18 ธันวาคม 2547 17:14 น.
ทิวสน
โดย ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com
แดดบ่ายปลายร้อนเคลื่อนคล้อยมาแล้ว ระยับแดดโลดเต้นเหนือท้องทะเลอันดามัน ที่ระบายด้วยสีเขียว ใส โค้งฟ้าสีครามตัดกับผิวน้ำไกลออกไปลิบตาแลดูงดงามสบายตา แฝงความอลังการซ่อนไว้ ลมทะเลโชยพัดหอบไอเค็มบางมาพร้อมกับเกลียวคลื่นขนาดย่อย ที่ม้วนตัวทยอยซัดสู่ฝั่งทักทายทรายขาวอยู่เป็นระลอก
ชาตรี ยืนชมความงามธรรมชาติอยู่ริมหาด เนื้อตัวพราวด้วยน้ำที่เพิ่งขึ้นจากการว่ายเล่นเมื่อครู่ เขายืนทอดสายตาผ่านเลนส์สีเขียวเข้มออกไปสุดปลายฟ้า แล้วหันไปสำรวจรอบกายคล้ายกำลังดื่มด่ำผลงานของจินตกวีผู้ยิ่งใหญ่ ที่บรรจงรังสรรค์ทิวทัศน์เพื่อกำนัลแด่ทุกลมหายใจ
เขาสูดลมหายใจลึก และอยากจะกักเก็บมันไว้เช่นนั้น เพราะนานนักแล้วที่เขาไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์เยี่ยงนี้ ความจริงจะว่าไปแล้วที่ผ่านมาเขาเหมือนอะไรสักอย่างที่ถูกพันธนาการไว้ในกล่องใบใหญ่มีละอองควันสีหม่นห่มคลุมตลอดเวลา ทั่วทุกอณูที่ก้าวย่าง ซึ่งใครต่อใครต่างเรียกขานกล่องใบนี้ว่า "เมืองหลวง"
มันไม่ง่ายนัก ที่เขาจะสามารถปลีกตัวจากภาระหน้าที่มายืนตากอากาศเช่นนี้เพราะตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทแถวหน้าด้านโทรมนาคม ทำให้แทบทุกเวลาทุกนาทีต้องทุ่มเทให้กับงานจนแทบจะลืมไปว่าที่บ้านยังมีภรรยาและลูกรออยู่ ความที่ยังหนุ่มแน่น มีไฟ เวลาจึงหมดไปกับการประชุมวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง เพื่อปรับกลยุทธ์ทางการตลาดในทุกขณะ การมองเกมอย่างเฉียบคมและชาญฉลาดของเขาทำให้ประธานบริษัทไว้วางใจเขามาก
แต่ผลที่ตามมากลับวิ่งสวนทางกันระหว่างความสำเร็จในหน้าที่การงานกับความผูกพันในชีวิตครอบครัว ที่จวนเจียนที่จะพังครืนลงได้ทุกขณะ หากเขาไม่คิดทำอะไรเพื่อประสานความสัมพันธ์ผูกพันไว้ เขาได้แต่หวังว่าสักวันคงจะสบายขึ้นเมื่อสามารถจัดสรรการงานให้คนภายใต้มาช่วยแบ่งเบาภาระเมื่อนั้นคงมีเวลา ไม่ต้องห่วงกังวลอะไร เมื่อนั้นคงมีเวลาพาครอบครัวมาพักผ่อนตากอากาศบ้าง นั่นคือ ความตั้งใจ
กระทั่งผ่านพ้นมาเกือบ 3 ปี จึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนี้ ย้อนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาพาครอบครัวเหินฟ้าจากเมืองหลวงลงมาพักผ่อนที่ทะเลทางภาคใต้ แม้จะใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษในการเดินทาง แต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าหลุดออกมาอีกโลกหนึ่งทีเดียว
ชายหนุ่มหันกลับ เดินไปยังเปลผ้าใบซึ่งมีร่มขนาดใหญ่วางตั้งระหว่างเปลสองตัว หย่อนกายลงนั่ง พลางหันมองภรรยาซึ่งนอนอยู่เปลข้างๆ หมายจะชวนคุย ทว่าคงเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเล่นน้ำเมื่อครู่จึงทำให้เธอหลับไปเสียแล้ว
เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วประสาเด็กดังแว่วอยู่ไม่ไกล เขาหันมองเด็กน้อยวัยไล่เลี่ยสองคนกำลังหารือและช่วยกันก่อกองทรายอย่างเพลิดเพลิน เขาระบายยิ้มชื่นชมกับความช่างคิดของลูกทั้งสอง ช่างเหมือนเขาในวัยเด็ก เขารู้สึกเป็นสุขที่เห็นลูกสนุกและรื่นเริงเช่นนี้
ถัดจากลูกทั้งสอง เด็กผมทองสองคนกำลังยืนมองหญิงชราคนหนึ่งอย่างสนใจ จากการแต่งกายคงเป็นชาวบ้านละแวกนี้ เขาเริ่มเกิดความรู้สึกแปลกใจ ดูเผินๆ นางก็ชรามาก สังเกตจากการเดินเชื่องช้ากับหลังที่คุ้มงอ เวลาที่ก้มลงเก็บบางสิ่งบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายเล็กๆ ก็ดูจะแสนลำยาก เด็กผมทองเดินตามดูพฤติกรรมของนางอย่างสนใจ ขณะหนึ่งนางหันมองเด็กๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้ ทว่าเด็กกลับหันหน้าวิ่งหนี ประหนึ่งว่าหน้าตานางน่าเกลียดน่ากลัวกระนั้น
นางมองตามเด็กครู่หนึ่งจึงบ่ายหน้าเดินตรวจตราผืนทรายแล้วก้มลงเก็บบางสิ่งต่อไป บางสิ่งที่ว่าถูกนางก้มหยิบ หย่อนลงในตะกร้าชิ้นแล้วชิ้นเล่า ขณะที่เขาสนใจว่าสิ่งนั้นคืออะไรเมื่อนางก้มลงเก็บ เขาก็เห็นว่าวัสดุนั้นต้องแสงแดดเป็นประกาย วาบ เขายิ่งทวีความสงสัยมากขึ้น ว่ามันคืออะไรมันอาจจะเป็นโลหะหรือของมีคม?
นึกขึ้นได้ดังนั้นเขาใจหายวูบ เมื่อเห็นว่านางกำลังเดินเข้าไปใกล้ลูกๆ ซึ่งเล่นก่อกองทรายห่างนางไปเพียงไม่กี่ก้าว หญิงชราเดินเข้าไปใกล้ลูกของเขา ใกล้เข้าไป
ในมือของนางถือวัสดุบางอย่าง มันยังส่งประกายให้น่าหวั่นวิตกเขาใจเต้นถี่ ยันกายลุกขึ้นยืนจับตามองพฤติกรรมของนาง
เด็กๆ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง นอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า นางประสงค์ดีหรือร้าย และเหตุใดนางจึงให้ความสนใจมองจ้องลูกๆ ของเขานานเป็นพิเศษ นางขยับเดินเข้าไปใกล้ในระยะพอจะเอื้อมมือเข้าไปหาลูกคนเล็ก เขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียก
"ปิ๊กป๊อก มาหาพ่อเร็วลูก!!!"
เด็กทั้ง 2 ชะงัก หันมองซ้ายขวา เมื่อเห็นหญิงชราก็ร้อง กรี๊ด!! แล้ววิ่งเข้ามากอดขาเขาไว้แน่น
ชายหนุ่มถอดแว่น แล้วมองจ้องหญิงชราเขม็ง นางมองจ้องกลับด้วยแววตาแตกต่างคล้ายมีคำอธิบายบางอย่าง แต่แล้วก็หันหลังทำภารกิจของนางต่อไป
ฝ่ายภรรยาสะดุ้งตื่นด้วย เพราะเสียงตะโกนของสามี มองดูสามีและลูกที่กอดขาพ่อเนื้อตัวสั่น
"เกิดอะไรขึ้นที่รัก" เธอถาม แต่เขาไม่ตอบ กลับสั่งเธอเสียงสะบัด
"ไม่ต้องถาม เก็บของกลับโรงแรม"
ว่าแล้วเขาก็อุ้มลูกคนเล็กก้าวฉับๆ นำหน้าไป ปล่อยให้ลูกคนโตวิ่งตาม ส่วนภรรยารีบเก็บของเดินตามไปอย่าง งุน-งง
* * * * *
"ตกลงมันเรื่องอะไรกันคะที่รัก ถึงได้ฉุนเฉียวแบบนี้" ภรรยาซักทันทีเมื่อเข้ามาถึงห้องพัก วางเสื้อคลุมพาดที่เก้าอี้ นั่งรอฟังคำอธิบาย สามีถอนหายใจ ก่อนหันมาพูด
"ขอโทษทีที่อารมณ์เสียใส่คุณ ผมโมโหพวกแก๊งลักเด็ก คุณคงไม่เห็น มียายแก่ที่ชายหาด กำลังจะเดินเข้ามาจับลูกเราไป"
"หา! จริงเหรอคะที่รัก แล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าคุณยายคนนั้นเป็นพวกลักเด็กล่ะคะ"
ภรรยาตกใจ แต่ก็ช่วยสะกิดให้คิด ชาตรีนิ่ง ทบทวนถึงลักษณะพฤติกรรมและสิ่งที่มีลักษณะมันวาวสะท้อนกับแสงแดดนั้น
"อือม์ไม่รู้สิ ก็ผมเห็นยายคนนั้นเหมือนถือมีดหรืออะไรที่มีคม แล้วเดินเข้ามาจะจับลูกของเรา" เขาอธิบายตามความเข้าใจตอนนั้น
"พวกนี้ถ้าทำ ก็ทำกันเป็นแก๊ง คงไม่ใช้คนแก่ที่ไม่มีเรี่ยวแรงมาทำหรอกค่ะ แต่นี่คือความเห็นนะคะ เพราะหากไม่ใช่อย่างที่คิดก็น่าสงสารแกนะคะที่รัก ที่เราไปปรักปรำแก ช่วงนี้ดูคุณเครียดๆ นะคะ สัปดาห์ก่อนก็เกือบจะไล่พนักงานในฝ่ายออก ก็เพราะคุณรีบด่วนสรุปไม่ใช่เหรอคะ อยากให้คุณใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดน่ะค่ะ"
ภรรยาเตือนสติด้วยความห่วงใย ชายหนุ่มนั่งนิ่งเม้มปากแน่น คิดใคร่ครวญ หากท่าทีที่เขาแสดงต่อคุณยาย
มาจากการที่เขารีบด่วนสรุป คุณยายคนนั้นก็คงเจ็บปวดไม่น้อย
* * * * * *
ผืนฟ้ากว้างถูกคลี่คลุมด้วยกำมะหยี่สีดำไปพักใหญ่แล้ว ลมกรรโชกแรงจนต้นมะพร้าวสูงเสียดยอดโอนเอนตาม บางต้นลูกแก่ๆ ก็ปลิดขั้วหล่นสู่พื้นทราย ขณะที่เมฆทมึนเริ่มคล้อยต่ำอยู่เหนือหมู่บ้านอันเป็นชุมชนเล็กๆ ริมหาดแห่งนี้ ซึ่งปลูกสร้างแบบง่ายๆ ราวๆ 20 กว่าหลังคาเรือน ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงน้ำตื้นออกเรือหาปลาใกล้ชายฝั่ง เว้นแต่กระต๊อบหลังกะทัดรัดหลังนั้นที่ชาวบ้านแถวนี้คุ้นเคยกับเธอมานาน และรู้เพียงว่าเธอเป็นหญิงชราตัวคนเดียวที่มาจากกรุงเทพฯ เคยมีคนแต่งตัวแปลกตา ท่าทางเป็นผู้ดีมีสกุลมาพบเธอ เหมือนจะนำเธอกลับไปด้วย ทว่าชาวบ้านก็ยังคงพบเธออยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
เธอมีความเป็นอยู่อย่างสมถะ เด็กๆ แถวนี้มักจะไปที่บ้านของเธอ เพราะเธอมักทำขนมไว้แจกเด็กๆ เสมอ และนี่คือความสุขที่เธอได้ทำ นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวันในการเดินเลาะริมหาดทรายพร้อมตะกร้าหวายเพื่อเก็บบางสิ่งใส่ตะกร้า
ความสว่างบนปลายไส้ตะเกียงวูบไหวตามแรงลมหลายหน เพียงครู่ฝนก็เทจากฟ้าอย่างหนัก ดุจใครคว่ำชามอ่างยักษ์เทน้ำลงสู่พื้นดิน
ความสว่างจากฟ้าแลบสะท้อนกับน้ำใสๆ ที่ไหลผ่านแก้มเหี่ยวๆ ของหญิงชราผู้โดดเดี่ยว ไม่บ่อยนักที่จะต้องเสียน้ำตา เพราเธอเด็ดเดี่ยวเสมอ ยอมแม้ละทิ้งทุกอย่างจากเมืองหลวง ทิ้งสังคมชั้นสูง มาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเรียบง่ายสงบสุขที่ชุมชนแห่งนี้ อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เคยมีอะไรเคลือบแฝงในแววตา สีหน้าและคำพูดของผู้คนแถวนี้ แต่ครั้นนึกถึงพฤติกรรมและแววตาอันดุดัน ดูหมิ่นของชายหนุ่มเมื่อตอนบ่ายแล้ว มันช่างกรีดใจเธอให้เจ็บปวดอย่างสากรรจ์
* * * * * *
เวลาสองยามเศษ หลายหลังคาเรือนในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ต่างหลับใหลกันหมดแล้ว แต่ชาตรีเพิ่งกลับถึงบ้าน นับแต่วันที่กลับมาจากพักร้อน เขาก็เข้าสู่ภาวะปกติที่ต้องทำงานหนัก ตื่นเช้า เข้านอนหลังสองยามเสมอ
หลังจากอาบน้ำสบายตัวแล้ว รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย จึงชงชาร้อนดื่มและออกมานั่งเล่นที่ระเบียง พร้อมหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับรายสัปดาห์ เขาเอนตัวกึ่งนอนกึ่งนั่งบนเก้าอี้โยก ค่อยๆ เปิดดูเนื้อหาคร่าวๆ ในหนังสือพิมพ์ กระทั่งไปสะดุดตากับเรื่องสาระเบาๆ กับสไตล์การใช้ชีวิตของนักธุรกิจในมุมที่คนทั่วไปไม่ทราบ หัวเรื่องฉบับนี้น่าสนใจสำหรับเขาเพราะอะไรไม่ทราบได้
"ชีวิตสมถะของคุณหญิงพิมลพร จากไฮโซฯ คืนสู่สามัญ ทางที่เธอเลือกเอง"
เขาค่อยๆ อ่านอย่างสนใจกับชีวิตของนักธุรกิจหญิงด้านอสังหาริมทรัพย์ มีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน ส่งบุตรธิดาศึกษาจบในระดับสูงสุดทุกคน เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เธอเหนื่อยล้าและอยากหันหลังให้กับงานที่ทำเพื่อพักผ่อน จึงโอนกรรมสิทธิ์ให้บุตรธิดาหมดสิ้นแล้วอพยพตัวเอง ทิ้งสังคมไฮโซฯ เลือกใช้ชีวิตสมถะที่กระต๊อบหลังเล็กๆในหมู่บ้าชาวประมงน้ำตื้น ริมชายหาด แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต กิจวัตรในแต่ละวันมีความสุขกับการได้พูดคุย ทำขนมแจกเด็กๆ ชาวบ้านและเดินตรวจตราริมชายหาด
อ่านมาถึงตอนนี้ชาตรียิ่งจดจ่อมากยิ่งขึ้น เพราะสถานที่ที่ว่านี้คือ ชายหาดที่เขาและครอบครัวเพิ่งจะกลับมาจากการพักร้อนเมื่อวันก่อน เขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว เมื่ออ่านพบประโยคที่ว่า
กิจวัตรของเธอคือ เสาะหาตรวจตราเก็บเศษแก้วและของมีคมบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายใบเล็กแล้วนำไปทิ้ง เพียงเพื่อจะไม่เป็นอันตรายต่อเด็กๆ และนักท่องเที่ยว!!!
ชาตรีอ่านข้อความนี้ด้วยใจเต้น และเมื่อเพ่งมองที่ภาพใบหน้าของคุณหญิงพิมลพร เขาถึงกับอึ้ง
เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นของคนที่เขาตราหน้าว่าเป็นแก๊งลักเด็ก ที่จะทำร้ายลูกของเขา คือ คนคนเดียวกัน!!!
* * * * * * * * * *
หมายเหตุ
1.แต่งขึ้นจากประเด็นสั้นๆ เพียงไม่กี่บรรทัดซึ่งแปลจากหนังสือต่างประเทศ แล้วฟอร์เวิร์ดต่อๆ กันมา
2.วาระตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร มหาสนุก ฉบับวันที่ 18-24 กุมภาพันธ์ 2004
16 ธันวาคม 2547 21:53 น.
ทิวสน
โดย ทิวสน ชลนรา
พงษ์ดนัยชายหนุ่มผู้มีชีวิต อาจกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ หน้าตาหล่อเหลา การศึกษาสูง
มีหน้าที่การงานมั่นคง มีความก้าวหน้าในอนาคต คนรอบข้างต่างรักใคร่ ชีวิตที่เพียบพร้อมจนหลายคนต่างชื่นชม
วันหนึ่งชีวิตที่สมบูรณ์แบบของเขา ก็ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบมากขึ้น เมื่อพี่ชายคนโตยินดีควักเงินก้อนใหญ่ ซื้อรถสปอร์ตคันงามให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่เขา ไม่ต้องบอกว่าเจ้าตัวจะยินดีปรีดาเพียงใด เพราะรถสปอร์ตสุดหรูคันนี้ ชายหนุ่มฝันอยากได้เป็นเจ้าของมานานนัก
เมื่อความฝันเป็นจริง สิ่งที่เขาคิดทำอย่างแรกคือ ขับเจ้ารถสปอร์ตตระเวนไปตามที่ต่างๆ ให้สมอยาก ใจหนึ่งต้องการทดสอบแรงม้าที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเครื่อง ว่าจะมีเรี่ยวแรงเต็มกำลังสักเพียงไหน อีกใจหนึ่งนั้น เป็นที่แน่นอนว่า ลองใครที่มีรถสวยและแรงขนาดนี้ คงไม่เก็บเอาไว้ชื่นชมเพียงลำพังที่โรงรถในบ้านเป็นแน่
ชายหนุ่มขับรถโฉบเฉี่ยวไปยังที่ต่างๆ รอบเมืองพัทยา และยิ้มภูมิใจเมื่อชำเลืองมองพบว่ามีสายตาหลายคู่ข้างทาง ต่างเหลียวหันมองตามรถคันสวยของเขา
เขาขับโฉบเฉี่ยวไปมาสักพัก จึงชะลอหาที่พักทั้งเครื่องและคน.
แล้วเขาก็ปราดเข้าจอดข้างถนนที่ริมชายหาดจอมเทียน
ระหว่างกำลังพักผ่อนอิริยาบถและทอดสายตาออกไปชมทะเลรับลมยามเย็น เมื่อหันกลับไปมองที่รถ ซึ่งจอดชิดริมฟุตบาธ เขาเห็นเด็กชายอายุราว 10 ขวบ แต่งตัวมอซอแต่ดูสะอาด เดินลูบๆ คลำๆ รอบรถคันงามของเขา ด้วยกิริยาท่าทีชื่นชอบอย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของ กับสิ่งที่หลายต่อหลายคนใฝ่ฝัน เขาเดินยืด-อก มาที่รถ พร้อมกระแอมและเอ่ยทักทายเด็กคนนั้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ดั่งขุนศึกผู้ชนะสงคราม
"ระวังหน่อยน้อง เดี๋ยวเป็นรอย" ว่าพลางยิ้มมุมปาก
เด็กน้อยหันมองจ้องชายหนุ่มเจ้าของเสียง ก่อนตอบ
"รถของพี่เหรอ.. สุดยอด!" เอ่ยพลางตาโตชื่นชมกับสิ่งเบื้องหน้า
"แน่นอน" เขาตอบ พร้อมระบายยิ้ม
"พี่ซื้อมาราคาเท่าไหร่กันเนี่ย " เด็กน้อยถาม
"อืมม์คนอื่นอาจต้องควักสตางค์ซื้อเองแหละนะ...แต่พี่ไม่ต้องเพราะพี่ชายของพี่เพิ่งซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ตอบพลางยิ้มปลาบปลื้ม
"โอ้โห! ดีจัง ผมอยาก...." เด็กชายพูดตะกุกตะกัก ชะงักในตอนท้าย
ชายหนุ่มคิดในใจว่า เด็กคนนี้คงไม่กล้าพูดต่อ เพราะที่เด็กอยากจะพูดแต่ยั้งปากยั้งคำไว้นั้น คงจะต้องการบอกว่า อิจฉาและอยากจะเป็นอย่างเขาบ้าง ที่มีพี่ชายแสนดีซื้อรถสุดหรูให้เป็นของขวัญ...
ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มคิด...ผิดถนัด
"โอ้โห ดีจัง ผมอยาก..อยาก เป็นอย่างพี่ชายของพี่จังผมจะได้ซื้อรถให้น้องชายผมนั่งบ้าง" ชายหนุ่มฟังแล้วถึงกับอึ้ง
ในสังคมทุกวันนี้ ที่ใครต่อใคร ต่างตั้งหน้าตั้งตาเพียงแต่จะรับ หรือบางคนไม่ยอมรอ ต่างใช้กำลังความได้เปรียบแย่งชิงของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง แต่เด็กคนนี้กลับคิดสวนทางใครๆ ที่อยากจะเป็นผู้ให้ มากกว่าเป็นผู้รับ......
ชายหนุ่มมองเด็กชายด้วยความรู้สึกทึ่ง และแปลบปลาบในใจ แล้วเอ่ยถาม...
"อยากนั่งรถเล่นกับพี่มั้ย"
"ครับ อยากมากเลย" เด็กชายตอบแทบจะทันที
หลังจากขับรถเล่นกินลมไปตามถนนเลาะเลียบชายหาดอยู่พักหนึ่ง เด็กน้อยหันมาพูดกับเขาด้วยดวงตามีประกายว่า
"พี่ครับ...ช่วยขับรถไปทางหน้าบ้านผมได้มั้ยครับ"
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ เขาคิดว่าเดาไม่ผิด และรู้ดีว่าเด็กน้อยต้องการอะไร คงอยากจะอวดให้เพื่อนบ้านเห็นว่าได้นั่งรถหรูหราคันโตกลับบ้านล่ะสิทว่า
"พี่ช่วยจอดตรงบ้านหลังข้างหน้านั้นนะครับ" เด็กน้อยลงจากรถ แล้ววิ่งขึ้นบันไดหายไปบนบ้าน ซึ่งปลูกแบบง่ายๆ ชั้นเดียว ยกพื้นมีระเบียงแคบๆ ด้านหน้า
สักครู่จึงกลับออกมาแต่ไม่ได้วิ่ง เขาอุ้มน้องตัวเล็กๆ ที่พิการขาลีบทั้งสองข้างมาด้วย และวางน้องลงที่บันไดขั้นแรก กอดน้องไว้ที่ด้านหลังและชี้ไปที่รถ
"นั่นไงหนุ่ย...รถคันที่พี่เล่าให้ฟัง พี่ชายของเขาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด เขาไม่ต้องเสียตังค์เลยนะ เอาไว้พอหนุ่ยโตขึ้น แล้ววันหนึ่งพี่จะซื้อให้หนุ่ยบ้าง หนุ่ยจะได้ไปดู ไปเห็นของสวยๆ กับตาของหนุ่ยเอง เหมือนที่พี่เคยเล่าให้ฟังไง"
ชายหนุ่มได้ยินทุกถ้อยคำชัดเจน....เขาลงจากรถ แล้วเดินมายังเด็กทั้งสอง ก้มลงอุ้มน้องคนเล็ก แล้วนำมาขึ้นรถ
พี่ชายปีนตามขึ้นมานั่งใกล้ แล้วทั้งสามก็เริ่มออกเดินทาง
บัดนี้ชายหนุ่มเข้าใจลึกซึ้งแล้วว่า
"การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ" หมายถึงอะไร
* * * * * * * * * *
16 ธันวาคม 2547 21:45 น.
ทิวสน
โดย ทิวสน ชลนรา
ช่างดีอะไรเช่นนี้ สัมมนาภาคบ่ายเสร็จไม่ถึงกับเย็นมาก เลยทำให้ฉันพอมีเวลาได้ออกมารับลมทะเล เดินเปลือยเท้าย่ำทรายขาวเม็ดละเอียดเช่นตอนนี้ ที่ผ่านมาเมื่อมีการสัมมนาต่างจังหวัด จะกี่ครั้งก็มีอันเลิกประชุมเสียเย็นค่ำ ทานข้าวแล้วยังมีสัมมนาต่อ จึงน้อยครั้งที่จะได้ออกมาซึมซับความสดชื่นจากธรรมชาติ กับอากาศบริสุทธิ์ โดยเฉพาะชายทะเล ที่ฉันชื่นชอบเป็นชีวิตจิตใจ...
ชายหาดแห่งนี้เป็นส่วนตัว เพราะเป็นที่ส่วนบุคคล กวาดสายตาพบแต่ชาวต่างชาติ ที่ทอดตัวนอนยาวบนเปลรับลมทะเล บ้างก็เล่นน้ำ บ้างก็จูงมือลูกเดินริมหาด
ระรอกคลื่นซัดสู่ฝั่งสม่ำเสมอ ลมทะเลพัดหอบไอเค็มบางๆ มาเป็นระยะ ฉันรู้สึกผ่อนคลาย... ความขึงเครียดจากการประชุมตลอดทั้งวัน มลายไปหมดสิ้น
ฉันทอดสายตาออกไปไกล สำรวจริมหาด ฟองคลื่นขาวน่าเดินเอาเท้าแช่น้ำเสียจริง... ทันใดนั้น เสียงหัวเราะแห่งความเปรมปรีดิ์ พาสายตาฉันหันไปสะดุดกับภาพหนึ่ง เด็กหญิงผมแดง หยิก ฟู กำลังยิ้มร่า หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างมีความสุข แก้มยุ้ยนั้นแดงอย่างกับผลมะเขือเทศสุก น่าหยิกเสียจริงเชียว... แม่หนูแก้มแดงสวมชุดว่ายน้ำสีขาว ลายดอกไม้สีแดงเล็กๆ ตรงเอวมีระบายคล้ายกระโปรงแลดูน่ารัก กับวัยคงไม่เกิน 2-3 ขวบ เธอกำลังวิ่งไล่จับผู้เป็นแม่ จับได้บ้าง ไมได้บ้าง ครั้งจับได้ก็หัวเราะชอบใจ จับไม่ได้ก็ทำท่าโยเย
ขณะหนึ่งแม่หนูโถมตัวไปข้างหน้าหมายจะคว้าแม่ให้ได้ แต่เป้าหมายข้างหน้าเบี่ยงหลบ จึงล้มคมำคว่ำไปข้างหน้า และดูเหมือนความสนุกจะสะดุดหยุดอยู่เพียงนั้น เสียงหัวเราะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง จะด้วยความเจ็บหรือความตกใจก็สุดจะเดาได้ เสียงร้องจ้าทำให้ผู้เป็นแม่ชะงักเท้าหันกลับ ปราดเข้าไปหา
ก้มลงคว้าประคองตระกองกอดไว้ในอ้อมอก แล้วอุ้มลูบหลังปลอบโยน เสียงร้องไห้ฟังคล้ายจะแผ่วลง ขณะที่แม่หนูยังคงสะอื้นตัวโยน...
จากภาพเบื้องหน้า...มีอะไรบางอย่างเข้ามาสัมผัสใจฉัน...
ใช่ฉันยังจำได้ เมื่อครั้งที่ยังเด็ก ฉันก็เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ และเพราะความที่เป็นเด็กซน จึงเกิดขึ้นกับฉันอยู่บ่อยหน และทุกครั้งสิ่งที่ฉันได้รับคือ แม่ได้กระทำสิ่งที่วิเศษสุดต่อฉัน...
* * * * * *
ตอนที่ฉันยังเด็กและเริ่มจำความได้
คราใดที่ฉันหกล้ม คนที่มาถึงฉันเพียงชั่วอึดใจก็คือ แม่
เมื่อมาถึง แม่จะพยุงฉันลุกขึ้น แล้วอุ้มไปที่เตียงของแม่ ประคองให้ฉันนั่งลง แล้วแม่ก็หอมลงไปที่ตรง โอ๊ย! ฉันมักจะร้องออกมาให้แม่ได้ยิน จะได้รู้ว่าฉันเจ็บมากมายเหลือเกิน ทั้งที่แท้จริง บางครั้งก็ไม่ได้เจ็บมากถึงขนาดนั้น แต่ฉันก็ทำให้เหมือนจะสมจริง จากนั้น แม่จะขึ้นมานั่งข้างๆ ฉันบนเตียง จับมือน้อยของฉันไปกุมไว้...จ้องตาฉัน...แล้วพูดว่า...
ปราย..เวลาที่ลูกเจ็บ ปรายบีบมือแม่นะจ๊ะ แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ
ฉันพยักหน้ารับคำ ด้วยสีหน้าที่แลดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะค่อยๆ เอนตัวลงนอน โดยมีแม่นอนอยู่ข้างๆ กุมมือฉันไว้ ฉันบีบมือแม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า.... และทุกครั้ง...ไม่มีพลาด ฉันจะได้ยินเสียงแม่ตอบรับกลับมาว่า
แม่รักลูกจ้ะ ทุกครั้งไป
ฉันยอมรับว่า บางครั้งก็แกล้งทำเป็นเจ็บ เพียงเพื่อจะให้แม่ทำแบบนั้นอีก...
ครั้นโตขึ้น วิธีการปลอบประโลมของแม่ก็เปลี่ยนไป แม่เป็นนักสร้างสรรค์ ชอบคิดหาวิธีใหม่ๆ ปลอบใจเอาใจให้กำลังใจฉันเสมอ ทุกสิ่งที่แม่ทำล้วนแต่เป็นวิธีที่ทำให้ฉันรู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น...
ในช่วงเรียนมัธยมปลาย แม้จะมีภาระยุ่งยากและเหนื่อยตลอดทั้งวัน แต่แม่ก็จะเตรียม
เอแคร์ไม่ก็เค้กกล้วยหอมที่ฉันชอบ พร้อมน้ำส้มคั้น ไว้รอเมื่อฉันกลับถึงบ้านเสมอ..
พออายุ 19 เข้าเรียนมหาวิทยาลัย มีบ่อยครั้งที่ตอนสายๆ แม่จะโทรมาหาฉัน ชวนออกไปทานข้าวกลางวันอย่างกะทันหัน เพียงเพราะรู้สึกว่าวันนั้นอากาศดี แม่กับพ่อจึงขับรถจาก
ชานเมือง เพื่อมาทานข้าวกับฉัน และทุกครั้งที่พ่อกับแม่กลับไป แม่จะส่งการ์ดขอบคุณมาให้ฉันทางไปรษณีย์เสมอ ทั้งที่เราจะได้เจอกันทุกๆ วันเสาร์ เมื่อฉันกลับบ้านปลายสัปดาห์อยู่แล้ว
ฉันรู้ว่าสิ่งนี้แม่ทำเพื่อย้ำเตือนให้ฉันรู้ว่า ฉันเป็นคนพิเศษสุดสำหรับแม่เสมอ...
ทว่า วิธีที่ประทับแน่นในความทรงจำของฉันมากที่สุด ก็ยังเป็นวิธีที่แม่กุมมือฉันไว้ และบอกว่า เวลาที่ลูกเจ็บ...บีบมือแม่นะจ๊ะ...แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ อยู่นั่นเอง
* * * * *
คืนหนึ่ง ในวัยสามสิบเศษ ฉันกลับถึงบ้านจวนเที่ยงคืน ทำธุระ อธิษฐาน เตรียมจะเข้านอน พลันโทรศัพท์ได้ดังขึ้น...พ่อโทรมา!
ทุกครั้งพ่อจะดูเป็นผู้นำ ความคิดชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะทำสิ่งใด แต่คืนนั้นจากน้ำเสียงของพ่อ ฉันสัมผัสได้ว่า พ่อกำลังสับสนและตื่นกลัว
ปรายแม่ไม่สบาย เป็นอะไรไม่รู้ พ่อไม่รู้จะทำยังไงดี...ลูกรีบมาบ้านเราด่วนเลยนะลูก
ขอบคุณพระเจ้า ที่การขับรถจากกลางเมืองไปชานเมืองใช้เวลาอันสั้น เพียง 30 นาที ต่างจากกลางวันลิบลับ ตลอดเวลาที่อยู่หลังพวงมาลัยเป็นช่วงเวลาที่ฉันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวได้แต่อธิษฐาน เพราะห่วงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่
ครั้นก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน ฉันเห็นพ่อมีสีหน้ากังวล เดินวนไปมา อธิษฐานอยู่ที่ห้องรับแขกเพื่อรอฉัน ฉันเปิดประตูเบาๆ เข้าไปในห้องนอนของแม่ที่เปิดไฟสลัวที่หัวเตียง พบแม่นอนหลับตาอยู่บนเตียง หายใจรวยริน...สองมือประสานไว้ที่อก...
ฉันรู้สึกสะท้อนใจ แต่ก็พยายามเรียกแม่ด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบที่สุด
แม่คะ...หนูอยู่นี่ค่ะ
ปรายเหรอ
]
ค่ะแม่
ปราย...ใช่หนูรึเปล่าลูก
ใช่ค่ะแม่...หนูเองค่ะ
ฉันไม่ทันจะตั้งตัวเตรียมรับคำถามใดๆ ที่จะตามมา และเมื่อได้ยินฉันก็ถึงกับตัวแข็ง ด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี
ปราย...แม่กำลังจะตาย...แม่กำลังจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้วใช่มั้ยลูก เสียงนั้นเบาหวิว แต่กรีดลึกลงกลางใจฉัน
ภาพแม่ที่อยู่เบื้องหน้าพร่าเลือนด้วยน้ำตาของฉัน ที่เอ่อท้นเต็มสองตา จ้องมองดูแม่ที่แสนรัก นอนอยู่แบบช่วยอะไรตัวเองไมได้..
ความคิดของฉันวิ่งพล่าน กระทั่งคำถามหนึ่งแว่วผ่านเข้ามาในสมอง... แล้วถ้าเป็นแม่ล่ะ แม่จะตอบว่าอย่างไรนะ
ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แต่เหมือนเวลาผ่านไปนานนับล้านปี กระทั่งคำพูดหนึ่งหลุดออกมา
แม่คะ ...หนูไม่รู้ว่าแม่จะตาย และกำลังจะไปอยู่กับพระเจ้ารึเปล่า...แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่ก็ทำใจให้สบายเถอะนะคะ...เพราะวันหนึ่งเราจะได้พบกันที่สวรรค์ และ...หนูรักแม่ค่ะ
ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบดี แม่ก็ร้องครางออกมา ปราย...แม่เจ็บเหลือเกินลูก
อีกครั้งที่ฉันนึกว่า ควรจะพูดอะไรดี ฉันนั่งลงข้างเตียงแม่ คว้ามือขวาแม่ขึ้นมากุมไว้ที่อก และได้ยินเสียงของตัวเองพูดออกไปว่า
แม่คะ...ถ้าแม่เจ็บ แม่บีบมือหนูนะคะ...แล้วหนูจะบอกว่า...หนูรักแม่ค่ะ
แม่บีบมือฉัน..
แม่คะ...หนูรักแม่ค่ะ
การบีบมือและเสียงตอบ หนูรักแม่ค่ะ เกิดขึ้นระหว่างแม่กับฉันหลายครั้งตลอดเวลา 2 ปีต่อมา... กระทั่งแม่จากไปอยู่กับพระเจ้าด้วยโรคมะเร็งที่มดลูก
ฉันไม่รู้ว่า นาทีแห่งชีวิตของแต่ละคนรอบกายฉันจะมาถึงเมื่อใด แต่ฉันรู้แล้วว่า เมื่อนาทีนั้นมาถึง ไม่ว่าฉันจะอยู่กับใครก็ตาม นอกจากจะอธิษฐานเผื่อเขาแล้ว ฉันจะมอบวิธีปลอบประโลมแสนหวานของแม่ที่เคยกระทำกับฉันให้คนนั้นเสมอ..
เวลาที่ลูกเจ็บ...บีบมือแม่นะจ๊ะ แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ
************
สุดปลายฟ้า ผืนฟ้าสีครามม่วงหม่นกำลังมาเยือน ความมืดกำลังโรยตัว... ขณะที่ลมเย็นจากทะเลยังคงพัดผ่านมา พร้อมเกลียวคลื่นทะยอยซัดสู่ฟังหยอกล้อผืนทรายสม่ำเสมอ ทุกสิ่งยังคงดำเนินไปเช่นเดิม ตามที่พระเจ้าทรงจัดสรรระบบสำแดงความยิ่งใหญ่ไว้ เฉกเช่นเดียวกับถ้อยคำหวานที่ยังคงขับขาน ดังก้องเป็นกำลังใจแก่ฉันเสมอมาทุกวันเวลา และจะยังคงประทับอยู่ในใจเสมอไป.
16 ธันวาคม 2547 21:40 น.
ทิวสน
โดย : ทิวสน ชลนรา
นพพล แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ว่าเขาเคยทิ้งบ้านหลังงามที่ตั้งอยู่ตรงหน้า อันเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองไป และไม่ย้อนกลับมาดูแลอีกเลยเป็นเวลากว่า 4 ปี ทั้งที่เมื่อแรกได้มา เขารักมันมาก แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขาเด็ดเดี่ยวและกล้าตัดสินใจจากไปในเวลานั้น..
กว่าจะปัดฝุ่นกวาดหยากไย่พร้อมจัดแจงทุกอย่างภายในบ้านให้เข้าที่ดังเดิม ดวงตะวันสีส้มกลมโตก็เริ่มคล้อยต่ำจวนจะลับทิวสนหน้าบ้านไปแล้ว
ชายหนุ่มทอดกายกึ่งนั่งบนเก้าอี้หวายตัวโปรดอย่างโรยแรง ชามะนาวเย็นได้ไล่ผ่านความแห้งผากในลำคอ เรียกความสดชื่นคืนกลับมาอีกครั้ง
ลำแสงสีส้มเริ่มจางลงทุกขณะ เขาปล่อยอารมณ์ตามสบาย นอนมองทิวสนโอนเอนตามสายลมยามเย็นที่โชยพัดมาบางเบา คละกลิ่นหอมเย็นจากซุ้มดอกแก้วโชยมาตรึงจมูก ช่างเป็นสุขแท้ ที่ได้กลับมาสู่บรรยากาศเช่นนี้อีกครั้ง พลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีจดหมายตกค้างยังไม่ได้เปิดอ่านอยู่ 4-5 ฉบับ เขาไปนำมันมาเปิดออกอ่านทีละฉบับ ซึ่งล้วนแต่เป็นจดหมายจากเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยทั้งสิ้นเว้นแต่การ์ดอวยพรใบนั้น!
มันเป็นการ์ดอวยพรตกค้างมาตั้งแต่เทศกาลวาเลนไทน์เมื่อปีที่แล้ว การ์ดใบโตรูปดอกกุหลาบสีแดงสด
เขาค่อยๆ เปิดอ่านเนื้อความด้านในด้วยใคร่อยากรู้ว่าใครหนออุตส่าห์ส่งการ์ดอวยพรประเภทนี้มาให้ เพราะตั้งแต่เรื่องราวคราวนั้นเขาก็ไม่ใส่ใจกับเทศกาลนี้เท่าใดนัก
ครั้นอ่านข้อความ ใบหน้าถึงกับร้อนผ่าว มันเป็นความรู้สึกที่สับสนอย่างบอกไม่ถูกและไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับมันดี
* * * * *
อาจเป็นเพราะการ์ดใบโตรูปดอกกุหลาบสีแดงสดใบนั้นก็เป็นได้ ที่ทำให้เขากระสับกระส่ายว้าวุ่นใจจนนอนไม่หลับ มันเป็นการ์ดอวยพรวันวาเลนไทน์ ซึ่งนับเป็นใบเดียวจริงๆ ที่เขาได้รับในตลอดช่วงที่ผ่านมา และเขาคงไม่สนใจใส่ใจกับมันมากนัก หากผู้ที่ส่งมาให้ไม่ใช่ สุพร ..ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะอ่อนเดียงสา แต่ก็เธอมิใช่หรือที่ได้ฝากความเจ็บปวดอย่างสากรรจ์ประทับไว้ในใจของเขาเมื่อ4ปีที่แล้ว
* * * * *
แม้จะดับไฟที่หัวเตียงไปครู่ใหญ่แล้วและพยายามข่มตาจะให้หลับ แต่ทว่า บางสิ่งที่ยังฝังลึกในความคำนึงของชายหนุ่ม กลับรุกเร้าภายในให้ย้อนรำลึกถึงภาพเหตุการณ์แต่หนหลังระหว่างเขาและเธอเมื่อครั้งยังหวานซึ้งโลดแล่นอยู่ในห้วงแห่งความรัก ยิ่งเห็นภาพกลับยิ่งทุกข์ทรมานใจ เหมือนสะกิดรอยแผลเก่าให้รวดร้าวยิ่งนัก เขาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพื่อจะพอบรรเทาความหนักอึ้งในสมองให้คลายลงบ้างแต่ดูเหมือนว่ามันไม่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นแม้สักนิด เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดไฟ ไขกุญแจตู้เก็บสมุดไดอารี่โดยเลือกเล่มที่บันทึกไว้เมื่อปี ค.ศ. 2000 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ .
วันนั้น เป็นวันที่เขาได้บันทึกความรู้สึกอันเนื่องมาจากการตัดสินใจครั้งสำคัญเอาไว้.ความเงียบงันของราตรีกาลทำให้เขาเริ่มต้นอ่านบันทึกได้อย่างมีสมาธิ
* * * * *
14 กุมภาพันธ์ 2000 / 23.00 น.
สุพร ยอดดวงใจที่ทำให้ผมเหมือนฝันในวันวาน
ในวันที่เราพบกันครั้งแรก ผมร้องเพลงคลอเสียงกีตาร์ที่ผับแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท ผมเล่นดนตรีที่นั่นทุกคืน คุณมาที่ผับแห่งนั้นพร้อมเพื่อน 4-5 คน คุณโดดเด่นที่สุดในกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน คุณไม่ใช่คนที่สวย.แต่คุณน่ารักน่ารักกว่าใครๆ ที่ผมเคยพบมา
คุณขอให้ผมร้อง เพลง UNCHANGE MELODY พร้อมส่งยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋มน่ารักนั่น ทำเอาผมหวั่นไหวอยู่ไม่น้อยขณะที่ร้องเพลง ผมลอบแอบมองคุณอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งผมก็ได้พบกับรอยยิ้มแสนหวานกับดวงตาน่ารักคู่นั้น มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกแปลบปลาบขึ้นมาลึกๆ ในใจ
คุณถูกเพื่อนแซวเพราะจ้องมองผมอย่างลืมตัว ผมยอมรับว่าไม่เคยพบใครที่ไหน เขินอายได้น่ารักเท่าคุณเลย
คืนนั้น ผมไม่มีสมาธิในการเล่นดนตรีเท่าที่ควร กระทั่งคุณกลับไปพร้อมรอยยิ้มสุดท้าย ก่อนจะลับหายไปหลังม่านด้านหน้าของผับ
จากวันนั้น ผมไม่เคยพบคุณที่นั่นอีกเลย มันเป็นเหมือนความฝันที่ผ่านมาเพียงชั่วคืน แต่ผมก็รู้สึกประทับใจในความฝันของคืนนั้นและเก็บมารำลึกถึงอยู่เสมอ.
แล้ววันหนึ่งผมต้องตกใจและดีใจเป็นที่สุด ผมพบคุณอีกครั้งขณะกำลังซ้อมเทนนิสที่คอร์ต ของมหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมแข่งกีฬามหาวิทยาลัย คุณกับเพื่อนชายอีก 2-3 คน กำลังนั่งดูผมซ้อม
ที่เก้าอี้ข้างๆ สนาม ผมยิ้มให้คุณพร้อมกับการยิ้มรับของคุณ
ผมหยุดซ้อมออกมานั่งทักทายพูดคุย น่าแปลก..ทั้งที่ เป็นครั้งแรกที่เราได้พูดคุยกัน แต่เรากลับไม่รู้สึกเขินอาย คล้ายว่าสนิทสนมกันมานานปี และผมได้ทราบว่าคุณเป็นน้องใหม่คณะเดียวกับผมเมื่อไม่นานมานี้เอง
จากวันนั้น... มันคือจุดเริ่มต้นของความคุ้นเคยที่เรามีต่อกัน เราได้พูดคุย และนัดพบกันบ่อยครั้ง เวลาที่ผมอยู่ใกล้คุณ แววตาและรอยยิ้มแจ่มใสน่ารักนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสดใสและเป็นสุขเหลือเกิน คุณเป็นเสมือนผู้ขจัดความทุกข์ให้ผมอยู่เสมอ
และแล้วคืนนั้นที่ริมทะแลภายใต้เงาจันทร์ ผมได้สารภาพว่า ผมรักคุณ คุณก้มหน้านิ่งอย่างขวยอาย ปล่อยให้ผมกุมมือนุ่มของคุณไว้มั่น คืนนั้นคุณอิงซบไหล่ผมชมจันทร์ฟังเสียงคลื่นลม
จนเกือบจะค่อนคืน มันเป็นคืนที่ผมมีความสุขเป็นที่สุด
วันเวลาผ่านไป.ผ่านไป.จนผมเรียนจบ แล้วยึดอาชีพเล่นดนตรีในตอนกลางคืนอย่างจริงจัง ส่วนกลางวันผมเป็นอาจารย์สอนวิชาดนตรีสากลให้กับสถาบันแห่งหนึ่งเรายังคงรักกันเหมือนเดิม
กระทั่งช่วงที่คุณเรียนปี 4 ผมก็ได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับคุณ และเพื่อนชายคนหนึ่ง! ผมพยายามไม่เก็บมันมาใส่ใจ เพราะผมเชื่อมั่นในตัวคุณเสมอ แต่ระยะหลัง เรากลับห่างเหินกันไปโดยที่ผมไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นเพราะคุณกำลังตื่นเต้นกับการเป็นซีเนียร์อยู่กระมัง...ผมคิดเช่นนั้น
ทุกครั้งที่เจอกัน คุณไม่สดใสเหมือนก่อน คุณคุยน้อย โมโหง่าย ผมไม่คิดว่ามันเป็นความผิดของคุณหรอก คุณอาจเหนื่อยกับการเรียน และรับสอนพิเศษในตอนเย็นก็เป็นได้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมผมถึงได้มองคุณในแง่ดีเสมอ
ความรู้สึกที่มีต่อคุณ ก่อนนั้นเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง...
คุณเงียบหายไปนานจนผิดสังเกต ไม่โทร. มาหาผมเหมือนก่อน ผมพยายามโทร. นัดคุณทานข้าว แต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงอยู่เสมอ ดูช่างหมางเมินและห่างเหินเหลือเกินความโกรธแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ เราทะเลาะกันทางโทรศัพท์ในวันนั้น.!!
คุณโกรธผมมาก คุณตำหนิผมว่า ไร้เหตุผล...น่ารำคาญ... และคุณยังบอกผมอีกว่า คุณเบื่อผม!!
ควรค่าแล้วหรือกับความกระวนกระวายที่ผมอยากพบคุณ...? น้ำตาลูกผู้ชายแทบจะทำลายทำนบเอ่อไหล อวดอ้างความอ่อนแอ ทว่ามันได้ไหลย้อนกลับสู่ภายในให้รวดร้าวยิ่งนัก
ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าผมจะต้องสูญเสียคุณไปสักวัน.
และแล้ว เย็นวันหนึ่งคุณได้โทร.มาหาผม และบอกว่า ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะคุยกันให้รู้เรื่องซะที!
คุณสารภาพกับผมว่าคุณรักเพื่อนชายที่เรียนคณะเดียวกับคุณคนนั้นคุณบอกผมว่า ผมห่างเหินจากคุณ คุณขาดความอบอุ่นจากผม
นี่น่ะหรือ คือเหตุผล.?
คุณบอกว่า เขามีอะไรหลายอย่างที่ผมไม่เคยมีให้คุณเหนือกว่าด้วยฐานะ อนาคตไกล มาดแมน และคุณยังบอกผมอีกว่า ผมเป็นผู้ชายที่อ่อนไหวจนเกินไป
ผมยังคงนั่งนิ่งมองคุณคุณไม่เห็นผมพูดอะไรจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่น ต่ำ ห้าวว่า คุณยังคงรักผมอยู่เสมอ แต่ความรักที่มีให้ผมนั้นมันเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ความรักแบบคู่รักที่เคยมีต่อกันแล้ว คุณขอให้ผมเป็นเพียงพี่ชายที่คุณยังรักและนับถือได้ไหม..?
ผมยังคงนั่งนิ่งเงียบเงียบจนคุณมองผมอย่างพรั่นพรึง และหวาดหวั่น คุณกระซิบผมอย่างร้อนรนว่า
คุณเข้าใจพรใช่มั้ย คุณเคยเข้าใจพรตลอดมา ขอให้คุณเป็นเพียงพี่ชายเถอะ...นะ
ผมฝืนยิ้มออกมาอย่างยากเย็น มันทั้งแห้งแล้งและห่อเหี่ยว พลางกล่าวว่า
ครับ...ผมเข้าใจ ขอให้คุณพบแต่สิ่งที่ดีต่อไปนี้ผมเป็นเพียงพี่ชายขอบคุณสำหรับความรู้สึกที่ดี ความปรารถนาดี และทุกสิ่งที่เคยมีให้ผม...ขอบคุณมากครับ...
คุณยิ้มออกมาอย่างพึงใจพร้อมกล่าวขอบคุณ มันเสมือนรอยยิ้มสุดท้ายที่ผมได้รับจากคุณ..แล้วคุณก็ลุกเดินจากไปเงียบๆ พร้อมกับเวลาที่ผมรู้สึกเหมือนหัวใจมันหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงง่ายๆ อย่างนี้เองน่ะหรือ กับความรักที่ก่อร่างสร้างขึ้นมา มิใช่เพียงแค่วันหรือเดือน แต่มันใช้เวลาแรมปีที่ผมอุตส่าห์ทะนุถนอมมอบความเข้าใจที่ใครหลายคน แม้แต่เพื่อนรอบข้างไม่เคยมีให้คุณ....
แม้น้ำตามิเคยจะเอ่อไหล แต่หัวใจผมสิมันกำลังร่ำไห้ มันคล้ายกับผมได้ฝันไป หากมันเป็นเพียงความฝัน ผมคงไม่เสียใจถึงเพียงนี้กระมัง
ต่อไปนี้ผมจะไม่มีคุณอีกแล้ว คุณได้เดินออกไปจากชีวิตของผมแล้วทั้งบัดนี้และตลอดไป.
หลังจากวันนั้น คุณคงแปลกใจที่ไม่พบผมอีกเลย แม้แต่ที่บ้านหรือที่ทำงาน ผมได้จากมาแล้ว จากงานที่ผมรัก จากบ้านที่ผมหวงแหน และได้จากในทุกสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงคุณ
ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน นอกจากตัวผมและเพื่อนใหม่กลุ่มหนึ่งที่นี่แล้ว คงไม่มีใครรู้ขอให้คุณรู้แต่เพียงว่า ตอนนี้ผมได้พบแล้วกับความรักแท้ มันคือความรักที่ผมแสวงหามานาน และตอนนี้คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าที่ผมจะกล่าวว่า
ขอบคุณมินตรา...หญิงสาวผู้อ่อนหวาน ผู้เป็นเจ้าของหัวใจของผม และทำให้ผมได้
หูตาสว่างขึ้น มีทัศนะมุมมองที่ถูกต้องยิ่งขึ้น....เธอคือ หญิงสาวที่ทำให้ผมตระหนักว่า....เพศทางเลือกเช่นคุณ ไม่อาจทำให้ผมมีครอบครัวที่สมบูรณ์ได้
เพราะหากยังคงคบกัน ถึงขั้นผูกพันเป็นครอบครัว แม้เราจะขอเด็กมาเลี้ยงเป็นลูก แต่ผมคงลำบากใจและตอบลูกไม่ได้ว่า...ทำไมลูกจึงไม่มีแม่... แต่มีพ่อถึง 2 คน!!!
* * * * * * * * * *
16 ธันวาคม 2547 21:20 น.
ทิวสน
โดย : ทิวสน ชลนรา
"พี่นันท์พ่อเสียแล้ว"
เสียงสั่นเครือจากปลายสาย สิ้นคำก็ปล่อยโฮออกมา ทำเอานันทกรถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว มันเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่กลางใจ เขานิ่งอึ้งประหนึ่งว่าหัวใจจะหยุดเต้น กับข่าวร้ายที่ได้รับแจ้งจากน้องสาว
ปลายสายวางไปนานแล้ว แต่ชายหนุ่มยังยืนนิ่ง งุนงงกับเหตุการณ์ หลังจากไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านเป็นเวลานาน และที่จำเป็นต้องระเห็จมาอยู่กรุงเทพฯ ก็เพราะความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างเขาและพ่อ
"แกมันลูกไม่รักดี!!!เป็นนักเขียนจะเอาอะไรกิน หา! .รายได้พอยาไส้ซะที่ไหนอีกหน่อยมีลูกมีเมียไม่อดตายกันทั้งบ้านเรอะ!" ผู้เป็นพ่อตวาดเมื่อรู้ถึงความดื้อดึงที่เขาจะเลือกเดินในสายอาชีพนักเขียน
"แต่ผมรักงานนี้นะครับพ่อ ผมคิดว่ามันมีประโยชน์ที่เราได้ปลูกฝังความคิด คุณธรรม จริยธรรมที่ดีให้กับคนที่อ่านหนังสือ สังคมจะได้พัฒนาไงครับพ่อ" ชายหนุ่มให้เหตุผล
"เชอะ.มาทำเป็นอุดมการณ์สูงส่ง ห่วงใยสังคม พ่อเอ่ยน้ำเสียงประชดประเทียด ฉันกลัวแต่แกน่ะจะเอาตัวไม่รอด ก่อนสังคมจะพัฒนาล่ะไม่ว่าฟังนะนันท์ ถ้าแกไม่เลิกคิดจะเป็นนักเขียนไส้แห้งล่ะก็ แกกับฉันก็ไม่ต้องมาเห็นหน้ากัน!!"
พ่อยื่นคำขาด มันเหมือนถูกเหล็กแหลมทิ่มแทงใจชายหนุ่ม กับท่าทีไม่ยอมเข้าใจของผู้บังเกิดเกล้า แต่สายตาที่มองทอดไกลออกไปในภายหน้าทำให้ไม่อาจเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตได้
นับแต่วันนั้น พ่อก็เฉยชาไม่พูดจากับเขา ชายหนุ่มทนความอึดอัดอยู่ 4 เดือน จึงฝากน้องสาวและน้องชายดูแลพ่อ แล้วมุ่งหน้าเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นนักเขียนอิสระ ส่งงานเขียนตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับ ส่งเงินไปช่วยทางบ้านสม่ำเสมอ นานๆ ครั้งจะโทรศัพท์ไปพูดคุยกับน้องๆ แม้หลายครั้งจะขอคุยกับพ่อ แต่ก็ถูกท่านปฏิเสธเสมอ เป็นความเจ็บปวดหนึ่งที่ฝังลึกคอยบั่นทอนกำลังใจเขาเสมอมา
ทว่าชายหนุ่มได้รับการฟื้นใจเสมอ เมื่อนึกถึงแม่ที่จากไปหลายปีแล้ว แม่รักการอ่าน แม่อ่านหนังสือทุกประเภท และแม่ก็เป็นนักเขียน แต่พ่อไม่เคยสนับสนุนแม่ และกล่าวสรุปว่าสาเหตุที่แม่เป็นโรคเครียดและเส้นเลือดฝอยในสมองแตกจนเสียชีวิต ก็เพราะอาชีพนักเขียน กระนั้นงานเขียนของแม่ก็ยังคงทำรายได้จากการพิมพ์ซ้ำ และได้ค่าลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง กลาย เป็นทุนการศึกษาให้น้องๆ อย่างเพียงพอ เพราะลำพังเงินเดือนจากหน้าที่การงานเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยของพ่อกับการที่ต้องเลี้ยงดูลูก 3 คนให้ได้อยู่อย่างสุขสบาย มีการศึกษาสูงๆ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นแต่พ่อต้องเหนื่อยมากขึ้น แต่นี่เพราะรายได้เสริมจากงานเขียนของแม่โดยแท้ ครอบครัวจึงไม่ขัดสน แต่กระนั้นพ่อก็ยังคงมีอคติกับอาชีพนักเขียนไม่แปรเปลี่ยน จนนับ 7 ปี ที่นันทกรต้องออกจากบ้านมา และได้รับข่าวร้ายในวันนี้ เมื่อพ่อจากไปอย่างฉับพลัน!
ชายหนุ่มจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋า 2-3 ชุด รุดกลับบ้านที่หัวหิน ด้วยความรู้สึกหดหู่เสียใจ น้ำใสๆ คลอหน่วยอยู่ตลอดเวลา แม้ไม่ยอมจะเอ่อไหล ทว่ามันไหลย้อนกลับลงไปท่วมใจ พยายามนึกว่า มันเป็นเพียงความฝันฝันร้ายที่จะหายไปเมื่อตื่น และพยายามขับไล่ความขมขื่นใจที่ฝังลึกเสมอมาว่า พ่อไม่เคยเข้าใจ พ่อไม่เคยรัก สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ อยากกลับไปถึงบ้านเร็วที่สุด เพื่อกล่าวความในใจทุกสิ่งต่อพ่อ และบอกว่าเขายังรักเคารพพ่อเสมอ แม้ว่าในความเป็นจริง ท่านไม่อาจได้ยิน
* * * * *
"นั่งสินันท์" หญิงวัยกลางคน ผายมือเชิญนันทกรนั่งตรงข้าม ขยับแว่นหนา ระบายยิ้มชื่นชมชายหนุ่ม ความเงียบในห้องบรรณาธิการบริหาร ทำเอาชายหนุ่มใจเต้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
"พี่เรียกผมมาพบ มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ" เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
"อืมม์พี่มีข่าวดีจะบอกให้นันท์ทราบน่ะก็หลังจากรวมเรื่องสั้น บ้านอุ่นรัก ของนันท์วางขายทั่วประเทศ ทางสายส่งแจ้งมาว่าที่พิมพ์เฟิร์สออเดอร์ไปหนึ่งหมื่นเล่ม ตอนนี้จะต้องเพิ่ม
สต๊อกแล้วล่ะถือว่าแรงมากเลยนะนันท์ กับเวลาสั้นๆ แค่ 2 เดือนเอง"
"เหรอครับ" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ผมต้องขอบคุณพี่มากครับ ที่กรุณาให้โอกาส แล้วก็น้องๆ ทีมประชาสัมพันธ์ด้วยครับ ที่ช่วยส่งข่าวตามสื่อต่างๆ อีกอย่างผมว่าการจัดงานเปิดตัวที่ ลงทุนมากขนาดนั้น ก็มีผลมากนะครับ"
"พี่ว่านั่นน่ะ แค่องค์ประกอบย่อย เพราะถ้าตัวเนื้องานไม่เป็นที่พอใจ คนอ่านไม่ชอบ ไม่บอกต่อ และไม่เข้าตานักวิจารณ์ ก็คงไม่มีใครเขาสนับสนุน ไม่มีใครเขาเชียร์หรอกที่พี่เรียกนันท์มาก็จะแจ้งให้ทราบในเรื่องนี้ แล้วเรื่องเช่าค่าลิขสิทธิ์จากการพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 2 และครั้งต่อๆ ไป นี่ นันท์จะได้เพิ่มจาก 10% เป็น 15% จากยอดพิมพ์
"ขอบคุณพี่มากครับที่กรุณา" ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม หัวใจพองโตมีความสุขกว่าครั้งไหนๆ เมื่อมีสิ่งมาชี้ความสำเร็จบนเส้นทางนักเขียน จนส่งเขาขึ้นชั้นนักเขียนระดับแนวหน้าของประเทศ โดยได้ผลิตหนังสือที่ให้ปรัชญาในการดำเนินชีวิต เพื่อส่งเสริมจริยธรรมอันดีต่อสังคม
* * * * *
ไม่ถึงหนึ่งชั่งโมงต่อมา นันทกรก็นั่งอบู่บนรถประจำทางปรับอากาศมุ่งหน้าสู่ภูมิสำเนา แววตาหม่นเศร้าทอดผ่านออกไปนอกกระจกใส ทว่าหาได้สนใจกับทิวทัศน์ข้างทาง ความดีใจในวันก่อนถูกลบกลบด้วยข่าวร้ายในวันนี้ความคำนึงเก่าๆ ได้ฉายภาพชัดขึ้นในความคิด
นับแต่แม่จากไป ท่าทีของพ่อที่ขัดแย้ง ขัดขวางกับความมุ่งมั่นของเขา ที่เลือกเอาดีในอาชีพนักเขียนตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย ความขมขื่นฝังลึกถมทับในใจเขาตลอดมา บางขณะก็นึกน้อยใจ เพราะดูเหมือนว่าพ่อจะจงเกลียดจงชังเขามากกว่าน้องทั้งสอง ที่พ่อตามใจมิเคยข้องขัด บางครั้งนึกไกลไปว่า เขาอาจจะไม่ใช่ลูกของพ่อก็เป็นได้ แต่นั่นก็เพียงความคิด เพราะจิตสำนึกส่วนลึกของเขายังเคารพนบนอบต่อผู้เป็นพ่อเสมอ
การจากไปของพ่อ นำมาซึ่งความอาลัย ความรักความผูกพันได้ละลายความรู้สึกด้านมืดให้สว่างขึ้น นึกเสียดาย เสียใจที่ยังมิทันได้อยู่ใกล้ให้ท่านได้เห็น และรับรู้ความสำเร็จบนเส้นทางที่เขาเลือกว่า ลูกของพ่อได้เดินตามรอยของแม่ และลูกของพ่อทำได้!
ชายหนุ่มหลับผล็อยไป...มารู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงแอร์บัสเตือนให้ผู้โดยสารเตรียมตัวรถได้มาถึงปลายทางแล้ว
* * * * *
บ้านไม้สองชั้นซ่อนตัวท่ามกลางแมกไม้เขียวครึ้มร่มรื่น แม้อาณาบริเวณไม่ถึงกับกว้างใหญ่นัก แต่มันอบอวลไปด้วยความรักกับครอบครัวเล็กๆ ที่สร้างชีวิตของชายหนุ่มให้เติบใหญ่ เย็นวันนี้ภายในบ้านผู้คนพลุกพล่าน ด้วยว่าบรรดาญาติสนิท เมื่อทราบข่าวการจากไปของพ่อ ก็มาช่วยเป็นธุระในเรื่องต่างๆ ทันทีที่น้องสาวคนโตเห็นพี่ชายก้าวพ้นประตูเข้าบ้าน ก็โผเข้าหา กอดซบอกสะอื้นไห้ ชายหนุ่มกอดประคอง ไล้ผมแผ่วเบาเชิงปลอบใจ ขณะที่เขาเองก็ยากที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
หลังจากเก็บสัมภาระ และทักทายญาติๆ ถ้วนทั่ว นันทกรก็ชวนน้องสาวปลีกตัวมาพูดคุย ถามไถ่รายละเอียดถึงเหตุการณ์ที่พรากพ่อจากไป
"พ่อโดนรถชนที่ตลาดเมื่อเช้าตอนกำลังข้ามถนนใหญ่เจี๊ยบกับจิ๋วกำลังซื้อกับข้าวอยู่ฝั่งตลาดสด" น้องสาวเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
"แล้วพ่อข้ามถนนไปทำอะไรอีกฝั่งล่ะ" ผู้เป็นพี่ชายซัก
"ตอนแรก พ่อบอกแต่ว่า จะไปซื้ออะไรฝั่งโน้นหน่อย ให้เจี๊ยบกับจิ๋วซื้อของเสร็จแล้วรออยู่ฝั่งนี้ สักพักก็ได้ยินเสียงรถเบรกดังลั่น แล้วก็มีคนตะโกนว่า มีรถบัสชนคน
...พอเจี๊ยบกับจิ๋ววิ่งไปดู ถึงรู้ว่าเป็นพ่อ" หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง พยายามข่มเสียงสั่นเครือให้เป็นปกติ แต่ก้อนสะอื้นมันจุกอยู่ที่คอ
"คนที่ชนเขารีบช่วยพาไปส่งโรงพยาบาล เขาบอกว่าตอนขับรถมาถึงหน้าตลาด เห็นพ่อกำลังเดินข้าม เขาก็กดแตรเตือน ตอนแรกพ่อดูเหมือนจะหยุด แต่อยู่ๆ ก็ล้มลงมาข้างหน้า เขาเบรกไม่ทันเลยชนพ่อหัวน็อคพื้น พ่อคงจะหน้ามืดเพราะความดันต่ำ...เลยโดยชน...
...พอไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่รีบพาเข้าห้องฉุกเฉิน ซัก 20 นาที ก็มีคนออกมาบอกว่า..พ่อเสียแล้ว ปั๊มหัวใจเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น เจี๊ยบเจี๊ยบเสียใจที่ไม่ได้ดูแลพ่อให้ดี ฮืออออ" หญิงสาวปล่อยโฮออกมาอย่างเต็มกลั้น ผู้เป็นพี่กอดกระชับน้องสาวไว้
"อย่าโทษตัวเองเลยนะเจี๊ยบ พี่ว่าคงถึงเวลาที่พ่อจะได้พักผ่อนน่ะ"
"พี่รู้มั้ยตลอดเวลาที่พี่ไม่อยู่ พ่อก็บ่นถึงพี่ เป็นห่วงเรื่องอยู่เรื่องกิน กลัวว่าพี่จะลำบาก เรื่องสั้นของพี่ลงที่ไหน ถ้าพ่อรู้หรือใครมาบอก พ่อจะซื้อแล้วเก็บไว้ในตู้อย่างดี บางทียังซื้อหนังสือไปแจกเพื่อนพ่อเลย"
ชายหนุ่มได้ฟังคำรู้สึกตื้นตัน ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ
"แล้วพี่รู้มั้ย... เมื่อเช้านี้ที่พ่อข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วโดนรถชน...พ่อไปทำไม" น้องสาวถามเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลพราก ชายหนุ่มนั่งจดจ่อรอฟังคำตอบ
"ตอนที่พาพ่อส่งโรงพยาบาล พ่อเพ้อเรียกหาเจี๊ยบ จิ๋ว และพี่ตลอดทาง สักพักพ่อก็หมดสติ แต่พ่อยังกอดหนังสือเล่มหนึ่งแนบอกไว้แน่น"
"เล่มนี้ไงพี่" จิ๋วน้องชายเอ่ย พร้อมยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้
มันคือหนังสือพ๊อคเก็ตบุ้คปกสีขาว ภาพปกสีน้ำรูปบ้านอันร่มรื่น...ทว่าเปรอะเลอะด้วยเลือดที่เริ่มจะแห้ง ชายหนุ่มพยายามเพ่งมองภาพบนปกหนังสือที่กำลังพร่าเลือน ด้วยว่าน้ำตาได้เอ่อท้นจนล้นสองตาโดยไม่รู้ตัว
เขาค่อยๆ อ่านข้อความบนปกหนังสือ ที่มันดังก้องในใจ เป็นเสียงที่มีความหมาย และไพเราะที่สุดกับความรู้สึกที่พ่อมีต่อเขา
รวมเรื่องสั้นสร้างสรรค์จากคมปากกานักเขียนคลื่นลูกใหม่แห่งยุค "บ้านอุ่นรัก" โดยนันทกร
ชายหนุ่มปล่อยโฮออกมาพร้อมกับน้อง ทั้งสามกอดกันร่ำไห้กับเย็นย่ำอันแสนเศร้าของครอบครัวที่ไร้เสาหลัก
บัดนี้นันทกรได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า พ่อมิเคยขาดแคลนความรัก มิเคยรังเกียจ ดูแคลนชิงชังเขาแม้แต่น้อย และแท้จริงเขายังคงเป็นลูกที่พ่อรักและภาคภูมิใจ แม้ในความไม่เข้าใจในบางขณะแต่พ่อก็ยังคงรักเขาเสมอมิเคยเปลี่ยนแปลง
* * * * * * * * * *