22 มิถุนายน 2549 15:10 น.

เรื่องสั้นอารมณ์ดี "หาดสวย ทรายขาว เรารักกัน"

ทิวสน

แสงสีทองเริ่มจับที่ขอบฟ้า ทาบทาระบายผืนน้ำในสีเดียวกัน คลื่นลมซัดสู่ฝั่งเป็นระรอก สองรอก สามรอก. และเริ่มถี่กระชั้นขึ้นแสงทองเริ่มเข้มขึ้นทีละน้อย นั่นอย่างไร ดวงอาทิตย์หัวเหม่งเริ่มโผล่พ้นผิวน้ำที่ขอบฟ้าแล้วอา...ช่างเป็นภาพที่งามแท้

            เจี๊ยบสูดลมหายใจลึกเต็มปอดแล้วระบายออกทางหู พร้อมรอยยิ้มปลาบปลื้มกับภาพเบื้องหน้า นำมาซึ่งความสดชื่นพึงใจเหลือประมาณ เธอยิ้มนิ่ง-นาน จนเหงือกเริ่มแห้ง. 

            เธอไม่อายหรอกหากใครจะมาพบเธอยืนยิ้มอยู่คนเดียว เพราะเพื่อนๆ คณะนิเทศฯ เห็นเป็นภาพคุ้นตาเสียแล้ว นับตั้งแต่ปี 1 เป็นต้นมา เธอมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวถึงเสมอ ด้านการยืนยิ้มคนเดียวไม่จำกัดสถานที่ ไม่ว่าจะเป็น หน้าคณะ หน้ามหาวิทยาลัย หน้าตู้โทรศัพท์ หน้าตู้ไปรษณีย์ ไม่เว้นแม้แต่หน้าห้องน้ำนักศึกษาชาย !

            ความที่รักธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจนี่เอง จึงนำเธอมายืนรอภาพอันงดงามยามเช้าก่อนไก่(เพื่อนหญิงที่มาด้วยกัน)จะโห่เสียอีก

            ภาพเบื้องหน้าสะกิดใจให้เธอหวนรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญอันน่าประทับใจครั้งหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นบนชายหาดแห่งนี้.เมื่อ 3 ปีที่แล้ว   (ภาพเบื้องหน้าเริ่มเบลอ และนำเธอไปสู่อดีต)

* * * * *

            วันนั้นเป็นวันที่ทำให้เธอได้พบและรู้จักกับเขาคนนั้น ซึ่งเป็นพี่รหัสลึกลับ เป็นครั้งแรก   ขณะเพื่อนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันตั้งแต่เย็นเมื่อวาน ยังคงนอนอยู่ที่บ้านพัก แต่เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่มานั่งรอชมดวงอาทิตย์ในยามอรุณรุ่ง 

            ครั้นแสงทองระบายผืนฟ้าทาบทาผืนน้ำ นำความสว่างกำจายไปทั่ว เธอสังเกตพบว่า มีชายคนหนึ่งยืนถัดจากเธอไปไม่ไกลนัก มาดสุขุมนิ่ง กอด-อก สายตาทอดยาวออกไปไกล ผมยาวสยายตามลมจมูกนั้นเล็กแหลมแถมคบกริบ ตาโหลเล็กน้อย กับความสูงราว 185 เซนติเมตร 

            เธอจำได้ว่าเขาคือรุ่นพี่ที่มากับโปรแกรมรับน้องนั้นเองลมพัดแรงจนเขาเซมาข้างหลังเล็กน้อย น้ำลายกระจายตามลม แต่แลดูเท่ห์-มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก

            ครู่หนึ่ง เมื่อฟ้าสว่างขึ้นมากแล้ว เขาจึงหันกลับและเดินผ่านหน้าเธอไป พร้อมเหลือบตามามองและส่งยิ้มให้เธอเล็กน้อย เธอไม่อาจปฏิเสธในไมตรีได้จึงยิ้มรับพร้อมกระพริบตาถี่ สลับซ้ายขวา 15 ครั้ง/วินาที 

            มันคือการเริ่มต้นของการทอดสะพานมิตรภาพถึงกันระหว่างเขาและเธอ.

* * * * *

            ในการทำกิจกรรมรับน้องตลอดวัน ดูเหมือนว่าเขาจะลอบแอบมองเธออยู่บ่อยครั้งจนเธอจับได้ แต่เขาพยายามดิ้นและหลุดเสียทุกครั้งโดยทำหน้าตายสอดส่ายสายตาไปที่อื่น ทว่ามันทำให้เธอหัวใจหวั่นไหวอยู่ลึกๆ พฤติกรรมของเขาหาใช่เพียงแต่เธอที่สังเกตพบ แต่เพื่อนผู้หญิงหลายคนก็สัมผัสได้เช่นกัน บางคนก็ค้าน หาว่าแท้จริงเขาไม่ตั้งใจ หรือตาเหล่บ้างล่ะ ซึ่งมันก็จริง แต่มันก็น่าภูมิใจมิใช่หรือ หากตาข้างหนึ่งมองดูเพื่อนหรือสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า แต่ดวงตาอีกข้าง สนใจห่วงใยเธอตลอดเวลาปลื้มจัง.แต่จะเป็นจริงได้เพียงใดหนอ 

            เพราะด้วยความที่เป็นหญิงคงไม่งามนักหากจะเป็นฝ่ายส่งสัญญาณให้เขารู้ พร้อมป้อนคำถามว่า ชอบมะ ชอบมะ รึว่าอะไรทำนองนี้ คงมีแต่จะงามหน้าซะมากกว่า

            ในช่วงทำกิจกรรม ตอนที่รุ่นพี่แกล้งเช่น ให้เดินลุยไฟ นั่งเก้าอี้ไฟฟ้า กระโดดเชือกไป
ปั่นจักรยานไป หรือจะเป็นปล่อยเกาะแล้วให้ว่ายน้ำกลับ พี่คนนี้ก็จะสอดส่องคอยดูแลปกป้องเธออย่างเห็นได้ชัด 

            อย่างตอนนั้น เจี๊ยบกำลังถูกบังคับให้กินกิ้งกือพ่อลูกอ่อนและปลาไหลไฟฟ้า พี่เขาก็จะรีบบอกว่าหมดเวลาตั้งหลายหน โดยไม่มีเพื่อนคนไหนรู้หรือกล้าค้านเพราะเกรงใจไม้หน้าสามที่เขาเงื้ออยู่ในมือ ตอนนั้นอีกตอนที่นั่งเรือไปเพื่อนำนักศึกษาใหม่ไปปล่อยเกาะ 

            วันนั้นคลื่นลมค่อนข้างแรง เรือจึงโคลงไปมาทำเอาน้องใหม่ โดยเฉพาะสตรีที่บอบบางเช่นเธอถึงกับอาเจียนออกมาเกินกว่าจะควบคุมได้ และมันได้รดหน้าของเขาเข้าเต็มที่ 

            แต่เขาไม่ตำหนิหรือกล่าวว่าเธอเลยแม้สักคำ นั่นเป็นเพราะมาทราบภายหลังว่า เขาเป็นคนที่เข้าใจผู้อื่นโดยง่ายเสมอ 

            ตอนที่จะก้าวลงจากเรือไปลงเรือเล็กเธอก้าวพลาดเกือบจะหล่นลงน้ำแต่ไม่รู้เขามาอยู่ด้านหลังเธอแต่เมื่อใดคว้าผมเธอกระชากเอาไว้เป็นเหตุการณ์สุดแสนซาบซึ้ง

            แม้แต่เรื่องปล่อยเกาะพี่แมน (ชื่อของพี่คนนี้ ที่เธอแอบรู้มาตอนที่เขาเผลอทำตั๋วจำนำหล่นลงบนมือเธอ) ก็อุตส่าห์เสนอให้เพื่อนนำเธอไปปล่อยอีกเกาะหนึ่งซึ่งห่างไปอีก 200 ไมล์ เพราะอยากให้เธอมีความเป็นส่วนตัวนั้นเอง

            ในช่วงโปรแกรมรอบกองไฟในคืนนั้น ก็แสนจะประทับใจ
            เริ่มตั้งแต่ทานอาหารทะเล เช่น ลาบไก่ ซุปหน่อไม้ ปลาดุกย่าง ซึ่งหลายคนก็สงสัยเช่นกัน ว่ามันเป็นทะเลตรงไหน พี่ที่ทำอาหารก็บอกว่า ไก่นี้จับมาจากเกาะ หน่อไม้ก็ลอยอยู่ในน้ำทะเล    ส่วนปลาดุกนั่นก็เป็นปลาดุกลูกครึ่ง แต่ด้านรสชาติไม่มีใครปฏิเสธว่าแซบเหลือหลาย โดยเฉพาะเมื่อได้ทานกับข้าวเหนียวทะเล!

            หลังทานอาหาร การแสดงของแต่ละกลุ่มซึ่งแบ่งตามภาคก็เริ่มขึ้น สร้างความสนุกสนานครื้นเครงจนเวลาผ่านล่วงไปดึกพอประมาณ บรรยากาศทั่วไปเริ่มเย็นเยียบ เงียบสงัด มีเพียงเสียงจากกลุ่มนักศึกษาและเสียงคลื่นกระซิบมาเป็นระยะ เป็นเวลาเหมาะสมที่พี่ๆแต่ละคนได้เข้าไปพูดคุยอย่างมีสาระกับน้องๆ พร้อมให้กำลังใจ

            แมน ชายหนุ่มคนนั้นได้คลานมาที่กลุ่มของเจี๊ยบและเพื่อน แสงไฟสลัว วอมแวม ทำให้ใบหน้าเขาแลดูหล่อเหลาไปอีกแบบจนเจี๊ยบอดไม่ได้ที่จะแอบก้มหน้ายิ้มขวยอายอย่างไร้เหตุผล  แล้วเขาก็เริ่มกล่าวความในใจ. 

            แม้จะมีเพื่อนร่วมฟังอยู่ด้วยแต่เธอกลับรู้สึกว่า เขากำลังเติมเชื้อไฟ เอ๊ยไม่ใช่สิ. เขากำลังเติมกำลังใจให้กับเธออย่างเฉพาะเจาะจง

            น้องๆครับ เราแต่ละคนต่างก็โตเป็น เอ่อเป็นอะไรต่อมิอะไรกันแล้ว น้ำเสียงนั้น ทุ้มนุ่ม อบอุ่นเหลือเกิน 

            ชีวิตนักศึกษากับชีวิตนักเรียนมันต่างกันครับน้องเวลานี้เป็นเวลาสำคัญที่เราจะเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ ต้องขวนขวายทุกสิ่งมาด้วยตนเอง เปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่ง เขานิ่งไปประมาณ 5 วินาที จึงพูดต่อ

            เปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่งใช่เปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่ง ที่จะใช้เป็นสะพานข้ามไปสู่ดวงดาววาววาม มีเมฆขาว ดาวสวย กับกล้วยน้ำหว้า เป็นกำลังใจให้เรา เราจะต้องตระหนักว่า เราไม่ต่างอะไรกับพวกลูกไม่มีพ่อ-แม่ พ่อแม่ไม่สั่งสอน 

            น้องๆ หันมองหน้ากัน แต่เขายังพูดต่อ 
            หรือว่าคุณพ่อ คุณแม่ ของน้องคนไหนเรียนนิเทศฯบ้าง.นั่นอย่างไรก็ไม่มีใช่มั้ย ขอให้ทุกคนตั้งใจในการปรับตัว ตั้งใจค้นคว้า หนทางข้างหน้าแม้ยาวไกล แต่น้องอย่าลืมว่าพี่ๆทุกคนยังเดินไปเคียงข้างน้องตลอดเวลาตราบที่พี่ยังอยู่ที่นี่ และพร้อมจะช่วยเหลือน้องๆเสมอครับ

            เมื่อเขาพูดจบ ทุกคนในกลุ่มถึงกับน้ำตาซึมเนื่องมาจากต้องทนดมกลิ่นจากใครคนหนึ่งที่แอบผายลมอย่างสุภาพเป็นระยะ และที่สำคัญ คือซาบซึ้งในสาระที่ได้รับเป็นครั้งแรกตลอดโปรแกรมที่ผ่านมาและสัมผัสได้ว่าบรรจุด้วยความจริงใจเปี่ยมล้นพร้อมความอบอุ่นเติมเต็มทุกดวงใจ

* * * * *

            หลังกลับจากรับน้อง เหมือนพระเจ้าเข้าข้างและทอดพระเนตรเห็นความหวั่นไหวในใจเธอจึงนำเขาและเธอให้ได้เรียนรู้จักกันมากขึ้น ซึ่งเขานั้นแท้จริงก็คือร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมาไม่ใช่สิ เพราะแท้จริงเขาคือพี่ระหัสลับของเธอ แถมยังระหัส 007 เหมือนเธอด้วย ซึ่งก็แปลกดีที่เธอมี
พี่ระหัสลับถึง 7 คน 

            เขาและเธอเริ่มมีโอกาสพูดคุย ให้คำปรึกษาในทุกครั้งที่มีปัญหา และทุกครั้งที่หาเหตุให้มีปัญหา เขาจะวางตัวอย่างดีจนเธอมองไม่ออกว่า เขารู้สึกเช่นเธอหรือไม่ ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เธอจะได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาว่าเป็นคนเช่นไรไม่ต้องเสแสร้งสร้างภาพสวยงามตบตากัน 

            กระทั่งนานไปจนเธอเรียนปี 2 พี่แมนก็ชวนเธอไปดูหนังด้วยเป็นครั้งแรก เรื่อง โหด เลวดี อ้วนพี ผีกุ๊กกี๊ก เขาเกรงว่าเธอจะเหงาจึงชวนครอบครัวไปดูด้วย ซึ่งก็น่าประทับใจไปอีกแบบในความที่เขาเป็นคนรักญาติพี่น้อง

* * * * *

            ความสนิทสนมของทั้งสองแม้ในสายตาเพื่อนๆ เริ่มสงสัยแต่ก็ยังไม่มั่นใจว่า เขาและเธอกำลังจะคบหากันเป็นคู่รักหรือไม่ ซึ่งเธอเองก็ยังไม่มั่นใจและรอเวลาให้ทอดยาวออกไปให้แน่ใจกว่านี้ และที่สำคัญเขายังไม่เคยเอ่ยกับเธอในเรื่องนี้เลย แม้ว่าพฤติกรรมของเขาเริ่มที่จะชัดเจนขึ้น 

            บ่อยหนที่เขาผ่านตลาดสี่มุมเมืองคราใด เป็นต้องซื้อผักกาดแก้วมาฝากเธอ 1 เข่ง พร้อมน้ำพริกหนุ่ม 5 กิโลฯ ความที่เขารู้ว่าเธอชอบทานเป็นชีวิตจิตใจนั่นเอง แม้เวลาจะผ่านไป จนบัดนี้เขาเรียนปี 4 แล้ว เธอก็ยังไม่ได้ยินคำๆนั้นที่รอคอย แต่เธอก็หาได้กระวนกระวายแต่อย่างใด แถมเก็บอาการไว้ได้เป็นอย่างดี  แม้บางครั้งเก็บไม่ค่อยอยู่หางคิ้วกระตุกเป็นระยะ แต่เขาไม่สังเกต

* * * * *

            เช้าวันนี้ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอได้มายืนอยู่ตรงนี้ เพราะรุ่นพี่ปี 4 จัดโปรแกรมมาพักผ่อนหลังสอบกลางภาค เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ มีเธอและเพื่อน อีก 6-7 คนและรุ่นพี่อีก 20 คน ที่สำคัญพี่แมนก็มาด้วย

            แดดเริ่มจับขอบฟ้าแล้ว แสงสีส้มอมชมพูสาดไปทั่วผืนฟ้าแลดูงดงาม เหมือนเบิกทางให้ดวงตะวันที่จะโผล่พ้นที่สุดปลายฟ้า เธอรู้สึกเสียดายที่หลายคนยังคงนอนพักผ่อนไม่สนใจกับภาพอันน่าประทับใจ แล้วเขาล่ะ.ทำไมเขาเองก็เป็นไปด้วย 

            รึว่าเธอมองผิดว่าเขาเป็นคนรักธรรมชาติ เพราะหากใช่ แล้วเขาพลาดช่วงเวลานี้ได้อย่างไร.ดวงอาทิตย์ดวงเดิมกับเมื่อวานเริ่มโผล่พ้นผืนน้ำที่สุดปลายฟ้า เธอเผลอยิ้มทักทายโดยไม่รู้ตัว ความสว่างเริ่มสาดแสงไปทั่วชายหาดที่มีคนบางตา ลมทะเลพัดมาอ่อนๆ พร้อมไอเค็มบางๆ

            สวยจังเลยเจี๊ยบ เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังมาจากเบื้องหลัง   ถึงไม่หันไปมองก็รู้ว่าเป็นเขา

            ขอบคุณค่ะ เธอตอบพร้อมก้มหน้าเขินอาย

            เอ่อเปล่าพี่หมายถึงดวงอาทิตย์น่ะครับ

            เธอหุบยิ้มฉับพลัน แล้วเชิดหน้ามองไปข้างหน้า โดยที่เขาไม่ทันสังเกตว่าเธอหน้าม้านเพียงใด เพราะสายตาคู่นั้นก็ทอดไกลออกไปเช่นกัน

            เขาเดินเข้ามายืนกอดอกอยู่ข้างๆ จนเธอได้กลิ่นกระเทียมเจียว คงแอบลุกขึ้นมาทำอาหารรอเพื่อนๆนั่นเอง เมื่อชำเลืองมองที่มือของเขาเธอก็ใจเต้น เพราะมีดอกกุหลาบสีแดงอยู่ในมือ

            เจี๊ยบครับ เขาหันมาทางเธอ แต่เธอไม่กล้าที่จะหันกลับไปมอง 

            คะ เธอยังคงก้มหน้า ตอบสั้นๆ และใจยังสั่นอยู่

            พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับเจี๊ยบน่ะครับ หันมาทางนี้สิครับ น้ำเสียงอ่อนโยนจนเธอรู้สึกอ่อนไหว

            ครั้นหันมองเขาก็พบว่าดอกกุหลาบดอกนั้น.เขาโยนทิ้งขยะที่อยู่ข้างๆไปเสียแล้ว

            มีอะไรเหรอคะ เธอถามอย่างประหม่า ไม่กล้าแม้จะมองดวงตาใสซื่อคู่นั้น 

            เจี๊ยบคงไม่ว่าพี่นะครับเอ่อ คือ ความจริงเราสองคนก็รู้จักกันมานานพอสมควร และคงสามารถทำให้เจี๊ยบเชื่อใจ และไว้วางใจพี่ได้คือว่าเจี๊ยบครับ 

             เขาหยุดนิ่งไปพักหนึ่งคล้ายตัดสินใจในบางสิ่ง ส่วนเธอสิ ใจนั้นรัวเหมือนกลองดังก้องแทบควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องกัดลิ้นไก่ไว้เป็นเชิงเพื่อข่มความรู้สึก 

            คือว่า เอ่อ.พอดีกระเป๋าสตางค์พี่หาย  พร้อมค่ากับข้าวของพวกเราเช้านี้ด้วย เอ่อไม่ทราบเจี๊ยบพอจะมีให้พี่รบกวนยืมก่อนสัก 500 รึเปล่าครับ 

            เขาเอ่ยไม่สู้จะเต็มเสียงนัก เธอหุบยิ้มทันควัน พร้อมความรู้สึกแอบลุ้นดับวูบ

            เอ่อได้..ได้ ค่ะตามมาสิค่ะเดี๋ยวเจี๊ยบไปเอาที่ห้องให้ค่ะ

            เธอข่มเสียงให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ภายในรู้สึกเดือดดาลอย่างไม่รู้สาเหตุ ว่าแล้วก็จ้ำเท้าพรวดๆ ไปที่บ้านพักอย่างรวดเร็ว คล้ายจะผละให้ไกลจากความรู้สึกเมื่อครู่ 

            ปล่อยให้ไอ้หนุ่มผมยาวก้าวเท้าตามแทบไม่ทัน


* * * * * * * * * *				
16 มิถุนายน 2549 13:41 น.

เรื่องสั้นซาบซึ้ง...“แม้ฝันวันนี้...ไม่มีเธอ”

ทิวสน

โดย ::: ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com


นพพล แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ว่าเขาเคยทิ้งบ้านหลังงามที่ตั้งอยู่ตรงหน้า อันเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองไป และไม่ย้อนกลับมาดูแลอีกเลยเป็นเวลากว่า 4 ปี ทั้งที่เมื่อแรกได้มา เขารักมันมาก แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขาเด็ดเดี่ยวและกล้าตัดสินใจจากไปในเวลานั้น..

กว่าจะปัดฝุ่นกวาดหยากไย่พร้อมจัดแจงทุกอย่างภายในบ้านให้เข้าที่ดังเดิม ดวงตะวันสีส้มกลมโตก็เริ่มคล้อยต่ำจวนจะลับทิวสนหน้าบ้านไปแล้ว

ชายหนุ่มทอดกายกึ่งนั่งบนเก้าอี้หวายตัวโปรดอย่างโรยแรง ชามะนาวเย็นได้ไล่ผ่านความแห้งผากในลำคอ เรียกความสดชื่นคืนกลับมาอีกครั้ง

ลำแสงสีส้มเริ่มจางลงทุกขณะ เขาปล่อยอารมณ์ตามสบาย นอนมองทิวสนโอนเอนตามสายลมยามเย็นที่โชยพัดมาบางเบา คละกลิ่นหอมเย็นจากซุ้มดอกแก้วโชยมาตรึงจมูก ช่างเป็นสุขแท้ ที่ได้กลับมาสู่บรรยากาศเช่นนี้อีกครั้ง พลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีจดหมายตกค้างยังไม่ได้เปิดอ่านอยู่ 4-5 ฉบับ เขาไปนำมันมาเปิดออกอ่านทีละฉบับ ซึ่งล้วนแต่เป็นจดหมายจากเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยทั้งสิ้นเว้นแต่การ์ดอวยพรใบนั้น

มันเป็นการ์ดอวยพรตกค้างมาตั้งแต่เทศกาลวาเลนไทน์เมื่อปีที่แล้ว การ์ดใบโตรูปดอกกุหลาบสีแดงสด

เขาค่อยๆ เปิดอ่านเนื้อความด้านในด้วยใคร่อยากรู้ว่าใครหนออุตส่าห์ส่งการ์ดอวยพรประเภทนี้มาให้ เพราะตั้งแต่เรื่องราวคราวนั้นเขาก็ไม่ใส่ใจกับเทศกาลนี้เท่าใดนัก

ครั้นอ่านข้อความ ใบหน้าถึงกับร้อนผ่าว มันเป็นความรู้สึกที่สับสนอย่างบอกไม่ถูกและไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับมันดี

* * * * *

อาจเป็นเพราะการ์ดใบโตรูปดอกกุหลาบสีแดงสดใบนั้นก็เป็นได้ ที่ทำให้เขากระสับกระส่ายว้าวุ่นใจจนนอนไม่หลับ มันเป็นการ์ดอวยพรวันวาเลนไทน์ ซึ่งนับเป็นใบเดียวจริงๆ ที่เขาได้รับในตลอดช่วงที่ผ่านมา และเขาคงไม่สนใจใส่ใจกับมันมากนัก หากผู้ที่ส่งมาให้ไม่ใช่ สุพร ..ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะอ่อนเดียงสา แต่ก็เธอมิใช่หรือที่ได้ฝากความเจ็บปวดอย่างสากรรจ์ประทับไว้ในใจของเขาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

* * * * *

แม้จะดับไฟที่หัวเตียงไปครู่ใหญ่แล้วและพยายามข่มตาจะให้หลับ แต่ทว่า บางสิ่งที่ยังฝังลึกในความคำนึงของชายหนุ่ม กลับรุกเร้าภายในให้ย้อนรำลึกถึงภาพเหตุการณ์แต่หนหลังระหว่างเขาและเธอเมื่อครั้งยังหวานซึ้งโลดแล่นอยู่ในห้วงแห่งความรัก ยิ่งเห็นภาพกลับยิ่งทุกข์ทรมานใจ เหมือนสะกิดรอยแผลเก่าให้รวดร้าวยิ่งนัก เขาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพื่อจะพอบรรเทาความหนักอึ้งในสมองให้คลายลงบ้างแต่ดูเหมือนว่ามันไม่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นแม้สักนิด เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดไฟ ไขกุญแจตู้เก็บสมุดไดอารี่โดยเลือกเล่มที่บันทึกไว้เมื่อปี ค.ศ. 2000 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 

วันนั้น เป็นวันที่เขาได้บันทึกความรู้สึกอันเนื่องมาจากการตัดสินใจครั้งสำคัญเอาไว้.ความเงียบงันของราตรีกาลทำให้เขาเริ่มต้นอ่านบันทึกได้อย่างมีสมาธิ

* * * * *

14 กุมภาพันธ์ 2000 / 23.00 น.

สุพร ยอดดวงใจที่ทำให้ผมเหมือนฝันในวันวาน

ในวันที่เราพบกันครั้งแรก ผมร้องเพลงคลอเสียงกีตาร์ที่ผับแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท ผมเล่นดนตรีที่นั่นทุกคืน คุณมาที่ผับแห่งนั้นพร้อมเพื่อน 4-5 คน คุณโดดเด่นที่สุดในกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน คุณไม่ใช่คนที่สวย.แต่คุณน่ารักน่ารักกว่าใครๆ ที่ผมเคยพบมา

คุณขอให้ผมร้อง เพลง UNCHANGE MELODY พร้อมส่งยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋มน่ารักนั่น ทำเอาผมหวั่นไหวอยู่ไม่น้อยขณะที่ร้องเพลง ผมลอบแอบมองคุณอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งผมก็ได้พบกับรอยยิ้มแสนหวานกับดวงตาน่ารักคู่นั้น มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกแปลบปลาบขึ้นมาลึกๆ ในใจ

คุณถูกเพื่อนแซวเพราะจ้องมองผมอย่างลืมตัว ผมยอมรับว่าไม่เคยพบใครที่ไหน เขินอายได้น่ารักเท่าคุณเลย

คืนนั้น ผมไม่มีสมาธิในการเล่นดนตรีเท่าที่ควร กระทั่งคุณกลับไปพร้อมรอยยิ้มสุดท้าย ก่อนจะลับหายไปหลังม่านด้านหน้าของผับ

จากวันนั้น ผมไม่เคยพบคุณที่นั่นอีกเลย มันเป็นเหมือนความฝันที่ผ่านมาเพียงชั่วคืน แต่ผมก็รู้สึกประทับใจในความฝันของคืนนั้นและเก็บมารำลึกถึงอยู่เสมอ.

แล้ววันหนึ่งผมต้องตกใจและดีใจเป็นที่สุด ผมพบคุณอีกครั้งขณะกำลังซ้อมเทนนิสที่คอร์ต ของมหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมแข่งกีฬามหาวิทยาลัย คุณกับเพื่อนชายอีก 2-3 คน กำลังนั่งดูผมซ้อมที่เก้าอี้ข้างๆ สนาม ผมยิ้มให้คุณพร้อมกับการยิ้มรับของคุณ

ผมหยุดซ้อมออกมานั่งทักทายพูดคุย น่าแปลก..ทั้งที่ เป็นครั้งแรกที่เราได้พูดคุยกัน แต่เรากลับไม่รู้สึกเขินอาย คล้ายว่าสนิทสนมกันมานานปี และผมได้ทราบว่าคุณเป็นน้องใหม่คณะเดียวกับผมเมื่อไม่นานมานี้เอง

จากวันนั้น... มันคือจุดเริ่มต้นของความคุ้นเคยที่เรามีต่อกัน เราได้พูดคุย และนัดพบกันบ่อยครั้ง เวลาที่ผมอยู่ใกล้คุณ แววตาและรอยยิ้มแจ่มใสน่ารักนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสดใสและเป็นสุขเหลือเกิน คุณเป็นเสมือนผู้ขจัดความทุกข์ให้ผมอยู่เสมอ

และแล้วคืนนั้นที่ริมทะแลภายใต้เงาจันทร์ ผมได้สารภาพว่า ผมรักคุณ คุณก้มหน้านิ่งอย่างขวยอาย ปล่อยให้ผมกุมมือนุ่มของคุณไว้มั่น คืนนั้นคุณอิงซบไหล่ผมชมจันทร์ฟังเสียงคลื่นลม จนเกือบจะค่อนคืน มันเป็นคืนที่ผมมีความสุขเป็นที่สุด

วันเวลาผ่านไป.ผ่านไป.จนผมเรียนจบ แล้วยึดอาชีพเล่นดนตรีในตอนกลางคืนอย่างจริงจัง ส่วนกลางวันผมเป็นอาจารย์สอนวิชาดนตรีสากลให้กับสถาบันแห่งหนึ่งเรายังคงรักกันเหมือนเดิม

กระทั่งช่วงที่คุณเรียนปี 4 ผมก็ได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับคุณ และเพื่อนชายคนหนึ่ง! ผมพยายามไม่เก็บมันมาใส่ใจ เพราะผมเชื่อมั่นในตัวคุณเสมอ แต่ระยะหลัง เรากลับห่างเหินกันไปโดยที่ผมไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นเพราะคุณกำลังตื่นเต้นกับการเป็นซีเนียร์อยู่กระมัง...ผมคิดเช่นนั้น

ทุกครั้งที่เจอกัน คุณไม่สดใสเหมือนก่อน คุณคุยน้อย โมโหง่าย ผมไม่คิดว่ามันเป็นความผิดของคุณหรอก คุณอาจเหนื่อยกับการเรียน และรับสอนพิเศษในตอนเย็นก็เป็นได้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมผมถึงได้มองคุณในแง่ดีเสมอ

ความรู้สึกที่มีต่อคุณ ก่อนนั้นเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง...

คุณเงียบหายไปนานจนผิดสังเกต ไม่โทร. มาหาผมเหมือนก่อน ผมพยายามโทร. นัดคุณทานข้าว แต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงอยู่เสมอ ดูช่างหมางเมินและห่างเหินเหลือเกินความโกรธแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ เราทะเลาะกันทางโทรศัพท์ในวันนั้น.!!

คุณโกรธผมมาก คุณตำหนิผมว่า ไร้เหตุผล...น่ารำคาญ... และคุณยังบอกผมอีกว่า คุณเบื่อผม!!

ควรค่าแล้วหรือกับความกระวนกระวายที่ผมอยากพบคุณ...? น้ำตาลูกผู้ชายแทบจะทำลายทำนบเอ่อไหล อวดอ้างความอ่อนแอ ทว่ามันได้ไหลย้อนกลับสู่ภายในให้รวดร้าวยิ่งนัก

ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าผมจะต้องสูญเสียคุณไปสักวัน.

และแล้ว เย็นวันหนึ่งคุณได้โทร.มาหาผม และบอกว่า ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะคุยกันให้รู้เรื่องเสียที! 

คุณสารภาพกับผมว่าคุณรักเพื่อนชายที่เรียนคณะเดียวกับคุณคนนั้นคุณบอกผมว่า ผมห่างเหินจากคุณ คุณขาดความอบอุ่นจากผม

นี่น่ะหรือ คือเหตุผล.?

คุณบอกว่า เขามีอะไรหลายอย่างที่ผมไม่เคยมีให้คุณเหนือกว่าด้วยฐานะ อนาคตไกล มาดแมน และคุณยังบอกผมอีกว่า ผมเป็นผู้ชายที่อ่อนไหวจนเกินไป

ผมยังคงนั่งนิ่งมองคุณคุณไม่เห็นผมพูดอะไรจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่น ต่ำ ห้าวว่า คุณยังคงรักผมอยู่เสมอ แต่ความรักที่มีให้ผมนั้นมันเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ความรักแบบคู่รักที่เคยมีต่อกันแล้ว คุณขอให้ผมเป็นเพียงพี่ชายที่คุณยังรักและนับถือได้ไหม..?

ผมยังคงนั่งนิ่งเงียบเงียบจนคุณมองผมอย่างพรั่นพรึง และหวาดหวั่น คุณกระซิบผมอย่างร้อนรนว่า
คุณเข้าใจพรใช่มั้ย คุณเคยเข้าใจพรตลอดมา ขอให้คุณเป็นเพียงพี่ชายเถอะ...นะ

ผมฝืนยิ้มออกมาอย่างยากเย็น มันทั้งแห้งแล้งและห่อเหี่ยว พลางกล่าวว่า
ครับ...ผมเข้าใจ ขอให้คุณพบแต่สิ่งที่ดีต่อไปนี้ผมเป็นเพียงพี่ชายขอบคุณสำหรับความรู้สึกที่ดีความปรารถนาดี และทุกสิ่งที่เคยมีให้ผม...ขอบคุณมากครับ...

คุณยิ้มออกมาอย่างพึงใจพร้อมกล่าวขอบคุณ มันเสมือนรอยยิ้มสุดท้ายที่ผมได้รับจากคุณ..แล้วคุณก็ลุกเดินจากไปเงียบๆ พร้อมกับเวลาที่ผมรู้สึกเหมือนหัวใจมันหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น 

ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงง่ายๆ อย่างนี้เองน่ะหรือ กับความรักที่ก่อร่างสร้างขึ้นมา มิใช่เพียงแค่วันหรือเดือน แต่มันใช้เวลาแรมปีที่ผมอุตส่าห์ทะนุถนอมมอบความเข้าใจที่ใครหลายคน แม้แต่เพื่อนรอบข้างไม่เคยมีให้คุณ....

แม้น้ำตามิเคยจะเอ่อไหล แต่หัวใจผมสิมันกำลังร่ำไห้ มันคล้ายกับผมได้ฝันไป หากมันเป็นเพียงความฝัน ผมคงไม่เสียใจถึงเพียงนี้กระมัง

ต่อไปนี้ผมจะไม่มีคุณอีกแล้ว คุณได้เดินออกไปจากชีวิตของผมแล้วทั้งบัดนี้และตลอดไป.

หลังจากวันนั้น คุณคงแปลกใจที่ไม่พบผมอีกเลย แม้แต่ที่บ้านหรือที่ทำงาน ผมได้จากมาแล้ว จากงานที่ผมรัก จากบ้านที่ผมหวงแหน และได้จากในทุกสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงคุณ

ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน นอกจากตัวผมและเพื่อนใหม่กลุ่มหนึ่งที่นี่แล้ว คงไม่มีใครรู้

ขอให้คุณรู้แต่เพียงว่า ตอนนี้ผมได้พบแล้วกับความรักแท้ มันคือความรักที่ผมแสวงหามานาน และตอนนี้คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าที่ผมจะกล่าวว่า


(จากบรรทัดนี้ เลือกจบได้ตามแบบของคุณ)

แบบที่ 1 แบบศรัทธาในศาสนา-ความเชื่อ

ขอบคุณพระเจ้า

* * * * *

แบบที่ 2 แบบเกินคาด

ขอบคุณมินตรา...หญิงสาวผู้อ่อนหวาน ผู้เป็นเจ้าของหัวใจของผม และทำให้ผมได้หูตาสว่างขึ้น มีทัศนะมุมมองที่ถูกต้องยิ่งขึ้น...."

"เธอคือ หญิงแท้ที่ทำให้ผมตระหนักว่า....เพศทางเลือกเช่นคุณ ไม่อาจทำให้ผมมีครอบครัวที่สมบูรณ์ได้... เพราะหากยังคงคบกัน ถึงขั้นผูกพันเป็นครอบครัว แม้เราจะขอเด็กมาเลี้ยงเป็นลูก แต่ผมคงลำบากใจและตอบลูกไม่ได้ว่า...

ทำไมลูกจึงไม่มีแม่... แต่มีพ่อถึง 2 คน!!!


* * * * * * * * * *				
16 มิถุนายน 2549 13:22 น.

เรื่องสั้นอารมณ์ดี..."เธอคนนั้น"

ทิวสน

ในนามปากกา ::: เจ้า...ชายน์ติ๊ง
tewson7@hotmail.com


 "ใครจะไปร้านมนต์นมสด รสอร่อยบ้าง?"  ผมเอ่ยขึ้นหลังเรียนวิชาสื่อสิ่งพิมพ์ ด้วยความติดใจในรสชาติที่หอม มัน ใหม่สดเสมอของนมวัวสดร้านนี้ และเป็นปกติที่กลุ่มเพื่อนในคณะวารสารฯ หลายคนมักไปนั่งดื่มนมสด ร้อน-เย็น ทานขมมปังปิ้ง ที่ร้านชื่อดังริมถนนดินสอ ข้างสำนักงานกรุงเทพฯเสมอ...

            ผมทิ้งคำถามผ่านไป 5 วินาที ทว่าไม่มีเลยสักคนที่จะสนใจผม ยังคุยกันอย่างติดพันตามประสาคนชอบสนใจห่วงใยเรื่องของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้เรื่องที่ ฮ็อตฮิตที่สุดคือ ป้าเยลลี่ สาววัยร่วง(อายุราว 50) แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวหลอด กำลังจะตกลงปลงใจรับหมั้นหนุ่มใหญ่วัยไร่เรี่ยแถมยังเป็นผู้มีอันจะกิน อันนี้หมายถึง เป็นคนที่เจอ "อัน" ที่ไหน...เมื่อไหร่...เป็นต้องเปรี้ยวปากอยากจะกิน ("อัน" ที่ว่านี้เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง รูปร่างกลม-แบน มีหนามเป็นหย่อมๆ เมื่อแกะออกจะมีกลิ่นคล้ายทุเรียนลูกครึ่งผสม / ผู้เขียน) 

            จะว่าไปแล้วมันก็เรื่องของคนอื่น ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปสนใจห่วงใยแกจนออกนอกหน้าแบบนี้ คนเราโตๆ กันแล้ว ถ้าช่วยได้และเป็นประโยชน์ก็ว่าไปอย่าง อีกนัยหนึ่งก็อาจเป็นเพราะป้าเยลลี่เองนั่นแหละ เหตุเพราะขายก๋วยเตี๋ยวหลอดที่ท่าพระจันทร์มานานปี และเป็นขวัญใจของนักศึกษาที่นี่ ซึ่งเป็นลูกค้าทั้งแบบประจำและเผื่อเรียกจำนวนมาก แกจึงอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกรอกแบบสอบถามเสนอแนะการตัดสินใจครั้งนี้ โดยมีใบปลิวรายละเอียดและรูปว่าที่เจ้าบ่าวมาให้ดูด้วย (แต่ดูลำบากนิดนึงเพราะแกเล่นคาดดำไว้ที่ตา) พร้อมกันนี้ยังจะมีการแจกรางวัลสำหรับคำแนะนำที่แกชื่นชอบอีกด้วย....

            เป็นอันว่าหลายคนจึงสนใจเรื่องอันดูเหมือนจะไม่เป็นเรื่อง....จนลืมสิ่งอันน่าสนใจอื่นๆ...และลืมแม้กระทั่งผม เพื่อนคนดีที่หนึ่ง ที่มีหน้าตาอันหล่อพอประมาณ ที่กำลังยืนรอด้วยใจอันจดจ่อ (เฮ้อ...หลายอันจริงๆ)

            ผมเริ่มออกอาการหงุดหงิดกับความนิ่งเฉยของเพื่อนที่ต่างไปจากเดิม
          "ตกลงใครจะไป หนึ่งใครจะไปสอง....ใครจะไปสาม...." ผมพูดเสียงดัง เร่งให้เพื่อนรีบตัดสินใจ พอนับถึงพันจึงมั่นใจว่าคงไม่มีใครไปกับผมแน่แล้ว

            "โอเค....งั้นเราไปคนเดียวก็ได้" ถ้าใครสักคนได้ยินจะรู้ว่า น้ำเสียงผมเศร้ามาก น้ำตาเริ่มซึมออกมาที่มุมปาก..เอ๊ะ ไม่ใช่สิ น้ำตามันรื้นขึ้นมาด้วยความน้อยใจ... ผมหันหลังเดินจากมา...

          "เอิร์ธ นายจะไปร้านนม-มนต์เหรอ" ปั๊มเรียกถาม 

            ผมหันขวับใจชื้นขึ้นมาฉับพลัน ดุจหยดน้ำเพียงน้อยหยดย้อยทิ้งตัวลงผืนทรายอันแห้งผากให้ฉ่ำชุ่มจนกรุ้มกริ่ม ยิ้มออกมาได้ เฮ้อ ดีใจจัง...

         "ใช่..นายจะไปกับเราใช่มั้ย"  ผมถามอย่างมีความหวังพร้อมยักคิ้วขวาสลับซ้าย สามครั้งซ้อน

          "อ๋อ..เปล่า นายไปเหอะ" ว่าแล้วปั๊มก็หันกลับเข้าคลุกวงใน  เมาท์ต่อโดยไม่ได้สนใจว่าผมจะรู้สึกเช่นไร ผมเดินคอตก...  แต่หยิบยกขึ้นมาทัน มุ่งหน้าสู่ถนนดินสอ  ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านนมสดเลื่องชื่อระบือนามไปไกลถึงเจ็ดย่านน้ำ 

            ตอนนี้น้ำตาผมเริ่มซึมไม่หยุด ซึมมากจนเริ่มเอ่อ..เอ่อแล้วทำท่าจะไหล แต่ไม่ไหล น้องปี 2 คนหนึ่งแสนดี มีน้ำใจ คอยเดินซับให้จนถึงประตูมหาวิทยาลัย...

* * * * *

            ริมถนนดินสอ...หากใครผ่านไปมาคงทราบดีว่า มีร้านอาหารว่างร้านนี้ตั้งอยู่อย่างผิดสังเกต ในความที่มีลูกค้าวัย teen เช่นผม มาอุดหนุน-อุ่นหนาฝาคั่งตลอดเวลา ตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึง 3 ทุ่ม วันหยุดเพิ่มรอบ 8 โมงเช้า..อ้อ  ประการหลังนี่ไม่เกี่ยว...

            บ่ายวันนี้เมื่อมองผ่านกระจกเข้าไป มีลูกค้าไม่มากนัก อาจเป็นเพราะเด็กมัธยมโรงเรียนสตรีชื่อดังยังไม่เลิกนั่นเอง 

            ผมผลักประตูเข้าไป แต่ โอพระเจ้า! ผลักอย่างไรประตูก็ไม่เปิด! มันอะไรกันนี่! ยิ่งทำให้ผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก ผมเดินถอยออกมา 5 ก้าว แล้ววิ่งเอาไหล่กระแทกประตู

           ปัง..! คนในร้านหันมามองเป็นตาเดียว แต่ประตูยังไม่เปิด พนักงานชายในชุดหมีเดินมาที่ประตู มองผมตาขวางอย่างนาเกลียด ดูซิ ดู ดู... ช่างไม่เกรงใจลูกค้าหัวใจอ่อนไหวเช่นผมชายคนนั้นเอื้อมมือมาที่ประตูแล้วผลักเลื่อนไปด้านข้าง

            ผมหน้าชาวูบ...ชายคนนั้นมองผมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าซ้าย....ผมข่มใจไม่ให้อายคนเรามันพลาดกันได้ ผมกลั้นหายใจ เชิดหน้า เดินหาที่นั่งอย่างรีบด่วนท่ามกลางสายตาอีกหลายคู่ที่มองมาด้วยความเอ็นดู(ผมคิดเช่นนั้น) แต่ความเศร้าภายในมันแซงหน้าความอายเสียแล้ว ผมไม่สนใจหรอกว่าใครจะมองอย่างไร... นั่นไง ผมเจอแล้วที่นั่งแถวที่สองติดกระจก ผมตรงรี่ไปทรุดตัวลงนั่ง แล้วถอนหายใจยาววว....

            "อย่าเพิ่งถอนหายใจยาว.ว.ว.ว...อย่างนั้นครับพี่ จะทานอะไรก็รีบสั่งซะก่อน" พนักงานคนหนึ่งหนวดยาวเฟิ้มกล้ามเป็นมัดๆ หน้าตาดุดันยืนถือสมุดเตรียมจดรายการอาหาร คงเป็นพนักงานใหม่ เพราะเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก...

            "เอาเหมือนเดิมครับ" ผมว่า

            "เอ่อไม่ทราบว่าเหมือนเดิมนี่ แบบฟื้นที่นี่หรือไปฟื้นที่โรงพยาบาลครับ" พี่เหี้ยมถาม

            ว่าแล้วก็เริ่มหักนิ้วมือตังกร๊อบแกร๊บ ผมฟังแล้วสะดุ้งสี่จังหวะ อืมม์...ลืมไปว่าพี่เหี้ยมคนนี้เป็นพนักงานใหม่คงไม่รู้แน่ว่าปกติผมสั่งอะไร ผมรีบขอสมุดรับรายการอาหารมาจดให้ พร้อมวาดภาพประกอบเพื่ออธิบายอย่างละเอียด พี่เหี้ยมรับรายการไป มองผมแว้บหนึ่งแล้วส่ายหน้าช้าๆ โดยไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เพราะไม่ใช่หมอดู ครั้นจะเรียกมาถามก็เกรงใจ ผมมองตามทั้งที่ตัวยังสั่นเล็กน้อย แต่สังเกตพบว่าพี่เหี้ยมมีรอยสักรูปหมีพูห์ที่ต้นแขนด้วย 

           ขณะรอเมนูโปรด นมสดร้อนกับขนมปังปิ้ง เนยนม-เนยน้ำตาล อย่างละแผ่น ผมคิดว่าน่าจะหาอะไรทำฆ่าเวลา นึกขึ้นได้ว่า ติดหนังสือการ์ตูนมาหนึ่งเล่ม(ติดมาตอนเดินผ่านเด็กนักเรียนหัวเกรียนไม่รู้ติดมือมาได้อย่างไร) ผมหยิบมันขึ้นมา 

           "ชินจังจอมขมังเวทย์" ว้า....เรื่องนี้ผมไม่ชอบเลย เรื่องไสยศาสตร์นี่ผมไม่สนใจเอาเสียเลย  รวมถึงรางสาดและวิทยาศาสตร์นี่ก็ไม่ชอบ...งั้นทำอะไรดีนะ...ผมคิด พร้อมสอดส่ายสายตาสำรวจร้านไปรอบๆ 

            ที่กลางร้านใกล้เสาต้นกลางยังตกน้ำมันเช่นเคย มิน่า...ไม่มีใครกล้านั่งใกล้ๆ ติดกับเสาต้นนั้นมีตู้ปลาขนาดใหญ่ เลี้ยงลูกปลาวาฬ ความที่เจ้าของร้านไม่ชอบเลี้ยงปลาเงินปลาทอง แต่กินเนื้อที่ไม่น้อย แถมเจ้าปลาตัวนี้ยังชอบงอนลูกค้าที่ไม่ทักด้วย ถ้าคุณเธอโมโหขึ้นมาล่ะก้อจะสะบัดหางตะวัดครีบจนน้ำกระจายเลยทีเดียว... 

            จะว่าไปแล้วร้านนี้ก็ตกแต่งได้ดีพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นภาพติดผนังก็เป็นภาพของ แวนโก๊ะตี๋ แจกันรูปจิงโจ้กระโดดผิดท่าขากะเผลก.... นั่นอีกรูป ติดผนังหลังเตาปิ้งขนมปังเป็นรูปขยายใหญ่(ราวฝาบ้าน) จากหนังสืออาชญากรรม ภาพชายหนุ่มถูกยิงขมับจนสมองกระจายเลือดท่วม...เห็นแล้วเจริญอาหารดี

            เวลาผ่านไปนานผิดปกติ ทั้งที่ความจริงผมควรจะได้อาหารแล้ว บังเอิญมีพนักงานชายคนหนึ่งเดินผ่านมา ผมจึงเหยียดขาออกไปข้างโต๊ะ... เป็นไปตามแผนชายคนนั้นสะดุดถลาคมำล้มไปข้างหน้า แต่เก็บคอม้วนหน้าแล้วลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม คนที่เห็นปรบมือกันกราว ชายคนนั้นค้อมศีรษะขอบคุณไปรอบๆ แล้วหันมาทางผม

            "มีอะไรให้รับใช้ครับ" เขาถามผ่านไรฟัน พร้อมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
"ไม่ทราบวัวป่วยหรือเปล่าครับน้อง...พี่สั่งนมสดกับขนมปัง 2 แผ่น ครึ่งชั่วโมงกับ 25 วินาทีแล้วยังไม่ได้เลยครับ"  ผมพยายามถามเสียงเรียบเก็บอารมณ์หงุดหงิด

          "ถ้าพี่อยากทานเร็วก็เชิญหลังร้านได้ครับ มีลูกค้าอีกเยอะครับ กำลังแข่งกันรีดนมอยู่ อยากทานเร็วก็ต้องรีดเองครับ" ว่าแล้วก็เดินสะบัดก้นจากไป

            ผมถึงบางอ้อและบางเก็ธ(เข้าใจ) เมื่อมองไปที่ประตูด้านหลังของร้านก็พบลูกค้าเข้าแถวยืน รอรีดนมอยู่ยาวเหยียด ผมตัดสินใจรอต่อ เพราะไม่รีบร้อนอะไร ยังมีเวลาอีกเยอะ 

            วันนี้ผมค่อนข้างว่างไม่มีนัดทานข้าวกับเจ้าคุณพ่อและเจ้าคุณแม่ (จริงๆ ผมไม่มีเชื้อเจ้าหรอก แต่ที่บ้านผมชอบอะไรที่เว่อร์ๆ ทุกคน  (แต่แถวบ้านเพื่อนผมบอกว่าอย่างนี้เขาเรียกว่า "ดัดจริต" ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาการที่เกิดกับสตรีเพศและเพศที่ 3 ที่ไม่ค่อยจะสงวนท่าที พยายามสื่อหรือแสดงบางสิ่งให้คนรอบข้างสนใจ อาจฝึกเอง ฝึกเป็นทีม มีครูสอน หรือที่บ้านสอน แต่คนที่เอาดีทางนี้มักไม่เจริญ เพราะประสบภัยร้ายจากสิ่งของใกล้มือคนรอบข้าง บ้างก็เลือดอาบ ขาเคล็ด หัวหกก้นขวิด เป็นริดสีดวง ไซนัส ท้องผูก ไข้หวัดนก เป็นต้น / ขอจบคำอธิบายเพียงเท่านี้ เพราะวงเล็บชักจะยาว) 

            ผมกวาดสายตาไปเรื่อยๆ เพลงบรรเลงเย็นๆ ช่วยได้มากทีเดียว ลูกค้าวัยเรียนอีกหลายคนเริ่มทยอยเข้ามาจนหนาตาจนแทบไม่มีโต๊ะว่าง  ผมมองออกไปนอกกระจก รถเริ่มติดตามปกติ  เพราะเป็นเวลาโรงเรียนมัธยมเลิก
 
           ครั้นปรับโฟกัสสายตาเข้ามาใกล้ โดยไม่ตั้งใจ สายตาผมก็ไปสะดุดกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งนั่งโต๊ะติดกระจกเยื้องผมไปเพียงเล็กน้อย เธอหันหน้ามาทางผม แต่ทอดสายตาออกไปนอกกระจกอย่างเหม่อลอย ผมแอบพินิจเธอคล้ายมีบางสิ่งดึงดูด ดวงตาข้างขวาของเธอคล้ายมีเนื้อเยื่อพิเศษ (แต่ไม่น่าใช่ น่าจะเป็นต้อกระจก ไม่ก็ต้อเนื้อ.../ ผู้เขียน) 

           เธอมานั่งทำหน้าสวยอยู่ในชุดเสื้อยืดรัดรูปสีดำไม่มีแขน เผยให้เห็นเนื้อสาวเนียนขาวราวไข่เยี่ยวม้าปอก...  ผมยาวสลวยเป็นมันวาวปล่อยให้ทิ้งตัวไว้ที่กลางหลัง (พูดยังกะผมเห็น แต่ผมเดาว่าใช่) วงหน้านั้นสิ ช่างน่ามอง...ใต้ผมม้าที่ปรกลงมานั้นคือคิ้วโก่งคมเข้มคล้ายสะพานแขวน ดวงตากลมโตใสเป็นประกาย จมูกเชิด-รั้น น่าหยิก ปากบางได้รูปคล้ายกระจับ (ขอโทษไม่ใช่กระจับนักมวยนะอย่าเข้าใจผิดคิดไปไกลเชียว น่าเกลียด/ผู้เขียน) 

            โดยรวมแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่สวย...สวยจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่นๆ สวยกว่าผู้หญิงในคณะวาสารฯ อีกด้วย ผมกล้ารับรองจริงๆ นะเอ้า... 

            ผมรู้สึกเพลินกับการแอบมองเธออย่างบอกไม่ถูก...บางขณะเธอหันมาทางผม แต่ชั้นนี้มีหรือจะถูกจับได้ ผมรีบหลบตา ทำตากลอกไปมาคล้ายบริหารสายตา แบบที่ครูสุขศึกษาเคยสอน แต่เพื่อให้สมจริงจึงลุกขึ้นกระโดดตบ 20 ครั้ง ยึดพื้นอีก 2 ครั้ง หกกบอีก 3 นาที จนเธอตายใจจึงกลับไปนั่งแอบมองเธอต่อ และเมื่อเธอหันมามองก็จะทำเช่นเดียวกัน แต่เปลี่ยนมาเป็นกระโดดเชือก  ชกลม ซ้อมกระสอบทราย ชกมวยทะเล เธอคงทึ่งมองผมตะลึงเชียวแต่ผมแกล้งทำเป็นไม่เห็น 

            มองไปที่ประตูมีลูกค้าจำนวนมากเริ่มทยอยออกไป ครู่เดียวมีพนักงานคนหนึ่งมาสะกิดผม...พี่กล้ามใหญ่นั่นเอง

            "พี่...ถามจริงๆ เถอะ พี่มีปัญหาครอบครัวรึเปล่า เหงามากใช่มั้ย รึว่าเพื่อนๆไม่มีใครเขาคบแล้ว จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งถ้านั่งลงเหมือนเดิมด้วยความเกรงใจชาวบ้านร้านตลาดเขา" 

             พนักงานกล่าวเสียงเข้ม ผมไม่ว่าอะไร ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย ครั้นหันกลับไปมองที่เธอคนนั้น เธอยังคงนั่งเหงา มองเหม่อไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม ผมขอรับรองอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า เธอจัดเป็นคนสวยแบบอภิมหาสวยคนหนึ่งทีเดียว สวยระดับนางเอกละครทีวีไม่มีผิด นั่นไงใช่จริงๆ ด้วย ที่โต๊ะเธอผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีแก้วน้ำส้มตั้งอยู่ แต่มันละลายไปมากแล้ว เธอยกนาฬิกาข้อนิ้ว (ขนาดเล็กคล้ายแหวน) ขึ้นดู...คงกำลังรอใครสักคนเป็นแน่ ผมคิด...

            เวลาผ่านไปนาน.... เธอยังคงนั่งเหม่อ และหันมาทางผมเป็นบางครั้งแต่ก็จับไม่ได้อยู่ดีว่าผมก็แอบมองเธอ ระดับนี้แล้ว ทำอะไรไม่มีหรอกที่ไก่จะตื่น (เคยปลุกตั้งหลายหน นอนขี้เซาจริงๆ) ผมสังเกตพบว่าเริ่มมีหลายคนมองเธอเช่นเดียวกับผม โดยเฉพาะเพื่อนนักศึกษาต่างคณะกลุ่มหนึ่งที่นั่งโต๊ะซ้ายมือผม มองไม่มองเปล่าแต่ยังทำท่าซุบซิบด้วย อย่าให้รู้นะว่ากำลังนินทาว่าร้ายเธอของผมให้เสียหาย เอ๊ะ... เมื่อครู่ผมใช้คำพูดว่าอย่างไรนะ?... ผมว่า "เธอของผม" เหรอนี่... จริงสิ ไม่รู้อะไรทำให้ผมเกิดความรู้สึกหวงเธอขึ้นมาเอาซะดื้อๆ...

            ตอนนี้เวลาผ่านไปจนแดดร่ม ลมก็คงจะตกแล้ว ผมเห็นเธอค้นในกระเป๋าถือหนังปลากรายสีดำ หยิบกระดาษโน้ตขึ้นมา แล้วเริ่มจรดปลายปากกาเขียนบางสิ่งลงไป.... ผมเกิดความรู้สึกใคร่รู้ขึ้นมาเสียแล้วสิ ว่าเธอเขียนอะไรลงไป เอ...รึว่าเธอเป็นนักเขียน...อืมมมม... อาจเป็นไปได้ เพราะเคยรู้มาว่า นักเขียนต้องมีจินตนาการ และเอาดีทางเหม่อลอย 

           เธอเขียนอยู่พักหนึ่งแล้วหยุด หันมองนอกกระจกเช่นเดิม  และแอบชำเลืองมาทางผม  นั่นไงนึกแล้วเชียว ว่าเธอต้องมีบ้างที่แอบสนใจผม เพราะเป็นที่ทราบดีว่า ในคณะผมนี้ก็ใช่ย่อย ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนสาวๆ มักทักเสมอเช่น

            "พี่เอิร์ธไปห้องสมุดเหรอคะ" 

            "พี่เอิร์ธทานข้าวคนเดียวเหรอคะ" 

            "พี่เอิร์ธยิ้มหน่อยสิคะ หน้าบึ้งไม่เท่ห์เลย" 

            อะไรต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นคำทักทายจากสาวๆ หน้าใสที่สะท้อนว่า ผมนี่ก็หนึ่งไม่เป็นสองรองใครในด้านความหล่อ อุ๊ย..! ยอตัวเองเขิน

            อ้าวนั่น...เธอทำไมขย่ำกระดาษเสียล่ะ แล้วนั่นเธอกำลังจะลุกไปแล้วรึ? ผมเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้จะมีโอกาสพบเธออีกรึเปล่า แล้วเธอก็ลุกเดินไปจริงๆ เธอจ่ายค่าน้ำส้ม(ที่ยังไม่ได้ดื่ม)ที่เคาน์เตอร์ แล้วเดินออกจากร้านไป...

            หันไปมองที่โต๊ะผมพบว่ากระดาษก้อนนั้น (ที่เธอขยำจนเป็นก้อน) มันวางอยู่ที่โต๊ะ เธอไม่ได้หยิบไปด้วย ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเธอเขียนอะไร ขอเสียมารยาทสักครั้งเถอะ อีกทั้งคงไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าจะลุกเดินไปหยิบมาก็กลัวว่าคนจะมอง อืมม์...ทำยังไงดีนะ

            ครู่หนึ่งพนักงานคนหนึ่งเดินมาเก็บแก้วน้ำส้มพร้อมเช็ดโต๊ะ ปัดกระดาษก้อนนั้นตกลงพื้น มันกลิ้ง กลิ้ง กลิ้งมาใกล้ที่เท้าผมห่างราว 2 คืบ ผมหันซ้าย-ขวา ก้มลงกำลังจะเก็บก็มีเสียงร้องดังขึ้น

            "ว๊าย !" 

             ครั้นแหงนไปมองที่มาของเสียงซึ่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะผมเยื้องไปหลังโต๊ะเดิมของเธอคนนั้นของผม  เห็นนักศึกษาในชุดกระโปรงสั้นเหนือเข่า ทำท่าปกป้องปกปิดพลันวัน อะพิโธ่ อะพิถัง  อะไรกันนี่... คงคิดว่าผมจะก้มลงแอบมองอย่างคนอื่นๆ ที่ชอบล่วงละเมิดล่ะสิ ไร้สาระ ผมเป็นสุภาพบุรุษนะจะบอกให้ ไม่เคยสักครั้งที่จะทำแบบนั้น ไม่เคยแม้จะคิด 

            เธอมองผมตาเขียว แต่ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะแก้ตัว ผมเปลี่ยนแผน ค่อยๆ ถัดตัวให้ต่ำลง ต่ำลง อาาาา ใกล้ถึงแล้วอีกนิด 

            พลันมีพนักงานคนหนึ่งเดินผ่านไป ไม่เพียงเท่านั้นปลายเท้าเตะเอากระดาษก้อนนั้นกลิ้งหลุนๆ แล้วไปซบแทบเท้าของนักศึกษาตาเขียวคนนั้น... ทำอย่างไรดีล่ะผมคราวนี้ และดูเหมือนเธอจะรู้ด้วยว่าผมกำลังมอง 

            เธอหันซ้ายขวาคล้ายหาอะไรสักอย่าง ครั้นก้มลงที่พื้นพบกระดาษก้อนนั้นจึงก้มลงหยิบ ผมได้แต่ภาวนาขออย่าให้เธอเอามันไปทิ้งเลย 

            เร็วเท่าความคิดผมก็สัมผัสว่า มีบางสิ่งลอยละลิ่วปลิวมาชนหัวผมแล้วตกลงบนโต๊ะ กระดาษก้อนนั้น "อุ๊ย..! แม่หล่น" ผมโดนเธอปาหัวหรือนี่... ช่างมันเถอะ   ผมมีสิ่งที่น่าสนใจรออยู่ตรงหน้าแล้ว

            ผมค่อยๆ คลี่กระดาษออก รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก จะได้รู้เสียทีว่าเธอเขียนอะไร ครั้นกระดาษคลี่ออก ก็พบกับข้อความเขียนไว้ตรงกลาง 2 บรรทัด และถัดลงมาตอนใต้มีอีกหนึ่งบรรทัด 
ผมหายใจลึกเข้าเต็มปอดแล้วจดจ่ออ่านอย่างตั้งใจ...

            "หน้าไม่อาย..คนอาไร้....ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี นัดยืมเงินเค้า แต่ปล่อยให้รอ-เบี้ยวนัดเฉย คงกลัวตัวเองจะไม่มีเงินจ่ายค่าดอกร้อยละ 40 ล่ะสิ"

            แล้วผมก็เลื่อนสายตาลงมาอ่านอีกประโยคหนึ่งตอนใต้ เธอเขียนว่า

            "รำคาญไอ้แว่นหน้าตี๋หัวหลิมโต๊ะข้างๆ จริ๊ง... มองอยู่ได้ เกิดมาคงไม่เคยเห็นกระเทยสวยขนาดนี้มาก่อนล่ะสิ"


* * * * * * * * * *


หมายเหตุ ::: วาระตีพิมพ์ครั้งแรก 
ในหนังสือรวมเรื่องสั้นอารมณ์ดี "เราจะยิ้มให้กัน" ร่วมกับ 12 นักเขียน 
บรรณาธิการโดย "กุดจี่" พรชัย แสนยะมูล 
สำนักพิมพ์ไม้ยมก ในนามปากกา : เจ้าชายน์ติ๊ง
tewson7@hotmail.com				
15 มิถุนายน 2549 14:11 น.

"รอยเลือดบนปกหนังสือ…สื่อรักจากพ่อ"

ทิวสน

"รอยเลือดบนปกหนังสือสื่อรักจากพ่อ" 


โดย ::: ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com


"พี่นันท์พ่อเสียแล้ว"
เสียงสั่นเครือจากปลายสาย สิ้นคำก็ปล่อยโฮออกมา ทำเอานันทกรถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว มันเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่กลางใจ เขานิ่งอึ้งประหนึ่งว่าหัวใจจะหยุดเต้น กับข่าวร้ายที่ได้รับแจ้งจากน้องสาว

ปลายสายวางไปนานแล้ว แต่ชายหนุ่มยังยืนนิ่ง งุนงงกับเหตุการณ์ หลังจากไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านเป็นเวลานาน และที่จำเป็นต้องระเห็จมาอยู่กรุงเทพฯ ก็เพราะความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างเขาและพ่อ

"แกมันลูกไม่รักดี!!!เป็นนักเขียนจะเอาอะไรกิน หา! .รายได้พอยาไส้ซะที่ไหนอีกหน่อยมีลูกมีเมียไม่อดตายกันทั้งบ้านเรอะ!" ผู้เป็นพ่อตวาดเมื่อรู้ถึงความดื้อดึงที่เขาจะเลือกเดินในสายอาชีพนักเขียน

"แต่ผมรักงานนี้นะครับพ่อ ผมคิดว่ามันมีประโยชน์ที่เราได้ปลูกฝังความคิด คุณธรรม จริยธรรมที่ดีให้กับคนที่อ่านหนังสือ สังคมจะได้พัฒนาไงครับพ่อ" ชายหนุ่มให้เหตุผล

"เชอะ.มาทำเป็นอุดมการณ์สูงส่ง ห่วงใยสังคม พ่อเอ่ยน้ำเสียงประชดประเทียด ฉันกลัวแต่แกน่ะจะเอาตัวไม่รอด ก่อนสังคมจะพัฒนาล่ะไม่ว่าฟังนะนันท์ ถ้าแกไม่เลิกคิดจะเป็นนักเขียนไส้แห้งล่ะก็ แกกับฉันก็ไม่ต้องมาเห็นหน้ากัน!!" 

พ่อยื่นคำขาด มันเหมือนถูกเหล็กแหลมทิ่มแทงใจชายหนุ่ม กับท่าทีไม่ยอมเข้าใจของผู้บังเกิดเกล้า แต่สายตาที่มองทอดไกลออกไปในภายหน้าทำให้ไม่อาจเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตได้

นับแต่วันนั้น พ่อก็เฉยชาไม่พูดจากับเขา ชายหนุ่มทนความอึดอัดอยู่ 4 เดือน จึงฝากน้องสาวและน้องชายดูแลพ่อ แล้วมุ่งหน้าเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นนักเขียนอิสระ ส่งงานเขียนตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับ ส่งเงินไปช่วยทางบ้านสม่ำเสมอ นานๆ ครั้งจะโทรศัพท์ไปพูดคุยกับน้องๆ แม้หลายครั้งจะขอคุยกับพ่อ แต่ก็ถูกท่านปฏิเสธเสมอ เป็นความเจ็บปวดหนึ่งที่ฝังลึกคอยบั่นทอนกำลังใจเขาเสมอมา

ทว่าชายหนุ่มได้รับการฟื้นใจเสมอ เมื่อนึกถึงแม่ที่จากไปหลายปีแล้ว แม่รักการอ่าน แม่อ่านหนังสือทุกประเภท และแม่ก็เป็นนักเขียน แต่พ่อไม่เคยสนับสนุนแม่ และกล่าวสรุปว่าสาเหตุที่แม่เป็นโรคเครียดและเส้นเลือดฝอยในสมองแตกจนเสียชีวิต ก็เพราะอาชีพนักเขียน กระนั้นงานเขียนของแม่ก็ยังคงทำรายได้จากการพิมพ์ซ้ำ และได้ค่าลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง กลาย เป็นทุนการศึกษาให้น้องๆ อย่างเพียงพอ เพราะลำพังเงินเดือนจากหน้าที่การงานเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยของพ่อกับการที่ต้องเลี้ยงดูลูก 3 คนให้ได้อยู่อย่างสุขสบาย มีการศึกษาสูงๆ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นแต่พ่อต้องเหนื่อยมากขึ้น 

แต่นี่เพราะรายได้เสริมจากงานเขียนของแม่โดยแท้ ครอบครัวจึงไม่ขัดสน แต่กระนั้นพ่อก็ยังคงมีอคติกับอาชีพนักเขียนไม่แปรเปลี่ยน จนนับ 7 ปี ที่นันทกรต้องออกจากบ้านมา และได้รับข่าวร้ายในวันนี้ เมื่อพ่อจากไปอย่างฉับพลัน!

ชายหนุ่มจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋า 2-3 ชุด รุดกลับบ้านที่หัวหิน ด้วยความรู้สึกหดหู่เสียใจ น้ำใสๆ คลอหน่วยอยู่ตลอดเวลา แม้ไม่ยอมจะเอ่อไหล ทว่ามันไหลย้อนกลับลงไปท่วมใจ พยายามนึกว่า มันเป็นเพียงความฝันฝันร้ายที่จะหายไปเมื่อตื่น และพยายามขับไล่ความขมขื่นใจที่ฝังลึกเสมอมาว่า พ่อไม่เคยเข้าใจ พ่อไม่เคยรัก 

สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ อยากกลับไปถึงบ้านเร็วที่สุด เพื่อกล่าวความในใจทุกสิ่งต่อพ่อ และบอกว่าเขายังรักเคารพพ่อเสมอ แม้ว่าในความเป็นจริง ท่านไม่อาจได้ยิน


* * * * *

"นั่งสินันท์" หญิงวัยกลางคน ผายมือเชิญนันทกรนั่งตรงข้าม ขยับแว่นหนา ระบายยิ้มชื่นชมชายหนุ่ม ความเงียบในห้องบรรณาธิการบริหาร ทำเอาชายหนุ่มใจเต้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

"พี่เรียกผมมาพบ มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ" เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

"อืมม์พี่มีข่าวดีจะบอกให้นันท์ทราบน่ะก็หลังจากรวมเรื่องสั้น บ้านอุ่นรัก ของนันท์วางขายทั่วประเทศ ทางสายส่งแจ้งมาว่าที่พิมพ์เฟิร์สออเดอร์ไปหนึ่งหมื่นเล่ม ตอนนี้จะต้องเพิ่มสต๊อกแล้วล่ะถือว่าแรงมากเลยนะนันท์ กับเวลาสั้นๆ แค่ 2 เดือนเอง"

"เหรอครับ" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ผมต้องขอบคุณพี่มากครับ ที่กรุณาให้โอกาส แล้วก็น้องๆ ทีมประชาสัมพันธ์ด้วยครับ ที่ช่วยส่งข่าวตามสื่อต่างๆ อีกอย่างผมว่าการจัดงานเปิดตัวที่ ลงทุนมากขนาดนั้น ก็มีผลมากนะครับ"

"พี่ว่านั่นน่ะ แค่องค์ประกอบย่อย เพราะถ้าตัวเนื้องานไม่เป็นที่พอใจ คนอ่านไม่ชอบ ไม่บอกต่อ และไม่เข้าตานักวิจารณ์ ก็คงไม่มีใครเขาสนับสนุน ไม่มีใครเขาเชียร์หรอกที่พี่เรียกนันท์มาก็จะแจ้งให้ทราบในเรื่องนี้ แล้วเรื่องเช่าค่าลิขสิทธิ์จากการพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 2 และครั้งต่อๆ ไป นี่ นันท์จะได้เพิ่มจาก 10% เป็น 15% จากยอดพิมพ์

"ขอบคุณพี่มากครับที่กรุณา" ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม หัวใจพองโตมีความสุขกว่าครั้งไหนๆ เมื่อมีสิ่งมาชี้ความสำเร็จบนเส้นทางนักเขียน จนส่งเขาขึ้นชั้นนักเขียนระดับแนวหน้าของประเทศ โดยได้ผลิตหนังสือที่ให้ปรัชญาในการดำเนินชีวิต เพื่อส่งเสริมจริยธรรมอันดีต่อสังคม


* * * * *


ไม่ถึงหนึ่งชั่งโมงต่อมา นันทกรก็นั่งอบู่บนรถประจำทางปรับอากาศมุ่งหน้าสู่ภูมิสำเนา แววตาหม่นเศร้าทอดผ่านออกไปนอกกระจกใส ทว่าหาได้สนใจกับทิวทัศน์ข้างทาง ความดีใจในวันก่อนถูกลบกลบด้วยข่าวร้ายในวันนี้ความคำนึงเก่าๆ ได้ฉายภาพชัดขึ้นอีกครั้ง...

นับแต่แม่จากไป ท่าทีของพ่อที่ขัดแย้ง ขัดขวางกับความมุ่งมั่นของเขา ที่เลือกเอาดีในอาชีพนักเขียนตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย ความขมขื่นฝังลึกถมทับในใจเขาตลอดมา บางขณะก็นึกน้อยใจ เพราะดูเหมือนว่าพ่อจะจงเกลียดจงชังเขามากกว่าน้องทั้งสอง ที่พ่อตามใจมิเคยข้องขัด บางครั้งนึกไกลไปว่า เขาอาจจะไม่ใช่ลูกของพ่อก็เป็นได้ แต่นั่นก็เพียงความคิด เพราะจิตสำนึกส่วนลึกของเขายังเคารพนบนอบต่อผู้เป็นพ่อเสมอ

การจากไปของพ่อ นำมาซึ่งความอาลัย ความรักความผูกพันได้ละลายความรู้สึกด้านมืดให้สว่างขึ้น นึกเสียดาย เสียใจที่ยังมิทันได้อยู่ใกล้ให้ท่านได้เห็น และรับรู้ความสำเร็จบนเส้นทางที่เขาเลือกว่า ลูกของพ่อได้เดินตามรอยของแม่ และลูกของพ่อทำได้! 

ชายหนุ่มหลับผล็อยไป...มารู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงแอร์บัสเตือนให้ผู้โดยสารเตรียมตัวรถได้มาถึงปลายทางแล้ว


* * * * *


บ้านไม้สองชั้นซ่อนตัวท่ามกลางแมกไม้เขียวครึ้มร่มรื่น แม้อาณาบริเวณไม่ถึงกับกว้างใหญ่นัก แต่มันอบอวลไปด้วยความรักกับครอบครัวเล็กๆ ที่สร้างชีวิตของชายหนุ่มให้เติบใหญ่ เย็นวันนี้ภายในบ้านผู้คนพลุกพล่าน ด้วยว่าบรรดาญาติสนิท เมื่อทราบข่าวการจากไปของพ่อ ก็มาช่วยเป็นธุระในเรื่องต่างๆ ทันทีที่น้องสาวคนโตเห็นพี่ชายก้าวพ้นประตูเข้าบ้าน ก็โผเข้าหา กอดซบอกสะอื้นไห้ ชายหนุ่มกอดประคอง ไล้ผมแผ่วเบาเชิงปลอบใจ ขณะที่เขาเองก็ยากที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้

หลังจากเก็บสัมภาระ และทักทายญาติๆ ถ้วนทั่ว นันทกรก็ชวนน้องสาวปลีกตัวมาพูดคุย ถามไถ่รายละเอียดถึงเหตุการณ์ที่พรากพ่อจากไป

"พ่อโดนรถชนที่ตลาดเมื่อเช้าตอนกำลังข้ามถนนใหญ่เจี๊ยบกับจิ๋วกำลังซื้อกับข้าวอยู่ฝั่งตลาดสด" น้องสาวเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

"แล้วพ่อข้ามถนนไปทำอะไรอีกฝั่งล่ะ" ผู้เป็นพี่ชายซัก

"ตอนแรก พ่อบอกแต่ว่า จะไปซื้ออะไรฝั่งโน้นหน่อย ให้เจี๊ยบกับจิ๋วซื้อของเสร็จแล้วรออยู่ฝั่งนี้ สักพักก็ได้ยินเสียงรถเบรกดังลั่น แล้วก็มีคนตะโกนว่า มีรถบัสชนคน

...พอเจี๊ยบกับจิ๋ววิ่งไปดู ถึงรู้ว่าเป็นพ่อ" หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง พยายามข่มเสียงสั่นเครือให้เป็นปกติ แต่ก้อนสะอื้นมันจุกอยู่ที่คอ

"คนที่ชนเขารีบช่วยพาไปส่งโรงพยาบาล เขาบอกว่าตอนขับรถมาถึงหน้าตลาด เห็นพ่อกำลังเดินข้าม เขาก็กดแตรเตือน ตอนแรกพ่อดูเหมือนจะหยุด แต่อยู่ๆ ก็ล้มลงมาข้างหน้า เขาเบรกไม่ทันเลยชนพ่อหัวน็อคพื้น พ่อคงจะหน้ามืดเพราะความดันต่ำ...เลยโดยชน...

...พอไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่รีบพาเข้าห้องฉุกเฉิน ซัก 20 นาที ก็มีคนออกมาบอกว่า..พ่อเสียแล้ว ปั๊มหัวใจเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น--เจี๊ยบเจี๊ยบเสียใจที่ไม่ได้ดูแลพ่อให้ดี ฮืออออ" หญิงสาวปล่อยโฮออกมาอย่างเต็มกลั้น ผู้เป็นพี่กอดกระชับน้องสาวไว้

"อย่าโทษตัวเองเลยนะเจี๊ยบ พี่ว่าคงถึงเวลาที่พ่อจะได้พักผ่อนน่ะ"

"พี่รู้มั้ยตลอดเวลาที่พี่ไม่อยู่ พ่อก็บ่นถึงพี่ เป็นห่วงเรื่องอยู่เรื่องกิน กลัวว่าพี่จะลำบาก เรื่องสั้นของพี่ลงที่ไหน ถ้าพ่อรู้ รึใครมาบอก พ่อจะซื้อแล้วเก็บไว้ในตู้อย่างดี บางทียังซื้อหนังสือไปแจกเพื่อนพ่อเลย"

ชายหนุ่มได้ฟังคำรู้สึกตื้นตัน ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ

"แล้วพี่รู้มั้ย... เมื่อเช้านี้ที่พ่อข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วโดนรถชน...พ่อไปทำไม" น้องสาวถามเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลพราก ชายหนุ่มนั่งจดจ่อรอฟังคำตอบ

"ตอนที่พาพ่อส่งโรงพยาบาล พ่อเพ้อเรียกหาเจี๊ยบ จิ๋ว และพี่ตลอดทาง สักพักพ่อก็หมดสติ แต่พ่อยังกอดหนังสือเล่มหนึ่งแนบอกไว้แน่น"

"เล่มนี้ไงพี่" จิ๋วน้องชายเอ่ย พร้อมยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้

มันคือหนังสือพ๊อคเก็ตบุ้คปกสีขาว ภาพปกสีน้ำรูปบ้านรายรอบด้วยแมกไม้อันร่มรื่น...ทว่าเปรอะเลอะด้วยเลือดที่เริ่มจะแห้ง...

ชายหนุ่มพยายามเพ่งมองภาพบนปกหนังสือที่กำลังพร่าเลือน ด้วยว่าน้ำตาได้เอ่อท้นจนล้นสองตาโดยไม่รู้ตัว 

เขาค่อยๆ อ่านข้อความบนปกหนังสือ ที่มันดังก้องในใจ เป็นเสียงที่มีความหมาย และไพเราะที่สุดกับความรู้สึกที่พ่อมีต่อเขา

รวมเรื่องสั้นสร้างสรรค์จากคมปากกานักเขียนคลื่นลูกใหม่แห่งยุค "บ้านอุ่นรัก" โดยนันทกร 

ชายหนุ่มปล่อยโฮออกมาพร้อมกับน้อง ทั้งสามกอดกันร่ำไห้กับเย็นย่ำอันแสนเศร้าของครอบครัวที่ไร้เสาหลัก

บัดนี้นันทกรได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า พ่อมิเคยขาดแคลนความรัก มิเคยรังเกียจ ดูแคลนชิงชังเขาแม้แต่น้อย และแท้จริงเขายังคงเป็นลูกที่พ่อรักและภาคภูมิใจ แม้ในความไม่เข้าใจในบางขณะแต่พ่อก็ยังคงรักเขาเสมอมิเคยเปลี่ยนแปลง


* * * * * * * * * * 
 
หมายเหตุ ::: 1 ใน 12 เรื่องสั้นชุด "อบอุ่นใจ...เพราะมีเธอ"				
15 มิถุนายน 2549 11:33 น.

"ถ้อยคำหวาน สาส์นรักจาก…แม่"

ทิวสน

โดย ::: ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com

ช่างดีอะไรเช่นนี้ สัมมนาภาคบ่ายเสร็จไม่ถึงกับเย็นมาก เลยทำให้ฉันพอมีเวลาได้ออกมารับลมทะเล เดินเปลือยเท้าย่ำทรายขาวเม็ดละเอียดเช่นตอนนี้ 

ที่ผ่านมาเมื่อมีการสัมมนาต่างจังหวัด จะกี่ครั้งก็มีอันเลิกประชุมเสียเย็นค่ำ ทานข้าวแล้วยังมีสัมมนาต่อ จึงน้อยครั้งที่จะได้ออกมาซึมซับความสดชื่นจากธรรมชาติ กับอากาศบริสุทธิ์ โดยเฉพาะชายทะเล ที่ฉันชื่นชอบเป็นชีวิตจิตใจ...

ชายหาดแห่งนี้เป็นส่วนตัว เพราะเป็นที่ส่วนบุคคล กวาดสายตาพบแต่ชาวต่างชาติ ที่ทอดตัวนอนยาวบนเปลรับลมทะเล บ้างก็เล่นน้ำ บ้างก็จูงมือลูกเดินริมหาด

ระรอกคลื่นซัดสู่ฝั่งสม่ำเสมอ ลมทะเลพัดหอบไอเค็มบางๆ มาเป็นระยะ ฉันรู้สึกผ่อนคลาย... ความขึงเครียดจากการประชุมตลอดทั้งวัน มลายไปหมดสิ้น

ฉันทอดสายตาออกไปไกล สำรวจริมหาด ฟองคลื่นขาวน่าเดินเอาเท้าแช่น้ำเสียจริง... ทันใดนั้น เสียงหัวเราะแห่งความเปรมปรีดิ์ พาสายตาฉันหันไปสะดุดกับภาพหนึ่ง เด็กหญิงผมแดง หยิก ฟู กำลังยิ้มร่า หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างมีความสุข แก้มยุ้ยนั้นแดงอย่างกับผลมะเขือเทศสุก น่าหยิกเสียจริงเชียว... 

แม่หนูแก้มแดงสวมชุดว่ายน้ำสีขาว ลายดอกไม้สีแดงเล็กๆ ตรงเอวมีระบายคล้ายกระโปรงแลดูน่ารัก กับวัยคงไม่เกิน 2-3 ขวบ เธอกำลังวิ่งไล่จับผู้เป็นแม่ จับได้บ้าง ไมได้บ้าง ครั้งจับได้ก็หัวเราะชอบใจ จับไม่ได้ก็ทำท่าโยเย

ขณะหนึ่งแม่หนูโถมตัวไปข้างหน้าหมายจะคว้าแม่ให้ได้ แต่เป้าหมายข้างหน้าเบี่ยงหลบ จึงล้มคมำคว่ำไปข้างหน้า และดูเหมือนความสนุกจะสะดุดหยุดอยู่เพียงนั้น เสียงหัวเราะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง จะด้วยความเจ็บหรือความตกใจก็สุดจะเดาได้ เสียงร้องจ้าทำให้ผู้เป็นแม่ชะงักเท้าหันกลับ ปราดเข้าไปหาก้มลงคว้าประคองตระกองกอดไว้ในอ้อมอก แล้วอุ้มลูบหลังปลอบโยน เสียงร้องไห้ฟังคล้ายจะแผ่วลง ขณะที่แม่หนูยังคงสะอื้นตัวโยน...

จากภาพเบื้องหน้า...มีอะไรบางอย่างเข้ามาสัมผัสใจฉัน... 

ใช่ฉันยังจำได้ เมื่อครั้งที่ยังเด็ก ฉันก็เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ และเพราะความที่เป็นเด็กซน จึงเกิดขึ้นกับฉันอยู่บ่อยหน และทุกครั้งสิ่งที่ฉันได้รับคือ แม่ได้กระทำสิ่งที่วิเศษสุดต่อฉัน...


* * * * * * 

ตอนที่ฉันยังเด็กและเริ่มจำความได้ คราใดที่ฉันหกล้ม คนที่มาถึงฉันเพียงชั่วอึดใจก็คือ แม่ 

เมื่อมาถึง แม่จะพยุงฉันลุกขึ้น แล้วอุ้มไปที่เตียงของแม่ ประคองให้ฉันนั่งลง แล้วแม่ก็หอมลงไปที่ตรง โอ๊ย! ฉันมักจะร้องออกมาให้แม่ได้ยิน จะได้รู้ว่าฉันเจ็บมากมายเหลือเกิน ทั้งที่แท้จริง บางครั้งก็ไม่ได้เจ็บมากถึงขนาดนั้น แต่ฉันก็ทำให้เหมือนจะสมจริง จากนั้น แม่จะขึ้นมานั่งข้างๆ ฉันบนเตียง จับมือน้อยของฉันไปกุมไว้...จ้องตาฉัน...แล้วพูดว่า...

ปราย..เวลาที่ลูกเจ็บ ปรายบีบมือแม่นะจ๊ะ แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ

ฉันพยักหน้ารับคำ ด้วยสีหน้าที่แลดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะค่อยๆ เอนตัวลงนอน โดยมีแม่นอนอยู่ข้างๆ กุมมือฉันไว้ ฉันบีบมือแม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า.... และทุกครั้ง...ไม่มีพลาด ฉันจะได้ยินเสียงแม่ตอบรับกลับมาว่า

แม่รักลูกจ้ะ ทุกครั้งไป

ฉันยอมรับว่า บางครั้งก็แกล้งทำเป็นเจ็บ เพียงเพื่อจะให้แม่ทำแบบนั้นอีก...

ครั้นโตขึ้น วิธีการปลอบประโลมของแม่ก็เปลี่ยนไป แม่เป็นนักสร้างสรรค์ ชอบคิดหาวิธีใหม่ๆ ปลอบใจเอาใจให้กำลังใจฉันเสมอ ทุกสิ่งที่แม่ทำล้วนแต่เป็นวิธีที่ทำให้ฉันรู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น...ในช่วงเรียนมัธยมปลาย แม้จะมีภาระยุ่งยากและเหนื่อยตลอดทั้งวัน แต่แม่ก็จะเตรียมเอแคร์ไม่ก็เค้กกล้วยหอมที่ฉันชอบ พร้อมน้ำส้มคั้น ไว้รอเมื่อฉันกลับถึงบ้านเสมอ

พออายุ 19 เข้าเรียนมหาวิทยาลัย มีบ่อยครั้งที่ตอนสายๆ แม่จะโทรมาหาฉัน ชวนออกไปทานข้าวกลางวันอย่างกะทันหัน เพียงเพราะรู้สึกว่าวันนั้นอากาศดี แม่กับพ่อจึงขับรถจากชานเมือง เพื่อมาทานข้าวกับฉัน และทุกครั้งที่พ่อกับแม่กลับไป แม่จะส่งการ์ดขอบคุณมาให้ฉันทางไปรษณีย์เสมอ ทั้งที่เราจะได้เจอกันทุกๆ วันเสาร์ เมื่อฉันกลับบ้านปลายสัปดาห์อยู่แล้ว ฉันรู้ว่าสิ่งนี้แม่ทำเพื่อย้ำเตือนให้ฉันรู้ว่า ฉันเป็นคนพิเศษสุดสำหรับแม่เสมอ...

ทว่า วิธีที่ประทับแน่นในความทรงจำของฉันมากที่สุด ก็ยังเป็นวิธีที่แม่กุมมือฉันไว้ และบอกว่า เวลาที่ลูกเจ็บ...บีบมือแม่นะจ๊ะ...แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ อยู่นั่นเอง

* * * * *

คืนหนึ่ง ในวัยสามสิบเศษ ฉันกลับถึงบ้านจวนเที่ยงคืน ทำธุระ อธิษฐาน เตรียมจะเข้านอน พลันโทรศัพท์ได้ดังขึ้น...พ่อโทร.มา! 

ทุกครั้งพ่อจะดูเป็นผู้นำ ความคิดชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะทำสิ่งใด แต่คืนนั้นจากน้ำเสียงของพ่อ ฉันสัมผัสได้ว่า พ่อกำลังสับสนและตื่นกลัว 

ปรายแม่ไม่สบาย เป็นอะไรไม่รู้ พ่อไม่รู้จะทำยังไงดี...ลูกรีบมาบ้านเราด่วนเลยนะลูก

ขอบคุณพระเจ้า ที่การขับรถจากกลางเมืองไปชานเมืองใช้เวลาเพียง 30 นาที ต่างจากกลางวันลิบลับ ตลอดเวลาที่อยู่หลังพวงมาลัยเป็นช่วงเวลาที่ฉันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวได้แต่อธิษฐาน เพราะห่วงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่

ครั้นก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน ฉันเห็นพ่อมีสีหน้ากังวล เดินวนไปมา อธิษฐานอยู่ที่ห้องรับแขกเพื่อรอฉัน 

ฉันเปิดประตูเบาๆ เข้าไปในห้องนอนของแม่ที่เปิดไฟสลัวที่หัวเตียง พบแม่นอนหลับตาอยู่บนเตียง หายใจรวยริน...สองมือประสานไว้ที่อก...

ฉันรู้สึกสะท้อนใจ แต่ก็พยายามเรียกแม่ด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบที่สุด

แม่คะ...หนูอยู่นี่ค่ะ

ปรายเหรอ

ค่ะแม่

ปราย...ใช่หนูรึเปล่าลูก

ใช่ค่ะแม่...หนูเองค่ะ

ฉันไม่ทันจะตั้งตัวเตรียมรับคำถามใดๆ ที่จะตามมา และเมื่อได้ยินฉันก็ถึงกับตัวแข็ง ด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี 

ปราย...แม่กำลังจะตาย...แม่กำลังจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้วใช่มั้ยลูก เสียงนั้นเบาหวิว แต่กรีดลึกลงกลางใจฉัน

ภาพแม่ที่อยู่เบื้องหน้าพร่าเลือนด้วยน้ำตาของฉัน ที่เอ่อท้นเต็มสองขอบตา จ้องมองดูแม่ที่แสนรัก นอนอยู่แบบช่วยอะไรตัวเองไม่ได้

ความคิดของฉันวิ่งพล่าน กระทั่งคำถามหนึ่งแว่วผ่านเข้ามาในสมอง... แล้วถ้าเป็นแม่ล่ะ แม่จะตอบว่าอย่างไรนะ

ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แต่เหมือนเวลาผ่านไปนานนับล้านปี กระทั่งคำพูดหนึ่งหลุดออกมา

แม่คะ ...หนูไม่รู้ว่าแม่จะตาย และกำลังจะไปอยู่กับพระเจ้ารึเปล่า...แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่ก็ทำใจให้สบายเถอะนะคะ...เพราะวันหนึ่งเราจะได้พบกันที่สวรรค์ และ...หนูรักแม่ค่ะ

ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบดี แม่ก็ร้องครางออกมา ปราย...แม่เจ็บเหลือเกินลูก

อีกครั้งที่ฉันนึกว่า ควรจะพูดอะไรดี ฉันนั่งลงข้างเตียงแม่ คว้ามือขวาแม่ขึ้นมากุมไว้ที่อก และได้ยินเสียงของตัวเองพูดออกไปว่า

แม่คะ...ถ้าแม่เจ็บ แม่บีบมือหนูนะคะ...แล้วหนูจะบอกว่า...หนูรักแม่ค่ะ

แม่บีบมือฉัน

แม่คะ...หนูรักแม่ค่ะ

การบีบมือและเสียงตอบ หนูรักแม่ค่ะ เกิดขึ้นระหว่างแม่กับฉันหลายครั้งตลอดเวลา 2 ปี ต่อมา... กระทั่งแม่จากไปอยู่กับพระเจ้าด้วยโรคมะเร็งที่มดลูก

ฉันไม่รู้ว่า นาทีแห่งชีวิตของแต่ละคนรอบกายฉันจะมาถึงเมื่อใด แต่ฉันรู้แล้วว่า เมื่อนาทีนั้นมาถึง ไม่ว่าฉันจะอยู่กับใครก็ตาม นอกจากจะอธิษฐานเผื่อเขาแล้ว ฉันจะมอบวิธีปลอบประโลมแสนหวานของแม่ที่เคยกระทำกับฉันให้คนนั้นเสมอ

เวลาที่ลูกเจ็บ...บีบมือแม่นะจ๊ะ แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ

* * * * *

สุดปลายฟ้า ผืนฟ้าสีครามม่วงหม่นกำลังมาเยือน ความมืดกำลังโรยตัว... ขณะที่ลมเย็นจากทะเลยังคงพัดผ่านมา พร้อมเกลียวคลื่นทะยอยซัดสู่ฟังหยอกล้อผืนทรายสม่ำเสมอ ทุกสิ่งยังคงดำเนินไปเช่นเดิม ตามที่พระเจ้าทรงจัดสรรระบบสำแดงความยิ่งใหญ่ไว้

เฉกเช่นเดียวกับถ้อยคำหวานที่ยังคงขับขาน ดังก้องเป็นกำลังใจแก่ฉันเสมอมาทุกวันเวลา และจะยังคงประทับอยู่ในใจเสมอไป.


* * * * * * * * * *				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิวสน
Lovings  ทิวสน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิวสน
Lovings  ทิวสน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิวสน
Lovings  ทิวสน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงทิวสน