16 มิถุนายน 2549 13:22 น.

เรื่องสั้นอารมณ์ดี..."เธอคนนั้น"

ทิวสน

ในนามปากกา ::: เจ้า...ชายน์ติ๊ง
tewson7@hotmail.com


 "ใครจะไปร้านมนต์นมสด รสอร่อยบ้าง?"  ผมเอ่ยขึ้นหลังเรียนวิชาสื่อสิ่งพิมพ์ ด้วยความติดใจในรสชาติที่หอม มัน ใหม่สดเสมอของนมวัวสดร้านนี้ และเป็นปกติที่กลุ่มเพื่อนในคณะวารสารฯ หลายคนมักไปนั่งดื่มนมสด ร้อน-เย็น ทานขมมปังปิ้ง ที่ร้านชื่อดังริมถนนดินสอ ข้างสำนักงานกรุงเทพฯเสมอ...

            ผมทิ้งคำถามผ่านไป 5 วินาที ทว่าไม่มีเลยสักคนที่จะสนใจผม ยังคุยกันอย่างติดพันตามประสาคนชอบสนใจห่วงใยเรื่องของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้เรื่องที่ ฮ็อตฮิตที่สุดคือ ป้าเยลลี่ สาววัยร่วง(อายุราว 50) แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวหลอด กำลังจะตกลงปลงใจรับหมั้นหนุ่มใหญ่วัยไร่เรี่ยแถมยังเป็นผู้มีอันจะกิน อันนี้หมายถึง เป็นคนที่เจอ "อัน" ที่ไหน...เมื่อไหร่...เป็นต้องเปรี้ยวปากอยากจะกิน ("อัน" ที่ว่านี้เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง รูปร่างกลม-แบน มีหนามเป็นหย่อมๆ เมื่อแกะออกจะมีกลิ่นคล้ายทุเรียนลูกครึ่งผสม / ผู้เขียน) 

            จะว่าไปแล้วมันก็เรื่องของคนอื่น ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปสนใจห่วงใยแกจนออกนอกหน้าแบบนี้ คนเราโตๆ กันแล้ว ถ้าช่วยได้และเป็นประโยชน์ก็ว่าไปอย่าง อีกนัยหนึ่งก็อาจเป็นเพราะป้าเยลลี่เองนั่นแหละ เหตุเพราะขายก๋วยเตี๋ยวหลอดที่ท่าพระจันทร์มานานปี และเป็นขวัญใจของนักศึกษาที่นี่ ซึ่งเป็นลูกค้าทั้งแบบประจำและเผื่อเรียกจำนวนมาก แกจึงอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกรอกแบบสอบถามเสนอแนะการตัดสินใจครั้งนี้ โดยมีใบปลิวรายละเอียดและรูปว่าที่เจ้าบ่าวมาให้ดูด้วย (แต่ดูลำบากนิดนึงเพราะแกเล่นคาดดำไว้ที่ตา) พร้อมกันนี้ยังจะมีการแจกรางวัลสำหรับคำแนะนำที่แกชื่นชอบอีกด้วย....

            เป็นอันว่าหลายคนจึงสนใจเรื่องอันดูเหมือนจะไม่เป็นเรื่อง....จนลืมสิ่งอันน่าสนใจอื่นๆ...และลืมแม้กระทั่งผม เพื่อนคนดีที่หนึ่ง ที่มีหน้าตาอันหล่อพอประมาณ ที่กำลังยืนรอด้วยใจอันจดจ่อ (เฮ้อ...หลายอันจริงๆ)

            ผมเริ่มออกอาการหงุดหงิดกับความนิ่งเฉยของเพื่อนที่ต่างไปจากเดิม
          "ตกลงใครจะไป หนึ่งใครจะไปสอง....ใครจะไปสาม...." ผมพูดเสียงดัง เร่งให้เพื่อนรีบตัดสินใจ พอนับถึงพันจึงมั่นใจว่าคงไม่มีใครไปกับผมแน่แล้ว

            "โอเค....งั้นเราไปคนเดียวก็ได้" ถ้าใครสักคนได้ยินจะรู้ว่า น้ำเสียงผมเศร้ามาก น้ำตาเริ่มซึมออกมาที่มุมปาก..เอ๊ะ ไม่ใช่สิ น้ำตามันรื้นขึ้นมาด้วยความน้อยใจ... ผมหันหลังเดินจากมา...

          "เอิร์ธ นายจะไปร้านนม-มนต์เหรอ" ปั๊มเรียกถาม 

            ผมหันขวับใจชื้นขึ้นมาฉับพลัน ดุจหยดน้ำเพียงน้อยหยดย้อยทิ้งตัวลงผืนทรายอันแห้งผากให้ฉ่ำชุ่มจนกรุ้มกริ่ม ยิ้มออกมาได้ เฮ้อ ดีใจจัง...

         "ใช่..นายจะไปกับเราใช่มั้ย"  ผมถามอย่างมีความหวังพร้อมยักคิ้วขวาสลับซ้าย สามครั้งซ้อน

          "อ๋อ..เปล่า นายไปเหอะ" ว่าแล้วปั๊มก็หันกลับเข้าคลุกวงใน  เมาท์ต่อโดยไม่ได้สนใจว่าผมจะรู้สึกเช่นไร ผมเดินคอตก...  แต่หยิบยกขึ้นมาทัน มุ่งหน้าสู่ถนนดินสอ  ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านนมสดเลื่องชื่อระบือนามไปไกลถึงเจ็ดย่านน้ำ 

            ตอนนี้น้ำตาผมเริ่มซึมไม่หยุด ซึมมากจนเริ่มเอ่อ..เอ่อแล้วทำท่าจะไหล แต่ไม่ไหล น้องปี 2 คนหนึ่งแสนดี มีน้ำใจ คอยเดินซับให้จนถึงประตูมหาวิทยาลัย...

* * * * *

            ริมถนนดินสอ...หากใครผ่านไปมาคงทราบดีว่า มีร้านอาหารว่างร้านนี้ตั้งอยู่อย่างผิดสังเกต ในความที่มีลูกค้าวัย teen เช่นผม มาอุดหนุน-อุ่นหนาฝาคั่งตลอดเวลา ตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึง 3 ทุ่ม วันหยุดเพิ่มรอบ 8 โมงเช้า..อ้อ  ประการหลังนี่ไม่เกี่ยว...

            บ่ายวันนี้เมื่อมองผ่านกระจกเข้าไป มีลูกค้าไม่มากนัก อาจเป็นเพราะเด็กมัธยมโรงเรียนสตรีชื่อดังยังไม่เลิกนั่นเอง 

            ผมผลักประตูเข้าไป แต่ โอพระเจ้า! ผลักอย่างไรประตูก็ไม่เปิด! มันอะไรกันนี่! ยิ่งทำให้ผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก ผมเดินถอยออกมา 5 ก้าว แล้ววิ่งเอาไหล่กระแทกประตู

           ปัง..! คนในร้านหันมามองเป็นตาเดียว แต่ประตูยังไม่เปิด พนักงานชายในชุดหมีเดินมาที่ประตู มองผมตาขวางอย่างนาเกลียด ดูซิ ดู ดู... ช่างไม่เกรงใจลูกค้าหัวใจอ่อนไหวเช่นผมชายคนนั้นเอื้อมมือมาที่ประตูแล้วผลักเลื่อนไปด้านข้าง

            ผมหน้าชาวูบ...ชายคนนั้นมองผมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าซ้าย....ผมข่มใจไม่ให้อายคนเรามันพลาดกันได้ ผมกลั้นหายใจ เชิดหน้า เดินหาที่นั่งอย่างรีบด่วนท่ามกลางสายตาอีกหลายคู่ที่มองมาด้วยความเอ็นดู(ผมคิดเช่นนั้น) แต่ความเศร้าภายในมันแซงหน้าความอายเสียแล้ว ผมไม่สนใจหรอกว่าใครจะมองอย่างไร... นั่นไง ผมเจอแล้วที่นั่งแถวที่สองติดกระจก ผมตรงรี่ไปทรุดตัวลงนั่ง แล้วถอนหายใจยาววว....

            "อย่าเพิ่งถอนหายใจยาว.ว.ว.ว...อย่างนั้นครับพี่ จะทานอะไรก็รีบสั่งซะก่อน" พนักงานคนหนึ่งหนวดยาวเฟิ้มกล้ามเป็นมัดๆ หน้าตาดุดันยืนถือสมุดเตรียมจดรายการอาหาร คงเป็นพนักงานใหม่ เพราะเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก...

            "เอาเหมือนเดิมครับ" ผมว่า

            "เอ่อไม่ทราบว่าเหมือนเดิมนี่ แบบฟื้นที่นี่หรือไปฟื้นที่โรงพยาบาลครับ" พี่เหี้ยมถาม

            ว่าแล้วก็เริ่มหักนิ้วมือตังกร๊อบแกร๊บ ผมฟังแล้วสะดุ้งสี่จังหวะ อืมม์...ลืมไปว่าพี่เหี้ยมคนนี้เป็นพนักงานใหม่คงไม่รู้แน่ว่าปกติผมสั่งอะไร ผมรีบขอสมุดรับรายการอาหารมาจดให้ พร้อมวาดภาพประกอบเพื่ออธิบายอย่างละเอียด พี่เหี้ยมรับรายการไป มองผมแว้บหนึ่งแล้วส่ายหน้าช้าๆ โดยไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เพราะไม่ใช่หมอดู ครั้นจะเรียกมาถามก็เกรงใจ ผมมองตามทั้งที่ตัวยังสั่นเล็กน้อย แต่สังเกตพบว่าพี่เหี้ยมมีรอยสักรูปหมีพูห์ที่ต้นแขนด้วย 

           ขณะรอเมนูโปรด นมสดร้อนกับขนมปังปิ้ง เนยนม-เนยน้ำตาล อย่างละแผ่น ผมคิดว่าน่าจะหาอะไรทำฆ่าเวลา นึกขึ้นได้ว่า ติดหนังสือการ์ตูนมาหนึ่งเล่ม(ติดมาตอนเดินผ่านเด็กนักเรียนหัวเกรียนไม่รู้ติดมือมาได้อย่างไร) ผมหยิบมันขึ้นมา 

           "ชินจังจอมขมังเวทย์" ว้า....เรื่องนี้ผมไม่ชอบเลย เรื่องไสยศาสตร์นี่ผมไม่สนใจเอาเสียเลย  รวมถึงรางสาดและวิทยาศาสตร์นี่ก็ไม่ชอบ...งั้นทำอะไรดีนะ...ผมคิด พร้อมสอดส่ายสายตาสำรวจร้านไปรอบๆ 

            ที่กลางร้านใกล้เสาต้นกลางยังตกน้ำมันเช่นเคย มิน่า...ไม่มีใครกล้านั่งใกล้ๆ ติดกับเสาต้นนั้นมีตู้ปลาขนาดใหญ่ เลี้ยงลูกปลาวาฬ ความที่เจ้าของร้านไม่ชอบเลี้ยงปลาเงินปลาทอง แต่กินเนื้อที่ไม่น้อย แถมเจ้าปลาตัวนี้ยังชอบงอนลูกค้าที่ไม่ทักด้วย ถ้าคุณเธอโมโหขึ้นมาล่ะก้อจะสะบัดหางตะวัดครีบจนน้ำกระจายเลยทีเดียว... 

            จะว่าไปแล้วร้านนี้ก็ตกแต่งได้ดีพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นภาพติดผนังก็เป็นภาพของ แวนโก๊ะตี๋ แจกันรูปจิงโจ้กระโดดผิดท่าขากะเผลก.... นั่นอีกรูป ติดผนังหลังเตาปิ้งขนมปังเป็นรูปขยายใหญ่(ราวฝาบ้าน) จากหนังสืออาชญากรรม ภาพชายหนุ่มถูกยิงขมับจนสมองกระจายเลือดท่วม...เห็นแล้วเจริญอาหารดี

            เวลาผ่านไปนานผิดปกติ ทั้งที่ความจริงผมควรจะได้อาหารแล้ว บังเอิญมีพนักงานชายคนหนึ่งเดินผ่านมา ผมจึงเหยียดขาออกไปข้างโต๊ะ... เป็นไปตามแผนชายคนนั้นสะดุดถลาคมำล้มไปข้างหน้า แต่เก็บคอม้วนหน้าแล้วลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม คนที่เห็นปรบมือกันกราว ชายคนนั้นค้อมศีรษะขอบคุณไปรอบๆ แล้วหันมาทางผม

            "มีอะไรให้รับใช้ครับ" เขาถามผ่านไรฟัน พร้อมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
"ไม่ทราบวัวป่วยหรือเปล่าครับน้อง...พี่สั่งนมสดกับขนมปัง 2 แผ่น ครึ่งชั่วโมงกับ 25 วินาทีแล้วยังไม่ได้เลยครับ"  ผมพยายามถามเสียงเรียบเก็บอารมณ์หงุดหงิด

          "ถ้าพี่อยากทานเร็วก็เชิญหลังร้านได้ครับ มีลูกค้าอีกเยอะครับ กำลังแข่งกันรีดนมอยู่ อยากทานเร็วก็ต้องรีดเองครับ" ว่าแล้วก็เดินสะบัดก้นจากไป

            ผมถึงบางอ้อและบางเก็ธ(เข้าใจ) เมื่อมองไปที่ประตูด้านหลังของร้านก็พบลูกค้าเข้าแถวยืน รอรีดนมอยู่ยาวเหยียด ผมตัดสินใจรอต่อ เพราะไม่รีบร้อนอะไร ยังมีเวลาอีกเยอะ 

            วันนี้ผมค่อนข้างว่างไม่มีนัดทานข้าวกับเจ้าคุณพ่อและเจ้าคุณแม่ (จริงๆ ผมไม่มีเชื้อเจ้าหรอก แต่ที่บ้านผมชอบอะไรที่เว่อร์ๆ ทุกคน  (แต่แถวบ้านเพื่อนผมบอกว่าอย่างนี้เขาเรียกว่า "ดัดจริต" ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาการที่เกิดกับสตรีเพศและเพศที่ 3 ที่ไม่ค่อยจะสงวนท่าที พยายามสื่อหรือแสดงบางสิ่งให้คนรอบข้างสนใจ อาจฝึกเอง ฝึกเป็นทีม มีครูสอน หรือที่บ้านสอน แต่คนที่เอาดีทางนี้มักไม่เจริญ เพราะประสบภัยร้ายจากสิ่งของใกล้มือคนรอบข้าง บ้างก็เลือดอาบ ขาเคล็ด หัวหกก้นขวิด เป็นริดสีดวง ไซนัส ท้องผูก ไข้หวัดนก เป็นต้น / ขอจบคำอธิบายเพียงเท่านี้ เพราะวงเล็บชักจะยาว) 

            ผมกวาดสายตาไปเรื่อยๆ เพลงบรรเลงเย็นๆ ช่วยได้มากทีเดียว ลูกค้าวัยเรียนอีกหลายคนเริ่มทยอยเข้ามาจนหนาตาจนแทบไม่มีโต๊ะว่าง  ผมมองออกไปนอกกระจก รถเริ่มติดตามปกติ  เพราะเป็นเวลาโรงเรียนมัธยมเลิก
 
           ครั้นปรับโฟกัสสายตาเข้ามาใกล้ โดยไม่ตั้งใจ สายตาผมก็ไปสะดุดกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งนั่งโต๊ะติดกระจกเยื้องผมไปเพียงเล็กน้อย เธอหันหน้ามาทางผม แต่ทอดสายตาออกไปนอกกระจกอย่างเหม่อลอย ผมแอบพินิจเธอคล้ายมีบางสิ่งดึงดูด ดวงตาข้างขวาของเธอคล้ายมีเนื้อเยื่อพิเศษ (แต่ไม่น่าใช่ น่าจะเป็นต้อกระจก ไม่ก็ต้อเนื้อ.../ ผู้เขียน) 

           เธอมานั่งทำหน้าสวยอยู่ในชุดเสื้อยืดรัดรูปสีดำไม่มีแขน เผยให้เห็นเนื้อสาวเนียนขาวราวไข่เยี่ยวม้าปอก...  ผมยาวสลวยเป็นมันวาวปล่อยให้ทิ้งตัวไว้ที่กลางหลัง (พูดยังกะผมเห็น แต่ผมเดาว่าใช่) วงหน้านั้นสิ ช่างน่ามอง...ใต้ผมม้าที่ปรกลงมานั้นคือคิ้วโก่งคมเข้มคล้ายสะพานแขวน ดวงตากลมโตใสเป็นประกาย จมูกเชิด-รั้น น่าหยิก ปากบางได้รูปคล้ายกระจับ (ขอโทษไม่ใช่กระจับนักมวยนะอย่าเข้าใจผิดคิดไปไกลเชียว น่าเกลียด/ผู้เขียน) 

            โดยรวมแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่สวย...สวยจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่นๆ สวยกว่าผู้หญิงในคณะวาสารฯ อีกด้วย ผมกล้ารับรองจริงๆ นะเอ้า... 

            ผมรู้สึกเพลินกับการแอบมองเธออย่างบอกไม่ถูก...บางขณะเธอหันมาทางผม แต่ชั้นนี้มีหรือจะถูกจับได้ ผมรีบหลบตา ทำตากลอกไปมาคล้ายบริหารสายตา แบบที่ครูสุขศึกษาเคยสอน แต่เพื่อให้สมจริงจึงลุกขึ้นกระโดดตบ 20 ครั้ง ยึดพื้นอีก 2 ครั้ง หกกบอีก 3 นาที จนเธอตายใจจึงกลับไปนั่งแอบมองเธอต่อ และเมื่อเธอหันมามองก็จะทำเช่นเดียวกัน แต่เปลี่ยนมาเป็นกระโดดเชือก  ชกลม ซ้อมกระสอบทราย ชกมวยทะเล เธอคงทึ่งมองผมตะลึงเชียวแต่ผมแกล้งทำเป็นไม่เห็น 

            มองไปที่ประตูมีลูกค้าจำนวนมากเริ่มทยอยออกไป ครู่เดียวมีพนักงานคนหนึ่งมาสะกิดผม...พี่กล้ามใหญ่นั่นเอง

            "พี่...ถามจริงๆ เถอะ พี่มีปัญหาครอบครัวรึเปล่า เหงามากใช่มั้ย รึว่าเพื่อนๆไม่มีใครเขาคบแล้ว จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งถ้านั่งลงเหมือนเดิมด้วยความเกรงใจชาวบ้านร้านตลาดเขา" 

             พนักงานกล่าวเสียงเข้ม ผมไม่ว่าอะไร ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย ครั้นหันกลับไปมองที่เธอคนนั้น เธอยังคงนั่งเหงา มองเหม่อไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม ผมขอรับรองอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า เธอจัดเป็นคนสวยแบบอภิมหาสวยคนหนึ่งทีเดียว สวยระดับนางเอกละครทีวีไม่มีผิด นั่นไงใช่จริงๆ ด้วย ที่โต๊ะเธอผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีแก้วน้ำส้มตั้งอยู่ แต่มันละลายไปมากแล้ว เธอยกนาฬิกาข้อนิ้ว (ขนาดเล็กคล้ายแหวน) ขึ้นดู...คงกำลังรอใครสักคนเป็นแน่ ผมคิด...

            เวลาผ่านไปนาน.... เธอยังคงนั่งเหม่อ และหันมาทางผมเป็นบางครั้งแต่ก็จับไม่ได้อยู่ดีว่าผมก็แอบมองเธอ ระดับนี้แล้ว ทำอะไรไม่มีหรอกที่ไก่จะตื่น (เคยปลุกตั้งหลายหน นอนขี้เซาจริงๆ) ผมสังเกตพบว่าเริ่มมีหลายคนมองเธอเช่นเดียวกับผม โดยเฉพาะเพื่อนนักศึกษาต่างคณะกลุ่มหนึ่งที่นั่งโต๊ะซ้ายมือผม มองไม่มองเปล่าแต่ยังทำท่าซุบซิบด้วย อย่าให้รู้นะว่ากำลังนินทาว่าร้ายเธอของผมให้เสียหาย เอ๊ะ... เมื่อครู่ผมใช้คำพูดว่าอย่างไรนะ?... ผมว่า "เธอของผม" เหรอนี่... จริงสิ ไม่รู้อะไรทำให้ผมเกิดความรู้สึกหวงเธอขึ้นมาเอาซะดื้อๆ...

            ตอนนี้เวลาผ่านไปจนแดดร่ม ลมก็คงจะตกแล้ว ผมเห็นเธอค้นในกระเป๋าถือหนังปลากรายสีดำ หยิบกระดาษโน้ตขึ้นมา แล้วเริ่มจรดปลายปากกาเขียนบางสิ่งลงไป.... ผมเกิดความรู้สึกใคร่รู้ขึ้นมาเสียแล้วสิ ว่าเธอเขียนอะไรลงไป เอ...รึว่าเธอเป็นนักเขียน...อืมมมม... อาจเป็นไปได้ เพราะเคยรู้มาว่า นักเขียนต้องมีจินตนาการ และเอาดีทางเหม่อลอย 

           เธอเขียนอยู่พักหนึ่งแล้วหยุด หันมองนอกกระจกเช่นเดิม  และแอบชำเลืองมาทางผม  นั่นไงนึกแล้วเชียว ว่าเธอต้องมีบ้างที่แอบสนใจผม เพราะเป็นที่ทราบดีว่า ในคณะผมนี้ก็ใช่ย่อย ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนสาวๆ มักทักเสมอเช่น

            "พี่เอิร์ธไปห้องสมุดเหรอคะ" 

            "พี่เอิร์ธทานข้าวคนเดียวเหรอคะ" 

            "พี่เอิร์ธยิ้มหน่อยสิคะ หน้าบึ้งไม่เท่ห์เลย" 

            อะไรต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นคำทักทายจากสาวๆ หน้าใสที่สะท้อนว่า ผมนี่ก็หนึ่งไม่เป็นสองรองใครในด้านความหล่อ อุ๊ย..! ยอตัวเองเขิน

            อ้าวนั่น...เธอทำไมขย่ำกระดาษเสียล่ะ แล้วนั่นเธอกำลังจะลุกไปแล้วรึ? ผมเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้จะมีโอกาสพบเธออีกรึเปล่า แล้วเธอก็ลุกเดินไปจริงๆ เธอจ่ายค่าน้ำส้ม(ที่ยังไม่ได้ดื่ม)ที่เคาน์เตอร์ แล้วเดินออกจากร้านไป...

            หันไปมองที่โต๊ะผมพบว่ากระดาษก้อนนั้น (ที่เธอขยำจนเป็นก้อน) มันวางอยู่ที่โต๊ะ เธอไม่ได้หยิบไปด้วย ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเธอเขียนอะไร ขอเสียมารยาทสักครั้งเถอะ อีกทั้งคงไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าจะลุกเดินไปหยิบมาก็กลัวว่าคนจะมอง อืมม์...ทำยังไงดีนะ

            ครู่หนึ่งพนักงานคนหนึ่งเดินมาเก็บแก้วน้ำส้มพร้อมเช็ดโต๊ะ ปัดกระดาษก้อนนั้นตกลงพื้น มันกลิ้ง กลิ้ง กลิ้งมาใกล้ที่เท้าผมห่างราว 2 คืบ ผมหันซ้าย-ขวา ก้มลงกำลังจะเก็บก็มีเสียงร้องดังขึ้น

            "ว๊าย !" 

             ครั้นแหงนไปมองที่มาของเสียงซึ่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะผมเยื้องไปหลังโต๊ะเดิมของเธอคนนั้นของผม  เห็นนักศึกษาในชุดกระโปรงสั้นเหนือเข่า ทำท่าปกป้องปกปิดพลันวัน อะพิโธ่ อะพิถัง  อะไรกันนี่... คงคิดว่าผมจะก้มลงแอบมองอย่างคนอื่นๆ ที่ชอบล่วงละเมิดล่ะสิ ไร้สาระ ผมเป็นสุภาพบุรุษนะจะบอกให้ ไม่เคยสักครั้งที่จะทำแบบนั้น ไม่เคยแม้จะคิด 

            เธอมองผมตาเขียว แต่ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะแก้ตัว ผมเปลี่ยนแผน ค่อยๆ ถัดตัวให้ต่ำลง ต่ำลง อาาาา ใกล้ถึงแล้วอีกนิด 

            พลันมีพนักงานคนหนึ่งเดินผ่านไป ไม่เพียงเท่านั้นปลายเท้าเตะเอากระดาษก้อนนั้นกลิ้งหลุนๆ แล้วไปซบแทบเท้าของนักศึกษาตาเขียวคนนั้น... ทำอย่างไรดีล่ะผมคราวนี้ และดูเหมือนเธอจะรู้ด้วยว่าผมกำลังมอง 

            เธอหันซ้ายขวาคล้ายหาอะไรสักอย่าง ครั้นก้มลงที่พื้นพบกระดาษก้อนนั้นจึงก้มลงหยิบ ผมได้แต่ภาวนาขออย่าให้เธอเอามันไปทิ้งเลย 

            เร็วเท่าความคิดผมก็สัมผัสว่า มีบางสิ่งลอยละลิ่วปลิวมาชนหัวผมแล้วตกลงบนโต๊ะ กระดาษก้อนนั้น "อุ๊ย..! แม่หล่น" ผมโดนเธอปาหัวหรือนี่... ช่างมันเถอะ   ผมมีสิ่งที่น่าสนใจรออยู่ตรงหน้าแล้ว

            ผมค่อยๆ คลี่กระดาษออก รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก จะได้รู้เสียทีว่าเธอเขียนอะไร ครั้นกระดาษคลี่ออก ก็พบกับข้อความเขียนไว้ตรงกลาง 2 บรรทัด และถัดลงมาตอนใต้มีอีกหนึ่งบรรทัด 
ผมหายใจลึกเข้าเต็มปอดแล้วจดจ่ออ่านอย่างตั้งใจ...

            "หน้าไม่อาย..คนอาไร้....ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี นัดยืมเงินเค้า แต่ปล่อยให้รอ-เบี้ยวนัดเฉย คงกลัวตัวเองจะไม่มีเงินจ่ายค่าดอกร้อยละ 40 ล่ะสิ"

            แล้วผมก็เลื่อนสายตาลงมาอ่านอีกประโยคหนึ่งตอนใต้ เธอเขียนว่า

            "รำคาญไอ้แว่นหน้าตี๋หัวหลิมโต๊ะข้างๆ จริ๊ง... มองอยู่ได้ เกิดมาคงไม่เคยเห็นกระเทยสวยขนาดนี้มาก่อนล่ะสิ"


* * * * * * * * * *


หมายเหตุ ::: วาระตีพิมพ์ครั้งแรก 
ในหนังสือรวมเรื่องสั้นอารมณ์ดี "เราจะยิ้มให้กัน" ร่วมกับ 12 นักเขียน 
บรรณาธิการโดย "กุดจี่" พรชัย แสนยะมูล 
สำนักพิมพ์ไม้ยมก ในนามปากกา : เจ้าชายน์ติ๊ง
tewson7@hotmail.com				
15 มิถุนายน 2549 14:11 น.

"รอยเลือดบนปกหนังสือ…สื่อรักจากพ่อ"

ทิวสน

"รอยเลือดบนปกหนังสือสื่อรักจากพ่อ" 


โดย ::: ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com


"พี่นันท์พ่อเสียแล้ว"
เสียงสั่นเครือจากปลายสาย สิ้นคำก็ปล่อยโฮออกมา ทำเอานันทกรถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว มันเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่กลางใจ เขานิ่งอึ้งประหนึ่งว่าหัวใจจะหยุดเต้น กับข่าวร้ายที่ได้รับแจ้งจากน้องสาว

ปลายสายวางไปนานแล้ว แต่ชายหนุ่มยังยืนนิ่ง งุนงงกับเหตุการณ์ หลังจากไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านเป็นเวลานาน และที่จำเป็นต้องระเห็จมาอยู่กรุงเทพฯ ก็เพราะความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างเขาและพ่อ

"แกมันลูกไม่รักดี!!!เป็นนักเขียนจะเอาอะไรกิน หา! .รายได้พอยาไส้ซะที่ไหนอีกหน่อยมีลูกมีเมียไม่อดตายกันทั้งบ้านเรอะ!" ผู้เป็นพ่อตวาดเมื่อรู้ถึงความดื้อดึงที่เขาจะเลือกเดินในสายอาชีพนักเขียน

"แต่ผมรักงานนี้นะครับพ่อ ผมคิดว่ามันมีประโยชน์ที่เราได้ปลูกฝังความคิด คุณธรรม จริยธรรมที่ดีให้กับคนที่อ่านหนังสือ สังคมจะได้พัฒนาไงครับพ่อ" ชายหนุ่มให้เหตุผล

"เชอะ.มาทำเป็นอุดมการณ์สูงส่ง ห่วงใยสังคม พ่อเอ่ยน้ำเสียงประชดประเทียด ฉันกลัวแต่แกน่ะจะเอาตัวไม่รอด ก่อนสังคมจะพัฒนาล่ะไม่ว่าฟังนะนันท์ ถ้าแกไม่เลิกคิดจะเป็นนักเขียนไส้แห้งล่ะก็ แกกับฉันก็ไม่ต้องมาเห็นหน้ากัน!!" 

พ่อยื่นคำขาด มันเหมือนถูกเหล็กแหลมทิ่มแทงใจชายหนุ่ม กับท่าทีไม่ยอมเข้าใจของผู้บังเกิดเกล้า แต่สายตาที่มองทอดไกลออกไปในภายหน้าทำให้ไม่อาจเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตได้

นับแต่วันนั้น พ่อก็เฉยชาไม่พูดจากับเขา ชายหนุ่มทนความอึดอัดอยู่ 4 เดือน จึงฝากน้องสาวและน้องชายดูแลพ่อ แล้วมุ่งหน้าเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นนักเขียนอิสระ ส่งงานเขียนตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับ ส่งเงินไปช่วยทางบ้านสม่ำเสมอ นานๆ ครั้งจะโทรศัพท์ไปพูดคุยกับน้องๆ แม้หลายครั้งจะขอคุยกับพ่อ แต่ก็ถูกท่านปฏิเสธเสมอ เป็นความเจ็บปวดหนึ่งที่ฝังลึกคอยบั่นทอนกำลังใจเขาเสมอมา

ทว่าชายหนุ่มได้รับการฟื้นใจเสมอ เมื่อนึกถึงแม่ที่จากไปหลายปีแล้ว แม่รักการอ่าน แม่อ่านหนังสือทุกประเภท และแม่ก็เป็นนักเขียน แต่พ่อไม่เคยสนับสนุนแม่ และกล่าวสรุปว่าสาเหตุที่แม่เป็นโรคเครียดและเส้นเลือดฝอยในสมองแตกจนเสียชีวิต ก็เพราะอาชีพนักเขียน กระนั้นงานเขียนของแม่ก็ยังคงทำรายได้จากการพิมพ์ซ้ำ และได้ค่าลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง กลาย เป็นทุนการศึกษาให้น้องๆ อย่างเพียงพอ เพราะลำพังเงินเดือนจากหน้าที่การงานเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยของพ่อกับการที่ต้องเลี้ยงดูลูก 3 คนให้ได้อยู่อย่างสุขสบาย มีการศึกษาสูงๆ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นแต่พ่อต้องเหนื่อยมากขึ้น 

แต่นี่เพราะรายได้เสริมจากงานเขียนของแม่โดยแท้ ครอบครัวจึงไม่ขัดสน แต่กระนั้นพ่อก็ยังคงมีอคติกับอาชีพนักเขียนไม่แปรเปลี่ยน จนนับ 7 ปี ที่นันทกรต้องออกจากบ้านมา และได้รับข่าวร้ายในวันนี้ เมื่อพ่อจากไปอย่างฉับพลัน!

ชายหนุ่มจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋า 2-3 ชุด รุดกลับบ้านที่หัวหิน ด้วยความรู้สึกหดหู่เสียใจ น้ำใสๆ คลอหน่วยอยู่ตลอดเวลา แม้ไม่ยอมจะเอ่อไหล ทว่ามันไหลย้อนกลับลงไปท่วมใจ พยายามนึกว่า มันเป็นเพียงความฝันฝันร้ายที่จะหายไปเมื่อตื่น และพยายามขับไล่ความขมขื่นใจที่ฝังลึกเสมอมาว่า พ่อไม่เคยเข้าใจ พ่อไม่เคยรัก 

สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ อยากกลับไปถึงบ้านเร็วที่สุด เพื่อกล่าวความในใจทุกสิ่งต่อพ่อ และบอกว่าเขายังรักเคารพพ่อเสมอ แม้ว่าในความเป็นจริง ท่านไม่อาจได้ยิน


* * * * *

"นั่งสินันท์" หญิงวัยกลางคน ผายมือเชิญนันทกรนั่งตรงข้าม ขยับแว่นหนา ระบายยิ้มชื่นชมชายหนุ่ม ความเงียบในห้องบรรณาธิการบริหาร ทำเอาชายหนุ่มใจเต้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

"พี่เรียกผมมาพบ มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ" เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

"อืมม์พี่มีข่าวดีจะบอกให้นันท์ทราบน่ะก็หลังจากรวมเรื่องสั้น บ้านอุ่นรัก ของนันท์วางขายทั่วประเทศ ทางสายส่งแจ้งมาว่าที่พิมพ์เฟิร์สออเดอร์ไปหนึ่งหมื่นเล่ม ตอนนี้จะต้องเพิ่มสต๊อกแล้วล่ะถือว่าแรงมากเลยนะนันท์ กับเวลาสั้นๆ แค่ 2 เดือนเอง"

"เหรอครับ" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ผมต้องขอบคุณพี่มากครับ ที่กรุณาให้โอกาส แล้วก็น้องๆ ทีมประชาสัมพันธ์ด้วยครับ ที่ช่วยส่งข่าวตามสื่อต่างๆ อีกอย่างผมว่าการจัดงานเปิดตัวที่ ลงทุนมากขนาดนั้น ก็มีผลมากนะครับ"

"พี่ว่านั่นน่ะ แค่องค์ประกอบย่อย เพราะถ้าตัวเนื้องานไม่เป็นที่พอใจ คนอ่านไม่ชอบ ไม่บอกต่อ และไม่เข้าตานักวิจารณ์ ก็คงไม่มีใครเขาสนับสนุน ไม่มีใครเขาเชียร์หรอกที่พี่เรียกนันท์มาก็จะแจ้งให้ทราบในเรื่องนี้ แล้วเรื่องเช่าค่าลิขสิทธิ์จากการพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 2 และครั้งต่อๆ ไป นี่ นันท์จะได้เพิ่มจาก 10% เป็น 15% จากยอดพิมพ์

"ขอบคุณพี่มากครับที่กรุณา" ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม หัวใจพองโตมีความสุขกว่าครั้งไหนๆ เมื่อมีสิ่งมาชี้ความสำเร็จบนเส้นทางนักเขียน จนส่งเขาขึ้นชั้นนักเขียนระดับแนวหน้าของประเทศ โดยได้ผลิตหนังสือที่ให้ปรัชญาในการดำเนินชีวิต เพื่อส่งเสริมจริยธรรมอันดีต่อสังคม


* * * * *


ไม่ถึงหนึ่งชั่งโมงต่อมา นันทกรก็นั่งอบู่บนรถประจำทางปรับอากาศมุ่งหน้าสู่ภูมิสำเนา แววตาหม่นเศร้าทอดผ่านออกไปนอกกระจกใส ทว่าหาได้สนใจกับทิวทัศน์ข้างทาง ความดีใจในวันก่อนถูกลบกลบด้วยข่าวร้ายในวันนี้ความคำนึงเก่าๆ ได้ฉายภาพชัดขึ้นอีกครั้ง...

นับแต่แม่จากไป ท่าทีของพ่อที่ขัดแย้ง ขัดขวางกับความมุ่งมั่นของเขา ที่เลือกเอาดีในอาชีพนักเขียนตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย ความขมขื่นฝังลึกถมทับในใจเขาตลอดมา บางขณะก็นึกน้อยใจ เพราะดูเหมือนว่าพ่อจะจงเกลียดจงชังเขามากกว่าน้องทั้งสอง ที่พ่อตามใจมิเคยข้องขัด บางครั้งนึกไกลไปว่า เขาอาจจะไม่ใช่ลูกของพ่อก็เป็นได้ แต่นั่นก็เพียงความคิด เพราะจิตสำนึกส่วนลึกของเขายังเคารพนบนอบต่อผู้เป็นพ่อเสมอ

การจากไปของพ่อ นำมาซึ่งความอาลัย ความรักความผูกพันได้ละลายความรู้สึกด้านมืดให้สว่างขึ้น นึกเสียดาย เสียใจที่ยังมิทันได้อยู่ใกล้ให้ท่านได้เห็น และรับรู้ความสำเร็จบนเส้นทางที่เขาเลือกว่า ลูกของพ่อได้เดินตามรอยของแม่ และลูกของพ่อทำได้! 

ชายหนุ่มหลับผล็อยไป...มารู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงแอร์บัสเตือนให้ผู้โดยสารเตรียมตัวรถได้มาถึงปลายทางแล้ว


* * * * *


บ้านไม้สองชั้นซ่อนตัวท่ามกลางแมกไม้เขียวครึ้มร่มรื่น แม้อาณาบริเวณไม่ถึงกับกว้างใหญ่นัก แต่มันอบอวลไปด้วยความรักกับครอบครัวเล็กๆ ที่สร้างชีวิตของชายหนุ่มให้เติบใหญ่ เย็นวันนี้ภายในบ้านผู้คนพลุกพล่าน ด้วยว่าบรรดาญาติสนิท เมื่อทราบข่าวการจากไปของพ่อ ก็มาช่วยเป็นธุระในเรื่องต่างๆ ทันทีที่น้องสาวคนโตเห็นพี่ชายก้าวพ้นประตูเข้าบ้าน ก็โผเข้าหา กอดซบอกสะอื้นไห้ ชายหนุ่มกอดประคอง ไล้ผมแผ่วเบาเชิงปลอบใจ ขณะที่เขาเองก็ยากที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้

หลังจากเก็บสัมภาระ และทักทายญาติๆ ถ้วนทั่ว นันทกรก็ชวนน้องสาวปลีกตัวมาพูดคุย ถามไถ่รายละเอียดถึงเหตุการณ์ที่พรากพ่อจากไป

"พ่อโดนรถชนที่ตลาดเมื่อเช้าตอนกำลังข้ามถนนใหญ่เจี๊ยบกับจิ๋วกำลังซื้อกับข้าวอยู่ฝั่งตลาดสด" น้องสาวเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

"แล้วพ่อข้ามถนนไปทำอะไรอีกฝั่งล่ะ" ผู้เป็นพี่ชายซัก

"ตอนแรก พ่อบอกแต่ว่า จะไปซื้ออะไรฝั่งโน้นหน่อย ให้เจี๊ยบกับจิ๋วซื้อของเสร็จแล้วรออยู่ฝั่งนี้ สักพักก็ได้ยินเสียงรถเบรกดังลั่น แล้วก็มีคนตะโกนว่า มีรถบัสชนคน

...พอเจี๊ยบกับจิ๋ววิ่งไปดู ถึงรู้ว่าเป็นพ่อ" หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง พยายามข่มเสียงสั่นเครือให้เป็นปกติ แต่ก้อนสะอื้นมันจุกอยู่ที่คอ

"คนที่ชนเขารีบช่วยพาไปส่งโรงพยาบาล เขาบอกว่าตอนขับรถมาถึงหน้าตลาด เห็นพ่อกำลังเดินข้าม เขาก็กดแตรเตือน ตอนแรกพ่อดูเหมือนจะหยุด แต่อยู่ๆ ก็ล้มลงมาข้างหน้า เขาเบรกไม่ทันเลยชนพ่อหัวน็อคพื้น พ่อคงจะหน้ามืดเพราะความดันต่ำ...เลยโดยชน...

...พอไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่รีบพาเข้าห้องฉุกเฉิน ซัก 20 นาที ก็มีคนออกมาบอกว่า..พ่อเสียแล้ว ปั๊มหัวใจเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น--เจี๊ยบเจี๊ยบเสียใจที่ไม่ได้ดูแลพ่อให้ดี ฮืออออ" หญิงสาวปล่อยโฮออกมาอย่างเต็มกลั้น ผู้เป็นพี่กอดกระชับน้องสาวไว้

"อย่าโทษตัวเองเลยนะเจี๊ยบ พี่ว่าคงถึงเวลาที่พ่อจะได้พักผ่อนน่ะ"

"พี่รู้มั้ยตลอดเวลาที่พี่ไม่อยู่ พ่อก็บ่นถึงพี่ เป็นห่วงเรื่องอยู่เรื่องกิน กลัวว่าพี่จะลำบาก เรื่องสั้นของพี่ลงที่ไหน ถ้าพ่อรู้ รึใครมาบอก พ่อจะซื้อแล้วเก็บไว้ในตู้อย่างดี บางทียังซื้อหนังสือไปแจกเพื่อนพ่อเลย"

ชายหนุ่มได้ฟังคำรู้สึกตื้นตัน ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ

"แล้วพี่รู้มั้ย... เมื่อเช้านี้ที่พ่อข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วโดนรถชน...พ่อไปทำไม" น้องสาวถามเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลพราก ชายหนุ่มนั่งจดจ่อรอฟังคำตอบ

"ตอนที่พาพ่อส่งโรงพยาบาล พ่อเพ้อเรียกหาเจี๊ยบ จิ๋ว และพี่ตลอดทาง สักพักพ่อก็หมดสติ แต่พ่อยังกอดหนังสือเล่มหนึ่งแนบอกไว้แน่น"

"เล่มนี้ไงพี่" จิ๋วน้องชายเอ่ย พร้อมยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้

มันคือหนังสือพ๊อคเก็ตบุ้คปกสีขาว ภาพปกสีน้ำรูปบ้านรายรอบด้วยแมกไม้อันร่มรื่น...ทว่าเปรอะเลอะด้วยเลือดที่เริ่มจะแห้ง...

ชายหนุ่มพยายามเพ่งมองภาพบนปกหนังสือที่กำลังพร่าเลือน ด้วยว่าน้ำตาได้เอ่อท้นจนล้นสองตาโดยไม่รู้ตัว 

เขาค่อยๆ อ่านข้อความบนปกหนังสือ ที่มันดังก้องในใจ เป็นเสียงที่มีความหมาย และไพเราะที่สุดกับความรู้สึกที่พ่อมีต่อเขา

รวมเรื่องสั้นสร้างสรรค์จากคมปากกานักเขียนคลื่นลูกใหม่แห่งยุค "บ้านอุ่นรัก" โดยนันทกร 

ชายหนุ่มปล่อยโฮออกมาพร้อมกับน้อง ทั้งสามกอดกันร่ำไห้กับเย็นย่ำอันแสนเศร้าของครอบครัวที่ไร้เสาหลัก

บัดนี้นันทกรได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า พ่อมิเคยขาดแคลนความรัก มิเคยรังเกียจ ดูแคลนชิงชังเขาแม้แต่น้อย และแท้จริงเขายังคงเป็นลูกที่พ่อรักและภาคภูมิใจ แม้ในความไม่เข้าใจในบางขณะแต่พ่อก็ยังคงรักเขาเสมอมิเคยเปลี่ยนแปลง


* * * * * * * * * * 
 
หมายเหตุ ::: 1 ใน 12 เรื่องสั้นชุด "อบอุ่นใจ...เพราะมีเธอ"				
15 มิถุนายน 2549 11:33 น.

"ถ้อยคำหวาน สาส์นรักจาก…แม่"

ทิวสน

โดย ::: ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com

ช่างดีอะไรเช่นนี้ สัมมนาภาคบ่ายเสร็จไม่ถึงกับเย็นมาก เลยทำให้ฉันพอมีเวลาได้ออกมารับลมทะเล เดินเปลือยเท้าย่ำทรายขาวเม็ดละเอียดเช่นตอนนี้ 

ที่ผ่านมาเมื่อมีการสัมมนาต่างจังหวัด จะกี่ครั้งก็มีอันเลิกประชุมเสียเย็นค่ำ ทานข้าวแล้วยังมีสัมมนาต่อ จึงน้อยครั้งที่จะได้ออกมาซึมซับความสดชื่นจากธรรมชาติ กับอากาศบริสุทธิ์ โดยเฉพาะชายทะเล ที่ฉันชื่นชอบเป็นชีวิตจิตใจ...

ชายหาดแห่งนี้เป็นส่วนตัว เพราะเป็นที่ส่วนบุคคล กวาดสายตาพบแต่ชาวต่างชาติ ที่ทอดตัวนอนยาวบนเปลรับลมทะเล บ้างก็เล่นน้ำ บ้างก็จูงมือลูกเดินริมหาด

ระรอกคลื่นซัดสู่ฝั่งสม่ำเสมอ ลมทะเลพัดหอบไอเค็มบางๆ มาเป็นระยะ ฉันรู้สึกผ่อนคลาย... ความขึงเครียดจากการประชุมตลอดทั้งวัน มลายไปหมดสิ้น

ฉันทอดสายตาออกไปไกล สำรวจริมหาด ฟองคลื่นขาวน่าเดินเอาเท้าแช่น้ำเสียจริง... ทันใดนั้น เสียงหัวเราะแห่งความเปรมปรีดิ์ พาสายตาฉันหันไปสะดุดกับภาพหนึ่ง เด็กหญิงผมแดง หยิก ฟู กำลังยิ้มร่า หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างมีความสุข แก้มยุ้ยนั้นแดงอย่างกับผลมะเขือเทศสุก น่าหยิกเสียจริงเชียว... 

แม่หนูแก้มแดงสวมชุดว่ายน้ำสีขาว ลายดอกไม้สีแดงเล็กๆ ตรงเอวมีระบายคล้ายกระโปรงแลดูน่ารัก กับวัยคงไม่เกิน 2-3 ขวบ เธอกำลังวิ่งไล่จับผู้เป็นแม่ จับได้บ้าง ไมได้บ้าง ครั้งจับได้ก็หัวเราะชอบใจ จับไม่ได้ก็ทำท่าโยเย

ขณะหนึ่งแม่หนูโถมตัวไปข้างหน้าหมายจะคว้าแม่ให้ได้ แต่เป้าหมายข้างหน้าเบี่ยงหลบ จึงล้มคมำคว่ำไปข้างหน้า และดูเหมือนความสนุกจะสะดุดหยุดอยู่เพียงนั้น เสียงหัวเราะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง จะด้วยความเจ็บหรือความตกใจก็สุดจะเดาได้ เสียงร้องจ้าทำให้ผู้เป็นแม่ชะงักเท้าหันกลับ ปราดเข้าไปหาก้มลงคว้าประคองตระกองกอดไว้ในอ้อมอก แล้วอุ้มลูบหลังปลอบโยน เสียงร้องไห้ฟังคล้ายจะแผ่วลง ขณะที่แม่หนูยังคงสะอื้นตัวโยน...

จากภาพเบื้องหน้า...มีอะไรบางอย่างเข้ามาสัมผัสใจฉัน... 

ใช่ฉันยังจำได้ เมื่อครั้งที่ยังเด็ก ฉันก็เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ และเพราะความที่เป็นเด็กซน จึงเกิดขึ้นกับฉันอยู่บ่อยหน และทุกครั้งสิ่งที่ฉันได้รับคือ แม่ได้กระทำสิ่งที่วิเศษสุดต่อฉัน...


* * * * * * 

ตอนที่ฉันยังเด็กและเริ่มจำความได้ คราใดที่ฉันหกล้ม คนที่มาถึงฉันเพียงชั่วอึดใจก็คือ แม่ 

เมื่อมาถึง แม่จะพยุงฉันลุกขึ้น แล้วอุ้มไปที่เตียงของแม่ ประคองให้ฉันนั่งลง แล้วแม่ก็หอมลงไปที่ตรง โอ๊ย! ฉันมักจะร้องออกมาให้แม่ได้ยิน จะได้รู้ว่าฉันเจ็บมากมายเหลือเกิน ทั้งที่แท้จริง บางครั้งก็ไม่ได้เจ็บมากถึงขนาดนั้น แต่ฉันก็ทำให้เหมือนจะสมจริง จากนั้น แม่จะขึ้นมานั่งข้างๆ ฉันบนเตียง จับมือน้อยของฉันไปกุมไว้...จ้องตาฉัน...แล้วพูดว่า...

ปราย..เวลาที่ลูกเจ็บ ปรายบีบมือแม่นะจ๊ะ แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ

ฉันพยักหน้ารับคำ ด้วยสีหน้าที่แลดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะค่อยๆ เอนตัวลงนอน โดยมีแม่นอนอยู่ข้างๆ กุมมือฉันไว้ ฉันบีบมือแม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า.... และทุกครั้ง...ไม่มีพลาด ฉันจะได้ยินเสียงแม่ตอบรับกลับมาว่า

แม่รักลูกจ้ะ ทุกครั้งไป

ฉันยอมรับว่า บางครั้งก็แกล้งทำเป็นเจ็บ เพียงเพื่อจะให้แม่ทำแบบนั้นอีก...

ครั้นโตขึ้น วิธีการปลอบประโลมของแม่ก็เปลี่ยนไป แม่เป็นนักสร้างสรรค์ ชอบคิดหาวิธีใหม่ๆ ปลอบใจเอาใจให้กำลังใจฉันเสมอ ทุกสิ่งที่แม่ทำล้วนแต่เป็นวิธีที่ทำให้ฉันรู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น...ในช่วงเรียนมัธยมปลาย แม้จะมีภาระยุ่งยากและเหนื่อยตลอดทั้งวัน แต่แม่ก็จะเตรียมเอแคร์ไม่ก็เค้กกล้วยหอมที่ฉันชอบ พร้อมน้ำส้มคั้น ไว้รอเมื่อฉันกลับถึงบ้านเสมอ

พออายุ 19 เข้าเรียนมหาวิทยาลัย มีบ่อยครั้งที่ตอนสายๆ แม่จะโทรมาหาฉัน ชวนออกไปทานข้าวกลางวันอย่างกะทันหัน เพียงเพราะรู้สึกว่าวันนั้นอากาศดี แม่กับพ่อจึงขับรถจากชานเมือง เพื่อมาทานข้าวกับฉัน และทุกครั้งที่พ่อกับแม่กลับไป แม่จะส่งการ์ดขอบคุณมาให้ฉันทางไปรษณีย์เสมอ ทั้งที่เราจะได้เจอกันทุกๆ วันเสาร์ เมื่อฉันกลับบ้านปลายสัปดาห์อยู่แล้ว ฉันรู้ว่าสิ่งนี้แม่ทำเพื่อย้ำเตือนให้ฉันรู้ว่า ฉันเป็นคนพิเศษสุดสำหรับแม่เสมอ...

ทว่า วิธีที่ประทับแน่นในความทรงจำของฉันมากที่สุด ก็ยังเป็นวิธีที่แม่กุมมือฉันไว้ และบอกว่า เวลาที่ลูกเจ็บ...บีบมือแม่นะจ๊ะ...แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ อยู่นั่นเอง

* * * * *

คืนหนึ่ง ในวัยสามสิบเศษ ฉันกลับถึงบ้านจวนเที่ยงคืน ทำธุระ อธิษฐาน เตรียมจะเข้านอน พลันโทรศัพท์ได้ดังขึ้น...พ่อโทร.มา! 

ทุกครั้งพ่อจะดูเป็นผู้นำ ความคิดชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะทำสิ่งใด แต่คืนนั้นจากน้ำเสียงของพ่อ ฉันสัมผัสได้ว่า พ่อกำลังสับสนและตื่นกลัว 

ปรายแม่ไม่สบาย เป็นอะไรไม่รู้ พ่อไม่รู้จะทำยังไงดี...ลูกรีบมาบ้านเราด่วนเลยนะลูก

ขอบคุณพระเจ้า ที่การขับรถจากกลางเมืองไปชานเมืองใช้เวลาเพียง 30 นาที ต่างจากกลางวันลิบลับ ตลอดเวลาที่อยู่หลังพวงมาลัยเป็นช่วงเวลาที่ฉันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวได้แต่อธิษฐาน เพราะห่วงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่

ครั้นก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน ฉันเห็นพ่อมีสีหน้ากังวล เดินวนไปมา อธิษฐานอยู่ที่ห้องรับแขกเพื่อรอฉัน 

ฉันเปิดประตูเบาๆ เข้าไปในห้องนอนของแม่ที่เปิดไฟสลัวที่หัวเตียง พบแม่นอนหลับตาอยู่บนเตียง หายใจรวยริน...สองมือประสานไว้ที่อก...

ฉันรู้สึกสะท้อนใจ แต่ก็พยายามเรียกแม่ด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบที่สุด

แม่คะ...หนูอยู่นี่ค่ะ

ปรายเหรอ

ค่ะแม่

ปราย...ใช่หนูรึเปล่าลูก

ใช่ค่ะแม่...หนูเองค่ะ

ฉันไม่ทันจะตั้งตัวเตรียมรับคำถามใดๆ ที่จะตามมา และเมื่อได้ยินฉันก็ถึงกับตัวแข็ง ด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี 

ปราย...แม่กำลังจะตาย...แม่กำลังจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้วใช่มั้ยลูก เสียงนั้นเบาหวิว แต่กรีดลึกลงกลางใจฉัน

ภาพแม่ที่อยู่เบื้องหน้าพร่าเลือนด้วยน้ำตาของฉัน ที่เอ่อท้นเต็มสองขอบตา จ้องมองดูแม่ที่แสนรัก นอนอยู่แบบช่วยอะไรตัวเองไม่ได้

ความคิดของฉันวิ่งพล่าน กระทั่งคำถามหนึ่งแว่วผ่านเข้ามาในสมอง... แล้วถ้าเป็นแม่ล่ะ แม่จะตอบว่าอย่างไรนะ

ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แต่เหมือนเวลาผ่านไปนานนับล้านปี กระทั่งคำพูดหนึ่งหลุดออกมา

แม่คะ ...หนูไม่รู้ว่าแม่จะตาย และกำลังจะไปอยู่กับพระเจ้ารึเปล่า...แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่ก็ทำใจให้สบายเถอะนะคะ...เพราะวันหนึ่งเราจะได้พบกันที่สวรรค์ และ...หนูรักแม่ค่ะ

ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบดี แม่ก็ร้องครางออกมา ปราย...แม่เจ็บเหลือเกินลูก

อีกครั้งที่ฉันนึกว่า ควรจะพูดอะไรดี ฉันนั่งลงข้างเตียงแม่ คว้ามือขวาแม่ขึ้นมากุมไว้ที่อก และได้ยินเสียงของตัวเองพูดออกไปว่า

แม่คะ...ถ้าแม่เจ็บ แม่บีบมือหนูนะคะ...แล้วหนูจะบอกว่า...หนูรักแม่ค่ะ

แม่บีบมือฉัน

แม่คะ...หนูรักแม่ค่ะ

การบีบมือและเสียงตอบ หนูรักแม่ค่ะ เกิดขึ้นระหว่างแม่กับฉันหลายครั้งตลอดเวลา 2 ปี ต่อมา... กระทั่งแม่จากไปอยู่กับพระเจ้าด้วยโรคมะเร็งที่มดลูก

ฉันไม่รู้ว่า นาทีแห่งชีวิตของแต่ละคนรอบกายฉันจะมาถึงเมื่อใด แต่ฉันรู้แล้วว่า เมื่อนาทีนั้นมาถึง ไม่ว่าฉันจะอยู่กับใครก็ตาม นอกจากจะอธิษฐานเผื่อเขาแล้ว ฉันจะมอบวิธีปลอบประโลมแสนหวานของแม่ที่เคยกระทำกับฉันให้คนนั้นเสมอ

เวลาที่ลูกเจ็บ...บีบมือแม่นะจ๊ะ แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ

* * * * *

สุดปลายฟ้า ผืนฟ้าสีครามม่วงหม่นกำลังมาเยือน ความมืดกำลังโรยตัว... ขณะที่ลมเย็นจากทะเลยังคงพัดผ่านมา พร้อมเกลียวคลื่นทะยอยซัดสู่ฟังหยอกล้อผืนทรายสม่ำเสมอ ทุกสิ่งยังคงดำเนินไปเช่นเดิม ตามที่พระเจ้าทรงจัดสรรระบบสำแดงความยิ่งใหญ่ไว้

เฉกเช่นเดียวกับถ้อยคำหวานที่ยังคงขับขาน ดังก้องเป็นกำลังใจแก่ฉันเสมอมาทุกวันเวลา และจะยังคงประทับอยู่ในใจเสมอไป.


* * * * * * * * * *				
14 มิถุนายน 2549 17:07 น.

“ต้นมะยม...เด็กซน...และชายคนนั้น”

ทิวสน

ต้นมะยม...เด็กซน...และชายคนนั้น 

โดย ::: ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com


สายมากแล้ว...แต่ยังมีอีกหลายชีวิตที่จดจ่อรอรถประจำทางที่ป้ายชานเมืองแห่งนี้ สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังทิศทางที่พาหนะซึ่งนานๆ จะโผล่มาสักคัน และเวลานี้มีเพียงระยับแดดที่โลดเต้นเหนือผิวถนน กับลมร้อนที่พัดวูบมาปะทะกาย หญิงสาวหลายรายหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ผุดพราวขึ้นมา เกรงว่าจะเลอะเครื่องสำอาง

ป้ายรถประจำทางแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเช้า มักจะมีผู้โดยสารมารอขึ้นรถเพื่อเข้ากลางเมืองประกอบภารกิจด้วยต่างจุดประสงค์จำนวนมาก บ้างก็ไปเรียน บ้างไปทำงาน และสิ่งหนึ่งที่ผู้โดยสารเหล่านี้เหมือนกันคือ เป็นชนชั้นกลาง รายได้ไม่มากนัก และพักอาศัยในชุมชนหลังป้ายรถประจำทางนี้เอง

ที่พักผู้โดยสารสร้างอย่างง่ายๆ พื้นที่ไม่กว้างนัก มีที่นั่งที่ยังใช้การได้เพียงไม่กี่ตัว ทำให้ทุกเช้าเมื่อแดดจัดหลายคนจะยืนชิดเบียดกันดั่งคนสนิท ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบจะดูแลเรื่องที่พักผู้โดยสารแห่งนี้ เพราะเมื่อแรกมีก็ได้จากนักการเมืองท้องถิ่น ที่สร้างบริจาคเพื่อขอคะแนนเสียงและชื่อก็ยังเด่นที่หลังคาอ่านชัดเจนได้แต่ไกล 

ห่างจากที่พักผู้โดยสารไม่ไกลนัก คือต้นมะยมลูกดกแต่บางใบ ที่โคนต้นมีภาพหนึ่งที่ทุกสายตาเมื่อทอดมองไปในทิศทางที่รอรถจะต้องพบกับรถเก๋งสปอร์ตสีแดงบาดตา มองปราดเดียวก็รู้ว่า ราคาค่างวดมิใช่น้อย ความสงสัยใคร่รู้ของทุกคนที่พบเห็นคือ เป็นรถของใครกันหนอ.... เพราะยังไม่เคยมีใครเคยพบเจ้าของรถในยามเช้า เมื่อใดที่เดินมารอรถประจำทาง ก็จะพบรถคันงามจอดนิ่งอยู่ใต้ต้นมะยมนี้เสมอ บ้างก็ว่าน่าจะเป็นรถของผู้มีอันจะกิน ที่มาเปิดบริษัทอยู่ปากซอยถัดไป บ้างก็ว่าเป็นรถของคนในหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ลึกถัดไปอีกซอยหนึ่ง แต่ที่แน่นอนคือความรู้สึกของทุกคนที่มอง เหมือนตอกย้ำในความแตกต่าง และรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในฐานะของตน คละปนอิจฉาเจ้าของรถคันนี้นัก

รถมาแล้ว เสียงหนึ่งดังขึ้น เหมือนบอกสัญญาณให้แทบทุกชีวิตขยับตัวเตรียมขึ้นรถ ทว่ามองจากระยะไกลก็รู้ว่าบนรถที่กำลังแล่นเข้าเทียบป้าย มีผู้โดยสารอยู่เต็มคัน แต่แทบไม่มีใครรอคันต่อไป เพราะอีกนานนัก กว่าคันต่อไปจะมา และนั่นหมายถึงการไปถึงที่หมายล่าช้า อันส่งผลต่อการเรียนและการทำงาน.... รถประจำทางวิ่งเทียบป้ายพร้อมฝุ่นดินที่หอบเข้ามา...

เพียงครู่รถคันนั้นก็พร้อมวิ่งจากป้ายไป ทิ้งผู้โดยสารเหลือไว้เพียงไม่กี่ราย ที่รอรถสายอื่น...และรถเก๋งสปอร์ตคันงามยังคงจอดนิ่งที่ใต้ต้นมะยมต้นนั้น... 

* * * * *

สายวันนี้...ที่เดิม...ยังคงมีผู้โดยสารรอรถแน่นขนัดเช่นเดิม ต่างก็แต่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องเจ้าของรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันที่จอดนิ่งโคนต้นมะยมคันนั้น

เห็นเขาว่ากันว่า เป็นพวกเศรษฐีหน้าเลือดมาออกดอกให้กู้ตั้งร้อยละสี่สิบแหนะเธอ...แย่จริงๆ รวยแล้วยังมาเอาเปรียบคนจนๆ อย่างพวกเรา...คนอาไร้...ไม่รู้จักพอ

ใช่...รวยแล้วก็น่าจะมาเจือจาน ทำประโยชน์ช่วยเหลือคนจนอย่างพวกเราบ้างนะ จริงมั้ย ดูซิ...ไอ้เพิงโทรมๆ นี้น่ะ มันคุ้มแดดคุ้มฝนได้ซะที่ไหน

โอ้ย.ย.ย.ย...ฝันไปเถอะ...รวยแล้วไม่มีใครเขาจะมามองเห็นหัวคนจนอย่างพวกเราหรอก

เออ...ว่าแต่มีใครเคยเห็นเศรษฐีคนนี้มั่งมั้ย... ท่าจะตื่นเช้าน่าดูเลยนะ บางวันฉันว่าฉันตื่นเช้าแล้วนา...แต่มาทีไรก็เห็นรถจอดอยู่ก่อนแล้วทุกทีเลย

นั่นไง...นึกแล้วเชียว...รวยแล้วยังงกอีกนะ ฉันว่าที่ขยันก็เพราะงกนั่นแหละ

เฮ้อ...อย่าไปสนใจคนพวกนี้เลย เขากับเรามันคนละชั้น...นั่นรถมาแล้ว ไปกันเถอะ

* * * * *

สายวันนี้ ลมร้อนยังคงพัดวูบเข้ามาเป็นระยะ ระยับแดดที่โลดเต้นสะท้อนบนพื้นถนนดูท่าจะร้อนกว่าทุกวัน ผู้โดยสารยังคงยืนเบียดชิดใต้ชายคาที่พักเช่นเดิม เช้านี้ไม่ใคร่จะมีใครสนทนากันสักเท่าไร อากาศที่อบอ้าวทำเอาหลายรายหน้านิ่วคิ้วขมวด ยิ่งเวลาผ่านไป กับการรอคอยรถที่ทอดยาว ก็ทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจของใครต่อใครเป็นระยะ ครั้นหันมองรถเก๋งสปอร์ตคันนั้น ก็พาลหงุดหงิดขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ 

ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่ไร้วี่แวว ก็แว่วเสียงเจี๊ยวจ๊าวจากเด็กกลุ่มหนึ่งใกล้เข้ามา ครั้นบางคนหันไปมองก็พบว่าเป็นเด็กวัยประถมอายุราว 8-10 ขวบ กำลังวิ่งมาที่ต้นมะยมด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า กับภารกิจที่รออยู่ นั่นคือการปีนต้นเพื่อเก็บผล

เด็กเหล่านี้ คงเป็นลูกของคนในชุมชนแออัดหลังป้ายรถประจำทางชานเมืองแห่งนี้ และคงไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลให้ได้รับการศึกษา จะด้วยว่าฐานะ หรือสิ่งใดก็ตามที ทำให้แทนที่จะได้นั่งเรียนหนังสือ ทว่าต้องมาเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นเช่นนี้

ต้นมะยมที่หลายคนมองข้าม สูงเสียดยอดให้ลูกดกโตสุกเหลือง รอให้เด็กๆ คว้ารูดเก็บ ซึ่งแต่ละคนต่างปีนป่ายแคล่วคล่อง ไม่หวั่นกลัวความสูง ครั้นเอื้อมถึงก็คว้ารูดแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงจนตุงทั้งสองข้าง บ้างก็คว้าใส่ปากเป็นกำเคี้ยวกร้วมๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย จนน้ำฉ่ำหวาน-อมเปรี้ยวไหลเลอะมุมปาก 

แต่แล้ว ทันใดนั้น เด็กชายคนหนึ่งได้เหยียบลงไปบนกิ่งแห้ง ที่เกินจะทานน้ำหนักไว้ได้ จึงหักเสียงดัง เป๊าะ! พร้อมกับร่างร่วงสู่พื้นจากความสูงราว 5 เมตร 

เด็กชายคนนั้นหล่นลงมานอนคลุกฝุ่น ห่างจากรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันนั้นราว 2 เมตร ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึง ผลมะยมตกเกลื่อนพื้น พร้อมสีหน้าจุกเสียดตามด้วยเสียงร้องโอดโอย แล้วคว้าที่เท้า ซึ่งบัดนี้มีกิ่งมะยมแห้งปักคาอยู่...! เลือดสีแดงสดเริ่มไหลออกมานองพื้นแล้วซึมผสมฝุ่นดิน เสียงร้องทำเอาเพื่อนๆ รีบปีนลงมาหน้าตาตื่น แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่หันมองซ้ายขวาระร่ำระลัก น้าๆๆ...ช่วยเพื่อนผมทีครับ....ช่วยเพื่อนผมทีครับ แข่งกับเสียงร้องโอดโอยของเด็กคนนั้น

บัดนี้ทุกสายตาของผู้โดยสารที่อยู่ในเพิงพัก ซึ่งไม่ห่างจากเหตุการณ์นัก ต่างจับจ้องมองดูพร้อมออกความเห็น

โห..ดูสิ เลือดออกเยอะจัง ท่าจะหนัก คงเกือบจะทะลุเลยนะนั่น

เข้าไปช่วยเด็กหน่อยสิเธอ...น่าสงสารออก

อะไร...จะไปไหน...อย่าไปยุ่งเชียวนะ เดี๋ยวก็ต้องเป็นธุระค่าหยูกยาหรอก ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้

พ่อ!...อย่าไปยุ่งเชียวนะ...โน่น รถมาแล้ว รีบไปกันเถอะ

ไอ้หลานชาย...โทษทีนะ น้าต้องรีบไปธุระ ขอให้อย่าเป็นอะไรมากเลยนะ

รถมาแล้ว! รถมาแล้วไปกันเถอะ เร็ว...!

ขณะที่บางส่วนหนีหายขึ้นรถ และที่เหลือยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ทว่าไม่มีแม้สักคนที่จะเข้าไปช่วยเหลือ จะมีก็แต่บางรายที่เข้าไปมุงดูอยู่ห่างๆ 

ทันใดนั้น...ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

ขอโทษครับ ขอทางหน่อยครับเด็กเป็นอะไรมากรึเปล่า

ทุกสายตาหันขวับไปยังที่มาของเสียงพร้อมเปิดทางให้แต่โดยดี ชายหนุ่มวัยราวสามสิบเศษ รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายแลดูสะอาดภูมิฐาน เดินแหวกคนมุง ตรงไปยังเด็กชายมอมแมมที่นอนเกลือกกลิ้งคลุกฝุ่นคนนั้น

ชายหนุ่มทรุดนั่งข้างร่างเด็กชาย ซึ่งบัดนี้เสียงร้องแผ่วไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มผสมคราบไคลเป็นรอยด่างดำ ครั้นช้อนร่างขึ้นอุ้ม เลือดที่ยังไหลจากฝ่าเท้าก็หยดลงเปื้อนกางเกงสีครีมของชายหนุ่มเลอะเป็นทางยาว 

ใครก็ได้ ช่วยเอากุญแจนี่ไขประตูให้ผมทีครับ เขาหันบอกกลุ่มคนที่มุง
ชายคนหนึ่งรับกุญแจมาไขประตูรถให้ ชายหนุ่มนำเด็กขึ้นวางบนเบาะหลังหนังสีครีม...เลือดสีแดงเข้มยังคงไหล และเลอะเปื้อนบนเบาะนั้น

ครู่ต่อมา รถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันงามก็ถอย แล้ววิ่งปราดออกไปจากโคนต้นมะยม ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่เห็นเหตุการณ์ โดยไม่มีคำกล่าวใดๆ 

* * * * *

สายวันนี้...ใต้ชายคาที่พักผู้โดยสารผู้คนยังคงแออัดเช่นเดิม แต่ลมโชยพัดมาไม่ร้อนเช่นทุกวัน ใบมะยมวูบไหวตามลม บางใบที่แห้งเหลืองก็ร่วงพลิ้วหล่นลงซบพื้นดิน บ้างก็หล่นลงหลังคารถสปอร์ตสีแดงคันงาม

ความขึงเครียดไม่ปรากฏบนใบหน้าผู้คนเช่นทุกวัน ทุกสายตายังคงจดจ่อกับทิศทางที่รอรถประจำทางสายประจำจะแล่นมา...ไม่มีอะไรแตกต่างจากทุกเช้าที่ผ่านมา 

จะต่างก็เพียงความรู้สึกที่สื่อผ่านสายตาทุกคู่ ที่หันมองรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันนั้น 

* * * * * * * * * *				
14 มิถุนายน 2549 13:46 น.

ความหมายในตะกร้า

ทิวสน

ความหมายในตะกร้า


โดย ::: ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com


แดดบ่ายปลายร้อนแผดกล้าท้าคลื่นลม ระยับแดดโลดเต้นเหนือท้องทะเลอันดามัน ที่ระบายด้วยสีเขียวใส โค้งฟ้าสีครามตัดกับผิวน้ำไกลออกไปลิบตาแลดูงดงามสบายตา ยังความอลังการซ่อนไว้ ลมทะเลหอบไอเค็มบางมาพร้อมกับเกลียวคลื่นขนาดย่อม ที่ม้วนตัวทยอยซัดสู่ฝั่งทักทายทรายขาวอยู่เป็นระลอก

ชาตรียืนชื่นชมความงามแห่งธรรมชาติอยู่ริมหาด เนื้อหนุ่มพราวด้วยน้ำที่เพิ่งขึ้นจากการว่ายเล่นเมื่อครู่ เขายืนทอดสายตาผ่านเลนส์สีเขียวเข้มออกไปสุดปลายฟ้า แล้วหันสำรวจรอบกายคล้ายกำลังดื่มด่ำผลงานของจินตกรผู้ยิ่งใหญ่ ที่บรรจงรังสรรค์ทิวทัศน์ เพื่อกำนัลแด่ทุกลมหายใจ... 

เขาสูดลมหายใจลึกเต็มปอด และอยากจะกักเก็บมันไว้เช่นนั้นนานนักแล้วที่เขาไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์เช่นนี้ ที่ผ่านมาเขาเหมือนถูกพันธนาการไว้ในกล่องใบใหญ่ มีละอองควันสีหม่นห่มคลุมตลอดเวลา ในทุกอณูที่ก้าวย่าง ซึ่งใครต่อใครต่างเรียกขานกล่องใบนี้ว่า "เมืองหลวง"

ไม่ง่ายนัก ที่เขาจะสามารถปลีกตัวจากภาระหน้าที่มายืนตากอากาศเช่นนี้เพราะตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายการตลาด ของบริษัทชั้นนำด้านโทรมนาคม ทำให้แทบทุกเวลาทุกนาทีต้องทุ่มเทให้กับงานจนแทบจะลืมไปว่าที่บ้านยังมีภรรยาและลูกรออยู่ ความที่ยังหนุ่มแน่น มีไฟ เวลาจึงหมดไปกับงาน

การมองเกมอย่างเฉียบคมและชาญฉลาด ทำให้เขาเป็นที่รักและไว้วางใจของประธานบริษัท แต่ผลที่ตามมากลับวิ่งสวนทางกัน ระหว่างความสำเร็จในหน้าที่การงาน กับชีวิตครอบครัว ที่พร้อมจะพังครืนลงได้ทุกขณะ หากเขาไม่คิดทำอะไรเพื่อประสานสัมพันธ์ไว้ ซึ่งได้แต่หวังว่าสักวันคงจะผ่อนคลายลงบ้าง หากสามารถจัดสรรการงานให้คนภายใต้มาช่วยแบ่งเบาภาระ เมื่อนั้นคงไม่ต้องห่วงกังวลอะไร..คงมีเวลาพาครอบครัวมาพักผ่อนตากอากาศบ้าง นั่นคือความตั้งใจ กระทั่งผ่านพ้นมาเกือบ 3 ปี จึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนี้ 

ย้อนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาพาครอบครัวเหินฟ้าจากเมืองหลวงลงมาพักผ่อนที่ชายทะเลทางภาคใต้ แม้จะใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษในการเดินทาง แต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าหลุดออกมาอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว

ชายหนุ่มหันกลับ แล้วเดินไปยังเปลผ้าใบ 2 ตัว ซึ่งมีร่มขนาดใหญ่วางแทรกระหว่างกลาง...หย่อนกายลงนั่ง พลางหันมองภรรยาซึ่งนอนอยู่อีกด้าน หมายจะชวนคุย ทว่าคงเพราะความเหนื่อยล้าจากการเล่นน้ำเมื่อครู่ จึงได้ยินเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ...พริ้มตาใต้แว่นสีชา

เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วประสาเด็กดังแว่วอยู่ไม่ไกล เขาหันมองเด็กน้อยวัยไล่เลี่ยสองคนกำลังหารือและช่วยกันก่อกองทรายอย่างเพลิดเพลิน...เขาระบายยิ้มชื่น...รู้สึกเป็นสุขที่เห็นลูกสนุกและรื่นเริงเช่นนี้

ถัดจากลูกทั้งสอง เด็กผมทองสองคนกำลังยืนมองหญิงชราคนหนึ่งอย่างสนใจ จากการแต่งกายคงเป็นชาวบ้านละแวกนี้ เขาเริ่มเกิดความรู้สึกแปลกใจ มองเผินๆ เธอก็ค่อนข้างชรามาก แล้ว ก้าวเดินเชื่องช้า หลังเริ่มคุ้มงอ ยามที่ก้มลงเก็บบางสิ่งบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายเล็กๆ ก็ดูแสนจะลำยาก เด็กผมทองเดินตามดูพฤติกรรมของนางอยู่ห่างๆ อย่างสนใจ ขณะหนึ่งนางหันมองเด็กๆ แล้วเดินเข้าหา ทว่าเด็กกลับหันหน้าวิ่งหนี ประหนึ่งหน้าตาของนางน่าเกลียดน่ากลัวกระนั้น

เธอมองตามเด็กครู่หนึ่งจึงบ่ายหน้าเดินตรวจตราผืนทราย นานๆ ครั้งจะเห็นเธอก้มลงเก็บบางสิ่งหย่อนลงในตะกร้า...เขาเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาแล้วสิ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร และอีกครั้งเมื่อเธอก้มลงเก็บ เขาก็เห็นว่าวัสดุนั้นต้องแสงแดดวาบเป็นประกาย เขายิ่งทวีความสงสัยมากขึ้น ว่ามันคืออะไรกันแน่ หรือว่ามันอาจจะเป็นโลหะหรือของมีคม?

นึกขึ้นได้ดังนั้นเขาใจหายวูบ เมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินเข้าไปใกล้ลูกๆ ซึ่งเล่นก่อกองทรายอยู่ห่างเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว หญิงชราเดินเข้าไปใกล้ลูกของเขา...ใกล้เข้าไป

ในมือของเธอมีวัสดุบางอย่าง ส่งสะท้อนประกายจนแสบตา เขาใจเต้นถี่ รีบยันกายลุกขึ้นยืนจับตามองพฤติกรรมของเธอ...

เด็กๆ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง นอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า เธอประสงค์ดีหรือร้าย และเหตุใดเธอจึงให้ความสนใจมองจ้องลูกๆ ของเขานานเช่นนั้น เธอขยับเดินเข้าไปใกล้ในระยะพอจะเอื้อมมือเข้าไปหาลูกคนเล็ก เขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียก

"ปิ๊กป๊อกมาหาพ่อเร็วลูก!!!"

เด็กทั้ง 2 ชะงักมือที่โกยทราย หันมองซ้ายขวา เมื่อแหงนมองเห็นหน้าหญิงชราก็ร้อง กรี๊ด!! แล้ววิ่งเข้ามากอดขาเขาไว้แน่น

ชายหนุ่มถอดแว่น แล้วมองจ้องหญิงชราเขม็ง เธอช้อนตามองจ้องกลับด้วยแววตาแตกต่าง คล้ายมีคำอธิบาย แต่แล้วก็หันหลังทำภารกิจของเธอต่อไป

ฝ่ายภรรยาสะดุ้งตื่น ด้วยเพราะเสียงตะโกนของสามี แหงนมองดูสามีและลูกที่กอดขาพ่อเนื้อตัวสั่น

"เกิดอะไรขึ้นที่รัก" เธอถาม แต่เขานิ่ง...หายใจแรง ก่อนจะสั่งเธอเสียงสะบัด

"ไม่ต้องถาม เก็บของกลับห้อง"
ว่าแล้วเขาก็อุ้มลูกคนเล็กก้าวฉับๆ นำหน้าไป ปล่อยให้ลูกคนโตวิ่งตาม ส่วนภรรยารีบเก็บของเดินตามไปอย่าง งุน-งง

* * * * *

"ตกลงมันเรื่องอะไรกันคะ...ทำไมถึงได้ฉุนเฉียวแบบนี้" ภรรยาซักทันทีเมื่อตามมาถึงห้องพัก วางเสื้อคลุมพาดที่เก้าอี้ นั่งรอฟังคำอธิบาย สามีถอนหายใจ ก่อนหันมาตอบ

"ขอโทษทีที่อารมณ์เสียใส่คุณ ผมโมโหพวกคิดไม่ดีกับลูกเรา คุณคงไม่เห็น มียายแก่ที่ชายหาด กำลังจะเดินเข้ามาจับลูกเราไป"

"หา! จริงเหรอคะที่รักเอ่อ...แล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าคุณยาย จะทำอย่างนั้นล่ะคะ"

ภรรยาตกใจ แต่ก็ช่วยสะกิดให้คิด ชาตรีนิ่ง-ทบทวนถึงลักษณะพฤติกรรมและสิ่งที่มีลักษณะมันวาวสะท้อนกับแสงแดดนั้น

"อือม์ไม่รู้สิ ก็ผมเห็นยายคนนั้นเหมือนถือมีดหรืออะไรซักอย่าง คงเป็นของที่มีคม...เดินเข้ามาใกล้ จะเอื้อมจับลูกของเรา ผมเลยรีบเรียกเตือนลูก" เขาอธิบายเหตุการณ์

"ถ้าคุณว่า ยายคนนั้น ซึ่งก็น่าจะอายุมากแล้ว...แกจะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาจับเด็กกำลังซนอย่างลูกเราล่ะคะ แก่อาจจะเอ็นดูลูกๆ ก็ได้...แต่นี่คือความเห็นนะคะ เพราะหากไม่ใช่อย่างที่คุณคิดก็น่าสงสารแกนะคะที่รัก ที่เหมือนเราไปปรักปรำแก

ก้อยว่า ช่วงนี้ดูคุณเครียดๆ นะคะ สัปดาห์ก่อนก็เกือบจะไล่พนักงานออก ก็เพราะคุณรีบด่วนสรุปไม่ใช่เหรอคะ ก้อยอยากให้คุณใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดน่ะค่ะ"

ภรรยาเตือนสติด้วยความห่วงใย พลางเอื้อมบีบมือเบาๆ...ชายหนุ่มนั่งนิ่ง เม้มปากแน่น... หากกิริยาที่เขาแสดงออกไป มาจากการที่เขาด่วนสรุป ยายคนนั้นก็คงเจ็บปวดไม่น้อย

* * * * * *

ผืนฟ้ากว้างถูกคลี่คลุมด้วยกำมะหยี่สีดำไปพักใหญ่แล้ว ลมกรรโชกแรงจนต้นมะพร้าวสูงเสียดยอดโอนเอนตาม บางต้นที่ผลแก่คาต้น ต่างปลิดขั้วหล่นสู่พื้นทราย ดังตุ๊บตั๊บเป็นระยะ ขณะที่เมฆทมึนเริ่มคล้อยต่ำอยู่เหนือหมู่บ้านอันเป็นชุมชนเล็กๆ ริมหาดแห่งนี้ ซึ่งปลูกสร้างแบบง่ายๆ ราวๆ 20 กว่าหลังคาเรือน ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงน้ำตื้นออกเรือหาปลาใกล้ชายฝั่ง 

เว้นแต่กระต๊อบกะทัดรัดหลังนั้น ที่ชาวบ้านคุ้นเคยกับเธอมานับสิบปี แต่รู้เพียงว่าเธอเป็นหญิงชราตัวคนเดียวที่มาจากกรุงเทพฯ นานๆ ครั้งจะมีคนแต่งตัวดีๆ ดูมีสกุลมาพบ เหมือนพยายามจะนำเธอกลับไปด้วย ทว่าชาวบ้านก็ยังคงพบเธออยู่ที่นี่ไม่ไปไหน

เธอมีความเป็นอยู่อย่างสมถะ เด็กๆ แถวนี้มักจะไปที่บ้านของเธอ เพราะเธอมักทำขนมไว้แจกเด็กๆ เสมอ และนี่คือความสุขที่เธอได้ทำ นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวันในการเดินเลาะริมหาดทรายพร้อมตะกร้าหวายเพื่อเก็บบางสิ่งใส่ตะกร้า

ความสว่างปลายไส้ตะเกียงวูบไหวตามแรงลมหลายหน เพียงครู่ฝนก็เทจากฟ้าอย่างหนัก ดุจใครคว่ำชามอ่างยักษ์เทน้ำลงสู่พื้นดิน พร้อมๆ แสงไฟปลายตะเกียงดับวูบ

ความสว่างจากฟ้าแลบ ที่ส่องลอดมาทางขื่อกระต๊อบ สะท้อนกับน้ำใสๆ ที่ไหลผ่านแก้มเหี่ยวๆ ของหญิงชราผู้โดดเดี่ยว ไม่บ่อยนักที่จะต้องเสียน้ำตาใครๆ ที่รู้จัก ย่อมรู้ดีว่าเธอเด็ดเดี่ยวเสมอ ยอมแม้ต้องละทิ้งทุกอย่างจากเมืองหลวง ทิ้งสังคมชั้นสูง มาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเรียบง่ายที่ชุมชนแห่งนี้ อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เคยมีอะไรแฝงเร้นในแววตา สีหน้า และคำพูดของผู้คน

แต่ครั้นนึกถึงกิริยา และแววตาอันดุดันหมิ่นแคลนของชายหนุ่มเมื่อตอนบ่ายแล้ว มันช่างกรีดใจเธอให้เจ็บปวดยิ่งนัก

* * * * * *

สองยามเศษ...หลายหลังคาเรือนในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ต่างหลับใหลกันหมดแล้ว แต่ชาตรีเพิ่งกลับถึงบ้าน...นับแต่วันที่กลับมาจากพักร้อน เขาก็เข้าสู่ภาวะปกติที่ต้องทำงานหนัก ตื่นเช้า เข้านอนหลังสองยามเสมอ

หลังจากอาบน้ำจนสบายตัวแล้ว เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย จึงชงน้ำขิง แล้วออกมานั่งจิบที่ระเบียง พร้อมหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับรายสัปดาห์ เขาเอนตัวลงบนเก้าอี้โยก ค่อยๆ เปิดดูเนื้อหาคร่าวๆ ในหนังสือพิมพ์ ก่อนจะดึงส่วนแทรกที่เป็นเรื่องราวไลฟ์สไตล์ออกมา เพียงอ่านด้านหน้า ก็สะดุดตากับสาระเบาๆ กับสไตล์การใช้ชีวิตของนักธุรกิจ ในมุมที่คนทั่วไปไม่ทราบ...หัวเรื่องฉบับนี้สะกดสายตาเขาโดยไม่รู้ตัว... 

"วันนี้ของหญิงแกร่ง...คุณหญิงพิมลพร จากไฮโซฯสู่สามัญ" 

ชาตรีค่อยๆ อ่านเนื้อหาอย่างใครรุ้ กับชีวิตของนักธุรกิจหญิงด้านอสังหาริมทรัพย์ มีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน ส่งบุตรธิดาศึกษาจบในระดับสูงสุดทุกคน จนถึงเวลาหนึ่ง เธอเหนื่อยล้าและอยากหันหลังให้กับงานที่ทำเพื่อพักผ่อน จึงโอนกรรมสิทธิ์ให้บุตรธิดาหมดสิ้น แล้วอพยพตัวเอง ทิ้งสังคมชั้นสูง เลือกที่จะมาใช้ชีวิตอย่างสมถะ อาศัยที่กระต๊อบหลังเล็กๆในหมู่บ้าชาวประมงน้ำตื้น ริมชายหาด แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต กิจวัตรในแต่ละวันมีความสุขกับการได้พูดคุย ทำขนมแจกเด็กๆ ชาวบ้านระแวกนั้น และเดินตรวจตราริมชายหาด

อ่านมาถึงตอนนี้ชาตรียิ่งจดจ่อมากยิ่งขึ้น เพราะสถานที่ที่ว่านี้คือ ชายหาดที่เขาและครอบครัวเพิ่งจะกลับมาจากการพักร้อนเมื่อวันก่อน...เขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว เมื่ออ่านพบประโยคที่ว่า

...กิจวัตรของเธอคือ เดินตรวจตราชายหาด...เก็บเศษแก้วและของมีคมบนผืนทราย ใส่ตะกร้าหวายใบเล็กๆ แล้วนำไปทิ้ง เพียงเพื่อจะไม่เป็นอันตรายต่อเด็กๆ และนักท่องเที่ยว!!!

ชาตรีเพ่งอ่านข้อความ แล้วหัวใจยิ่งเต้นแรงขึ้น เมื่อเลื่อนสายตามองภาพใบหน้าของคุณหญิงพิมลพร...ชายหนุ่มถึงกับอึ้ง...เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอหอย

เพราะภาพใบหน้าของเธอ...กับภาพใบหน้าของหญิงชราที่เขาเคยตราหน้าว่าเป็นมิจฉาชีพที่คิดจะทำร้ายลูกของเขา คือ คนคนเดียวกัน!!!

* * * * * * * * * *

หมายเหตุ : วาระแก้ไขใหม่ พฤษภาคม 2006 / วาระตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร มหาสนุก ฉบับวันที่ 18-24 กุมภาพันธ์ 2004 และเผยแพร่ผ่านหลากหลายเว็บไซต์ / ทิวสน ชลนรา tewson7@hotmail.com


* * * * * * * * * *				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิวสน
Lovings  ทิวสน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิวสน
Lovings  ทิวสน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิวสน
Lovings  ทิวสน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงทิวสน