13 มิถุนายน 2549 17:23 น.
ทิวสน
สิบล้อประสานงาทัวร์พลิกดิ่งเหวตายเรียบ
เพียงอ่านพาดหัวข่าว แล้วพลิกเห็นภาพผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุพร้อมชื่อ หญิงสาวถึงกับหน้าร้อนผ่าวตัวชาวูบ ชื่อนั้นดังก้องในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเข่าอ่อนทรุดกอง คล้ายว่าจะสิ้นสติ ความเสียใจ ความรู้สึกผิดมหันต์ ถาโถมเข้าใส่ พร้อมปล่อยโฮออกมาดังลั่น...
* * * * *
ตะวันคล้อยลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว เป็นสัญญาณเย็นย่ำที่กำลังเข้าสู่เวลาคืนรังของฝูงนกที่บินมาคราคร่ำทั่วผืนฟ้า แล้วเหินหายไปยังป่าใหญ่เชิงเขา นับเป็นแห่งเดียวในละแวกนี้ ที่ยังคงไว้ซึ่งสภาพป่าสมบูรณ์ เพราะโดยรอบถูกถางเผาเป็นที่โล่ง ตั้งแต่ครั้งชาวบ้านขายที่ให้นักธุรกิจจากกรุงเทพฯ สร้างเป็นรีสอร์ท เพื่อแลกกับความสุขสบาย
ในละแวกนี้ มีบ้านเพียงไม่กี่หลังคาเรือนที่ยังคงสมัครใจจะมีความเป็นอยู่คงเดิม หนึ่งในจำนวนน้อยนั้นคือ บ้านหลังกะทัดรัดของ จำเนียร เพราะเธอไม่คิดทะเยอทะยานอยากมั่งคั่งจากการขายที่ดินทำกินให้กับนายทุนที่มากว้านซื้อ แม้ว่าจะมีการยื่นข้อเสนอที่งดงาม แต่ชีวิตนี้เธอไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ อีกทั้งไม่มีใครให้ต้องห่วงหา เว้นแต่ แพร ลูกสาวซึ่งกำลังเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ นึกถึงตรงนี้แล้วน้ำตาซึมทุกที เพราะมันคือความภาคภูมิใจ ที่เธอสู้บากบั่นอดทนทำงานหนักส่งเสียให้ลูกได้มีการศึกษาที่ดี
นับแต่พ่อของลูกจากไปด้วยโรคหัวใจ ตั้งแต่ลูกเพิ่งเริ่มหัดพูด ในชีวิตเธอก็ผูกผันอยู่เพียงกับลูกและบ้านหลังนี้ ซึ่งนับเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่สามีได้ทิ้งไว้ให้พร้อมสวนกุหลาบหลังบ้าน อันเป็นแหล่งรายได้หลัก ซึ่งแลกมาด้วยหยาดเหงื่อทุกหยดที่รินรด หากขายที่ให้นายทุนก็คงได้เงินไม่น้อย แต่นั่นไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอแม้สักนิด
เธอพักมือจากการพรวนดินในสวนกุหลาบ ด้วยว่าอาการปวดหลังที่พักนี้ออกจะเป็นบ่อยครั้ง ครั้นจะไปหาหมอในเมืองก็เกรงว่าเงินที่เก็บออมไว้จะไม่พอหากลูกขาดเหลือแล้วขอมา สองมือที่เริ่มเหี่ยวย่นกระชับด้ามเสียมแน่นเพื่อพยุงยันกายลุกขึ้น แล้วเดินขึ้นเรือนเตรียมจัดหาอาหารเย็น หลังล้างมือ เอาน้ำลูบหน้าเรียกความสดชื่นแล้วก็เข้าครัว เปิดดูในตู้ยังมีน้ำพริกหนุ่มที่โขลกไว้ตั้งแต่เมื่อวานเหลืออยู่ จึงคิดว่าจะผัดผักบุ้งกินแกล้มก็พอแล้ว
ครั้นจัดเตรียมสำรับเสร็จก็เปิดวิทยุฟังข่าว ยังไม่ทันนั่งก็มีเสียงเรียกมาจากชานเรือน ออกไปดูก็พบเจ้าโก้ลูกยายปริกข้างบ้าน ยืนถือชามกากหมูผัดพริกแกงโรยมากับใบมะกรูดซอยทอดกรอบส่งกลิ่นหอมฉุย
"แม่ให้เอามาให้ครับป้า"
"ขอบใจมากลูก เออ รอเดี๋ยวนะเดี๋ยวป้าตักผัดผักบุ้งให้"
ได้จานผัดผักบุ้งแล้ว เจ้าตัวเล็กก็หยิบชิมซะเดี๋ยวนั้น "อื้อฮือ ป้าผัดผักบุ้งอร่อยเหมือนเดิมเลย วันนี้ผมกินข้าวพุงกางแน่" ว่าแล้วก็ลงเรือนวิ่งแจ้นกลับบ้าน
นางเห็นท่าทีของเจ้าโก้แล้วเห็นขันในความไร้เดียงสา น่ารักน่าชัง และเป็นเด็กช่างพูดเหมือนลูกสาวเธอเมื่อยังเล็กไม่มีผิด
ครั้นตักกากหมูผัดพริกแกงทานกับข้าว ก็ให้นึกถึงลูก เพราะนี่คืออาหารจานโปรดของลูกก็ว่าได้ ไม่รู้ว่าไปอยู่กรุงเทพฯจะมีโอกาสได้กินบ้างหรือเปล่า
เธอจ้องกรอบรูปหญิงสาวหน้าหวาน วางตั้งไว้ที่ดานหนึ่งของโต๊ะอาหาร รูปนี้ได้มาเมื่อเกือบ 3 ปี แล้ว ตอนที่ลูกกลับมาเยี่ยม เห็นรูปแล้วก็สะท้อนใจด้วยความคิดถึง
นับตั้งแต่กลับไปคราวนั้นจดหมายก็ไม่ได้เขียนมาคุยเลย ครั้งหลังบอกว่า เรียนหนักไม่ค่อยมีเวลา แต่เธอก็ยังพยายามดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย จัดส่งให้มิเคยบกพร่อง แม้ลูกจะขอมาพิเศษก็ไม่เคยปฏิเสธแม้สักครั้ง...
ครั้นเก็บสำรับแล้วจึงออกมานั่งเล่นที่ชานเรือน
นึกถึงเมื่อก่อนสมัยลูกยังเล็ก ร้องไห้งอแงเวลาง่วงนอน ต้องคอยปลอบ กล่อมให้นอนหนุนตัก แล้วเล่านิทานให้ฟังจนหลับผล็อย
"แม่จ๋า หนูรักแม่เท่าฟ้าเลย" เสียงเจื้อยแจ้วยังดังอยู่ในความคำนึงให้ยิ้มปลื้มเสมอ ลูกคงไม่รู้หรอกว่าความรักที่แม่มีให้ลูกนั้น มันมากกว่าที่ลูกมีให้แม่จนประมาณมิได้ และยากเกินจะเอ่ยออกมาได้ ก็ทั้งชีวิตแม่นี้อย่างไรเล่า ที่ยินยอมพร้อมจะพลีให้ และทำทุกสิ่งให้ลูกมีความสุข เติบใหญ่เป็นคนดี เพียงเท่านี้แม่ก็พอใจแล้ว
"แพรอยากทำงานอะไรลูก" เธอถามลูกเมื่อเริ่มเรียนมัธยมปลาย
"แพรอยากเรียนกฎหมายจ้ะแม่ แพรอยากเป็นทนายความ จะได้ช่วยคน ที่ไม่รู้กฎหมายที่ถูกเอาเปรียบ ถ้าเขาไม่มีเงินแล้วมีปัญหา หนูก็จะว่าความให้ฟรีจ้ะแม่ นางลูบผม ยิ้มชื่นชมกับความคิดความอ่านของลูก
"แต่เรียนมหาวิทยาลัยมันก็ใช้จ่ายเยอะนะแม่ หนูเลยคิดว่าพอจบมอหกแล้วอาจจะหางานในเมืองทำ อีกอย่าง จะได้อยู่ใกล้ๆ คอยดูแลแม่ไง" ว่าแล้วก็ซบลงหนุนตัก
"อย่าห่วงเลยลูก ถ้าอยากเรียนต่อก็เรียนเถอะ เรื่องเงินน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก สวนกุหลาบหลังบ้านเราก็ยังทำเงินได้ตลอดปี ป้ามาลีก็ยังมารับไปขายที่ตลาดทุกเช้า เงินเราไม่ขาดมือหรอกลูก"
วันที่เธอปลื้มใจอีกครั้งก็ตอนที่ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้.จำได้ว่าของขวัญที่ให้เป็นรางวัลลูกคือ เสื้อถักไหมพรมสีครีม สีที่ลูกชอบ เธอถักเสร็จในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพราะตื่นเต้นดีใจ บางวันถักเสียจนถึงเช้าเผื่อว่าลูกจะได้ใส่นอนที่กรุงเทพฯ เพราะไม่รู้ว่าตอนกลางคืนอากาศจะเย็นเหมือนที่ลำปางหรือเปล่า
"ป้าเนียร.ป้าเนียร" เสียงเรียกจากหน้าบันไดปลุกนางตื่นจากภวังค์ พบลำไยลูกลุงชิดยืนชะเง้ออยู่
"อ้าว ว่าไงลูก กลับมาเยี่ยมบ้านรึ ขึ้นมาบนเรือนก่อนสิ
"ไม่เป็นไรจ้ะป้า พอดีหนูผ่านมาเลยแวะทัก....เออ แล้วแพรไม่กลับมาบ้านหรอกรึถามพลางชะเง้อ
ไม่ได้มาหรอกลูก...คงไม่มีเวลามั้ง"
"เอ..ก็ไหนเขาบอกหนูว่าจะกลับมาบ้านแต่ช่างเหอะ...ตกลงป้าจะลงไปกรุงเทพฯวันไหนล่ะ"
"ไปทำไมล่ะลูก" เธอถามด้วยฉงน
"อ้าว! นี่ป้าไม่รู้หรอกเหรอ หนูกับแพรน่ะ เราเรียนจบกันหลายเดือนแล้ว เนี่ยหนูมาส่งข่าวที่บ้าน จะให้ลงไปงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยวันพุธหน้า ส่วนแพรเขารับวันจันทร์"
"จริงเหรอลูก" เธอตื่นเต้นดีใจ "สงสัยแพรคงยุ่งอยู่ล่ะมั้ง เลยลืมส่งข่าวแม่ เห็นแต่วันก่อนก็ส่งโทรเลขมาขอเงินมากโข ดีนะที่ลำไยมาบอกป้า ไม่งั้นแพรคงเสียใจแย่ที่แม่ไม่ได้ไปงานรับปริญญา"
"แล้วป้าไปถูกมั้ยล่ะ"
"ก็น่าจะถูกนะลูก ป้าเคยไปเยี่ยมแพรที่หอพักเมื่อตอนเข้าเรียนใหม่ๆ เห็นว่ามหาวิทยาลัยก็อยู่ใกล้ๆ กับหอพัก ป้าว่า ถามคนแถวนั้นคงจะรู้"
"ถ้างั้นหนูคงไม่ห่วงล่ะ อ้อ!ป้าไปแต่เช้าหน่อยก็ดีนะ จะได้ไปถ่ายรูปกับแพรก่อนเข้าห้องประชุม เห็นว่านัดเจอกับเพื่อนหน้าตึกคณะนิติศาสตร์ตอน 7 โมงเช้า หนูก็ว่าจะแวะไปเหมือนกัน...ถ้างั้นหนูลาป้าล่ะนะพ่อรอกินข้าวอยู่ แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ นะป้า" ลำไยยกมือไหว้ลา
ลำไยกลับไปพักใหญ่แล้ว แต่เธอยังคงตื่นเต้นไม่หาย ดีใจที่จะได้เห็นรอยยิ้มปลาบปลื้มของลูก
ค่ำคืนนี้ช่างเป็นคืนที่เธอนอนหลับอย่างมีความสุขเหลือเกิน พร้อมใบหน้าลูกสาวยิ้มละไมลอยอยู่ในความฝันตลอดคืน
* * * *
ฝนหมาดฟ้าไปพักใหญ่ พร้อมกับเวลาผ่านล่วงเข้าสู่วันใหม่ หลายชีวิตซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มหนาหลับตาพริ้มอย่างสุขใจ
ตึกสูงหลังนั้นแฝงกายอยู่หลังชุมชนอันหนาแน่น ติดชิดกับคลองระบายน้ำสายเล็กๆ สีดำสนิท ห้องพักหลายสิบห้องถูกจัดสรรให้เป็นที่เช่าพักสำหรับสตรี
บนชั้น 3 เวลานี้มีเพียงห้องพักมุมซ้ายสุดเท่านั้น ที่ไฟยังคงเปิดสว่าง หญิงสาวเจ้าของห้องกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงมีผ้าห่มคลุมอยู่เหนืออก ใบหน้ารูปไข่ จมูกรั้นเชิดกับดวงตากลมโตเป็นประกาย ปากสวยได้รูป คิ้วเข้มรับกับผมดำขลับประบ่า มันทำให้เธอโดดเด่นกว่าใครในบรรดาเพื่อนสาวที่เคยเรียนร่วมกัน และรับเลือกให้เป็นดาวประจำคณะและชั้นปี เหตุนี้เองเธอจึงเป็นที่ต้องตาของทั้งเพื่อนชายและรุ่นพี่จำนวนมาก
ทว่าในบรรดาชายหนุ่มที่เข้ามาผูกไมตรีเห็นจะมีเพียงจาตุรนต์เท่านั้น ที่เธอให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ที่สุภาพ ให้เกียรติเธอ รักเธอเสมอต้นเสมอปลาย ที่สำคัญเขาเป็นทายาทคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดัง อันเป็นที่แน่นอนว่าหากเธอลงเอยกับเขา ชีวิตนี้คงมีความสุข และหลีกพ้นจากสิ่งที่เธอได้พยายามตะเกียกตะกายหนีมัน
ภาพลักษณ์ของเธอที่ชายหนุ่มและเพื่อนๆได้รับรู้จากปากของเธอคือ เป็นลูกนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมหรูทางภาคเหนือ สิ่งนี้มันทำให้เธอมีความรู้สึกสับสนในตนเอง และหวาดระแวงเสมอว่า จะทำเช่นไรหากเขารู้ความจริง
หญิงสาวเหลือบมองดูภาพถ่ายในวัยเยาว์ ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา จะเป็นใครเสียอีกเล่านอกจากคนที่เธอเรียกว่า แม่
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอพยายามลบภาพแห่งความทรงจำดีๆ กับสิ่งที่ได้รับจากสตรีผู้นี้ ความรัก ความเข้าใจ การเอาใจใส่ การจัดสรร แววตาแห่งความอาทร ความทุกข์ร้อนเมื่อยามที่เธอทุกข์ใจแต่กลายกลับเป็นว่า แม่ทุกข์ทนยิ่งกว่า
เธอยอมรับว่าไม่มีผู้ใดจะดีเลิศและปรารถนาดีต่อเธอเท่ากับแม่ แต่สิ่งที่เธอมิอาจยอมรับได้คือ ฐานะแท้จริงของทางบ้าน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ แล้ว เธอช่างดูด้อยกว่าใคร แม้ว่าจะต้องหลอกตัวเอง แต่เธอยินดีที่จะเลือกเช่นนั้น เป็นเหตุผลหนึ่งที่เธอไม่บอกกล่าวให้แม่มางานรับปริญญาในอีก 2 วันข้างหน้า
"ว้า..เสียดายจังคุณแม่มางานรับปริญญาของแพรไม่ได้แล้วล่ะ" เธอนึกถึงการสนทนาหลังทานอาหารเย็นที่ร้านหรูกลางกรุงกับคนรัก
"อ้าว..ทำไมล่ะครับวันสำคัญอย่างนี้คุณแม่น่าจะปลีกตัวมานะครับ"
"คงสุดวิสัยค่ะ เพราะท่านโทร.มาบอกเมื่อตอนบ่ายว่า ตอนนี้ยังอยู่ที่เดนมาร์ก คุณน้าป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล ที่นั่นไม่มีใครคุณแม่เลยต้องอยู่ดูแล กลับมาไม่ทันค่ะ"
เธอนึกขันกับท่าทีของชายหนุ่มที่เชื่อเธออย่างสนิทใจ แต่ส่วนลึกรู้สึกผิดและเริ่มสับสนมากขึ้นว่าเธอจะโกหกเขาไปได้นานเพียงไร ในเมื่อความจริงย่อมเป็นความจริง เธอพยายามบังคับไม่ให้ใจคิดกังวล หญิงสาวถอนหายใจพร้อมกล่าวออกมาเบาๆ
"ขอโทษด้วยนะคะคุณแม่ หนูจำเป็นค่ะ" กรอบรูปถูกวางคว่ำลงอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนหญิงสาวจะปิดไฟแล้วพลิกตัวหันกลับหลับตาอย่างไม่ไยดี..
* * * * *
แสงทองเริ่มแต้มขอบฟ้า อากาศวันนี้ช่างสดใส จำเนียรเสร็จกิจจากการรดน้ำและริดใบในสวนกุหลาบหลังบ้านแล้ว เธอยืนมองดูฟ้าซึ่งรู้สึกว่าสวยกว่าทุกวัน เธอยิ้มให้กับตนเองด้วยความสุขล้นในใจ
เย็นวันนี้แล้วสินะ ที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ... ลูกคงจะดีใจที่ได้เห็นเธอไปแสดงความยินดี แม้ว่าสุขภาพจะไม่สมบูรณ์นัก เพราะอาการปวดหลัง แต่ก็พอฝืนไปได้ หากไม่ไปลูกคงเสียใจแย่ ต่อไปคงมีรูปสวยๆ ถ่ายกับลูกในชุดครุยมาติดที่บ้านให้ได้ภูมิใจ
หลังทานข้าวเช้าเสร็จ จำเนียรก็เริ่มจัดกระเป๋าเดินทาง นางรู้สึกใจหายเมื่อนึกขึ้นได้ว่า เสื้อผ้าชุดที่ดูพิเศษแทบจะไม่มีเลย ทำไมนะเมื่อวานก็เข้าเมืองน่าจะซื้อใหม่สักชุด แต่มาคิดดูอีกที เก็บเงินไว้เผื่อขาดเหลืออะไรลูกอาจต้องใช้จ่ายน่าจะดีกว่า ผ้าซิ่นฝ้ายทอลายสวยสีอาจจะซีดไปสักหน่อย กับเสื้อม่วงหม่น มีระบายลูกไม้แบบเรียบๆ ชุดนี้ก็คงดูสมฐานะดี สวมสร้อยไข่มุกสักหน่อย เพียงเท่านี้ก็คงพอแล้ว
* * * * *
เพียงก้าวแรกที่เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย จำเนียรก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาลูกสาวพบ ผู้คนมากมายละลานตาไปหมด นิสิตในชุดครุยและญาติพี่น้องถ่ายรูปร่วมกันต่างยิ้มแย้มแจ่มใส วันนี้มหาวิทยาลัยที่เคยดูกว้างใหญ่เลยดูแคบไปถนัดตา นับเป็นครั้งแรกที่เธอมามหาวิทยาลัยของลูก จำได้แต่เพียงที่หนูลำไยบอกว่า ต้องไปที่ตึกคณะนิติศาสตร์ นึกได้จึงถามยามที่ประตูแล้วเดินไปตามคำบอกกล่าวซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
"หนุ่มจ๊ะตรงนี้คณะนิติศาสตร์ ใช่มั้ย" นางถามนิสิตชายคนหนึ่งที่ดูคล้ายยืนรอใครอยู่
"ใช่ครับ"
"งั้นหนูพอจะรู้จักจันทพรรึเปล่าจ๊ะ เห็นเขามั้ย"
"อ๋อ..รู้จักสิป้าคนดังใครก็รู้จัก..แถมมีแฟนรวยอีกต่างหาก โน่นแหน่ะ กำลังถ่ายรูปอยู่ซุ้มหน้าตึกไงครับ" ชายหนุ่มชี้บอกทาง
เธอรีบสืบเท้าตรงไปยังที่หมาย พบลูกสาวในชุดครุย ช่างสวยสง่า รุมล้อมด้วยเพื่อนๆ และชายหนุ่มเคียงข้างคอยซับเหงื่อให้ เธอรีบปรี่เข้าไปใกล้ด้วยความดีใจ แล้วเรียก
"ลูกแพร"
หญิงสาวหันขวับมายังเสียงเรียก ครั้นพบว่าเป็นใครใบหน้าถึงกับซีดเผือด เธอนึกไม่ถึงว่าแม่จะมา กลุ่มเพื่อนที่รายล้อมทุกคนต่างหันมองมายังหญิงวัยกลางคนในชุดที่ดูมอซอเป็นตาเดียว พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจ นี่หรือแม่ของจันทพร ผู้เป็นดาวคณะ ที่เคยบอกว่าเป็นลูกของนักธุรกิจชั้นนำทางภาคเหนือ ทุกคนมองหญิงแปลกหน้าและดูปฏิกิริยาของเพื่อนสาว พร้อมคำถามที่รอคำตอบ
"เอ่อ ขอโทษนะคะ คุณป้าคงทักคนผิดแล้วล่ะค่ะ" หญิงสาวตอบกลับไป แล้วสะกิดเพื่อนเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อถ่ายรูปต่อ
จำเนียรยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่อยากเชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ เป็นไปได้อย่างไร ที่ลูกจะจำเธอไม่ได้ และไม่อยากเชื่อว่าเธอจะถูกปฏิเสธจากลูกจากหญิงสาวที่เธอทะนุถนอมบรรจงสร้างชีวิตมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนเติบใหญ่ พร้อมความอบอุ่นที่มีให้มากที่สุด เท่าที่จะให้ได้ เพื่อชดเชยจากการที่ลูกขาดพ่อ
ดวงตาของเธอเหม่อลอยดังคนไร้สติ เรี่ยวแรงจะก้าวเดินแทบจะไม่มีเหลือ น้ำตาแห่งความผิดหวังเอ่อล้นจนท่วมใจแล้วไหลอาบลงสองแก้ม เธอหันหลังกลับช้าๆ เดินจากมาอย่างไร้จุดหมาย แต่ในใจส่วนลึกยังคงคิดว่า ลูกคงมีเหตุผล และเธอก็พร้อมที่จะรับฟังเมื่อลูกพร้อมจะเล่า
* * * * *
แม้รถจะออกเดินทางจากกรุงเทพฯมานานหลายชั่วโมงแล้ว และผู้คนในรถต่างหลับใหลอยู่ในความมืด มีเพียงเสียงรถและเครื่องปรับอากาศที่ดังเบาๆ แต่จำเนียรยังไม่ได้งีบหลับเลยแม้สักนิด แสงที่สาดเข้ามายามที่รถสวนทาง สะท้อนเงาลำธารน้ำตาที่ไหลพรากเป็นสาย โดยไม่รู้ว่าเสียไปมากเท่าใดแล้ว
เรื่องราวแต่ก่อนเก่า หลายภาพหลายเหตุการณ์วนเวียนเข้ามาในความคำนึงไม่รู้หมดสิ้น ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กๆ น่ารัก ช่างเจรจา ที่ค่อยๆ เติบใหญ่ผ่านการดูแลอบรมเอาใจใส่ของเธอและสามี ดุจลูกในไส้ ทุกถ้อยคำในบทสนทนาระหว่างเธอกับเขา ก่อนที่จะมีเด็กหญิงในบ้าน เธอยังจดจำได้ไม่รู้เลือน
เนียร...พี่อยากจะปรึกษาเนียนหน่อยจ้ะ สามีเอ่ยขึ้นหลังอาหารเย็น
เรื่องอะไรจ๊ะพี่
เราอยู่กินกันมาก็นานพี่ว่าเนียนคงจะเหงา...พี่เองก็อย่างที่รู้... พี่เห็นเนียนชื่นชมลูกชาวบ้านเขาก็อดสงสารไม่ได้... เขาจ้องตาเธอจริงจังก่อนพูดต่อ ...เนียรคิดยังไง...ถ้าเราจะไปขอเด็กที่โรงพยาบาลในเมืองมาเลี้ยง...พี่ว่าเด็กที่คลอดมาแล้วแม่ทิ้งนี่ โตมาต้องกำพร้า ขาดความอบอุ่น...น่าสงสารนะ
จริงเหรอพี่... เธอยิ้มตาเป็นประกาย เนี่ยฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน พี่อ้อยบ้านโน้นที่พี่ป้อมแฟนเขาเป็นหมัน เขาก็คิดเหมือนพี่นี่แหละ เขาบอกฉันวา เด็กอ่อนที่โรงพยาบาลในเมือง มีแม่วัยรุ่นคลอดแล้วทิ้งเยอะขึ้นทุกวัน ทางโรงพยาบาลเขาก็อยากหาพ่อแม่บุญธรรมรับไปเลี้ยงเหมือนกันถ้าเราขอมาเลี้ยงซักคน คงจะดี สิ่งที่เราช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวมาจะได้มีคนช่วยดูแลต่อ ฉันเองก็จะไม่เหงา มีเด็กวิ่งในบ้าน ครึกครื้นดีออก
งั้น วันมะรืน เราไปที่โรงพยาบาลกันนะ สามีเอ่ยพลางเอื้อมบีบมือเธอ
วันที่เธอกับสามีไปทำเรื่องขอเด็กอ่อนมาเลี้ยง เธอยังจำภาพนั้นได้ดี ภาพของทารกเพศหญิง ที่เพียงได้พบหน้า แววตาสองคู่ที่ประสานกัน เสมือนความผูกพันนั้นมีมานานนัก เธอรักเด็กน้อยตั้งแต่แรกอุ้ม และทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เฝ้าดูแลเอาใจใส่ อบรมด้วยความรัก แม้ในยามที่สามีจากไป ความรักที่ให้ก็ยิ่งเพิ่มทวีไม่เคยลดน้อยถอยลง ทว่าไม่เคยคาดคิดแม้สักนิดว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนแปร ความรักที่เด็กหญิงซึ่งนางไม่เคยบอกความจริง จะตอบแทนความรักต่อเธอเช่นนี้
คิดถึงเพียงเท่านี้ เสียงกรีดร้องมาจากตอนหน้าของรถก็ดังลั่น แข่งกับเสียงบีบแตรยาว ตามมาด้วยเสียง โครม!!!
แล้ว....สติของเธอก็ดับวูบ....
* * * * * * * * * *
9 มิถุนายน 2549 17:50 น.
ทิวสน
เรื่องเก่าเล่าขาน...ตำนานข้าวต้มกุ๊ย
โดย เจ้าชายน์ติ๊ง
tewson7@hotmail.com
สิ่งที่เราเห็นและเป็นอยู่ กับสิ่งที่เรียกขานจนคุ้นชิน บางครั้งเมื่อลองนึกทบทวนก็ชวนให้สงสัยใคร่รู้ ถึงที่มาที่ไปในสิ่งนั้น ความสงสัยจะกระจ่างก็ต้องเล่าอ้างคนแก่คนเฒ่า ให้ช่วยเล่าขาน ว่าตำนานมีมาอย่างไร ในครั้งนี้เราจะรู้กันว่าแท้จริง ข้าวต้มกุ๊ย มีตำนานความเป็นมาอย่างไรช้าอยู่ไย ไปพบความ ค่อนข้างจริงโดยพลัน!!
* * *
ข้าวสวยเมล็ดนุ่ม-หอม กรุ่น ในน้ำร้อน
เมื่อใดที่มีภารกิจต้องทำจนดึกดื่น ค่อนคืน ล่วงสี่ทุ่ม ห้า ทุ่ม สองยาม ข้ามวันใหม่ ก่อนจะกลับไปหลับพักผ่อน ส่วนใหญ่ใครต่อใครมักหาอะไรเอาใจกระเพาะน้อยๆ มิเช่นนั้นคงหลับไม่เป็นสุขลุกไม่สะดวกแน่ หนึ่งในเมนูยอดนิยมของอาหารก่อนนอนตอนดึก เรามักนึกถึงโจ๊ก หรือไม่ก็ ข้าวต้มกุ๊ย
คนส่วนใหญ่ทราบดีว่า ข้าวต้มกุ๊ย ข้าวขาวเมล็ดสวย ในน้ำใส-น้ำข้น เป็นที่นิยมรับประทานมานานนักแล้ว และพบนิยมทั่วไปไม่ว่ามุมใดของโลก ทั้งยังหลงผิดคิดว่าเป็นสิ่งที่คู่กันมากับอาหารจีน แต่แท้จริงแล้ว ข้าวต้มกุ๊ย มีต้นกำเนิดเกิดขึ้นที่ สยามประเทศ นี้เอง!
นั่นไงนึกแล้วว่าหลายคนต้องสงสัย ไม่มั่นใจ ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ผู้เขียนขอบอกว่า เป็นไปได้และเป็นไปแล้ว เป็นมามากกึ่งศตวรรษ หาใช่ร้อยวันพันปีดังที่หลายคนเคยคาดเดาและเข้าใจ ถ้าอยากรู้อยากเข้าใจ ก็ลองเปิดใจ ผ่อนคลายสบายๆ พบคำตอบของที่มาที่ไปได้ ในบรรทัดถัดจากนี้
จุดเริ่มต้นของเรื่องอาจดูเหมือนไม่เกี่ยวเนื่องกับจุดสรุป หากจะบอกว่า กำเนิดของ ข้าวต้มกุ๊ย กับวงการภาพยนตร์ เป็นจุดร่วมกำเนิดของตำนานนี้
จากการศึกษาค้นคว้าของ มหาวิทยาลัยเยล และ คิงส์คอลเลจ พบว่าพัฒนาการของวงการภาพยนตร์มีมาตั้งแต่ราวปลายศตวรรษที่ 18-19 ในยุโรปและแผ่ขยายทั่วไป รวมทั้งการนำเข้ามาในประเทศไทยราว 100 ปีเศษ ซึ่งขณะนั้นเป็นการนำเข้ามาของราชคันตุกะชาวตะวันตก นำมาฉายถวายในพระราชสำนัก และต่อมาประชาชนทั่วทั่วไปก็มีโอกาสได้ชม ถือเป็นมโหรสพที่แปลกใหม่ในสมัยนั้น
ต่อมาชาวอเมริกันสแตนด์ดาร์ด อ๊ะ!ไม่ใช่สิ อเมริกันเฉยๆ ได้ทดลองถ่ายทำภาพยนตร์ไทย เรื่องนางสาวสุวรรณ ขึ้น ซึ่งเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรก โดยเป็นภาพยนตร์ขาว-ดำ ไร้เสียง หรือเรียกว่า หนังเงียบ และได้มีการถ่ายทอดวิชาการถ่ายทำภาพยตร์จนคนไทยเริ่มสร้างภาพยนตร์ไทยได้เอง พร้อมๆ กับการเกิดอาชีพนักแสดงไทยขึ้น
ในยุคแรกของภาพยนตร์ไทย ได้รับการสนับสนุน ด้วยดีจากผู้สร้างผู้กำกับชาวตะวันตก และมีการถ่ายทอดศิลปะการแสดงจากนักแสดงฮอลลีวูดให้กับนักแสดงไทย ทำให้เกิดความสนิทสนมกันระหว่างนักแสดงทั้ง 2 ชาติ
นักแสดงไทยที่เป็นที่รู้จักในยุคแรกนั้น ไม่มีใครไม่รู้จัก หลวงอภิบาล และคุณฉิม นฤดลมนตรี 2 สามีภรรยาซึ่งเป็นข้าหลวงฯ และเป็นนักแสดงยอดนิยมในยุคแรก อีกทั้งยังสนิทสนมกลมเกลียว ถึง 3 เกลียวบวกลังกาหลังอีก 1 รอบ (สนิทมาก) กับครอบครัวนักแสดงฮอลลีวูดยอดนิยมในยุคนั้น คือ นายทอม ครุยส์ อี. เมเจอร์ กับนางซาร่า ครุยส์ อี. เมเจอร์ (จากหลักฐานกรมสรรพากรสหรัฐอเมริกา แจ้งว่า นายทอม ครุยส์ อี.เมเจอร์ เป็น บิดาของปู่ ของ ทอม ครุยส์ นักแสดงยอดนิยมที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน)
ทั้งสองครอบครัวไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ จากแรกนั้นไปมาหาสู่เพราะต้องติดตามผู้กำกับชาวอเมริกันอันเนื่องมาจากเรื่องงาน แต่ในภายหลัง ครอบครัวเพื่อนชาวอเมริกัน ดั้นด้นมาสยาม(ชื่อเรียกสมัยนั้น) ก็เพราะความสนิทสนมส่วนตัวและชื่นชอบสถานที่ท่องเที่ยวของไทย และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ถูกปากอาหารไทยรสมือคุณฉิม ด้วยเหตุนี้คราใดที่ได้ต้อนรับครอบครัวทอม ครุยส์ ฝ่ายไทยจะทำอาหารไทย ถึงรส ถึงลูกถึงคน คอยเลี้ยงรับรองเสมอ
ปลายฝน ต้นหนาวปีที่ 5 ในความสนิทสนมกลมเกลียว ของ 2 ครอบครัวครอบครัวของหลวงอภิบาล ก็ได้มีโอกาสต้อนรับครอบครัว ทอม ครุยส์ อีกครั้งหนึ่ง
การมาเยือนครั้งนั้น อาหารเย็นวันแรก คุณฉิมก็ได้ทำอาหารไทยที่นายและนางทอม ครุยส์ ชื่นชอบเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็น แกงส้มปลาช่อนตัวผู้ใส่ผักกระเฉดสวนสามพราน ไข่ตุ๋นวุ้นกะทิ น้ำพริกกะปิศรีราชา ปลาร้าหลนทรงเครื่อง แกงจืดมะระตุ๋นกระดูกหมูมะนาวดองเมืองเพชร และที่ขาดเสียไม่ได้ เพราะหากลืมเป็นงอน คือ ต้มยำกุ้ง ทานกับข้าวสวยหอมมะลิ หุงโดยใช้หม้อดิน
หกโมงเย็น เป็นเวลาอาหาร ทุกอย่างขึ้นโต๊ะรอรับประทาน 2 สามีภรรยาเพื่อนผู้มาเยือน
ดีใจจนน้ำลายไหลสามหยด เมื่อทราบถึงเมนูมื้อนี้ ครั้นนั่งลงพร้อมจะรับประทานอาหารที่ตรงหน้า 2 ครอบครัวก็อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร แล้วหลวงอภิบาลและคุณฉิมก็ตักอาหารทานคำแรกโดยไม่งอศอก.คือ ตักให้เพื่อนชาวอเมริกัน บรรยากาศการรับประทานมีทีท่าว่าจะเต็มไปด้วยรสชาติและไมตรีอันดี ทว่าเพียงคำแรกที่ ทอม ครุยส์ ตักกับบนข้าวเข้าปาก-เคี้ยว. ก็สะดุด หยุดนิ่ง มองซ้ายขวา เหมือนว่ามีปัญหาใช่ อาหารมื้อนั้นมีปัญหา เพราะข้าวสวยร้อนๆ ก่อนนั้นเคยทานแต่ข้าวหอมมะลิหอมๆนุ่มๆ กรุ้มกริ่ม แต่ครั้งนี้ทำไม กรุบๆ ไม่หนุบหนับรับรสกับ กับข้าวที่อร่อยเอร็ดปัญหาอยู่ที่ข้าวข้าวแข็งที่แข็งเพราะข้าวสุกแต่ยังไม่แตกเมล็ดดี ข้าวที่เคี้ยวจึงเป็นปัญหา
ทุกคนบนโต๊ะอาหาร ต่างเห็นอาการที่เดาไม่ถูกของ ทอม ครุยส์ และรอว่าจะพูดอะไร ครั้นหลวงอภิบาลถามถึงรสชาติ อีกฝ่ายก็บอกว่าอร่อย แต่ทุกคนก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่า ข้าวแข็ง
ทอม ครุยส์ มองซ้าย แลขวา คล้ายว่าจะหาอะไร และเหลือบไปเห็นกาต้มน้ำมีควันพวยพุ่ง เดือดพล่าน ขณะที่คุณฉิมจะเอ่ยปากถามว่าต้องการอะไร ทอม ก็ถือจานข้าว ลุกขึ้นไปที่ครัว และยกกาน้ำร้อนรินน้ำเติมลงในจานนั้น ทุกคนมองหน้ากันอย่าง งวย-งง ฝ่ายทอม เดินกลับมาที่โต๊ะ วางจาน แล้วคนน้ำร้อนให้เข้ากันกับข้าวสวย และยิ้มให้กับทุกคน แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงครู่ก็ตักข้าวสวยในน้ำร้อนใส่ปาก-เคี้ยว แล้วสีหน้าทอมก็เปลี่ยนไป พร้อมอุทาน ยอดเยี่ยมนุ่ม อร่อย ละมุนลิ้น แล้วก็ชวนทุกคนลองทานข้าวสวยในน้ำร้อน ซึ่งก่อนนี้เมล็ดข้าวจะแข็ง แต่ตอนนี้ ข้าวนุ๊มมมมนุ่มนุ่มลงจริงๆ คุณฉิมจึงนำน้ำร้อนมาเติมในข้าวให้กับทุกคน และทานอาหารมื้อนั้นกันชนิดรื่นเริงบันเทิงลิ้น
และอาหารมื้อต่อมาไม่ว่ากับข้าวจะเป็นอะไร แต่ข้าวที่ทานจะเป็นข้าวสวยในน้ำร้อนทุกมื้อ กระทั่งเพื่อนชาวอเมริกันกลับไป
จากวันนั้น ครอบครัวหลวงอภิบาลก็จะทำข้าวประเภทนี้ที่เพิ่งค้นพบโดยทอม ครุยส์ ทานทุกวัน ทั้งยังแนะนำไปยังเพื่อนบ้านใกล้เคียง และมีการบอกสูตรข้าวนี้แบบปากต่อปาก ไปถึงไหนต่อไหน กระทั่งไปถึงหูอธิบดีกรมโคดสะนากาน (โฆษณาการ / กรมประชาสัมพันธ์) จึงเชิญครอบครัวของหลวงอภิบาล มาให้สัมภาษณ์ทางรายการวิทยุกระจายเสียงฯ ถึงสูตรและความเป็นมาของข้าวประเภทนี้ ที่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกที่บ้านหลวงอภิบาล และเป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนั้น หลวงอภิบาลได้หารือกับศรีภรรยาและได้ข้อสรุปว่า ควรตั้งชื่อข้าวชนิดนี้ โดยให้เกียรติแก่ผู้คิดค้นคือ ทอม ครุยส์ อี. เมเจอร์ จึงให้ชื่อข้าวชนิดนี้ว่า ข้าว ทอมครุยส์ แต่นั้นมา
จากการออกอากาศรายการวิทยุ พร้อมเปิดเผยสูตรง่ายๆ ในวันนั้น ก็เกิดความนิยมข้าวชนิดนี้แพร่หลายไปทั่วประเทศ และยังมีคนไทยนำไปเผยแพร่ยังต่างประเทศ ระยะเวลาอันยาวนานได้เกิดพัฒนาการของข้าว ทอม ครุยส์ ไปหลายรูปแบบ เช่น นำข้าวสวยมาต้มกับน้ำร้อนโดยตรง บ้างก็นำใบเตย 1 มัด ใส่ในน้ำร้อนต้มไปด้วย เพื่อเพิ่มความหอม บ้างก็ใส่เกลือเล็กน้อย บ้างก็ใช้วิธีต้มข้าวสารจนกลายเป็นข้าวทอม ครุยส์ บ้างก็หั่นเผือกดิบเป็นลูกเต๋าเล็กๆ พร้อมลูกเดือยใส่ลงไปพร้อม บางรายเอาดีในทางนี้ ก็เปิดร้านขายอาหาร และประชาสัมพันธ์เชิญชวนลูกค้า ด้วยป้ายข้อความ ร้านนี้มีข้าว ทอม ครุยส์ จนขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเททิ้ง เอ๊ย เท ท่า
ในช่วงหลังมีการพัฒนาเรื่องกับ ที่ทานกับข้าว ทอม ครุยส์ โดย เน้นไปที่ของแห้ง ที่นำมาทอด หรือยำ เช่น กุ้งแห้ง ปลาหมึกกล้วย ไข่เค็ม ผักกาดดอง ผัดหัวผักกาดใส่ไข่ ผัดผักบุ้ง-ผัดผักกระเฉดไฟแดง เป็นต้น
กาลเวลาล่วงผ่านนานวัน การรับประทาน ข้าว ทอม ครุยส์ เป็นที่นิยมไม่หยุดยั้งทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ทางตอนเหนือ ซึ่งอากาศค่อนข้างเย็นเกือบตลอดปี เมื่อได้ทานข้าวชนิดนี้ ก็ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นดีนักแล โดยเรียกข้าวชนิดนี้ว่า โจว ตามความเข้าใจว่ามาจากข้าวสวยต้มในน้ำร้อน
ในประเทศไทย เมื่อเวลาทอดยาวนานไป ชื่อเรียกแรกเริ่มแต่เดิมนั้นก็เปลี่ยนเพี้ยนไปหลายๆ ชื่อ เช่น ข้าวทอมครุยส์, ข้าวหอมฉุย, ข้าวต๋อมตุ๊ย, ข้าวทอมคุ๊ย, ข้าวหอมวุ๊ย, ข้าวต้อมครุยส์, ข้าวต้อมกึ๋ยส์, ข้าวต้มกึ๊ยส์, ข้าวต้อมกุ่ย, ข้าวต้มกุ่ย, ข้าวต้มกุ้ย, จนมาเป็น ข้าวต้มกุ๊ย ในที่สุด
ข้าวต้มกุ๊ย กลายเป็นชื่อเรียกติดปากในปัจจุบัน และเป็นที่นิยมทั่วโลก โดยมีเพียงคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ทราบความจริงว่า ข้าวต้มกุ๊ย มีถิ่นกำเนิดเกิดที่ กรุงเทพฯ ณ สยามประเทศ เมื่อราวศตวรรษที่ผ่านมา โดยการค้นพบโดยบังเอิญ ของ อดีตนักแสดงฮอลลีวูด ยุคบุกเบิก ชื่อ ทอม ครุยส์ อี.เมเจอร์ เมื่อคราวมาเยือนเพื่อนนักแสดงชาวสยาม
แม้แต่ ทอม ครุยส์ นักแสดงฮอลลีวูดยุคปัจจุบัน อาจจะไม่เคยทราบความจริงมาก่อนว่า แท้จริงแล้ว มิสเตอร์ ทอม ครุยส์ อี.เมเจอร์ ปู่ทวดของเขา เป็นผู้ให้กำเนิด ข้าวต้มกุ๊ย
* * * * * * * * * *
หมายเหตุ
ขอรับรองว่าเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นความจริงเฉพาะ...
1.นางสาวสุวรรณเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรก (แต่ไม่ได้สร้างและถ่ายทำโดยคนไทย)
2.ภาพยนตร์ไทยมีกำเนิดครั้งแรกเมื่อราว 1 ศตวรรษที่ผ่านมา
3.ภาพยนตร์ยุคแรกเป็นขาว-ดำ และไม่มีเสียง เรียกว่าหนังเงียบ
4.กรมโคดสะนากาน คือ กรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน
5.ประเทศไทยเปลี่ยนชื่อมาจากสยาม ยังไม่ถึงร้อยปี
6.ข้าวต้มกุ๊ย ภาษาจีนกลางเรียกว่า โจว
7.ประเด็นอื่นๆ ขอรับรองว่าเป็นความไม่จริงแทบทุกประการ
ประเด็นอื่นๆ ที่เป็นจริงและควรทราบ
1.ข้าวต้นกุ๊ยแรกเริ่มเรียกกันว่า ข้าวต้มพลุ้ย โดยเรียกจากอากัปกริยา เวลาคนจีนกินจะนั่งยองๆ แล้วใช้ตะเกียบพลุ้ยข้าวเข้าปาก
2.จับกัง แต่เดิมเรียกว่า กุ๊ย ด้วยรายได้ไม่มากจึงทานอาหารง่ายๆ ราคาถูก เช่น ไข่เค็มหนึ่งซีก กับข้าวต้มเต็มถ้วยก็อิ่มท้อง และราคาเบา (ไม่กี่สตางค์ / ในสมัยเมื่อราวๆ 50 ปีก่อน)
3.ในช่วงก่อสร้างถนนแถวราชดำเนิน และเลียบคลองหลอด มีการเกณฑ์แรงงานคนจีนที่เข้ามาเมืองไทย และทำงานโดยใช้แรงงานมารับจ้าง หัวหน้าที่คุมงานไม่ค่อยมีน้ำใจเท่าใดนัก นำค่าจ้างที่ได้จากการรับเหมามาจัดสรรเลี้ยงข้าวกุ๊ย ด้วยข้าวต้ม ส่วนกับมักจะผัดก้อนกรวดกับเกลือให้คนงานได้อมเพื่อแกล้มกับข้าว นานๆ ครั้งจึงจะมีผัดผักกาดดองบ้าง หรือเต้าหู้ยี๊ เป็นเช่นนี้จนกระทั่งงานก่อสร้างถนนเสร็จสิ้น
นับแต่นั้นก็เรียกข้าวต้มขาวๆ ในน้ำใสบ้าง ข้นบ้างนี้ว่า ข้าวต้มกุ๊ย และต่อมามีการพัฒนาเรื่องกับข้าวที่ทานคู่กัน พร้อมความนิยมที่กว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนจีนก็นิยมกินบ้างก็ยกชั้นถึงระดับอาหารเหลา ดังที่เราพบในปัจจุบัน
เจ้าชายน์ติ๊ง
* * * * * * * * * *
18 ธันวาคม 2547 17:14 น.
ทิวสน
โดย ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com
แดดบ่ายปลายร้อนเคลื่อนคล้อยมาแล้ว ระยับแดดโลดเต้นเหนือท้องทะเลอันดามัน ที่ระบายด้วยสีเขียว ใส โค้งฟ้าสีครามตัดกับผิวน้ำไกลออกไปลิบตาแลดูงดงามสบายตา แฝงความอลังการซ่อนไว้ ลมทะเลโชยพัดหอบไอเค็มบางมาพร้อมกับเกลียวคลื่นขนาดย่อย ที่ม้วนตัวทยอยซัดสู่ฝั่งทักทายทรายขาวอยู่เป็นระลอก
ชาตรี ยืนชมความงามธรรมชาติอยู่ริมหาด เนื้อตัวพราวด้วยน้ำที่เพิ่งขึ้นจากการว่ายเล่นเมื่อครู่ เขายืนทอดสายตาผ่านเลนส์สีเขียวเข้มออกไปสุดปลายฟ้า แล้วหันไปสำรวจรอบกายคล้ายกำลังดื่มด่ำผลงานของจินตกวีผู้ยิ่งใหญ่ ที่บรรจงรังสรรค์ทิวทัศน์เพื่อกำนัลแด่ทุกลมหายใจ
เขาสูดลมหายใจลึก และอยากจะกักเก็บมันไว้เช่นนั้น เพราะนานนักแล้วที่เขาไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์เยี่ยงนี้ ความจริงจะว่าไปแล้วที่ผ่านมาเขาเหมือนอะไรสักอย่างที่ถูกพันธนาการไว้ในกล่องใบใหญ่มีละอองควันสีหม่นห่มคลุมตลอดเวลา ทั่วทุกอณูที่ก้าวย่าง ซึ่งใครต่อใครต่างเรียกขานกล่องใบนี้ว่า "เมืองหลวง"
มันไม่ง่ายนัก ที่เขาจะสามารถปลีกตัวจากภาระหน้าที่มายืนตากอากาศเช่นนี้เพราะตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทแถวหน้าด้านโทรมนาคม ทำให้แทบทุกเวลาทุกนาทีต้องทุ่มเทให้กับงานจนแทบจะลืมไปว่าที่บ้านยังมีภรรยาและลูกรออยู่ ความที่ยังหนุ่มแน่น มีไฟ เวลาจึงหมดไปกับการประชุมวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง เพื่อปรับกลยุทธ์ทางการตลาดในทุกขณะ การมองเกมอย่างเฉียบคมและชาญฉลาดของเขาทำให้ประธานบริษัทไว้วางใจเขามาก
แต่ผลที่ตามมากลับวิ่งสวนทางกันระหว่างความสำเร็จในหน้าที่การงานกับความผูกพันในชีวิตครอบครัว ที่จวนเจียนที่จะพังครืนลงได้ทุกขณะ หากเขาไม่คิดทำอะไรเพื่อประสานความสัมพันธ์ผูกพันไว้ เขาได้แต่หวังว่าสักวันคงจะสบายขึ้นเมื่อสามารถจัดสรรการงานให้คนภายใต้มาช่วยแบ่งเบาภาระเมื่อนั้นคงมีเวลา ไม่ต้องห่วงกังวลอะไร เมื่อนั้นคงมีเวลาพาครอบครัวมาพักผ่อนตากอากาศบ้าง นั่นคือ ความตั้งใจ
กระทั่งผ่านพ้นมาเกือบ 3 ปี จึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนี้ ย้อนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาพาครอบครัวเหินฟ้าจากเมืองหลวงลงมาพักผ่อนที่ทะเลทางภาคใต้ แม้จะใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษในการเดินทาง แต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าหลุดออกมาอีกโลกหนึ่งทีเดียว
ชายหนุ่มหันกลับ เดินไปยังเปลผ้าใบซึ่งมีร่มขนาดใหญ่วางตั้งระหว่างเปลสองตัว หย่อนกายลงนั่ง พลางหันมองภรรยาซึ่งนอนอยู่เปลข้างๆ หมายจะชวนคุย ทว่าคงเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเล่นน้ำเมื่อครู่จึงทำให้เธอหลับไปเสียแล้ว
เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วประสาเด็กดังแว่วอยู่ไม่ไกล เขาหันมองเด็กน้อยวัยไล่เลี่ยสองคนกำลังหารือและช่วยกันก่อกองทรายอย่างเพลิดเพลิน เขาระบายยิ้มชื่นชมกับความช่างคิดของลูกทั้งสอง ช่างเหมือนเขาในวัยเด็ก เขารู้สึกเป็นสุขที่เห็นลูกสนุกและรื่นเริงเช่นนี้
ถัดจากลูกทั้งสอง เด็กผมทองสองคนกำลังยืนมองหญิงชราคนหนึ่งอย่างสนใจ จากการแต่งกายคงเป็นชาวบ้านละแวกนี้ เขาเริ่มเกิดความรู้สึกแปลกใจ ดูเผินๆ นางก็ชรามาก สังเกตจากการเดินเชื่องช้ากับหลังที่คุ้มงอ เวลาที่ก้มลงเก็บบางสิ่งบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายเล็กๆ ก็ดูจะแสนลำยาก เด็กผมทองเดินตามดูพฤติกรรมของนางอย่างสนใจ ขณะหนึ่งนางหันมองเด็กๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้ ทว่าเด็กกลับหันหน้าวิ่งหนี ประหนึ่งว่าหน้าตานางน่าเกลียดน่ากลัวกระนั้น
นางมองตามเด็กครู่หนึ่งจึงบ่ายหน้าเดินตรวจตราผืนทรายแล้วก้มลงเก็บบางสิ่งต่อไป บางสิ่งที่ว่าถูกนางก้มหยิบ หย่อนลงในตะกร้าชิ้นแล้วชิ้นเล่า ขณะที่เขาสนใจว่าสิ่งนั้นคืออะไรเมื่อนางก้มลงเก็บ เขาก็เห็นว่าวัสดุนั้นต้องแสงแดดเป็นประกาย วาบ เขายิ่งทวีความสงสัยมากขึ้น ว่ามันคืออะไรมันอาจจะเป็นโลหะหรือของมีคม?
นึกขึ้นได้ดังนั้นเขาใจหายวูบ เมื่อเห็นว่านางกำลังเดินเข้าไปใกล้ลูกๆ ซึ่งเล่นก่อกองทรายห่างนางไปเพียงไม่กี่ก้าว หญิงชราเดินเข้าไปใกล้ลูกของเขา ใกล้เข้าไป
ในมือของนางถือวัสดุบางอย่าง มันยังส่งประกายให้น่าหวั่นวิตกเขาใจเต้นถี่ ยันกายลุกขึ้นยืนจับตามองพฤติกรรมของนาง
เด็กๆ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง นอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า นางประสงค์ดีหรือร้าย และเหตุใดนางจึงให้ความสนใจมองจ้องลูกๆ ของเขานานเป็นพิเศษ นางขยับเดินเข้าไปใกล้ในระยะพอจะเอื้อมมือเข้าไปหาลูกคนเล็ก เขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียก
"ปิ๊กป๊อก มาหาพ่อเร็วลูก!!!"
เด็กทั้ง 2 ชะงัก หันมองซ้ายขวา เมื่อเห็นหญิงชราก็ร้อง กรี๊ด!! แล้ววิ่งเข้ามากอดขาเขาไว้แน่น
ชายหนุ่มถอดแว่น แล้วมองจ้องหญิงชราเขม็ง นางมองจ้องกลับด้วยแววตาแตกต่างคล้ายมีคำอธิบายบางอย่าง แต่แล้วก็หันหลังทำภารกิจของนางต่อไป
ฝ่ายภรรยาสะดุ้งตื่นด้วย เพราะเสียงตะโกนของสามี มองดูสามีและลูกที่กอดขาพ่อเนื้อตัวสั่น
"เกิดอะไรขึ้นที่รัก" เธอถาม แต่เขาไม่ตอบ กลับสั่งเธอเสียงสะบัด
"ไม่ต้องถาม เก็บของกลับโรงแรม"
ว่าแล้วเขาก็อุ้มลูกคนเล็กก้าวฉับๆ นำหน้าไป ปล่อยให้ลูกคนโตวิ่งตาม ส่วนภรรยารีบเก็บของเดินตามไปอย่าง งุน-งง
* * * * *
"ตกลงมันเรื่องอะไรกันคะที่รัก ถึงได้ฉุนเฉียวแบบนี้" ภรรยาซักทันทีเมื่อเข้ามาถึงห้องพัก วางเสื้อคลุมพาดที่เก้าอี้ นั่งรอฟังคำอธิบาย สามีถอนหายใจ ก่อนหันมาพูด
"ขอโทษทีที่อารมณ์เสียใส่คุณ ผมโมโหพวกแก๊งลักเด็ก คุณคงไม่เห็น มียายแก่ที่ชายหาด กำลังจะเดินเข้ามาจับลูกเราไป"
"หา! จริงเหรอคะที่รัก แล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าคุณยายคนนั้นเป็นพวกลักเด็กล่ะคะ"
ภรรยาตกใจ แต่ก็ช่วยสะกิดให้คิด ชาตรีนิ่ง ทบทวนถึงลักษณะพฤติกรรมและสิ่งที่มีลักษณะมันวาวสะท้อนกับแสงแดดนั้น
"อือม์ไม่รู้สิ ก็ผมเห็นยายคนนั้นเหมือนถือมีดหรืออะไรที่มีคม แล้วเดินเข้ามาจะจับลูกของเรา" เขาอธิบายตามความเข้าใจตอนนั้น
"พวกนี้ถ้าทำ ก็ทำกันเป็นแก๊ง คงไม่ใช้คนแก่ที่ไม่มีเรี่ยวแรงมาทำหรอกค่ะ แต่นี่คือความเห็นนะคะ เพราะหากไม่ใช่อย่างที่คิดก็น่าสงสารแกนะคะที่รัก ที่เราไปปรักปรำแก ช่วงนี้ดูคุณเครียดๆ นะคะ สัปดาห์ก่อนก็เกือบจะไล่พนักงานในฝ่ายออก ก็เพราะคุณรีบด่วนสรุปไม่ใช่เหรอคะ อยากให้คุณใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดน่ะค่ะ"
ภรรยาเตือนสติด้วยความห่วงใย ชายหนุ่มนั่งนิ่งเม้มปากแน่น คิดใคร่ครวญ หากท่าทีที่เขาแสดงต่อคุณยาย
มาจากการที่เขารีบด่วนสรุป คุณยายคนนั้นก็คงเจ็บปวดไม่น้อย
* * * * * *
ผืนฟ้ากว้างถูกคลี่คลุมด้วยกำมะหยี่สีดำไปพักใหญ่แล้ว ลมกรรโชกแรงจนต้นมะพร้าวสูงเสียดยอดโอนเอนตาม บางต้นลูกแก่ๆ ก็ปลิดขั้วหล่นสู่พื้นทราย ขณะที่เมฆทมึนเริ่มคล้อยต่ำอยู่เหนือหมู่บ้านอันเป็นชุมชนเล็กๆ ริมหาดแห่งนี้ ซึ่งปลูกสร้างแบบง่ายๆ ราวๆ 20 กว่าหลังคาเรือน ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงน้ำตื้นออกเรือหาปลาใกล้ชายฝั่ง เว้นแต่กระต๊อบหลังกะทัดรัดหลังนั้นที่ชาวบ้านแถวนี้คุ้นเคยกับเธอมานาน และรู้เพียงว่าเธอเป็นหญิงชราตัวคนเดียวที่มาจากกรุงเทพฯ เคยมีคนแต่งตัวแปลกตา ท่าทางเป็นผู้ดีมีสกุลมาพบเธอ เหมือนจะนำเธอกลับไปด้วย ทว่าชาวบ้านก็ยังคงพบเธออยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
เธอมีความเป็นอยู่อย่างสมถะ เด็กๆ แถวนี้มักจะไปที่บ้านของเธอ เพราะเธอมักทำขนมไว้แจกเด็กๆ เสมอ และนี่คือความสุขที่เธอได้ทำ นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวันในการเดินเลาะริมหาดทรายพร้อมตะกร้าหวายเพื่อเก็บบางสิ่งใส่ตะกร้า
ความสว่างบนปลายไส้ตะเกียงวูบไหวตามแรงลมหลายหน เพียงครู่ฝนก็เทจากฟ้าอย่างหนัก ดุจใครคว่ำชามอ่างยักษ์เทน้ำลงสู่พื้นดิน
ความสว่างจากฟ้าแลบสะท้อนกับน้ำใสๆ ที่ไหลผ่านแก้มเหี่ยวๆ ของหญิงชราผู้โดดเดี่ยว ไม่บ่อยนักที่จะต้องเสียน้ำตา เพราเธอเด็ดเดี่ยวเสมอ ยอมแม้ละทิ้งทุกอย่างจากเมืองหลวง ทิ้งสังคมชั้นสูง มาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเรียบง่ายสงบสุขที่ชุมชนแห่งนี้ อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เคยมีอะไรเคลือบแฝงในแววตา สีหน้าและคำพูดของผู้คนแถวนี้ แต่ครั้นนึกถึงพฤติกรรมและแววตาอันดุดัน ดูหมิ่นของชายหนุ่มเมื่อตอนบ่ายแล้ว มันช่างกรีดใจเธอให้เจ็บปวดอย่างสากรรจ์
* * * * * *
เวลาสองยามเศษ หลายหลังคาเรือนในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ต่างหลับใหลกันหมดแล้ว แต่ชาตรีเพิ่งกลับถึงบ้าน นับแต่วันที่กลับมาจากพักร้อน เขาก็เข้าสู่ภาวะปกติที่ต้องทำงานหนัก ตื่นเช้า เข้านอนหลังสองยามเสมอ
หลังจากอาบน้ำสบายตัวแล้ว รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย จึงชงชาร้อนดื่มและออกมานั่งเล่นที่ระเบียง พร้อมหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับรายสัปดาห์ เขาเอนตัวกึ่งนอนกึ่งนั่งบนเก้าอี้โยก ค่อยๆ เปิดดูเนื้อหาคร่าวๆ ในหนังสือพิมพ์ กระทั่งไปสะดุดตากับเรื่องสาระเบาๆ กับสไตล์การใช้ชีวิตของนักธุรกิจในมุมที่คนทั่วไปไม่ทราบ หัวเรื่องฉบับนี้น่าสนใจสำหรับเขาเพราะอะไรไม่ทราบได้
"ชีวิตสมถะของคุณหญิงพิมลพร จากไฮโซฯ คืนสู่สามัญ ทางที่เธอเลือกเอง"
เขาค่อยๆ อ่านอย่างสนใจกับชีวิตของนักธุรกิจหญิงด้านอสังหาริมทรัพย์ มีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน ส่งบุตรธิดาศึกษาจบในระดับสูงสุดทุกคน เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เธอเหนื่อยล้าและอยากหันหลังให้กับงานที่ทำเพื่อพักผ่อน จึงโอนกรรมสิทธิ์ให้บุตรธิดาหมดสิ้นแล้วอพยพตัวเอง ทิ้งสังคมไฮโซฯ เลือกใช้ชีวิตสมถะที่กระต๊อบหลังเล็กๆในหมู่บ้าชาวประมงน้ำตื้น ริมชายหาด แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต กิจวัตรในแต่ละวันมีความสุขกับการได้พูดคุย ทำขนมแจกเด็กๆ ชาวบ้านและเดินตรวจตราริมชายหาด
อ่านมาถึงตอนนี้ชาตรียิ่งจดจ่อมากยิ่งขึ้น เพราะสถานที่ที่ว่านี้คือ ชายหาดที่เขาและครอบครัวเพิ่งจะกลับมาจากการพักร้อนเมื่อวันก่อน เขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว เมื่ออ่านพบประโยคที่ว่า
กิจวัตรของเธอคือ เสาะหาตรวจตราเก็บเศษแก้วและของมีคมบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายใบเล็กแล้วนำไปทิ้ง เพียงเพื่อจะไม่เป็นอันตรายต่อเด็กๆ และนักท่องเที่ยว!!!
ชาตรีอ่านข้อความนี้ด้วยใจเต้น และเมื่อเพ่งมองที่ภาพใบหน้าของคุณหญิงพิมลพร เขาถึงกับอึ้ง
เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นของคนที่เขาตราหน้าว่าเป็นแก๊งลักเด็ก ที่จะทำร้ายลูกของเขา คือ คนคนเดียวกัน!!!
* * * * * * * * * *
หมายเหตุ
1.แต่งขึ้นจากประเด็นสั้นๆ เพียงไม่กี่บรรทัดซึ่งแปลจากหนังสือต่างประเทศ แล้วฟอร์เวิร์ดต่อๆ กันมา
2.วาระตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร มหาสนุก ฉบับวันที่ 18-24 กุมภาพันธ์ 2004
16 ธันวาคม 2547 21:53 น.
ทิวสน
โดย ทิวสน ชลนรา
พงษ์ดนัยชายหนุ่มผู้มีชีวิต อาจกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ หน้าตาหล่อเหลา การศึกษาสูง
มีหน้าที่การงานมั่นคง มีความก้าวหน้าในอนาคต คนรอบข้างต่างรักใคร่ ชีวิตที่เพียบพร้อมจนหลายคนต่างชื่นชม
วันหนึ่งชีวิตที่สมบูรณ์แบบของเขา ก็ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบมากขึ้น เมื่อพี่ชายคนโตยินดีควักเงินก้อนใหญ่ ซื้อรถสปอร์ตคันงามให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่เขา ไม่ต้องบอกว่าเจ้าตัวจะยินดีปรีดาเพียงใด เพราะรถสปอร์ตสุดหรูคันนี้ ชายหนุ่มฝันอยากได้เป็นเจ้าของมานานนัก
เมื่อความฝันเป็นจริง สิ่งที่เขาคิดทำอย่างแรกคือ ขับเจ้ารถสปอร์ตตระเวนไปตามที่ต่างๆ ให้สมอยาก ใจหนึ่งต้องการทดสอบแรงม้าที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเครื่อง ว่าจะมีเรี่ยวแรงเต็มกำลังสักเพียงไหน อีกใจหนึ่งนั้น เป็นที่แน่นอนว่า ลองใครที่มีรถสวยและแรงขนาดนี้ คงไม่เก็บเอาไว้ชื่นชมเพียงลำพังที่โรงรถในบ้านเป็นแน่
ชายหนุ่มขับรถโฉบเฉี่ยวไปยังที่ต่างๆ รอบเมืองพัทยา และยิ้มภูมิใจเมื่อชำเลืองมองพบว่ามีสายตาหลายคู่ข้างทาง ต่างเหลียวหันมองตามรถคันสวยของเขา
เขาขับโฉบเฉี่ยวไปมาสักพัก จึงชะลอหาที่พักทั้งเครื่องและคน.
แล้วเขาก็ปราดเข้าจอดข้างถนนที่ริมชายหาดจอมเทียน
ระหว่างกำลังพักผ่อนอิริยาบถและทอดสายตาออกไปชมทะเลรับลมยามเย็น เมื่อหันกลับไปมองที่รถ ซึ่งจอดชิดริมฟุตบาธ เขาเห็นเด็กชายอายุราว 10 ขวบ แต่งตัวมอซอแต่ดูสะอาด เดินลูบๆ คลำๆ รอบรถคันงามของเขา ด้วยกิริยาท่าทีชื่นชอบอย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของ กับสิ่งที่หลายต่อหลายคนใฝ่ฝัน เขาเดินยืด-อก มาที่รถ พร้อมกระแอมและเอ่ยทักทายเด็กคนนั้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ดั่งขุนศึกผู้ชนะสงคราม
"ระวังหน่อยน้อง เดี๋ยวเป็นรอย" ว่าพลางยิ้มมุมปาก
เด็กน้อยหันมองจ้องชายหนุ่มเจ้าของเสียง ก่อนตอบ
"รถของพี่เหรอ.. สุดยอด!" เอ่ยพลางตาโตชื่นชมกับสิ่งเบื้องหน้า
"แน่นอน" เขาตอบ พร้อมระบายยิ้ม
"พี่ซื้อมาราคาเท่าไหร่กันเนี่ย " เด็กน้อยถาม
"อืมม์คนอื่นอาจต้องควักสตางค์ซื้อเองแหละนะ...แต่พี่ไม่ต้องเพราะพี่ชายของพี่เพิ่งซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ตอบพลางยิ้มปลาบปลื้ม
"โอ้โห! ดีจัง ผมอยาก...." เด็กชายพูดตะกุกตะกัก ชะงักในตอนท้าย
ชายหนุ่มคิดในใจว่า เด็กคนนี้คงไม่กล้าพูดต่อ เพราะที่เด็กอยากจะพูดแต่ยั้งปากยั้งคำไว้นั้น คงจะต้องการบอกว่า อิจฉาและอยากจะเป็นอย่างเขาบ้าง ที่มีพี่ชายแสนดีซื้อรถสุดหรูให้เป็นของขวัญ...
ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มคิด...ผิดถนัด
"โอ้โห ดีจัง ผมอยาก..อยาก เป็นอย่างพี่ชายของพี่จังผมจะได้ซื้อรถให้น้องชายผมนั่งบ้าง" ชายหนุ่มฟังแล้วถึงกับอึ้ง
ในสังคมทุกวันนี้ ที่ใครต่อใคร ต่างตั้งหน้าตั้งตาเพียงแต่จะรับ หรือบางคนไม่ยอมรอ ต่างใช้กำลังความได้เปรียบแย่งชิงของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง แต่เด็กคนนี้กลับคิดสวนทางใครๆ ที่อยากจะเป็นผู้ให้ มากกว่าเป็นผู้รับ......
ชายหนุ่มมองเด็กชายด้วยความรู้สึกทึ่ง และแปลบปลาบในใจ แล้วเอ่ยถาม...
"อยากนั่งรถเล่นกับพี่มั้ย"
"ครับ อยากมากเลย" เด็กชายตอบแทบจะทันที
หลังจากขับรถเล่นกินลมไปตามถนนเลาะเลียบชายหาดอยู่พักหนึ่ง เด็กน้อยหันมาพูดกับเขาด้วยดวงตามีประกายว่า
"พี่ครับ...ช่วยขับรถไปทางหน้าบ้านผมได้มั้ยครับ"
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ เขาคิดว่าเดาไม่ผิด และรู้ดีว่าเด็กน้อยต้องการอะไร คงอยากจะอวดให้เพื่อนบ้านเห็นว่าได้นั่งรถหรูหราคันโตกลับบ้านล่ะสิทว่า
"พี่ช่วยจอดตรงบ้านหลังข้างหน้านั้นนะครับ" เด็กน้อยลงจากรถ แล้ววิ่งขึ้นบันไดหายไปบนบ้าน ซึ่งปลูกแบบง่ายๆ ชั้นเดียว ยกพื้นมีระเบียงแคบๆ ด้านหน้า
สักครู่จึงกลับออกมาแต่ไม่ได้วิ่ง เขาอุ้มน้องตัวเล็กๆ ที่พิการขาลีบทั้งสองข้างมาด้วย และวางน้องลงที่บันไดขั้นแรก กอดน้องไว้ที่ด้านหลังและชี้ไปที่รถ
"นั่นไงหนุ่ย...รถคันที่พี่เล่าให้ฟัง พี่ชายของเขาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด เขาไม่ต้องเสียตังค์เลยนะ เอาไว้พอหนุ่ยโตขึ้น แล้ววันหนึ่งพี่จะซื้อให้หนุ่ยบ้าง หนุ่ยจะได้ไปดู ไปเห็นของสวยๆ กับตาของหนุ่ยเอง เหมือนที่พี่เคยเล่าให้ฟังไง"
ชายหนุ่มได้ยินทุกถ้อยคำชัดเจน....เขาลงจากรถ แล้วเดินมายังเด็กทั้งสอง ก้มลงอุ้มน้องคนเล็ก แล้วนำมาขึ้นรถ
พี่ชายปีนตามขึ้นมานั่งใกล้ แล้วทั้งสามก็เริ่มออกเดินทาง
บัดนี้ชายหนุ่มเข้าใจลึกซึ้งแล้วว่า
"การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ" หมายถึงอะไร
* * * * * * * * * *
16 ธันวาคม 2547 21:45 น.
ทิวสน
โดย ทิวสน ชลนรา
ช่างดีอะไรเช่นนี้ สัมมนาภาคบ่ายเสร็จไม่ถึงกับเย็นมาก เลยทำให้ฉันพอมีเวลาได้ออกมารับลมทะเล เดินเปลือยเท้าย่ำทรายขาวเม็ดละเอียดเช่นตอนนี้ ที่ผ่านมาเมื่อมีการสัมมนาต่างจังหวัด จะกี่ครั้งก็มีอันเลิกประชุมเสียเย็นค่ำ ทานข้าวแล้วยังมีสัมมนาต่อ จึงน้อยครั้งที่จะได้ออกมาซึมซับความสดชื่นจากธรรมชาติ กับอากาศบริสุทธิ์ โดยเฉพาะชายทะเล ที่ฉันชื่นชอบเป็นชีวิตจิตใจ...
ชายหาดแห่งนี้เป็นส่วนตัว เพราะเป็นที่ส่วนบุคคล กวาดสายตาพบแต่ชาวต่างชาติ ที่ทอดตัวนอนยาวบนเปลรับลมทะเล บ้างก็เล่นน้ำ บ้างก็จูงมือลูกเดินริมหาด
ระรอกคลื่นซัดสู่ฝั่งสม่ำเสมอ ลมทะเลพัดหอบไอเค็มบางๆ มาเป็นระยะ ฉันรู้สึกผ่อนคลาย... ความขึงเครียดจากการประชุมตลอดทั้งวัน มลายไปหมดสิ้น
ฉันทอดสายตาออกไปไกล สำรวจริมหาด ฟองคลื่นขาวน่าเดินเอาเท้าแช่น้ำเสียจริง... ทันใดนั้น เสียงหัวเราะแห่งความเปรมปรีดิ์ พาสายตาฉันหันไปสะดุดกับภาพหนึ่ง เด็กหญิงผมแดง หยิก ฟู กำลังยิ้มร่า หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างมีความสุข แก้มยุ้ยนั้นแดงอย่างกับผลมะเขือเทศสุก น่าหยิกเสียจริงเชียว... แม่หนูแก้มแดงสวมชุดว่ายน้ำสีขาว ลายดอกไม้สีแดงเล็กๆ ตรงเอวมีระบายคล้ายกระโปรงแลดูน่ารัก กับวัยคงไม่เกิน 2-3 ขวบ เธอกำลังวิ่งไล่จับผู้เป็นแม่ จับได้บ้าง ไมได้บ้าง ครั้งจับได้ก็หัวเราะชอบใจ จับไม่ได้ก็ทำท่าโยเย
ขณะหนึ่งแม่หนูโถมตัวไปข้างหน้าหมายจะคว้าแม่ให้ได้ แต่เป้าหมายข้างหน้าเบี่ยงหลบ จึงล้มคมำคว่ำไปข้างหน้า และดูเหมือนความสนุกจะสะดุดหยุดอยู่เพียงนั้น เสียงหัวเราะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง จะด้วยความเจ็บหรือความตกใจก็สุดจะเดาได้ เสียงร้องจ้าทำให้ผู้เป็นแม่ชะงักเท้าหันกลับ ปราดเข้าไปหา
ก้มลงคว้าประคองตระกองกอดไว้ในอ้อมอก แล้วอุ้มลูบหลังปลอบโยน เสียงร้องไห้ฟังคล้ายจะแผ่วลง ขณะที่แม่หนูยังคงสะอื้นตัวโยน...
จากภาพเบื้องหน้า...มีอะไรบางอย่างเข้ามาสัมผัสใจฉัน...
ใช่ฉันยังจำได้ เมื่อครั้งที่ยังเด็ก ฉันก็เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ และเพราะความที่เป็นเด็กซน จึงเกิดขึ้นกับฉันอยู่บ่อยหน และทุกครั้งสิ่งที่ฉันได้รับคือ แม่ได้กระทำสิ่งที่วิเศษสุดต่อฉัน...
* * * * * *
ตอนที่ฉันยังเด็กและเริ่มจำความได้
คราใดที่ฉันหกล้ม คนที่มาถึงฉันเพียงชั่วอึดใจก็คือ แม่
เมื่อมาถึง แม่จะพยุงฉันลุกขึ้น แล้วอุ้มไปที่เตียงของแม่ ประคองให้ฉันนั่งลง แล้วแม่ก็หอมลงไปที่ตรง โอ๊ย! ฉันมักจะร้องออกมาให้แม่ได้ยิน จะได้รู้ว่าฉันเจ็บมากมายเหลือเกิน ทั้งที่แท้จริง บางครั้งก็ไม่ได้เจ็บมากถึงขนาดนั้น แต่ฉันก็ทำให้เหมือนจะสมจริง จากนั้น แม่จะขึ้นมานั่งข้างๆ ฉันบนเตียง จับมือน้อยของฉันไปกุมไว้...จ้องตาฉัน...แล้วพูดว่า...
ปราย..เวลาที่ลูกเจ็บ ปรายบีบมือแม่นะจ๊ะ แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ
ฉันพยักหน้ารับคำ ด้วยสีหน้าที่แลดูน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะค่อยๆ เอนตัวลงนอน โดยมีแม่นอนอยู่ข้างๆ กุมมือฉันไว้ ฉันบีบมือแม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า.... และทุกครั้ง...ไม่มีพลาด ฉันจะได้ยินเสียงแม่ตอบรับกลับมาว่า
แม่รักลูกจ้ะ ทุกครั้งไป
ฉันยอมรับว่า บางครั้งก็แกล้งทำเป็นเจ็บ เพียงเพื่อจะให้แม่ทำแบบนั้นอีก...
ครั้นโตขึ้น วิธีการปลอบประโลมของแม่ก็เปลี่ยนไป แม่เป็นนักสร้างสรรค์ ชอบคิดหาวิธีใหม่ๆ ปลอบใจเอาใจให้กำลังใจฉันเสมอ ทุกสิ่งที่แม่ทำล้วนแต่เป็นวิธีที่ทำให้ฉันรู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น...
ในช่วงเรียนมัธยมปลาย แม้จะมีภาระยุ่งยากและเหนื่อยตลอดทั้งวัน แต่แม่ก็จะเตรียม
เอแคร์ไม่ก็เค้กกล้วยหอมที่ฉันชอบ พร้อมน้ำส้มคั้น ไว้รอเมื่อฉันกลับถึงบ้านเสมอ..
พออายุ 19 เข้าเรียนมหาวิทยาลัย มีบ่อยครั้งที่ตอนสายๆ แม่จะโทรมาหาฉัน ชวนออกไปทานข้าวกลางวันอย่างกะทันหัน เพียงเพราะรู้สึกว่าวันนั้นอากาศดี แม่กับพ่อจึงขับรถจาก
ชานเมือง เพื่อมาทานข้าวกับฉัน และทุกครั้งที่พ่อกับแม่กลับไป แม่จะส่งการ์ดขอบคุณมาให้ฉันทางไปรษณีย์เสมอ ทั้งที่เราจะได้เจอกันทุกๆ วันเสาร์ เมื่อฉันกลับบ้านปลายสัปดาห์อยู่แล้ว
ฉันรู้ว่าสิ่งนี้แม่ทำเพื่อย้ำเตือนให้ฉันรู้ว่า ฉันเป็นคนพิเศษสุดสำหรับแม่เสมอ...
ทว่า วิธีที่ประทับแน่นในความทรงจำของฉันมากที่สุด ก็ยังเป็นวิธีที่แม่กุมมือฉันไว้ และบอกว่า เวลาที่ลูกเจ็บ...บีบมือแม่นะจ๊ะ...แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ อยู่นั่นเอง
* * * * *
คืนหนึ่ง ในวัยสามสิบเศษ ฉันกลับถึงบ้านจวนเที่ยงคืน ทำธุระ อธิษฐาน เตรียมจะเข้านอน พลันโทรศัพท์ได้ดังขึ้น...พ่อโทรมา!
ทุกครั้งพ่อจะดูเป็นผู้นำ ความคิดชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะทำสิ่งใด แต่คืนนั้นจากน้ำเสียงของพ่อ ฉันสัมผัสได้ว่า พ่อกำลังสับสนและตื่นกลัว
ปรายแม่ไม่สบาย เป็นอะไรไม่รู้ พ่อไม่รู้จะทำยังไงดี...ลูกรีบมาบ้านเราด่วนเลยนะลูก
ขอบคุณพระเจ้า ที่การขับรถจากกลางเมืองไปชานเมืองใช้เวลาอันสั้น เพียง 30 นาที ต่างจากกลางวันลิบลับ ตลอดเวลาที่อยู่หลังพวงมาลัยเป็นช่วงเวลาที่ฉันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวได้แต่อธิษฐาน เพราะห่วงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่
ครั้นก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน ฉันเห็นพ่อมีสีหน้ากังวล เดินวนไปมา อธิษฐานอยู่ที่ห้องรับแขกเพื่อรอฉัน ฉันเปิดประตูเบาๆ เข้าไปในห้องนอนของแม่ที่เปิดไฟสลัวที่หัวเตียง พบแม่นอนหลับตาอยู่บนเตียง หายใจรวยริน...สองมือประสานไว้ที่อก...
ฉันรู้สึกสะท้อนใจ แต่ก็พยายามเรียกแม่ด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบที่สุด
แม่คะ...หนูอยู่นี่ค่ะ
ปรายเหรอ
]
ค่ะแม่
ปราย...ใช่หนูรึเปล่าลูก
ใช่ค่ะแม่...หนูเองค่ะ
ฉันไม่ทันจะตั้งตัวเตรียมรับคำถามใดๆ ที่จะตามมา และเมื่อได้ยินฉันก็ถึงกับตัวแข็ง ด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี
ปราย...แม่กำลังจะตาย...แม่กำลังจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้วใช่มั้ยลูก เสียงนั้นเบาหวิว แต่กรีดลึกลงกลางใจฉัน
ภาพแม่ที่อยู่เบื้องหน้าพร่าเลือนด้วยน้ำตาของฉัน ที่เอ่อท้นเต็มสองตา จ้องมองดูแม่ที่แสนรัก นอนอยู่แบบช่วยอะไรตัวเองไมได้..
ความคิดของฉันวิ่งพล่าน กระทั่งคำถามหนึ่งแว่วผ่านเข้ามาในสมอง... แล้วถ้าเป็นแม่ล่ะ แม่จะตอบว่าอย่างไรนะ
ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แต่เหมือนเวลาผ่านไปนานนับล้านปี กระทั่งคำพูดหนึ่งหลุดออกมา
แม่คะ ...หนูไม่รู้ว่าแม่จะตาย และกำลังจะไปอยู่กับพระเจ้ารึเปล่า...แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่ก็ทำใจให้สบายเถอะนะคะ...เพราะวันหนึ่งเราจะได้พบกันที่สวรรค์ และ...หนูรักแม่ค่ะ
ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบดี แม่ก็ร้องครางออกมา ปราย...แม่เจ็บเหลือเกินลูก
อีกครั้งที่ฉันนึกว่า ควรจะพูดอะไรดี ฉันนั่งลงข้างเตียงแม่ คว้ามือขวาแม่ขึ้นมากุมไว้ที่อก และได้ยินเสียงของตัวเองพูดออกไปว่า
แม่คะ...ถ้าแม่เจ็บ แม่บีบมือหนูนะคะ...แล้วหนูจะบอกว่า...หนูรักแม่ค่ะ
แม่บีบมือฉัน..
แม่คะ...หนูรักแม่ค่ะ
การบีบมือและเสียงตอบ หนูรักแม่ค่ะ เกิดขึ้นระหว่างแม่กับฉันหลายครั้งตลอดเวลา 2 ปีต่อมา... กระทั่งแม่จากไปอยู่กับพระเจ้าด้วยโรคมะเร็งที่มดลูก
ฉันไม่รู้ว่า นาทีแห่งชีวิตของแต่ละคนรอบกายฉันจะมาถึงเมื่อใด แต่ฉันรู้แล้วว่า เมื่อนาทีนั้นมาถึง ไม่ว่าฉันจะอยู่กับใครก็ตาม นอกจากจะอธิษฐานเผื่อเขาแล้ว ฉันจะมอบวิธีปลอบประโลมแสนหวานของแม่ที่เคยกระทำกับฉันให้คนนั้นเสมอ..
เวลาที่ลูกเจ็บ...บีบมือแม่นะจ๊ะ แล้วแม่จะบอกลูกว่า แม่รักลูกจ้ะ
************
สุดปลายฟ้า ผืนฟ้าสีครามม่วงหม่นกำลังมาเยือน ความมืดกำลังโรยตัว... ขณะที่ลมเย็นจากทะเลยังคงพัดผ่านมา พร้อมเกลียวคลื่นทะยอยซัดสู่ฟังหยอกล้อผืนทรายสม่ำเสมอ ทุกสิ่งยังคงดำเนินไปเช่นเดิม ตามที่พระเจ้าทรงจัดสรรระบบสำแดงความยิ่งใหญ่ไว้ เฉกเช่นเดียวกับถ้อยคำหวานที่ยังคงขับขาน ดังก้องเป็นกำลังใจแก่ฉันเสมอมาทุกวันเวลา และจะยังคงประทับอยู่ในใจเสมอไป.