเพราะเสียงตะโกนของสามี แหงนมองดูสามีและลูกที่กอดขาพ่อเนื้อตัวสั่น
"เกิดอะไรขึ้นที่รัก" เธอถาม แต่เขานิ่ง...หายใจแรง ก่อนจะสั่งเธอเสียงสะบัด
"ไม่ต้องถาม เก็บของกลับห้อง"
ว่าแล้วเขาก็อุ้มลูกคนเล็กก้าวฉับๆ นำหน้าไป ปล่อยให้ลูกคนโตวิ่งตาม ส่วนภรรยารีบเก็บของเดินตามไปอย่าง งุน-งง
* * * * *
"ตกลงมันเรื่องอะไรกันคะ...ทำไมถึงได้ฉุนเฉียวแบบนี้" ภรรยาซักทันทีเมื่อตามมาถึงห้องพัก วางเสื้อคลุมพาดที่เก้าอี้ นั่งรอฟังคำอธิบาย สามีถอนหายใจ ก่อนหันมาตอบ
"ขอโทษทีที่อารมณ์เสียใส่คุณ ผมโมโหพวกคิดไม่ดีกับลูกเรา คุณคงไม่เห็น มียายแก่ที่ชายหาด กำลังจะเดินเข้ามาจับลูกเราไป"
"หา! จริงเหรอคะที่รักเอ่อ...แล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าคุณยาย จะทำอย่างนั้นล่ะคะ"
ภรรยาตกใจ แต่ก็ช่วยสะกิดให้คิด ชาตรีนิ่ง-ทบทวนถึงลักษณะพฤติกรรมและสิ่งที่มีลักษณะมันวาวสะท้อนกับแสงแดดนั้น
"อือม์ไม่รู้สิ ก็ผมเห็นยายคนนั้นเหมือนถือมีดหรืออะไรซักอย่าง คงเป็นของที่มีคม...เดินเข้ามาใกล้ จะเอื้อมจับลูกของเรา ผมเลยรีบเรียกเตือนลูก" เขาอธิบายเหตุการณ์
"ถ้าคุณว่า ยายคนนั้น ซึ่งก็น่าจะอายุมากแล้ว...แกจะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาจับเด็กกำลังซนอย่างลูกเราล่ะคะ แก่อาจจะเอ็นดูลูกๆ ก็ได้...แต่นี่คือความเห็นนะคะ เพราะหากไม่ใช่อย่างที่คุณคิดก็น่าสงสารแกนะคะที่รัก ที่เหมือนเราไปปรักปรำแก
ก้อยว่า ช่วงนี้ดูคุณเครียดๆ นะคะ สัปดาห์ก่อนก็เกือบจะไล่พนักงานออก ก็เพราะคุณรีบด่วนสรุปไม่ใช่เหรอคะ ก้อยอยากให้คุณใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดน่ะค่ะ"
ภรรยาเตือนสติด้วยความห่วงใย พลางเอื้อมบีบมือเบาๆ...ชายหนุ่มนั่งนิ่ง เม้มปากแน่น... หากกิริยาที่เขาแสดงออกไป มาจากการที่เขาด่วนสรุป ยายคนนั้นก็คงเจ็บปวดไม่น้อย
* * * * * *
ผืนฟ้ากว้างถูกคลี่คลุมด้วยกำมะหยี่สีดำไปพักใหญ่แล้ว ลมกรรโชกแรงจนต้นมะพร้าวสูงเสียดยอดโอนเอนตาม บางต้นที่ผลแก่คาต้น ต่างปลิดขั้วหล่นสู่พื้นทราย ดังตุ๊บตั๊บเป็นระยะ ขณะที่เมฆทมึนเริ่มคล้อยต่ำอยู่เหนือหมู่บ้านอันเป็นชุมชนเล็กๆ ริมหาดแห่งนี้ ซึ่งปลูกสร้างแบบง่ายๆ ราวๆ 20 กว่าหลังคาเรือน ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงน้ำตื้นออกเรือหาปลาใกล้ชายฝั่ง
เว้นแต่กระต๊อบกะทัดรัดหลังนั้น ที่ชาวบ้านคุ้นเคยกับเธอมานับสิบปี แต่รู้เพียงว่าเธอเป็นหญิงชราตัวคนเดียวที่มาจากกรุงเทพฯ นานๆ ครั้งจะมีคนแต่งตัวดีๆ ดูมีสกุลมาพบ เหมือนพยายามจะนำเธอกลับไปด้วย ทว่าชาวบ้านก็ยังคงพบเธออยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
เธอมีความเป็นอยู่อย่างสมถะ เด็กๆ แถวนี้มักจะไปที่บ้านของเธอ เพราะเธอมักทำขนมไว้แจกเด็กๆ เสมอ และนี่คือความสุขที่เธอได้ทำ นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวันในการเดินเลาะริมหาดทรายพร้อมตะกร้าหวายเพื่อเก็บบางสิ่งใส่ตะกร้า
ความสว่างปลายไส้ตะเกียงวูบไหวตามแรงลมหลายหน เพียงครู่ฝนก็เทจากฟ้าอย่างหนัก ดุจใครคว่ำชามอ่างยักษ์เทน้ำลงสู่พื้นดิน พร้อมๆ แสงไฟปลายตะเกียงดับวูบ
ความสว่างจากฟ้าแลบ ที่ส่องลอดมาทางขื่อกระต๊อบ สะท้อนกับน้ำใสๆ ที่ไหลผ่านแก้มเหี่ยวๆ ของหญิงชราผู้โดดเดี่ยว ไม่บ่อยนักที่จะต้องเสียน้ำตาใครๆ ที่รู้จัก ย่อมรู้ดีว่าเธอเด็ดเดี่ยวเสมอ ยอมแม้ต้องละทิ้งทุกอย่างจากเมืองหลวง ทิ้งสังคมชั้นสูง มาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเรียบง่ายที่ชุมชนแห่งนี้ อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เคยมีอะไรแฝงเร้นในแววตา สีหน้า และคำพูดของผู้คน
แต่ครั้นนึกถึงกิริยา และแววตาอันดุดันหมิ่นแคลนของชายหนุ่มเมื่อตอนบ่ายแล้ว มันช่างกรีดใจเธอให้เจ็บปวดยิ่งนัก
* * * * * *
สองยามเศษ...หลายหลังคาเรือนในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ต่างหลับใหลกันหมดแล้ว แต่ชาตรีเพิ่งกลับถึงบ้าน...นับแต่วันที่กลับมาจากพักร้อน เขาก็เข้าสู่ภาวะปกติที่ต้องทำงานหนัก ตื่นเช้า เข้านอนหลังสองยามเสมอ
หลังจากอาบน้ำจนสบายตัวแล้ว เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย จึงชงน้ำขิง แล้วออกมานั่งจิบที่ระเบียง พร้อมหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับรายสัปดาห์ เขาเอนตัวลงบนเก้าอี้โยก ค่อยๆ เปิดดูเนื้อหาคร่าวๆ ในหนังสือพิมพ์ ก่อนจะดึงส่วนแทรกที่เป็นเรื่องราวไลฟ์สไตล์ออกมา เพียงอ่านด้านหน้า ก็สะดุดตากับสาระเบาๆ กับสไตล์การใช้ชีวิตของนักธุรกิจ ในมุมที่คนทั่วไปไม่ทราบ...หัวเรื่องฉบับนี้สะกดสายตาเขาโดยไม่รู้ตัว...
"วันนี้ของหญิงแกร่ง...คุณหญิงพิมลพร จากไฮโซฯสู่สามัญ"
ชาตรีค่อยๆ อ่านเนื้อหาอย่างใครรุ้ กับชีวิตของนักธุรกิจหญิงด้านอสังหาริมทรัพย์ มีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน ส่งบุตรธิดาศึกษาจบในระดับสูงสุดทุกคน จนถึงเวลาหนึ่ง เธอเหนื่อยล้าและอยากหันหลังให้กับงานที่ทำเพื่อพักผ่อน จึงโอนกรรมสิทธิ์ให้บุตรธิดาหมดสิ้น แล้วอพยพตัวเอง ทิ้งสังคมชั้นสูง เลือกที่จะมาใช้ชีวิตอย่างสมถะ อาศัยที่กระต๊อบหลังเล็กๆในหมู่บ้าชาวประมงน้ำตื้น ริมชายหาด แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต กิจวัตรในแต่ละวันมีความสุขกับการได้พูดคุย ทำขนมแจกเด็กๆ ชาวบ้านระแวกนั้น และเดินตรวจตราริมชายหาด
อ่านมาถึงตอนนี้ชาตรียิ่งจดจ่อมากยิ่งขึ้น เพราะสถานที่ที่ว่านี้คือ ชายหาดที่เขาและครอบครัวเพิ่งจะกลับมาจากการพักร้อนเมื่อวันก่อน...เขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว เมื่ออ่านพบประโยคที่ว่า
...กิจวัตรของเธอคือ เดินตรวจตราชายหาด...เก็บเศษแก้วและของมีคมบนผืนทราย ใส่ตะกร้าหวายใบเล็กๆ แล้วนำไปทิ้ง เพียงเพื่อจะไม่เป็นอันตรายต่อเด็กๆ และนักท่องเที่ยว!!!
ชาตรีเพ่งอ่านข้อความ แล้วหัวใจยิ่งเต้นแรงขึ้น เมื่อเลื่อนสายตามองภาพใบหน้าของคุณหญิงพิมลพร...ชายหนุ่มถึงกับอึ้ง...เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอหอย
เพราะภาพใบหน้าของเธอ...กับภาพใบหน้าของหญิงชราที่เขาเคยตราหน้าว่าเป็นมิจฉาชีพที่คิดจะทำร้ายลูกของเขา คือ คนคนเดียวกัน!!!
* * * * * * * * * *
หมายเหตุ : วาระแก้ไขใหม่ พฤษภาคม 2006 / วาระตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร มหาสนุก ฉบับวันที่ 18-24 กุมภาพันธ์ 2004 และเผยแพร่ผ่านหลากหลายเว็บไซต์ / ทิวสน ชลนรา tewson7@hotmail.com
* * * * * * * * * *
13 มิถุนายน 2549 17:23 น.
ทิวสน
สิบล้อประสานงาทัวร์พลิกดิ่งเหวตายเรียบ
เพียงอ่านพาดหัวข่าว แล้วพลิกเห็นภาพผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุพร้อมชื่อ หญิงสาวถึงกับหน้าร้อนผ่าวตัวชาวูบ ชื่อนั้นดังก้องในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเข่าอ่อนทรุดกอง คล้ายว่าจะสิ้นสติ ความเสียใจ ความรู้สึกผิดมหันต์ ถาโถมเข้าใส่ พร้อมปล่อยโฮออกมาดังลั่น...
* * * * *
ตะวันคล้อยลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว เป็นสัญญาณเย็นย่ำที่กำลังเข้าสู่เวลาคืนรังของฝูงนกที่บินมาคราคร่ำทั่วผืนฟ้า แล้วเหินหายไปยังป่าใหญ่เชิงเขา นับเป็นแห่งเดียวในละแวกนี้ ที่ยังคงไว้ซึ่งสภาพป่าสมบูรณ์ เพราะโดยรอบถูกถางเผาเป็นที่โล่ง ตั้งแต่ครั้งชาวบ้านขายที่ให้นักธุรกิจจากกรุงเทพฯ สร้างเป็นรีสอร์ท เพื่อแลกกับความสุขสบาย
ในละแวกนี้ มีบ้านเพียงไม่กี่หลังคาเรือนที่ยังคงสมัครใจจะมีความเป็นอยู่คงเดิม หนึ่งในจำนวนน้อยนั้นคือ บ้านหลังกะทัดรัดของ จำเนียร เพราะเธอไม่คิดทะเยอทะยานอยากมั่งคั่งจากการขายที่ดินทำกินให้กับนายทุนที่มากว้านซื้อ แม้ว่าจะมีการยื่นข้อเสนอที่งดงาม แต่ชีวิตนี้เธอไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ อีกทั้งไม่มีใครให้ต้องห่วงหา เว้นแต่ แพร ลูกสาวซึ่งกำลังเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ นึกถึงตรงนี้แล้วน้ำตาซึมทุกที เพราะมันคือความภาคภูมิใจ ที่เธอสู้บากบั่นอดทนทำงานหนักส่งเสียให้ลูกได้มีการศึกษาที่ดี
นับแต่พ่อของลูกจากไปด้วยโรคหัวใจ ตั้งแต่ลูกเพิ่งเริ่มหัดพูด ในชีวิตเธอก็ผูกผันอยู่เพียงกับลูกและบ้านหลังนี้ ซึ่งนับเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่สามีได้ทิ้งไว้ให้พร้อมสวนกุหลาบหลังบ้าน อันเป็นแหล่งรายได้หลัก ซึ่งแลกมาด้วยหยาดเหงื่อทุกหยดที่รินรด หากขายที่ให้นายทุนก็คงได้เงินไม่น้อย แต่นั่นไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอแม้สักนิด
เธอพักมือจากการพรวนดินในสวนกุหลาบ ด้วยว่าอาการปวดหลังที่พักนี้ออกจะเป็นบ่อยครั้ง ครั้นจะไปหาหมอในเมืองก็เกรงว่าเงินที่เก็บออมไว้จะไม่พอหากลูกขาดเหลือแล้วขอมา สองมือที่เริ่มเหี่ยวย่นกระชับด้ามเสียมแน่นเพื่อพยุงยันกายลุกขึ้น แล้วเดินขึ้นเรือนเตรียมจัดหาอาหารเย็น หลังล้างมือ เอาน้ำลูบหน้าเรียกความสดชื่นแล้วก็เข้าครัว เปิดดูในตู้ยังมีน้ำพริกหนุ่มที่โขลกไว้ตั้งแต่เมื่อวานเหลืออยู่ จึงคิดว่าจะผัดผักบุ้งกินแกล้มก็พอแล้ว
ครั้นจัดเตรียมสำรับเสร็จก็เปิดวิทยุฟังข่าว ยังไม่ทันนั่งก็มีเสียงเรียกมาจากชานเรือน ออกไปดูก็พบเจ้าโก้ลูกยายปริกข้างบ้าน ยืนถือชามกากหมูผัดพริกแกงโรยมากับใบมะกรูดซอยทอดกรอบส่งกลิ่นหอมฉุย
"แม่ให้เอามาให้ครับป้า"
"ขอบใจมากลูก เออ รอเดี๋ยวนะเดี๋ยวป้าตักผัดผักบุ้งให้"
ได้จานผัดผักบุ้งแล้ว เจ้าตัวเล็กก็หยิบชิมซะเดี๋ยวนั้น "อื้อฮือ ป้าผัดผักบุ้งอร่อยเหมือนเดิมเลย วันนี้ผมกินข้าวพุงกางแน่" ว่าแล้วก็ลงเรือนวิ่งแจ้นกลับบ้าน
นางเห็นท่าทีของเจ้าโก้แล้วเห็นขันในความไร้เดียงสา น่ารักน่าชัง และเป็นเด็กช่างพูดเหมือนลูกสาวเธอเมื่อยังเล็กไม่มีผิด
ครั้นตักกากหมูผัดพริกแกงทานกับข้าว ก็ให้นึกถึงลูก เพราะนี่คืออาหารจานโปรดของลูกก็ว่าได้ ไม่รู้ว่าไปอยู่กรุงเทพฯจะมีโอกาสได้กินบ้างหรือเปล่า
เธอจ้องกรอบรูปหญิงสาวหน้าหวาน วางตั้งไว้ที่ดานหนึ่งของโต๊ะอาหาร รูปนี้ได้มาเมื่อเกือบ 3 ปี แล้ว ตอนที่ลูกกลับมาเยี่ยม เห็นรูปแล้วก็สะท้อนใจด้วยความคิดถึง
นับตั้งแต่กลับไปคราวนั้นจดหมายก็ไม่ได้เขียนมาคุยเลย ครั้งหลังบอกว่า เรียนหนักไม่ค่อยมีเวลา แต่เธอก็ยังพยายามดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย จัดส่งให้มิเคยบกพร่อง แม้ลูกจะขอมาพิเศษก็ไม่เคยปฏิเสธแม้สักครั้ง...
ครั้นเก็บสำรับแล้วจึงออกมานั่งเล่นที่ชานเรือน
นึกถึงเมื่อก่อนสมัยลูกยังเล็ก ร้องไห้งอแงเวลาง่วงนอน ต้องคอยปลอบ กล่อมให้นอนหนุนตัก แล้วเล่านิทานให้ฟังจนหลับผล็อย
"แม่จ๋า หนูรักแม่เท่าฟ้าเลย" เสียงเจื้อยแจ้วยังดังอยู่ในความคำนึงให้ยิ้มปลื้มเสมอ ลูกคงไม่รู้หรอกว่าความรักที่แม่มีให้ลูกนั้น มันมากกว่าที่ลูกมีให้แม่จนประมาณมิได้ และยากเกินจะเอ่ยออกมาได้ ก็ทั้งชีวิตแม่นี้อย่างไรเล่า ที่ยินยอมพร้อมจะพลีให้ และทำทุกสิ่งให้ลูกมีความสุข เติบใหญ่เป็นคนดี เพียงเท่านี้แม่ก็พอใจแล้ว
"แพรอยากทำงานอะไรลูก" เธอถามลูกเมื่อเริ่มเรียนมัธยมปลาย
"แพรอยากเรียนกฎหมายจ้ะแม่ แพรอยากเป็นทนายความ จะได้ช่วยคน ที่ไม่รู้กฎหมายที่ถูกเอาเปรียบ ถ้าเขาไม่มีเงินแล้วมีปัญหา หนูก็จะว่าความให้ฟรีจ้ะแม่ นางลูบผม ยิ้มชื่นชมกับความคิดความอ่านของลูก
"แต่เรียนมหาวิทยาลัยมันก็ใช้จ่ายเยอะนะแม่ หนูเลยคิดว่าพอจบมอหกแล้วอาจจะหางานในเมืองทำ อีกอย่าง จะได้อยู่ใกล้ๆ คอยดูแลแม่ไง" ว่าแล้วก็ซบลงหนุนตัก
"อย่าห่วงเลยลูก ถ้าอยากเรียนต่อก็เรียนเถอะ เรื่องเงินน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก สวนกุหลาบหลังบ้านเราก็ยังทำเงินได้ตลอดปี ป้ามาลีก็ยังมารับไปขายที่ตลาดทุกเช้า เงินเราไม่ขาดมือหรอกลูก"
วันที่เธอปลื้มใจอีกครั้งก็ตอนที่ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้.จำได้ว่าของขวัญที่ให้เป็นรางวัลลูกคือ เสื้อถักไหมพรมสีครีม สีที่ลูกชอบ เธอถักเสร็จในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพราะตื่นเต้นดีใจ บางวันถักเสียจนถึงเช้าเผื่อว่าลูกจะได้ใส่นอนที่กรุงเทพฯ เพราะไม่รู้ว่าตอนกลางคืนอากาศจะเย็นเหมือนที่ลำปางหรือเปล่า
"ป้าเนียร.ป้าเนียร" เสียงเรียกจากหน้าบันไดปลุกนางตื่นจากภวังค์ พบลำไยลูกลุงชิดยืนชะเง้ออยู่
"อ้าว ว่าไงลูก กลับมาเยี่ยมบ้านรึ ขึ้นมาบนเรือนก่อนสิ
"ไม่เป็นไรจ้ะป้า พอดีหนูผ่านมาเลยแวะทัก....เออ แล้วแพรไม่กลับมาบ้านหรอกรึถามพลางชะเง้อ
ไม่ได้มาหรอกลูก...คงไม่มีเวลามั้ง"
"เอ..ก็ไหนเขาบอกหนูว่าจะกลับมาบ้านแต่ช่างเหอะ...ตกลงป้าจะลงไปกรุงเทพฯวันไหนล่ะ"
"ไปทำไมล่ะลูก" เธอถามด้วยฉงน
"อ้าว! นี่ป้าไม่รู้หรอกเหรอ หนูกับแพรน่ะ เราเรียนจบกันหลายเดือนแล้ว เนี่ยหนูมาส่งข่าวที่บ้าน จะให้ลงไปงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยวันพุธหน้า ส่วนแพรเขารับวันจันทร์"
"จริงเหรอลูก" เธอตื่นเต้นดีใจ "สงสัยแพรคงยุ่งอยู่ล่ะมั้ง เลยลืมส่งข่าวแม่ เห็นแต่วันก่อนก็ส่งโทรเลขมาขอเงินมากโข ดีนะที่ลำไยมาบอกป้า ไม่งั้นแพรคงเสียใจแย่ที่แม่ไม่ได้ไปงานรับปริญญา"
"แล้วป้าไปถูกมั้ยล่ะ"
"ก็น่าจะถูกนะลูก ป้าเคยไปเยี่ยมแพรที่หอพักเมื่อตอนเข้าเรียนใหม่ๆ เห็นว่ามหาวิทยาลัยก็อยู่ใกล้ๆ กับหอพัก ป้าว่า ถามคนแถวนั้นคงจะรู้"
"ถ้างั้นหนูคงไม่ห่วงล่ะ อ้อ!ป้าไปแต่เช้าหน่อยก็ดีนะ จะได้ไปถ่ายรูปกับแพรก่อนเข้าห้องประชุม เห็นว่านัดเจอกับเพื่อนหน้าตึกคณะนิติศาสตร์ตอน 7 โมงเช้า หนูก็ว่าจะแวะไปเหมือนกัน...ถ้างั้นหนูลาป้าล่ะนะพ่อรอกินข้าวอยู่ แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ นะป้า" ลำไยยกมือไหว้ลา
ลำไยกลับไปพักใหญ่แล้ว แต่เธอยังคงตื่นเต้นไม่หาย ดีใจที่จะได้เห็นรอยยิ้มปลาบปลื้มของลูก
ค่ำคืนนี้ช่างเป็นคืนที่เธอนอนหลับอย่างมีความสุขเหลือเกิน พร้อมใบหน้าลูกสาวยิ้มละไมลอยอยู่ในความฝันตลอดคืน
* * * *
ฝนหมาดฟ้าไปพักใหญ่ พร้อมกับเวลาผ่านล่วงเข้าสู่วันใหม่ หลายชีวิตซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มหนาหลับตาพริ้มอย่างสุขใจ
ตึกสูงหลังนั้นแฝงกายอยู่หลังชุมชนอันหนาแน่น ติดชิดกับคลองระบายน้ำสายเล็กๆ สีดำสนิท ห้องพักหลายสิบห้องถูกจัดสรรให้เป็นที่เช่าพักสำหรับสตรี
บนชั้น 3 เวลานี้มีเพียงห้องพักมุมซ้ายสุดเท่านั้น ที่ไฟยังคงเปิดสว่าง หญิงสาวเจ้าของห้องกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงมีผ้าห่มคลุมอยู่เหนืออก ใบหน้ารูปไข่ จมูกรั้นเชิดกับดวงตากลมโตเป็นประกาย ปากสวยได้รูป คิ้วเข้มรับกับผมดำขลับประบ่า มันทำให้เธอโดดเด่นกว่าใครในบรรดาเพื่อนสาวที่เคยเรียนร่วมกัน และรับเลือกให้เป็นดาวประจำคณะและชั้นปี เหตุนี้เองเธอจึงเป็นที่ต้องตาของทั้งเพื่อนชายและรุ่นพี่จำนวนมาก
ทว่าในบรรดาชายหนุ่มที่เข้ามาผูกไมตรีเห็นจะมีเพียงจาตุรนต์เท่านั้น ที่เธอให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ที่สุภาพ ให้เกียรติเธอ รักเธอเสมอต้นเสมอปลาย ที่สำคัญเขาเป็นทายาทคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดัง อันเป็นที่แน่นอนว่าหากเธอลงเอยกับเขา ชีวิตนี้คงมีความสุข และหลีกพ้นจากสิ่งที่เธอได้พยายามตะเกียกตะกายหนีมัน
ภาพลักษณ์ของเธอที่ชายหนุ่มและเพื่อนๆได้รับรู้จากปากของเธอคือ เป็นลูกนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมหรูทางภาคเหนือ สิ่งนี้มันทำให้เธอมีความรู้สึกสับสนในตนเอง และหวาดระแวงเสมอว่า จะทำเช่นไรหากเขารู้ความจริง
หญิงสาวเหลือบมองดูภาพถ่ายในวัยเยาว์ ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา จะเป็นใครเสียอีกเล่านอกจากคนที่เธอเรียกว่า แม่
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอพยายามลบภาพแห่งความทรงจำดีๆ กับสิ่งที่ได้รับจากสตรีผู้นี้ ความรัก ความเข้าใจ การเอาใจใส่ การจัดสรร แววตาแห่งความอาทร ความทุกข์ร้อนเมื่อยามที่เธอทุกข์ใจแต่กลายกลับเป็นว่า แม่ทุกข์ทนยิ่งกว่า
เธอยอมรับว่าไม่มีผู้ใดจะดีเลิศและปรารถนาดีต่อเธอเท่ากับแม่ แต่สิ่งที่เธอมิอาจยอมรับได้คือ ฐานะแท้จริงของทางบ้าน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ แล้ว เธอช่างดูด้อยกว่าใคร แม้ว่าจะต้องหลอกตัวเอง แต่เธอยินดีที่จะเลือกเช่นนั้น เป็นเหตุผลหนึ่งที่เธอไม่บอกกล่าวให้แม่มางานรับปริญญาในอีก 2 วันข้างหน้า
"ว้า..เสียดายจังคุณแม่มางานรับปริญญาของแพรไม่ได้แล้วล่ะ" เธอนึกถึงการสนทนาหลังทานอาหารเย็นที่ร้านหรูกลางกรุงกับคนรัก
"อ้าว..ทำไมล่ะครับวันสำคัญอย่างนี้คุณแม่น่าจะปลีกตัวมานะครับ"
"คงสุดวิสัยค่ะ เพราะท่านโทร.มาบอกเมื่อตอนบ่ายว่า ตอนนี้ยังอยู่ที่เดนมาร์ก คุณน้าป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล ที่นั่นไม่มีใครคุณแม่เลยต้องอยู่ดูแล กลับมาไม่ทันค่ะ"
เธอนึกขันกับท่าทีของชายหนุ่มที่เชื่อเธออย่างสนิทใจ แต่ส่วนลึกรู้สึกผิดและเริ่มสับสนมากขึ้นว่าเธอจะโกหกเขาไปได้นานเพียงไร ในเมื่อความจริงย่อมเป็นความจริง เธอพยายามบังคับไม่ให้ใจคิดกังวล หญิงสาวถอนหายใจพร้อมกล่าวออกมาเบาๆ
"ขอโทษด้วยนะคะคุณแม่ หนูจำเป็นค่ะ" กรอบรูปถูกวางคว่ำลงอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนหญิงสาวจะปิดไฟแล้วพลิกตัวหันกลับหลับตาอย่างไม่ไยดี..
* * * * *
แสงทองเริ่มแต้มขอบฟ้า อากาศวันนี้ช่างสดใส จำเนียรเสร็จกิจจากการรดน้ำและริดใบในสวนกุหลาบหลังบ้านแล้ว เธอยืนมองดูฟ้าซึ่งรู้สึกว่าสวยกว่าทุกวัน เธอยิ้มให้กับตนเองด้วยความสุขล้นในใจ
เย็นวันนี้แล้วสินะ ที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ... ลูกคงจะดีใจที่ได้เห็นเธอไปแสดงความยินดี แม้ว่าสุขภาพจะไม่สมบูรณ์นัก เพราะอาการปวดหลัง แต่ก็พอฝืนไปได้ หากไม่ไปลูกคงเสียใจแย่ ต่อไปคงมีรูปสวยๆ ถ่ายกับลูกในชุดครุยมาติดที่บ้านให้ได้ภูมิใจ
หลังทานข้าวเช้าเสร็จ จำเนียรก็เริ่มจัดกระเป๋าเดินทาง นางรู้สึกใจหายเมื่อนึกขึ้นได้ว่า เสื้อผ้าชุดที่ดูพิเศษแทบจะไม่มีเลย ทำไมนะเมื่อวานก็เข้าเมืองน่าจะซื้อใหม่สักชุด แต่มาคิดดูอีกที เก็บเงินไว้เผื่อขาดเหลืออะไรลูกอาจต้องใช้จ่ายน่าจะดีกว่า ผ้าซิ่นฝ้ายทอลายสวยสีอาจจะซีดไปสักหน่อย กับเสื้อม่วงหม่น มีระบายลูกไม้แบบเรียบๆ ชุดนี้ก็คงดูสมฐานะดี สวมสร้อยไข่มุกสักหน่อย เพียงเท่านี้ก็คงพอแล้ว
* * * * *
เพียงก้าวแรกที่เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย จำเนียรก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาลูกสาวพบ ผู้คนมากมายละลานตาไปหมด นิสิตในชุดครุยและญาติพี่น้องถ่ายรูปร่วมกันต่างยิ้มแย้มแจ่มใส วันนี้มหาวิทยาลัยที่เคยดูกว้างใหญ่เลยดูแคบไปถนัดตา นับเป็นครั้งแรกที่เธอมามหาวิทยาลัยของลูก จำได้แต่เพียงที่หนูลำไยบอกว่า ต้องไปที่ตึกคณะนิติศาสตร์ นึกได้จึงถามยามที่ประตูแล้วเดินไปตามคำบอกกล่าวซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
"หนุ่มจ๊ะตรงนี้คณะนิติศาสตร์ ใช่มั้ย" นางถามนิสิตชายคนหนึ่งที่ดูคล้ายยืนรอใครอยู่
"ใช่ครับ"
"งั้นหนูพอจะรู้จักจันทพรรึเปล่าจ๊ะ เห็นเขามั้ย"
"อ๋อ..รู้จักสิป้าคนดังใครก็รู้จัก..แถมมีแฟนรวยอีกต่างหาก โน่นแหน่ะ กำลังถ่ายรูปอยู่ซุ้มหน้าตึกไงครับ" ชายหนุ่มชี้บอกทาง
เธอรีบสืบเท้าตรงไปยังที่หมาย พบลูกสาวในชุดครุย ช่างสวยสง่า รุมล้อมด้วยเพื่อนๆ และชายหนุ่มเคียงข้างคอยซับเหงื่อให้ เธอรีบปรี่เข้าไปใกล้ด้วยความดีใจ แล้วเรียก
"ลูกแพร"
หญิงสาวหันขวับมายังเสียงเรียก ครั้นพบว่าเป็นใครใบหน้าถึงกับซีดเผือด เธอนึกไม่ถึงว่าแม่จะมา กลุ่มเพื่อนที่รายล้อมทุกคนต่างหันมองมายังหญิงวัยกลางคนในชุดที่ดูมอซอเป็นตาเดียว พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจ นี่หรือแม่ของจันทพร ผู้เป็นดาวคณะ ที่เคยบอกว่าเป็นลูกของนักธุรกิจชั้นนำทางภาคเหนือ ทุกคนมองหญิงแปลกหน้าและดูปฏิกิริยาของเพื่อนสาว พร้อมคำถามที่รอคำตอบ
"เอ่อ ขอโทษนะคะ คุณป้าคงทักคนผิดแล้วล่ะค่ะ" หญิงสาวตอบกลับไป แล้วสะกิดเพื่อนเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อถ่ายรูปต่อ
จำเนียรยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่อยากเชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ เป็นไปได้อย่างไร ที่ลูกจะจำเธอไม่ได้ และไม่อยากเชื่อว่าเธอจะถูกปฏิเสธจากลูกจากหญิงสาวที่เธอทะนุถนอมบรรจงสร้างชีวิตมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนเติบใหญ่ พร้อมความอบอุ่นที่มีให้มากที่สุด เท่าที่จะให้ได้ เพื่อชดเชยจากการที่ลูกขาดพ่อ
ดวงตาของเธอเหม่อลอยดังคนไร้สติ เรี่ยวแรงจะก้าวเดินแทบจะไม่มีเหลือ น้ำตาแห่งความผิดหวังเอ่อล้นจนท่วมใจแล้วไหลอาบลงสองแก้ม เธอหันหลังกลับช้าๆ เดินจากมาอย่างไร้จุดหมาย แต่ในใจส่วนลึกยังคงคิดว่า ลูกคงมีเหตุผล และเธอก็พร้อมที่จะรับฟังเมื่อลูกพร้อมจะเล่า
* * * * *
แม้รถจะออกเดินทางจากกรุงเทพฯมานานหลายชั่วโมงแล้ว และผู้คนในรถต่างหลับใหลอยู่ในความมืด มีเพียงเสียงรถและเครื่องปรับอากาศที่ดังเบาๆ แต่จำเนียรยังไม่ได้งีบหลับเลยแม้สักนิด แสงที่สาดเข้ามายามที่รถสวนทาง สะท้อนเงาลำธารน้ำตาที่ไหลพรากเป็นสาย โดยไม่รู้ว่าเสียไปมากเท่าใดแล้ว
เรื่องราวแต่ก่อนเก่า หลายภาพหลายเหตุการณ์วนเวียนเข้ามาในความคำนึงไม่รู้หมดสิ้น ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กๆ น่ารัก ช่างเจรจา ที่ค่อยๆ เติบใหญ่ผ่านการดูแลอบรมเอาใจใส่ของเธอและสามี ดุจลูกในไส้ ทุกถ้อยคำในบทสนทนาระหว่างเธอกับเขา ก่อนที่จะมีเด็กหญิงในบ้าน เธอยังจดจำได้ไม่รู้เลือน
เนียร...พี่อยากจะปรึกษาเนียนหน่อยจ้ะ สามีเอ่ยขึ้นหลังอาหารเย็น
เรื่องอะไรจ๊ะพี่
เราอยู่กินกันมาก็นานพี่ว่าเนียนคงจะเหงา...พี่เองก็อย่างที่รู้... พี่เห็นเนียนชื่นชมลูกชาวบ้านเขาก็อดสงสารไม่ได้... เขาจ้องตาเธอจริงจังก่อนพูดต่อ ...เนียรคิดยังไง...ถ้าเราจะไปขอเด็กที่โรงพยาบาลในเมืองมาเลี้ยง...พี่ว่าเด็กที่คลอดมาแล้วแม่ทิ้งนี่ โตมาต้องกำพร้า ขาดความอบอุ่น...น่าสงสารนะ
จริงเหรอพี่... เธอยิ้มตาเป็นประกาย เนี่ยฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน พี่อ้อยบ้านโน้นที่พี่ป้อมแฟนเขาเป็นหมัน เขาก็คิดเหมือนพี่นี่แหละ เขาบอกฉันวา เด็กอ่อนที่โรงพยาบาลในเมือง มีแม่วัยรุ่นคลอดแล้วทิ้งเยอะขึ้นทุกวัน ทางโรงพยาบาลเขาก็อยากหาพ่อแม่บุญธรรมรับไปเลี้ยงเหมือนกันถ้าเราขอมาเลี้ยงซักคน คงจะดี สิ่งที่เราช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวมาจะได้มีคนช่วยดูแลต่อ ฉันเองก็จะไม่เหงา มีเด็กวิ่งในบ้าน ครึกครื้นดีออก
งั้น วันมะรืน เราไปที่โรงพยาบาลกันนะ สามีเอ่ยพลางเอื้อมบีบมือเธอ
วันที่เธอกับสามีไปทำเรื่องขอเด็กอ่อนมาเลี้ยง เธอยังจำภาพนั้นได้ดี ภาพของทารกเพศหญิง ที่เพียงได้พบหน้า แววตาสองคู่ที่ประสานกัน เสมือนความผูกพันนั้นมีมานานนัก เธอรักเด็กน้อยตั้งแต่แรกอุ้ม และทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เฝ้าดูแลเอาใจใส่ อบรมด้วยความรัก แม้ในยามที่สามีจากไป ความรักที่ให้ก็ยิ่งเพิ่มทวีไม่เคยลดน้อยถอยลง ทว่าไม่เคยคาดคิดแม้สักนิดว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนแปร ความรักที่เด็กหญิงซึ่งนางไม่เคยบอกความจริง จะตอบแทนความรักต่อเธอเช่นนี้
คิดถึงเพียงเท่านี้ เสียงกรีดร้องมาจากตอนหน้าของรถก็ดังลั่น แข่งกับเสียงบีบแตรยาว ตามมาด้วยเสียง โครม!!!
แล้ว....สติของเธอก็ดับวูบ....
* * * * * * * * * *
9 มิถุนายน 2549 17:50 น.
ทิวสน
เรื่องเก่าเล่าขาน...ตำนานข้าวต้มกุ๊ย
โดย เจ้าชายน์ติ๊ง
tewson7@hotmail.com
สิ่งที่เราเห็นและเป็นอยู่ กับสิ่งที่เรียกขานจนคุ้นชิน บางครั้งเมื่อลองนึกทบทวนก็ชวนให้สงสัยใคร่รู้ ถึงที่มาที่ไปในสิ่งนั้น ความสงสัยจะกระจ่างก็ต้องเล่าอ้างคนแก่คนเฒ่า ให้ช่วยเล่าขาน ว่าตำนานมีมาอย่างไร ในครั้งนี้เราจะรู้กันว่าแท้จริง ข้าวต้มกุ๊ย มีตำนานความเป็นมาอย่างไรช้าอยู่ไย ไปพบความ ค่อนข้างจริงโดยพลัน!!
* * *
ข้าวสวยเมล็ดนุ่ม-หอม กรุ่น ในน้ำร้อน
เมื่อใดที่มีภารกิจต้องทำจนดึกดื่น ค่อนคืน ล่วงสี่ทุ่ม ห้า ทุ่ม สองยาม ข้ามวันใหม่ ก่อนจะกลับไปหลับพักผ่อน ส่วนใหญ่ใครต่อใครมักหาอะไรเอาใจกระเพาะน้อยๆ มิเช่นนั้นคงหลับไม่เป็นสุขลุกไม่สะดวกแน่ หนึ่งในเมนูยอดนิยมของอาหารก่อนนอนตอนดึก เรามักนึกถึงโจ๊ก หรือไม่ก็ ข้าวต้มกุ๊ย
คนส่วนใหญ่ทราบดีว่า ข้าวต้มกุ๊ย ข้าวขาวเมล็ดสวย ในน้ำใส-น้ำข้น เป็นที่นิยมรับประทานมานานนักแล้ว และพบนิยมทั่วไปไม่ว่ามุมใดของโลก ทั้งยังหลงผิดคิดว่าเป็นสิ่งที่คู่กันมากับอาหารจีน แต่แท้จริงแล้ว ข้าวต้มกุ๊ย มีต้นกำเนิดเกิดขึ้นที่ สยามประเทศ นี้เอง!
นั่นไงนึกแล้วว่าหลายคนต้องสงสัย ไม่มั่นใจ ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ผู้เขียนขอบอกว่า เป็นไปได้และเป็นไปแล้ว เป็นมามากกึ่งศตวรรษ หาใช่ร้อยวันพันปีดังที่หลายคนเคยคาดเดาและเข้าใจ ถ้าอยากรู้อยากเข้าใจ ก็ลองเปิดใจ ผ่อนคลายสบายๆ พบคำตอบของที่มาที่ไปได้ ในบรรทัดถัดจากนี้
จุดเริ่มต้นของเรื่องอาจดูเหมือนไม่เกี่ยวเนื่องกับจุดสรุป หากจะบอกว่า กำเนิดของ ข้าวต้มกุ๊ย กับวงการภาพยนตร์ เป็นจุดร่วมกำเนิดของตำนานนี้
จากการศึกษาค้นคว้าของ มหาวิทยาลัยเยล และ คิงส์คอลเลจ พบว่าพัฒนาการของวงการภาพยนตร์มีมาตั้งแต่ราวปลายศตวรรษที่ 18-19 ในยุโรปและแผ่ขยายทั่วไป รวมทั้งการนำเข้ามาในประเทศไทยราว 100 ปีเศษ ซึ่งขณะนั้นเป็นการนำเข้ามาของราชคันตุกะชาวตะวันตก นำมาฉายถวายในพระราชสำนัก และต่อมาประชาชนทั่วทั่วไปก็มีโอกาสได้ชม ถือเป็นมโหรสพที่แปลกใหม่ในสมัยนั้น
ต่อมาชาวอเมริกันสแตนด์ดาร์ด อ๊ะ!ไม่ใช่สิ อเมริกันเฉยๆ ได้ทดลองถ่ายทำภาพยนตร์ไทย เรื่องนางสาวสุวรรณ ขึ้น ซึ่งเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรก โดยเป็นภาพยนตร์ขาว-ดำ ไร้เสียง หรือเรียกว่า หนังเงียบ และได้มีการถ่ายทอดวิชาการถ่ายทำภาพยตร์จนคนไทยเริ่มสร้างภาพยนตร์ไทยได้เอง พร้อมๆ กับการเกิดอาชีพนักแสดงไทยขึ้น
ในยุคแรกของภาพยนตร์ไทย ได้รับการสนับสนุน ด้วยดีจากผู้สร้างผู้กำกับชาวตะวันตก และมีการถ่ายทอดศิลปะการแสดงจากนักแสดงฮอลลีวูดให้กับนักแสดงไทย ทำให้เกิดความสนิทสนมกันระหว่างนักแสดงทั้ง 2 ชาติ
นักแสดงไทยที่เป็นที่รู้จักในยุคแรกนั้น ไม่มีใครไม่รู้จัก หลวงอภิบาล และคุณฉิม นฤดลมนตรี 2 สามีภรรยาซึ่งเป็นข้าหลวงฯ และเป็นนักแสดงยอดนิยมในยุคแรก อีกทั้งยังสนิทสนมกลมเกลียว ถึง 3 เกลียวบวกลังกาหลังอีก 1 รอบ (สนิทมาก) กับครอบครัวนักแสดงฮอลลีวูดยอดนิยมในยุคนั้น คือ นายทอม ครุยส์ อี. เมเจอร์ กับนางซาร่า ครุยส์ อี. เมเจอร์ (จากหลักฐานกรมสรรพากรสหรัฐอเมริกา แจ้งว่า นายทอม ครุยส์ อี.เมเจอร์ เป็น บิดาของปู่ ของ ทอม ครุยส์ นักแสดงยอดนิยมที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน)
ทั้งสองครอบครัวไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ จากแรกนั้นไปมาหาสู่เพราะต้องติดตามผู้กำกับชาวอเมริกันอันเนื่องมาจากเรื่องงาน แต่ในภายหลัง ครอบครัวเพื่อนชาวอเมริกัน ดั้นด้นมาสยาม(ชื่อเรียกสมัยนั้น) ก็เพราะความสนิทสนมส่วนตัวและชื่นชอบสถานที่ท่องเที่ยวของไทย และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ถูกปากอาหารไทยรสมือคุณฉิม ด้วยเหตุนี้คราใดที่ได้ต้อนรับครอบครัวทอม ครุยส์ ฝ่ายไทยจะทำอาหารไทย ถึงรส ถึงลูกถึงคน คอยเลี้ยงรับรองเสมอ
ปลายฝน ต้นหนาวปีที่ 5 ในความสนิทสนมกลมเกลียว ของ 2 ครอบครัวครอบครัวของหลวงอภิบาล ก็ได้มีโอกาสต้อนรับครอบครัว ทอม ครุยส์ อีกครั้งหนึ่ง
การมาเยือนครั้งนั้น อาหารเย็นวันแรก คุณฉิมก็ได้ทำอาหารไทยที่นายและนางทอม ครุยส์ ชื่นชอบเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็น แกงส้มปลาช่อนตัวผู้ใส่ผักกระเฉดสวนสามพราน ไข่ตุ๋นวุ้นกะทิ น้ำพริกกะปิศรีราชา ปลาร้าหลนทรงเครื่อง แกงจืดมะระตุ๋นกระดูกหมูมะนาวดองเมืองเพชร และที่ขาดเสียไม่ได้ เพราะหากลืมเป็นงอน คือ ต้มยำกุ้ง ทานกับข้าวสวยหอมมะลิ หุงโดยใช้หม้อดิน
หกโมงเย็น เป็นเวลาอาหาร ทุกอย่างขึ้นโต๊ะรอรับประทาน 2 สามีภรรยาเพื่อนผู้มาเยือน
ดีใจจนน้ำลายไหลสามหยด เมื่อทราบถึงเมนูมื้อนี้ ครั้นนั่งลงพร้อมจะรับประทานอาหารที่ตรงหน้า 2 ครอบครัวก็อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร แล้วหลวงอภิบาลและคุณฉิมก็ตักอาหารทานคำแรกโดยไม่งอศอก.คือ ตักให้เพื่อนชาวอเมริกัน บรรยากาศการรับประทานมีทีท่าว่าจะเต็มไปด้วยรสชาติและไมตรีอันดี ทว่าเพียงคำแรกที่ ทอม ครุยส์ ตักกับบนข้าวเข้าปาก-เคี้ยว. ก็สะดุด หยุดนิ่ง มองซ้ายขวา เหมือนว่ามีปัญหาใช่ อาหารมื้อนั้นมีปัญหา เพราะข้าวสวยร้อนๆ ก่อนนั้นเคยทานแต่ข้าวหอมมะลิหอมๆนุ่มๆ กรุ้มกริ่ม แต่ครั้งนี้ทำไม กรุบๆ ไม่หนุบหนับรับรสกับ กับข้าวที่อร่อยเอร็ดปัญหาอยู่ที่ข้าวข้าวแข็งที่แข็งเพราะข้าวสุกแต่ยังไม่แตกเมล็ดดี ข้าวที่เคี้ยวจึงเป็นปัญหา
ทุกคนบนโต๊ะอาหาร ต่างเห็นอาการที่เดาไม่ถูกของ ทอม ครุยส์ และรอว่าจะพูดอะไร ครั้นหลวงอภิบาลถามถึงรสชาติ อีกฝ่ายก็บอกว่าอร่อย แต่ทุกคนก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่า ข้าวแข็ง
ทอม ครุยส์ มองซ้าย แลขวา คล้ายว่าจะหาอะไร และเหลือบไปเห็นกาต้มน้ำมีควันพวยพุ่ง เดือดพล่าน ขณะที่คุณฉิมจะเอ่ยปากถามว่าต้องการอะไร ทอม ก็ถือจานข้าว ลุกขึ้นไปที่ครัว และยกกาน้ำร้อนรินน้ำเติมลงในจานนั้น ทุกคนมองหน้ากันอย่าง งวย-งง ฝ่ายทอม เดินกลับมาที่โต๊ะ วางจาน แล้วคนน้ำร้อนให้เข้ากันกับข้าวสวย และยิ้มให้กับทุกคน แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงครู่ก็ตักข้าวสวยในน้ำร้อนใส่ปาก-เคี้ยว แล้วสีหน้าทอมก็เปลี่ยนไป พร้อมอุทาน ยอดเยี่ยมนุ่ม อร่อย ละมุนลิ้น แล้วก็ชวนทุกคนลองทานข้าวสวยในน้ำร้อน ซึ่งก่อนนี้เมล็ดข้าวจะแข็ง แต่ตอนนี้ ข้าวนุ๊มมมมนุ่มนุ่มลงจริงๆ คุณฉิมจึงนำน้ำร้อนมาเติมในข้าวให้กับทุกคน และทานอาหารมื้อนั้นกันชนิดรื่นเริงบันเทิงลิ้น
และอาหารมื้อต่อมาไม่ว่ากับข้าวจะเป็นอะไร แต่ข้าวที่ทานจะเป็นข้าวสวยในน้ำร้อนทุกมื้อ กระทั่งเพื่อนชาวอเมริกันกลับไป
จากวันนั้น ครอบครัวหลวงอภิบาลก็จะทำข้าวประเภทนี้ที่เพิ่งค้นพบโดยทอม ครุยส์ ทานทุกวัน ทั้งยังแนะนำไปยังเพื่อนบ้านใกล้เคียง และมีการบอกสูตรข้าวนี้แบบปากต่อปาก ไปถึงไหนต่อไหน กระทั่งไปถึงหูอธิบดีกรมโคดสะนากาน (โฆษณาการ / กรมประชาสัมพันธ์) จึงเชิญครอบครัวของหลวงอภิบาล มาให้สัมภาษณ์ทางรายการวิทยุกระจายเสียงฯ ถึงสูตรและความเป็นมาของข้าวประเภทนี้ ที่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกที่บ้านหลวงอภิบาล และเป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนั้น หลวงอภิบาลได้หารือกับศรีภรรยาและได้ข้อสรุปว่า ควรตั้งชื่อข้าวชนิดนี้ โดยให้เกียรติแก่ผู้คิดค้นคือ ทอม ครุยส์ อี. เมเจอร์ จึงให้ชื่อข้าวชนิดนี้ว่า ข้าว ทอมครุยส์ แต่นั้นมา
จากการออกอากาศรายการวิทยุ พร้อมเปิดเผยสูตรง่ายๆ ในวันนั้น ก็เกิดความนิยมข้าวชนิดนี้แพร่หลายไปทั่วประเทศ และยังมีคนไทยนำไปเผยแพร่ยังต่างประเทศ ระยะเวลาอันยาวนานได้เกิดพัฒนาการของข้าว ทอม ครุยส์ ไปหลายรูปแบบ เช่น นำข้าวสวยมาต้มกับน้ำร้อนโดยตรง บ้างก็นำใบเตย 1 มัด ใส่ในน้ำร้อนต้มไปด้วย เพื่อเพิ่มความหอม บ้างก็ใส่เกลือเล็กน้อย บ้างก็ใช้วิธีต้มข้าวสารจนกลายเป็นข้าวทอม ครุยส์ บ้างก็หั่นเผือกดิบเป็นลูกเต๋าเล็กๆ พร้อมลูกเดือยใส่ลงไปพร้อม บางรายเอาดีในทางนี้ ก็เปิดร้านขายอาหาร และประชาสัมพันธ์เชิญชวนลูกค้า ด้วยป้ายข้อความ ร้านนี้มีข้าว ทอม ครุยส์ จนขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเททิ้ง เอ๊ย เท ท่า
ในช่วงหลังมีการพัฒนาเรื่องกับ ที่ทานกับข้าว ทอม ครุยส์ โดย เน้นไปที่ของแห้ง ที่นำมาทอด หรือยำ เช่น กุ้งแห้ง ปลาหมึกกล้วย ไข่เค็ม ผักกาดดอง ผัดหัวผักกาดใส่ไข่ ผัดผักบุ้ง-ผัดผักกระเฉดไฟแดง เป็นต้น
กาลเวลาล่วงผ่านนานวัน การรับประทาน ข้าว ทอม ครุยส์ เป็นที่นิยมไม่หยุดยั้งทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ทางตอนเหนือ ซึ่งอากาศค่อนข้างเย็นเกือบตลอดปี เมื่อได้ทานข้าวชนิดนี้ ก็ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นดีนักแล โดยเรียกข้าวชนิดนี้ว่า โจว ตามความเข้าใจว่ามาจากข้าวสวยต้มในน้ำร้อน
ในประเทศไทย เมื่อเวลาทอดยาวนานไป ชื่อเรียกแรกเริ่มแต่เดิมนั้นก็เปลี่ยนเพี้ยนไปหลายๆ ชื่อ เช่น ข้าวทอมครุยส์, ข้าวหอมฉุย, ข้าวต๋อมตุ๊ย, ข้าวทอมคุ๊ย, ข้าวหอมวุ๊ย, ข้าวต้อมครุยส์, ข้าวต้อมกึ๋ยส์, ข้าวต้มกึ๊ยส์, ข้าวต้อมกุ่ย, ข้าวต้มกุ่ย, ข้าวต้มกุ้ย, จนมาเป็น ข้าวต้มกุ๊ย ในที่สุด
ข้าวต้มกุ๊ย กลายเป็นชื่อเรียกติดปากในปัจจุบัน และเป็นที่นิยมทั่วโลก โดยมีเพียงคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ทราบความจริงว่า ข้าวต้มกุ๊ย มีถิ่นกำเนิดเกิดที่ กรุงเทพฯ ณ สยามประเทศ เมื่อราวศตวรรษที่ผ่านมา โดยการค้นพบโดยบังเอิญ ของ อดีตนักแสดงฮอลลีวูด ยุคบุกเบิก ชื่อ ทอม ครุยส์ อี.เมเจอร์ เมื่อคราวมาเยือนเพื่อนนักแสดงชาวสยาม
แม้แต่ ทอม ครุยส์ นักแสดงฮอลลีวูดยุคปัจจุบัน อาจจะไม่เคยทราบความจริงมาก่อนว่า แท้จริงแล้ว มิสเตอร์ ทอม ครุยส์ อี.เมเจอร์ ปู่ทวดของเขา เป็นผู้ให้กำเนิด ข้าวต้มกุ๊ย
* * * * * * * * * *
หมายเหตุ
ขอรับรองว่าเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นความจริงเฉพาะ...
1.นางสาวสุวรรณเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรก (แต่ไม่ได้สร้างและถ่ายทำโดยคนไทย)
2.ภาพยนตร์ไทยมีกำเนิดครั้งแรกเมื่อราว 1 ศตวรรษที่ผ่านมา
3.ภาพยนตร์ยุคแรกเป็นขาว-ดำ และไม่มีเสียง เรียกว่าหนังเงียบ
4.กรมโคดสะนากาน คือ กรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน
5.ประเทศไทยเปลี่ยนชื่อมาจากสยาม ยังไม่ถึงร้อยปี
6.ข้าวต้มกุ๊ย ภาษาจีนกลางเรียกว่า โจว
7.ประเด็นอื่นๆ ขอรับรองว่าเป็นความไม่จริงแทบทุกประการ
ประเด็นอื่นๆ ที่เป็นจริงและควรทราบ
1.ข้าวต้นกุ๊ยแรกเริ่มเรียกกันว่า ข้าวต้มพลุ้ย โดยเรียกจากอากัปกริยา เวลาคนจีนกินจะนั่งยองๆ แล้วใช้ตะเกียบพลุ้ยข้าวเข้าปาก
2.จับกัง แต่เดิมเรียกว่า กุ๊ย ด้วยรายได้ไม่มากจึงทานอาหารง่ายๆ ราคาถูก เช่น ไข่เค็มหนึ่งซีก กับข้าวต้มเต็มถ้วยก็อิ่มท้อง และราคาเบา (ไม่กี่สตางค์ / ในสมัยเมื่อราวๆ 50 ปีก่อน)
3.ในช่วงก่อสร้างถนนแถวราชดำเนิน และเลียบคลองหลอด มีการเกณฑ์แรงงานคนจีนที่เข้ามาเมืองไทย และทำงานโดยใช้แรงงานมารับจ้าง หัวหน้าที่คุมงานไม่ค่อยมีน้ำใจเท่าใดนัก นำค่าจ้างที่ได้จากการรับเหมามาจัดสรรเลี้ยงข้าวกุ๊ย ด้วยข้าวต้ม ส่วนกับมักจะผัดก้อนกรวดกับเกลือให้คนงานได้อมเพื่อแกล้มกับข้าว นานๆ ครั้งจึงจะมีผัดผักกาดดองบ้าง หรือเต้าหู้ยี๊ เป็นเช่นนี้จนกระทั่งงานก่อสร้างถนนเสร็จสิ้น
นับแต่นั้นก็เรียกข้าวต้มขาวๆ ในน้ำใสบ้าง ข้นบ้างนี้ว่า ข้าวต้มกุ๊ย และต่อมามีการพัฒนาเรื่องกับข้าวที่ทานคู่กัน พร้อมความนิยมที่กว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนจีนก็นิยมกินบ้างก็ยกชั้นถึงระดับอาหารเหลา ดังที่เราพบในปัจจุบัน
เจ้าชายน์ติ๊ง
* * * * * * * * * *