8 ธันวาคม 2549 23:40 น.

เรื่องสั้น-1 ความดี..."ความหมายในตะกร้า"

ทิวสน

"ความหมายในตะกร้า"


โดย :: ทิวสน ชลนรา



แดดบ่ายปลายร้อนแผดกล้าท้าคลื่นลม ระยับแดดโลดเต้นเหนือท้องทะเล อันดามัน ที่ระบายด้วยสีเขียวใส...โค้งฟ้าสีครามตัดกับผิวน้ำไกลออกไปลิบตาแลดูงดงามสบายตา ยังความอลังการซ่อนไว้...ลมทะเลหอบไอเค็มบางมาพร้อมกับเกลียวคลื่นขนาดย่อม ที่ม้วนตัวทยอยซัดสู่ฝั่งทักทายทรายขาวอยู่เป็นระลอก...

ชาตรียืนชื่นชมความงามแห่งธรรมชาติอยู่ริมหาด เนื้อหนุ่มพราวด้วยน้ำที่เพิ่งขึ้นจากการว่ายเล่นเมื่อครู่ เขายืนทอดสายตาผ่านเลนส์สีเขียวเข้มออกไปสุดปลายฟ้า แล้วหันสำรวจรอบกายคล้ายกำลังดื่มด่ำผลงานของจิตกรผู้ยิ่งใหญ่ ที่บรรจงรังสรรค์ทิวทัศน์ เพื่อกำนัลแด่ทุกลมหายใจ...

เขาสูดลมหายใจลึกเต็มปอด และอยากจะกักเก็บมันไว้เช่นนั้นนานนักแล้วที่เขาไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์เช่นนี้ ที่ผ่านมาเขาเหมือนถูกพันธนาการไว้ในกล่องใบใหญ่ มีละอองควันสีหม่นห่มคลุมตลอดเวลา ในทุกอณูที่ก้าวย่าง ซึ่งใครต่อใครต่างเรียกขานกล่องใบนี้ว่า "เมืองหลวง" 

ไม่ง่ายนัก ที่เขาจะสามารถปลีกตัวจากภาระหน้าที่มายืนตากอากาศเช่นนี้เพราะตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายการตลาด ของบริษัทชั้นนำด้านการสื่อสาร กอปรกับ ความที่ยังหนุ่มแน่น มีไฟ ทำให้ทุกเวลานาทีของเขาทุ่มเทให้กับงานจนแทบจะลืมไปว่าที่บ้านยังมีภรรยาและลูกรออยู่ 

การมองเกมอย่างเฉียบคมและชาญฉลาด ทำให้เขาเป็นที่รักและไว้วางใจของประธานบริษัท แต่ผลที่ตามมากลับวิ่งสวนทางกัน ระหว่างความสำเร็จในหน้าที่การงาน กับชีวิตครอบครัว ที่พร้อมจะพังครืนลงได้ทุกขณะ หากเขาไม่คิดทำอะไรเพื่อประสานสัมพันธ์ไว้ ซึ่งได้แต่หวังว่าสักวันคงจะผ่อนคลายลงบ้าง หากสามารถจัดสรรการงานให้คนภายใต้มาช่วยแบ่งเบาภาระ เมื่อนั้นคงไม่ต้องห่วงกังวลอะไร..คงมีเวลาพาครอบครัวมาพักผ่อนตากอากาศบ้าง นั่นคือความตั้งใจ กระทั่งผ่านพ้นมาเกือบ 3 ปี จึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนี้ 

ย้อนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาพาครอบครัวเหินฟ้าจากเมืองหลวงลงมาพักผ่อนที่ชายทะเลทางภาคใต้ แม้จะใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษในการเดินทาง แต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าหลุดออกมาอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว...


ชายหนุ่มหันกลับ แล้วเดินไปยังเปลผ้าใบ 2 ตัว ซึ่งมีร่มขนาดใหญ่วางแทรกระหว่างกลาง...หย่อนกายลงนั่ง พลางหันมองภรรยาซึ่งนอนอยู่อีกด้าน หมายจะชวนคุย ทว่าคงเพราะความเหนื่อยล้าจากการเล่นน้ำเมื่อครู่ จึงได้ยินเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ...พริ้มตาใต้แว่นสีชา 

เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วประสาเด็กดังแว่วอยู่ไม่ไกล เขาหันมองเด็กน้อยวัยไล่เลี่ยสองคนกำลังหารือและช่วยกันก่อกองทรายอย่างเพลิดเพลิน...ชายหนุ่มระบายยิ้มชื่น...รู้สึกเป็นสุขที่เห็นลูกสนุกและรื่นเริงเช่นนี้ 

ถัดจากลูกทั้งสอง เด็กผมทองสองคนกำลังยืนมองหญิงชราคนหนึ่งอย่างสนใจ จากการแต่งกายคงเป็นชาวบ้านละแวกนี้ เขาเริ่มเกิดความรู้สึกแปลกใจ มองเผินๆ เธอก็ค่อนข้างชรามาก แล้ว ก้าวเดินเชื่องช้า หลังเริ่มคุ้มงอ ยามที่ก้มลงเก็บบางสิ่งบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายเล็กๆ ก็ดูแสนจะลำยาก เด็กผมทองเดินตามดูพฤติกรรมของเธออยู่ห่างๆ อย่างสนใจ ขณะหนึ่งเธอหันมองเด็กๆ แล้วเดินเข้าหา ทว่าเด็กน้อยกลับหันหลังวิ่งหนี ประหนึ่งหน้าตาของเธอน่าเกลียดน่ากลัวกระนั้น 

เธอมองตามเด็กครู่หนึ่งจึงบ่ายหน้าเดินตรวจตราผืนทรายต่อไป นานๆ ครั้งจะเห็นก้มลงเก็บบางสิ่งหย่อนลงในตะกร้า...เขาเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาแล้วสิ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร และอีกครั้งเมื่อเธอก้มลงเก็บ เขาก็เห็นว่าวัสดุในมือนั้นต้องแสงแดดวาบส่งประกาย ชายหนุ่มยิ่งทวีความสงสัยมากขึ้น...มันคืออะไรกันแน่ หรือว่า...มันคือโลหะ...หรือของมีคม?...

นึกขึ้นได้ดังนั้นเขาใจหายวูบ ขณะหนึ่งเขาเห็นว่าเธอกำลังเดินเข้าไปใกล้ลูกๆ ซึ่งเล่นก่อกองทรายอยู่ห่างเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว หญิงชราเดินเข้าไปใกล้ลูกของเขา...ใกล้เข้าไป...

ในมือนั้นมีวัสดุบางอย่าง สะท้อนเป็นประกายจนแสบตา เขาใจเต้นถี่ รีบยันกายลุกขึ้นยืนเพ่งมองพฤติกรรมของเธอ... 

เด็กๆ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง นอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า เธอประสงค์ดีหรือร้าย และเหตุใดเธอจึงให้ความสนใจมองจ้องลูกๆ ของเขานานเช่นนั้น เธอสือบเท้าเข้าไปใกล้ในระยะพอจะเอื้อมมือเข้าไปหาลูกคนเล็ก เขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียก...

"ปิ๊ก-ป๊อก..มาหาพ่อเร็วลูก!!!" 

เด็กทั้ง 2 ชะงักมือที่โกยทราย หันมองซ้ายขวา ครั้นแหงนมองเห็นหน้าหญิงชราก็ร้อง กรี๊ด!! แล้ววิ่งเข้ามากอดขาเขาไว้แน่น 

ชายหนุ่มถอดแว่น แล้วมองจ้องหญิงชราเขม็ง เธอช้อนตามองจ้องกลับด้วยแววตาแตกต่าง คล้ายมีคำอธิบาย แต่แล้วก็หันหลังทำภารกิจของเธอต่อไป 

ฝ่ายภรรยาสะดุ้งตื่น ด้วยเพราะเสียงตะโกนของสามี หันมองเห็นลูกทั้งสองกำลังกอดขาพ่อเนื้อตัวสั่น 

"เกิดอะไรขึ้นที่รัก" เธอถาม แต่เขานิ่ง...หายใจแรง ก่อนจะสั่งเธอเสียงสะบัด 

"ไม่ต้องถาม! เก็บของกลับห้อง" 

ว่าแล้วเขาก็อุ้มลูกคนเล็กก้าวฉับๆ นำหน้าไป ปล่อยให้ลูกคนโตวิ่งตาม ส่วนภรรยารีบเก็บของเดินตามไปอย่าง งุน-งง...

* * * * * 

"ตกลงมันเรื่องอะไรกันคะ...ทำไมถึงได้ฉุนเฉียวแบบนี้"
ภรรยาซักทันทีเมื่อตามมาถึงห้องพัก วางเสื้อคลุมพาดที่เก้าอี้ นั่งรอฟังคำอธิบาย สามีถอนหายใจ ก่อนหันมาตอบ 

"ขอโทษทีที่อารมณ์เสียใส่คุณ ผมโมโหพวกคิดไม่ดีกับลูกเรา...คุณคงไม่เห็น...มียายแก่ที่ชายหาด กำลังจะเดินเข้ามาจับลูกเราไป" 

"หา ! จริงเหรอคะที่รัก...เอ่อ-แล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าคุณยาย จะทำอย่างนั้นล่ะคะ" 

ภรรยาตกใจ แต่ก็ช่วยสะกิดให้คิด ชาตรีนิ่ง-ทบทวนถึงลักษณะพฤติกรรมและวัสดุที่สะท้อนกับแสงแดดนั้น 

"อือม์...ไม่รู้สิ ก็ผมเห็นยายคนนั้นเหมือนถือมีดหรืออะไรซักอย่าง คงเป็นของที่มีคม...เดินเข้ามาใกล้ จะเอื้อมจับลูกของเรา ผมเลยรีบเรียกเตือนลูก" เขาอธิบายเหตุการณ์ 

"ถ้าคุณว่า ยายคนนั้น ซึ่งก็น่าจะอายุมากแล้ว...แกจะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาจับเด็กกำลังซนอย่างลูกเราล่ะคะ แกอาจจะเอ็นดูลูกๆ ของเรา ก็ได้...แต่นี่คือความเห็นนะคะ เพราะหากไม่ใช่อย่างที่คุณคิดก็น่าสงสารแกนะคะที่รัก ที่เหมือนเราไปปรักปรำแก...

...ก้อยว่า ช่วงนี้ดูคุณเครียดๆ นะคะ สัปดาห์ก่อนก็เกือบจะไล่พนักงานออก ก็เพราะคุณรีบด่วนสรุปไม่ใช่เหรอคะ...ก้อยอยากให้คุณใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดน่ะค่ะ" 

ภรรยาเตือนสติด้วยความห่วงใย พลางเอื้อมบีบมือสามีเบาๆ...ชายหนุ่มนั่งนิ่ง เม้มปากแน่น... พลางคิดหากกิริยาที่เขาแสดงออกไป มาจากการที่เขาด่วนสรุป หญิงชราก็คงเจ็บปวดไม่น้อย 


* * * * * * 

ผืนฟ้ากว้างถูกคลี่คลุมด้วยกำมะหยี่สีดำไปพักใหญ่แล้ว ลมกรรโชกแรงจนต้นมะพร้าวสูงเสียดยอดโอนเอนตาม บางต้นที่ผลแก่คาต้น ก็ปลิดขั้วหล่นสู่พื้นทราย ดังตุ๊บตั๊บเป็นระยะ ขณะที่เมฆทมึนเริ่มคล้อยต่ำอยู่เหนือหมู่บ้านอันเป็นชุมชนเล็กๆ ริมหาดแห่งนี้ ซึ่งปลูกสร้างแบบง่ายๆ ราว 20 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงน้ำตื้นออกเรือหาปลาใกล้ชายฝั่ง 

เว้นแต่กระต๊อบกะทัดรัดหลังนั้น ที่ชาวบ้านคุ้นเคยกับเธอมานับสิบปี แต่รู้เพียงว่าเธอเป็นหญิงชราตัวคนเดียวที่มาจากกรุงเทพฯ นานๆ ครั้งจะมีคนแต่งตัวดีมาพบ โดยครั้งหลังเหมือนพยายามจะนำเธอกลับไปด้วยให้ได้ ทว่าชาวบ้านก็ยังคงพบเธออยู่ที่นี่เหมือนเดิม 

เธอมีความเป็นอยู่อย่างสมถะ เด็กๆ แถวนี้ชอบไปที่บ้านของเธอ เพราะเธอมักทำขนมไว้แจกเด็กๆ เสมอ และนี่คือความสุขที่ได้ทำ นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวันในการเดินเลาะริมหาดทรายพร้อมตะกร้าหวายเพื่อเก็บบางสิ่งใส่ตะกร้า 

ความสว่างปลายไส้ตะเกียงวูบไหวตามแรงลมหลายหน เพียงครู่ฝนก็เทจากฟ้าอย่างหนัก ดุจใครคว่ำชามอ่างยักษ์เทน้ำลงสู่พื้นดิน พร้อมๆ แสงไฟปลายตะเกียงดับวูบ 

ความสว่างจากฟ้าแลบ ที่ส่องลอดมาทางขื่อกระต๊อบ สะท้อนกับน้ำใสๆ ที่ไหลผ่านแก้มเหี่ยวๆ ของหญิงชราผู้โดดเดี่ยว...ไม่บ่อยนักที่จะต้องเสียน้ำตา...ใครๆ ที่รู้จัก ย่อมรู้ดีว่าเธอเด็ดเดี่ยวเสมอ ยอมแม้ต้องละทิ้งทุกอย่างจากเมืองหลวง ทิ้งสังคมชั้นสูง มาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเรียบง่ายที่ชุมชนแห่งนี้ อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เคยมีอะไรแฝงเร้นในแววตา สีหน้า และคำพูดของผู้คน 

แต่ครั้นนึกถึงกิริยา และแววตาอันดุดันหมิ่นแคลนของชายหนุ่มเมื่อตอนบ่ายแล้ว มันช่างกรีดใจเธอให้เจ็บปวดยิ่งนัก 

* * * * * * 

สองยามเศษ...หลายหลังคาเรือนในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ต่างหลับใหลกันหมดแล้ว ทว่าชาตรีเพิ่งกลับถึงบ้าน...นับแต่วันที่กลับจากพักร้อน เขาก็เข้าสู่ภาวะปกติที่ต้องทำงานหนัก ตื่นเช้า เข้านอนหลังสองยามเสมอ 

หลังจากอาบน้ำจนสบายตัวแล้ว เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย จึงชงน้ำขิง แล้วออกมานั่งจิบที่ระเบียง พร้อมหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับรายสัปดาห์ เขาเอนตัวลงบนเก้าอี้โยก ค่อยๆ เปิดดูเนื้อหาคร่าวๆ ในหนังสือพิมพ์ ก่อนจะดึงส่วนแทรกที่เป็นเรื่องราวไลฟ์สไตล์ออกมา เพียงอ่านด้านหน้า ก็สะดุดตากับสาระเบาๆ กับสไตล์การใช้ชีวิตของนักธุรกิจ ในมุมที่คนทั่วไปไม่ทราบ...หัวเรื่องฉบับนี้สะกดสายตาเขาโดยไม่รู้ตัว...

"วันนี้ของหญิงแกร่ง....คุณหญิงพิมลพร จากไฮโซฯสู่สามัญ"

ชาตรีค่อยๆ อ่านเนื้อหาอย่างใคร่รู้ กับชีวิตของนักธุรกิจหญิงด้านอสังหาริมทรัพย์ มีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน ส่งบุตร-ธิดาศึกษาจบในระดับสูงสุดทุกคน จนถึงเวลาหนึ่ง เธอเหนื่อยล้าและอยากหันหลังให้กับงานที่ทำเพื่อพักผ่อน จึงโอนกรรมสิทธิ์ให้บุตรธิดาหมดสิ้น แล้วอพยพตัวเอง ทิ้งสังคมชั้นสูง เลือกที่จะมาใช้ชีวิตอย่างสมถะ อาศัยที่กระต๊อบหลังเล็กๆในหมู่บ้าชาวประมงน้ำตื้น ริมชายหาด แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต กิจวัตรในแต่ละวันเธอมีความสุขกับการได้พูดคุย ทำขนมแจกเด็กๆ ลูกหลานชาวบ้านระแวกนั้น และเดินตรวจตราริมชายหาด...

อ่านมาถึงตอนนี้ชาตรียิ่งจดจ่อมากยิ่งขึ้น เพราะสถานที่ที่ว่านี้คือ ชายหาดที่เขาและครอบครัวเพิ่งจะกลับมาจากการพักร้อนเมื่อสัปดาห์ก่อน...และแล้วความร้อนผ่าวก็วูบแล่นทั่วใบของเขา เมื่ออ่านพบประโยคที่ว่า 

...กิจวัตรของเธอคือ เดินตรวจตราชายหาด...เก็บเศษแก้วและของมีคมบนผืนทราย ใส่ตะกร้าหวายใบเล็กๆ แล้วนำไปทิ้ง เพียงเพื่อจะไม่เป็นอันตรายต่อเด็กๆ และนักท่องเที่ยว...!!! 

ชาตรีเพ่งอ่านข้อความ แล้วหัวใจยิ่งเต้นแรงขึ้น เมื่อเลื่อนสายตามองภาพใบหน้าของคุณหญิงพิมลพร...ชายหนุ่มถึงกับอึ้ง...เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอหอย 

เพราะภาพใบหน้าของเธอ...กับภาพใบหน้าของหญิงชราที่เขาเคยตราหน้าว่าเป็นมิจฉาชีพที่คิดจะทำร้ายลูกของเขา...คือ คนคนเดียวกัน...!!!

* * * * * * * * * *

หมายเหตุ

เรื่องนี้ได้รับคัดเลือกตีพิมพ์ในหนังสือชุด  
"เขียนความดีที่หัวใจ ถวายในหลวงครับ 

ตามลิงค์ 

http://www.thaiwriternetwork.com/writeratheart.php				
5 ธันวาคม 2549 04:21 น.

เรื่องสั้น-รักของพ่อ..."รอยเลือดบนปกหนังสือ"

ทิวสน

เรื่องสั้น-รักของพ่อ..."รอยเลือดบนปกหนังสือ"


โดย :: ทิวสน ชลนรา


"พี่นันท์พ่อเสียแล้ว!" 
เสียงสั่นเครือจากปลายสาย สิ้นคำก็ปล่อยโฮออกมา ทำเอานันทกรถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว มันเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่กลางใจ เขานิ่งอึ้งประหนึ่งว่าหัวใจจะหยุดเต้น กับข่าวร้ายที่ได้รับแจ้งจากน้องสาว 

ปลายสายวางไปนานแล้ว แต่ชายหนุ่มยังยืนนิ่ง งุนงงกับเหตุการณ์ หลังจากไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านเป็นเวลานาน และที่จำเป็นต้องระเห็จมาอยู่กรุงเทพฯ ก็เพราะความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างเขาและพ่อ 

"แกมันลูกไม่รักดี!!!เป็นนักเขียนรายได้จะซักเท่าไหร่เชียวหา!!ทำไปเมื่อไหร่จะตั้งตัวได้...อีกหน่อยมีลูกมีเมียไม่อดๆ อยากๆ กันทั้งบ้านเรอะ!" ผู้เป็นพ่อตวาดเมื่อรู้ถึงความดื้อดึงที่เขาจะเลือกเดินในสายอาชีพนักเขียน 

"แต่ผมรักงานนี้นะครับพ่อ ผมคิดว่ามันมีประโยชน์ที่เราได้ปลูกฝังความคิด คุณธรรม จริยธรรมที่ดีให้กับคนที่อ่านหนังสือ สังคมจะได้พัฒนาไงครับพ่อ" ชายหนุ่มให้เหตุผล 

"เชอะ.มาทำเป็นอุดมการณ์สูงส่ง ห่วงใยสังคม" พ่อเอ่ยน้ำเสียงหยัน "ฉันกลัวแต่แกน่ะจะเอาตัวไม่รอด ก่อนสังคมจะพัฒนาล่ะไม่ว่าฟังนะนันท์ ถ้าแกไม่เลิกคิดจะเป็นนักเขียนล่ะก็ แกกับฉันก็ไม่ต้องมาเห็นหน้ากัน!!" 

พ่อยื่นคำขาด มันเหมือนถูกเหล็กแหลมทิ่มแทงใจชายหนุ่ม กับท่าทีไม่ยอมเข้าใจของผู้บังเกิดเกล้า แต่สายตาที่มองทอดไกลออกไปในภายหน้าทำให้ไม่อาจเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตได้ 

นับแต่วันนั้น พ่อก็เฉยชาไม่พูดจากับเขา ชายหนุ่มทนความอึดอัดอยู่ 4 เดือน จึงฝากน้องสาวและน้องชายดูแลพ่อ แล้วมุ่งหน้าเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นนักเขียนอิสระ ส่งงานเขียนตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับ ส่งเงินไปช่วยทางบ้านสม่ำเสมอ นานๆ ครั้งจะโทรศัพท์ไปพูดคุยกับน้องๆ แม้หลายครั้งจะขอคุยกับพ่อ แต่ก็ถูกท่านปฏิเสธเสมอ เป็นความเจ็บปวดหนึ่งที่ฝังลึกคอยบั่นทอนกำลังใจเขาเสมอมา 

ทว่าชายหนุ่มได้รับการฟื้นใจเสมอ เมื่อนึกถึงแม่ที่จากไปหลายปีแล้ว แม่รักการอ่าน แม่อ่านหนังสือทุกประเภท และแม่ก็เป็นนักเขียน แต่พ่อไม่เคยสนับสนุนแม่ และสรุปเอาดื้อๆ ว่า สาเหตุที่แม่เป็นโรคเครียดและเส้นเลือดฝอยในสมองแตกจนเสียชีวิต ก็เพราะอาชีพนักเขียน 

กระนั้นงานเขียนของแม่ก็ยังคงทำรายได้จากการพิมพ์ซ้ำ และได้ค่าลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง กลาย เป็นทุนการศึกษาให้น้องๆ อย่างเพียงพอ เพราะลำพังเงินเดือนจากหน้าที่การงานเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยของพ่อกับการที่ต้องเลี้ยงดูลูก 3 คนให้ได้อยู่อย่างสุขสบาย มีการศึกษาสูงๆ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นแต่พ่อต้องเหนื่อยมากขึ้น 

ทั้งที่พ่อเองก็รู้ว่า เพราะรายได้เสริมจากงานเขียนของแม่โดยแท้ ครอบครัวจึงไม่ขัดสน แต่กระนั้นพ่อก็ยังคงมีอคติกับอาชีพนักเขียนไม่แปรเปลี่ยน จนนับ 7 ปี ที่นันทกรต้องออกจากบ้านมา และได้รับข่าวร้ายในวันนี้ เมื่อพ่อจากไปอย่างฉับพลัน! 

ชายหนุ่มจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋า 2-3 ชุด รุดกลับบ้านที่หัวหิน ด้วยความรู้สึกหดหู่เสียใจ น้ำใสๆ คลอหน่วยอยู่ตลอดเวลา แม้ไม่ยอมจะเอ่อไหล ทว่ามันไหลย้อนกลับลงไปท่วมใจ พยายามนึกว่า มันเป็นเพียงความฝันฝันร้ายที่จะหายไปเมื่อตื่น และพยายามขับไล่ความขมขื่นใจที่ฝังลึกเสมอมาว่า พ่อไม่เคยเข้าใจ พ่อไม่เคยรัก 

สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ อยากกลับไปถึงบ้านเร็วที่สุด เพื่อกล่าวความในใจทุกสิ่งต่อพ่อ และบอกว่าเขายังรักเคารพพ่อเสมอ แม้ว่าในความเป็นจริง ท่านไม่อาจได้ยิน...

* * * * * 

				
9 ตุลาคม 2549 22:32 น.

"เด็กซน และ ชายคนนั้น"

ทิวสน

โดย :: ทิวสน ชลนรา


สายมากแล้ว...แต่ยังมีอีกหลายชีวิตที่จดจ่อรอรถประจำทางอยู่ที่ป้ายชานเมืองแห่งนี้ สายตาทุกคู่ทอดไปยังทิศทางที่รถประจำทางนานๆ จะผ่านมาสักคัน เวลานี้มีเพียงระยับแดดที่โลดเต้นเหนือผิวถนน กับลมร้อนที่พัดวูบมาปะทะกาย หญิงสาวหลายคนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ผุดพราว...

	ป้ายรถประจำทางแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเช้า มักจะมีผู้โดยสารจำนวนมาก มารอขึ้นรถเข้ากลางเมืองเพื่อประกอบภารกิจด้วยต่างจุดประสงค์ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้โดยสารเหล่านี้เหมือนกันคือ เป็นชนชั้นกลาง และอาศัยในชุมชนที่ถัดลึกไปราว 100 เมตร จากด้านหลังป้ายรถประจำทางนี้เอง
	
	ที่พักผู้โดยสารสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ พื้นที่ไม่กว้างนัก มีม้านั่งที่ยังใช้การได้เพียงไม่กี่ตัว ทำให้ทุกเช้าเมื่อแดดจัดหลายคนจะยืนชิดเบียดกันราวญาติสนิท ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบจะดูแลเรื่องที่พักผู้โดยสารแห่งนี้ เพราะเมื่อแรกมีก็ได้มาจากนักการเมืองท้องถิ่น ที่สร้างบริจาคเพื่อขอคะแนนเสียง ชื่อยังเด่นที่หลังคา อ่านชัดเจนได้แต่ไกล
	
	ห่างจากที่พักผู้โดยสารไปไม่ไกลนัก คือต้นมะยมกำลังลูกดก กิ่งก้านแผ่กว้างแต่บางใบ ใกล้โคนต้นมีภาพหนึ่งที่ทุกสายตา เมื่อทอดมองไปในทิศทางที่รอรถ จะต้องพบกับรถเก๋งสปอร์ตสีแดงบาดตา มองปราดเดียวก็รู้ว่า ราคาค่างวดมิใช่น้อย ความสงสัยใคร่รู้ของทุกคนที่พบเห็นคือ เป็นรถของใครกันหนอ...เพราะยังไม่เคยมีใครเคยพบเจ้าของรถในยามเช้า เมื่อใดที่เดินมารอรถประจำทาง ก็จะพบรถคันงามจอดนิ่งใต้ต้นมะยมนี้อยู่ก่อนแล้ว บ้างก็ว่าน่าจะเป็นรถของผู้มีอันจะกิน ที่มาเปิดบริษัทอยู่ปากซอยถัดไป บ้างก็ว่าเป็นรถของคนในหมู่บ้านจัดสรรที่มีสำนักงานอยู่กลางซอยก่อนถึงชุมชน แต่ที่แน่นอนคือ ความรู้สึกของทุกคนที่มอง เหมือนตอกย้ำในความแตกต่าง ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในฐานะ คละปนอิจฉาเจ้าของรถคันนี้นัก

	"รถมาแล้ว" เสียงหนึ่งดังขึ้น เหมือนส่งสัญญาณให้แทบทุกชีวิตขยับตัวเตรียมขึ้นรถ ทว่ามองจากระยะไกลก็รู้ว่าบนรถที่กำลังแล่นเข้าเทียบป้าย มีผู้โดยสารอยู่เต็มคัน แต่แทบไม่มีใครรอคันต่อไป เพราะอีกนานกว่าคันต่อไปจะมา 

	รถประจำทางวิ่งเทียบป้ายพร้อมฝุ่นดินที่หอบเข้ามา...เพียงครู่รถคันนั้นก็พร้อมวิ่งจากป้ายไป ทิ้งผู้โดยสารเหลือไว้เพียงไม่กี่คนที่ยังรอรถสายอื่น...และรถเก๋งสปอร์ตคันงามยังคงจอดนิ่งที่ใต้ต้นมะยมต้นนั้น... 

* * * * *

สายวันนี้...ที่เดิม...ยังคงมีผู้โดยสารรอรถหนาตาเช่นเดิม ต่างก็แต่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องเจ้าของรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันที่จอดนิ่งโคนต้นมะยมคันนั้นอย่างออกรส

	"เห็นเขาว่า เป็นพวกเศรษฐีหน้าเลือดมาออกดอกให้กู้ตั้งร้อยละยี่สิบแหนะเธอ...แย่จริงๆ รวยแล้วยังจะมาเอาเปรียบคนจนๆ อย่างพวกเรา...คนอาไร้...ไม่รู้จักพอ"

	"ใช่...รวยแล้วก็น่าจะมาเผื่อแผ่เจือจาน ทำประโยชน์ช่วยเหลือคนจนอย่างพวกเราบ้าง จริงมั้ย ดูซิ...ไอ้เพิงโทรมๆ นี้น่ะ มันคุ้มแดดคุ้มฝนได้ซะที่ไหน"

	"โอ้ย.ย.ย.ย...ฝันไปเถอะ...รวยแล้วไม่มีใครเขาจะมามองเห็นหัวคนจนอย่างพวกเราหรอก"

	"เออ...ว่าแต่มีใครเคยเห็นเศรษฐีคนนี้มั่งมั้ย... ท่าจะตื่นเช้าน่าดูเลยนะฉันว่า บางวันฉันตื่นเช้าแล้วนา...แต่มาทีไรก็เห็นไอ้รถนี่จอดขวางหูขวางตาอยู่ก่อนทุกทีเลย"

	"นั่นไง...ว่าแล้วเชียว...ไม่ใช่แค่รวยเปล่านะนี่ แบบนี้เขาเรียกว่า รวยแล้วยังงกอีกฉันว่าที่ขยันก็เพราะงกนั่นแหละ"
	
	"เฮ้อ...อย่าไปสนใจคนพวกนี้เล้ย.ย. เขากับเรามันคนละชั้น...โน่นๆ รถมาแล้ว ไปกันเถอะ"


* * * * *

อีกหนึ่งวัน ที่เก่ายามสายลมร้อนยังพัดวูบเข้ามาเป็นระยะ...ระยับแดดที่โลดเต้นสะท้อนผิวถนนดูท่าจะร้อนกว่าทุกวัน ผู้โดยสารยังคงยืนเบียดชิดใต้ชายคาที่พักเช่นเดิม เช้านี้ไม่ใคร่จะมีใครสนทนากันสักเท่าไร อากาศที่อบอ้าวทำเอาหลายคนหน้านิ่วคิ้วขมวด ยิ่งเวลาผ่านไป กับการรอคอยรถที่ทอดยาว ก็ทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจของใครต่อใครเป็นระยะ ครั้นเหลียวมองรถเก๋งสปอร์ตคันนั้น ก็พาลหงุดหงิดขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ 

                    ขณะหนึ่งในช่วงเวลาแห่งการรอคอยอันไร้วี่แวว ก็แว่วเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ ใกล้เข้ามา ครั้นบางคนหันไปมองก็พบเด็กวัยประถมอายุราว 8-10 ขวบ 4-5 คน กำลังวิ่งมายังต้นมะยมด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า กับภารกิจที่รออยู่ ครั้นถึงต้นก็ปีนป่ายเพื่อเก็บผล เด็กเหล่านี้คงเป็นลูกของคนในชุมชนหลังป้ายรถประจำทางแห่งนี้ และอาจจะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ไม่ได้รับการศึกษา ทำให้เวลานี้ ควรจะอยู่ในชั้นเรียน ทว่ากลับต้องมาเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นซนเช่นนี้

                    ต้นมะยมที่หลายคนมองข้าม สูงเสียดยอดให้ลูกดกโตสุกเหลือง รอให้เด็กๆ คว้ารูดเก็บ ซึ่งแต่ละคนต่างปีนป่ายแคล่วคล่องไม่หวั่นกลัวความสูง ครั้นเอื้อมถึงก็คว้ารูดแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงจนตุงทั้งสองข้าง บ้างก็คว้าใส่ปากเป็นกำเคี้ยวกร้วมๆ น้ำฉ่ำไหลเลอะมุมปาก บ้างก็หยีตาด้วยความเปรี้ยวจนคนที่มองพาลเข็ดฟันตามไปด้วย

	แต่แล้ว...ทันใดนั้น เด็กชายคนหนึ่งได้เหยียบลงไปบนกิ่งแห้ง ที่เกินจะทานน้ำหนักไว้ได้ จึงหักเสียงดัง "เป๊าะ!" พร้อมกับร่างร่วงจากความสูงราว 3 เมตร 

	เด็กชายคนนั้นหล่นตุ๊บ! ลงมานอนคลุกฝุ่น ห่างจากรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันนั้นราว 2 เมตร ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึง ผลมะยมตกเกลื่อนพื้น พร้อมสีหน้าจุกเสียดตามด้วยเสียงร้องโอดโอย แล้วคว้าที่เท้า ซึ่งบัดนี้มีกิ่งมะยมแห้งปักคาอยู่...! เลือดสีแดงสดเริ่มไหลออกมานองพื้นแล้วซึมผสมฝุ่นดิน เสียงร้องทำเอาเพื่อนๆ รีบปีนลงมาหน้าตาตื่น แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่หันมองซ้ายขวาระร่ำระลัก "น้าๆๆ...ช่วยเพื่อนผมที....ช่วยเพื่อนผมที" แข่งกับเสียงโอดโอยของเด็กคนนั้น

	บัดนี้ทุกสายตาของผู้โดยสารที่อยู่ในเพิงพัก ซึ่งไม่ห่างจากจุดเกิดเหตุนัก ต่างจับจ้องมองดูพร้อมออกความเห็น

	"โห..ดูนั่นสิ เลือดออกเยอะจัง ท่าจะหนัก คงเกือบจะทะลุเลยนะนั่น หู๊ย.ย.ย.เสียวไส้"

	"เข้าไปช่วยเด็กหน่อยสิเธอ...น่าสงสารออก"

	"จะไปไหน...อย่านะ! เดี๋ยวก็ต้องเป็นธุระค่าหยูกค่ายาหรอก ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้สม!หาเรื่องใส่ตัวไม่เข้าเรื่อง"

	"พ่อ!...อย่าไปยุ่งเชียวนะ...โน่น รถมาแล้ว รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย"

	"ไอ้หลานชาย...โทษทีนะ น้าต้องรีบไปธุระ ขอให้อย่าเป็นอะไรมากเลยนะ"
	
	"รถมาแล้ว! รถมาแล้ว ไปกันเถอะ เร็ว...!"

	ขณะที่บางส่วนหนีหายขึ้นรถ และที่เหลือยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ทว่าไม่มีแม้สักคนที่จะเข้าไปช่วยเหลือ จะมีก็แต่บางรายที่เข้าไปมุงดูอยู่ห่างๆ

	ทันใดนั้น...ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น...
	
	"ขอโทษครับ ขอทางหน่อยครับ...เด็กเป็นอะไรมากรึเปล่า"

	ทุกสายตาหันขวับไปยังที่มาของเสียงพร้อมเปิดทางให้แต่โดยดี ชายหนุ่มวัยราวสามสิบเศษ รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายสะอาดแลดูภูมิฐาน เดินเบียดแทรกคนมุง ตรงไปยังเด็กชายมอมแมมที่นอนเกลือกกลิ้งคลุกฝุ่นคนนั้น
	
	ชายหนุ่มทรุดนั่งข้างร่างเด็กชาย ซึ่งบัดนี้เสียงร้องแผ่วไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มผสมคราบไคลเป็นรอยด่างดำ ครั้นช้อนร่างขึ้นอุ้ม เลือดก็ไหลจากฝ่าเท้าผ่านส้นเท้าเปรอะเปื้อนก่อนทิ้งตัวหยดรดลงเปื้อนกางเกงสีครีมของชายหนุ่มเป็นทางยาว

	"ใครก็ได้ ช่วยเอากุญแจนี่ไขประตูให้ผมทีครับ" เขาหันตะเบงบอกกลุ่มคนที่มุง 

	ชายคนหนึ่งปรี่เข้ารับกุญแจจากมือมาไขประตูรถด้านหน้า ก่อนจะอ้อมมาเปิดประตูด้านหลังให้ ชายหนุ่มก้มตัวนำเด็กขึ้นวางบนเบาะหลังหนังสีครีม...เลือดสีแดงเข้มยังคงไหล เลอะเปื้อนเบาะนั้น

	ครู่ต่อมา รถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันงามก็ถอย แล้วปราดออกไปจากโคนต้นมะยม ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่เห็นเหตุการณ์ แล้วหันมองหน้ากัน โดยไม่มีคำกล่าวใดๆ 

* * * * *

สายวันนี้...ใต้ชายคาที่พักผู้โดยสารผู้คนยังคงแออัดเช่นเดิม แต่ลมโชยพัดมาช่วยคลายไม่ให้ร้อนมากเช่นทุกวัน ใบมะยมวูบไหวตามลม บางใบที่แห้งเหลืองก็ร่วงพลิ้วหล่นลงซบพื้นดิน บ้างก็หล่นลงหลังคารถสปอร์ตสีแดงคันงามoyho

	วันนี้ไม่มีความขึงเครียดปรากฏบนใบหน้าผู้คนเช่นทุกวัน สายตาทุกคู่ยังคงจดจ่อกับทิศทางที่รอรถประจำทางสายประจำจะแล่นมา...ไม่มีอะไรแตกต่างจากทุกเช้าที่ผ่านมา

	จะต่างก็เพียงความรู้สึกที่สื่อผ่านสายตาทุกคู่ ที่หันมองรถเก๋งสปอร์ตสีแดงคันนั้น 


* * * * * * * * * *				
22 มิถุนายน 2549 15:10 น.

เรื่องสั้นอารมณ์ดี "หาดสวย ทรายขาว เรารักกัน"

ทิวสน

แสงสีทองเริ่มจับที่ขอบฟ้า ทาบทาระบายผืนน้ำในสีเดียวกัน คลื่นลมซัดสู่ฝั่งเป็นระรอก สองรอก สามรอก. และเริ่มถี่กระชั้นขึ้นแสงทองเริ่มเข้มขึ้นทีละน้อย นั่นอย่างไร ดวงอาทิตย์หัวเหม่งเริ่มโผล่พ้นผิวน้ำที่ขอบฟ้าแล้วอา...ช่างเป็นภาพที่งามแท้

            เจี๊ยบสูดลมหายใจลึกเต็มปอดแล้วระบายออกทางหู พร้อมรอยยิ้มปลาบปลื้มกับภาพเบื้องหน้า นำมาซึ่งความสดชื่นพึงใจเหลือประมาณ เธอยิ้มนิ่ง-นาน จนเหงือกเริ่มแห้ง. 

            เธอไม่อายหรอกหากใครจะมาพบเธอยืนยิ้มอยู่คนเดียว เพราะเพื่อนๆ คณะนิเทศฯ เห็นเป็นภาพคุ้นตาเสียแล้ว นับตั้งแต่ปี 1 เป็นต้นมา เธอมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวถึงเสมอ ด้านการยืนยิ้มคนเดียวไม่จำกัดสถานที่ ไม่ว่าจะเป็น หน้าคณะ หน้ามหาวิทยาลัย หน้าตู้โทรศัพท์ หน้าตู้ไปรษณีย์ ไม่เว้นแม้แต่หน้าห้องน้ำนักศึกษาชาย !

            ความที่รักธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจนี่เอง จึงนำเธอมายืนรอภาพอันงดงามยามเช้าก่อนไก่(เพื่อนหญิงที่มาด้วยกัน)จะโห่เสียอีก

            ภาพเบื้องหน้าสะกิดใจให้เธอหวนรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญอันน่าประทับใจครั้งหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นบนชายหาดแห่งนี้.เมื่อ 3 ปีที่แล้ว   (ภาพเบื้องหน้าเริ่มเบลอ และนำเธอไปสู่อดีต)

* * * * *

            วันนั้นเป็นวันที่ทำให้เธอได้พบและรู้จักกับเขาคนนั้น ซึ่งเป็นพี่รหัสลึกลับ เป็นครั้งแรก   ขณะเพื่อนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันตั้งแต่เย็นเมื่อวาน ยังคงนอนอยู่ที่บ้านพัก แต่เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่มานั่งรอชมดวงอาทิตย์ในยามอรุณรุ่ง 

            ครั้นแสงทองระบายผืนฟ้าทาบทาผืนน้ำ นำความสว่างกำจายไปทั่ว เธอสังเกตพบว่า มีชายคนหนึ่งยืนถัดจากเธอไปไม่ไกลนัก มาดสุขุมนิ่ง กอด-อก สายตาทอดยาวออกไปไกล ผมยาวสยายตามลมจมูกนั้นเล็กแหลมแถมคบกริบ ตาโหลเล็กน้อย กับความสูงราว 185 เซนติเมตร 

            เธอจำได้ว่าเขาคือรุ่นพี่ที่มากับโปรแกรมรับน้องนั้นเองลมพัดแรงจนเขาเซมาข้างหลังเล็กน้อย น้ำลายกระจายตามลม แต่แลดูเท่ห์-มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก

            ครู่หนึ่ง เมื่อฟ้าสว่างขึ้นมากแล้ว เขาจึงหันกลับและเดินผ่านหน้าเธอไป พร้อมเหลือบตามามองและส่งยิ้มให้เธอเล็กน้อย เธอไม่อาจปฏิเสธในไมตรีได้จึงยิ้มรับพร้อมกระพริบตาถี่ สลับซ้ายขวา 15 ครั้ง/วินาที 

            มันคือการเริ่มต้นของการทอดสะพานมิตรภาพถึงกันระหว่างเขาและเธอ.

* * * * *

            ในการทำกิจกรรมรับน้องตลอดวัน ดูเหมือนว่าเขาจะลอบแอบมองเธออยู่บ่อยครั้งจนเธอจับได้ แต่เขาพยายามดิ้นและหลุดเสียทุกครั้งโดยทำหน้าตายสอดส่ายสายตาไปที่อื่น ทว่ามันทำให้เธอหัวใจหวั่นไหวอยู่ลึกๆ พฤติกรรมของเขาหาใช่เพียงแต่เธอที่สังเกตพบ แต่เพื่อนผู้หญิงหลายคนก็สัมผัสได้เช่นกัน บางคนก็ค้าน หาว่าแท้จริงเขาไม่ตั้งใจ หรือตาเหล่บ้างล่ะ ซึ่งมันก็จริง แต่มันก็น่าภูมิใจมิใช่หรือ หากตาข้างหนึ่งมองดูเพื่อนหรือสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า แต่ดวงตาอีกข้าง สนใจห่วงใยเธอตลอดเวลาปลื้มจัง.แต่จะเป็นจริงได้เพียงใดหนอ 

            เพราะด้วยความที่เป็นหญิงคงไม่งามนักหากจะเป็นฝ่ายส่งสัญญาณให้เขารู้ พร้อมป้อนคำถามว่า ชอบมะ ชอบมะ รึว่าอะไรทำนองนี้ คงมีแต่จะงามหน้าซะมากกว่า

            ในช่วงทำกิจกรรม ตอนที่รุ่นพี่แกล้งเช่น ให้เดินลุยไฟ นั่งเก้าอี้ไฟฟ้า กระโดดเชือกไป
ปั่นจักรยานไป หรือจะเป็นปล่อยเกาะแล้วให้ว่ายน้ำกลับ พี่คนนี้ก็จะสอดส่องคอยดูแลปกป้องเธออย่างเห็นได้ชัด 

            อย่างตอนนั้น เจี๊ยบกำลังถูกบังคับให้กินกิ้งกือพ่อลูกอ่อนและปลาไหลไฟฟ้า พี่เขาก็จะรีบบอกว่าหมดเวลาตั้งหลายหน โดยไม่มีเพื่อนคนไหนรู้หรือกล้าค้านเพราะเกรงใจไม้หน้าสามที่เขาเงื้ออยู่ในมือ ตอนนั้นอีกตอนที่นั่งเรือไปเพื่อนำนักศึกษาใหม่ไปปล่อยเกาะ 

            วันนั้นคลื่นลมค่อนข้างแรง เรือจึงโคลงไปมาทำเอาน้องใหม่ โดยเฉพาะสตรีที่บอบบางเช่นเธอถึงกับอาเจียนออกมาเกินกว่าจะควบคุมได้ และมันได้รดหน้าของเขาเข้าเต็มที่ 

            แต่เขาไม่ตำหนิหรือกล่าวว่าเธอเลยแม้สักคำ นั่นเป็นเพราะมาทราบภายหลังว่า เขาเป็นคนที่เข้าใจผู้อื่นโดยง่ายเสมอ 

            ตอนที่จะก้าวลงจากเรือไปลงเรือเล็กเธอก้าวพลาดเกือบจะหล่นลงน้ำแต่ไม่รู้เขามาอยู่ด้านหลังเธอแต่เมื่อใดคว้าผมเธอกระชากเอาไว้เป็นเหตุการณ์สุดแสนซาบซึ้ง

            แม้แต่เรื่องปล่อยเกาะพี่แมน (ชื่อของพี่คนนี้ ที่เธอแอบรู้มาตอนที่เขาเผลอทำตั๋วจำนำหล่นลงบนมือเธอ) ก็อุตส่าห์เสนอให้เพื่อนนำเธอไปปล่อยอีกเกาะหนึ่งซึ่งห่างไปอีก 200 ไมล์ เพราะอยากให้เธอมีความเป็นส่วนตัวนั้นเอง

            ในช่วงโปรแกรมรอบกองไฟในคืนนั้น ก็แสนจะประทับใจ
            เริ่มตั้งแต่ทานอาหารทะเล เช่น ลาบไก่ ซุปหน่อไม้ ปลาดุกย่าง ซึ่งหลายคนก็สงสัยเช่นกัน ว่ามันเป็นทะเลตรงไหน พี่ที่ทำอาหารก็บอกว่า ไก่นี้จับมาจากเกาะ หน่อไม้ก็ลอยอยู่ในน้ำทะเล    ส่วนปลาดุกนั่นก็เป็นปลาดุกลูกครึ่ง แต่ด้านรสชาติไม่มีใครปฏิเสธว่าแซบเหลือหลาย โดยเฉพาะเมื่อได้ทานกับข้าวเหนียวทะเล!

            หลังทานอาหาร การแสดงของแต่ละกลุ่มซึ่งแบ่งตามภาคก็เริ่มขึ้น สร้างความสนุกสนานครื้นเครงจนเวลาผ่านล่วงไปดึกพอประมาณ บรรยากาศทั่วไปเริ่มเย็นเยียบ เงียบสงัด มีเพียงเสียงจากกลุ่มนักศึกษาและเสียงคลื่นกระซิบมาเป็นระยะ เป็นเวลาเหมาะสมที่พี่ๆแต่ละคนได้เข้าไปพูดคุยอย่างมีสาระกับน้องๆ พร้อมให้กำลังใจ

            แมน ชายหนุ่มคนนั้นได้คลานมาที่กลุ่มของเจี๊ยบและเพื่อน แสงไฟสลัว วอมแวม ทำให้ใบหน้าเขาแลดูหล่อเหลาไปอีกแบบจนเจี๊ยบอดไม่ได้ที่จะแอบก้มหน้ายิ้มขวยอายอย่างไร้เหตุผล  แล้วเขาก็เริ่มกล่าวความในใจ. 

            แม้จะมีเพื่อนร่วมฟังอยู่ด้วยแต่เธอกลับรู้สึกว่า เขากำลังเติมเชื้อไฟ เอ๊ยไม่ใช่สิ. เขากำลังเติมกำลังใจให้กับเธออย่างเฉพาะเจาะจง

            น้องๆครับ เราแต่ละคนต่างก็โตเป็น เอ่อเป็นอะไรต่อมิอะไรกันแล้ว น้ำเสียงนั้น ทุ้มนุ่ม อบอุ่นเหลือเกิน 

            ชีวิตนักศึกษากับชีวิตนักเรียนมันต่างกันครับน้องเวลานี้เป็นเวลาสำคัญที่เราจะเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ ต้องขวนขวายทุกสิ่งมาด้วยตนเอง เปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่ง เขานิ่งไปประมาณ 5 วินาที จึงพูดต่อ

            เปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่งใช่เปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่ง ที่จะใช้เป็นสะพานข้ามไปสู่ดวงดาววาววาม มีเมฆขาว ดาวสวย กับกล้วยน้ำหว้า เป็นกำลังใจให้เรา เราจะต้องตระหนักว่า เราไม่ต่างอะไรกับพวกลูกไม่มีพ่อ-แม่ พ่อแม่ไม่สั่งสอน 

            น้องๆ หันมองหน้ากัน แต่เขายังพูดต่อ 
            หรือว่าคุณพ่อ คุณแม่ ของน้องคนไหนเรียนนิเทศฯบ้าง.นั่นอย่างไรก็ไม่มีใช่มั้ย ขอให้ทุกคนตั้งใจในการปรับตัว ตั้งใจค้นคว้า หนทางข้างหน้าแม้ยาวไกล แต่น้องอย่าลืมว่าพี่ๆทุกคนยังเดินไปเคียงข้างน้องตลอดเวลาตราบที่พี่ยังอยู่ที่นี่ และพร้อมจะช่วยเหลือน้องๆเสมอครับ

            เมื่อเขาพูดจบ ทุกคนในกลุ่มถึงกับน้ำตาซึมเนื่องมาจากต้องทนดมกลิ่นจากใครคนหนึ่งที่แอบผายลมอย่างสุภาพเป็นระยะ และที่สำคัญ คือซาบซึ้งในสาระที่ได้รับเป็นครั้งแรกตลอดโปรแกรมที่ผ่านมาและสัมผัสได้ว่าบรรจุด้วยความจริงใจเปี่ยมล้นพร้อมความอบอุ่นเติมเต็มทุกดวงใจ

* * * * *

            หลังกลับจากรับน้อง เหมือนพระเจ้าเข้าข้างและทอดพระเนตรเห็นความหวั่นไหวในใจเธอจึงนำเขาและเธอให้ได้เรียนรู้จักกันมากขึ้น ซึ่งเขานั้นแท้จริงก็คือร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมาไม่ใช่สิ เพราะแท้จริงเขาคือพี่ระหัสลับของเธอ แถมยังระหัส 007 เหมือนเธอด้วย ซึ่งก็แปลกดีที่เธอมี
พี่ระหัสลับถึง 7 คน 

            เขาและเธอเริ่มมีโอกาสพูดคุย ให้คำปรึกษาในทุกครั้งที่มีปัญหา และทุกครั้งที่หาเหตุให้มีปัญหา เขาจะวางตัวอย่างดีจนเธอมองไม่ออกว่า เขารู้สึกเช่นเธอหรือไม่ ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เธอจะได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาว่าเป็นคนเช่นไรไม่ต้องเสแสร้งสร้างภาพสวยงามตบตากัน 

            กระทั่งนานไปจนเธอเรียนปี 2 พี่แมนก็ชวนเธอไปดูหนังด้วยเป็นครั้งแรก เรื่อง โหด เลวดี อ้วนพี ผีกุ๊กกี๊ก เขาเกรงว่าเธอจะเหงาจึงชวนครอบครัวไปดูด้วย ซึ่งก็น่าประทับใจไปอีกแบบในความที่เขาเป็นคนรักญาติพี่น้อง

* * * * *

            ความสนิทสนมของทั้งสองแม้ในสายตาเพื่อนๆ เริ่มสงสัยแต่ก็ยังไม่มั่นใจว่า เขาและเธอกำลังจะคบหากันเป็นคู่รักหรือไม่ ซึ่งเธอเองก็ยังไม่มั่นใจและรอเวลาให้ทอดยาวออกไปให้แน่ใจกว่านี้ และที่สำคัญเขายังไม่เคยเอ่ยกับเธอในเรื่องนี้เลย แม้ว่าพฤติกรรมของเขาเริ่มที่จะชัดเจนขึ้น 

            บ่อยหนที่เขาผ่านตลาดสี่มุมเมืองคราใด เป็นต้องซื้อผักกาดแก้วมาฝากเธอ 1 เข่ง พร้อมน้ำพริกหนุ่ม 5 กิโลฯ ความที่เขารู้ว่าเธอชอบทานเป็นชีวิตจิตใจนั่นเอง แม้เวลาจะผ่านไป จนบัดนี้เขาเรียนปี 4 แล้ว เธอก็ยังไม่ได้ยินคำๆนั้นที่รอคอย แต่เธอก็หาได้กระวนกระวายแต่อย่างใด แถมเก็บอาการไว้ได้เป็นอย่างดี  แม้บางครั้งเก็บไม่ค่อยอยู่หางคิ้วกระตุกเป็นระยะ แต่เขาไม่สังเกต

* * * * *

            เช้าวันนี้ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอได้มายืนอยู่ตรงนี้ เพราะรุ่นพี่ปี 4 จัดโปรแกรมมาพักผ่อนหลังสอบกลางภาค เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ มีเธอและเพื่อน อีก 6-7 คนและรุ่นพี่อีก 20 คน ที่สำคัญพี่แมนก็มาด้วย

            แดดเริ่มจับขอบฟ้าแล้ว แสงสีส้มอมชมพูสาดไปทั่วผืนฟ้าแลดูงดงาม เหมือนเบิกทางให้ดวงตะวันที่จะโผล่พ้นที่สุดปลายฟ้า เธอรู้สึกเสียดายที่หลายคนยังคงนอนพักผ่อนไม่สนใจกับภาพอันน่าประทับใจ แล้วเขาล่ะ.ทำไมเขาเองก็เป็นไปด้วย 

            รึว่าเธอมองผิดว่าเขาเป็นคนรักธรรมชาติ เพราะหากใช่ แล้วเขาพลาดช่วงเวลานี้ได้อย่างไร.ดวงอาทิตย์ดวงเดิมกับเมื่อวานเริ่มโผล่พ้นผืนน้ำที่สุดปลายฟ้า เธอเผลอยิ้มทักทายโดยไม่รู้ตัว ความสว่างเริ่มสาดแสงไปทั่วชายหาดที่มีคนบางตา ลมทะเลพัดมาอ่อนๆ พร้อมไอเค็มบางๆ

            สวยจังเลยเจี๊ยบ เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังมาจากเบื้องหลัง   ถึงไม่หันไปมองก็รู้ว่าเป็นเขา

            ขอบคุณค่ะ เธอตอบพร้อมก้มหน้าเขินอาย

            เอ่อเปล่าพี่หมายถึงดวงอาทิตย์น่ะครับ

            เธอหุบยิ้มฉับพลัน แล้วเชิดหน้ามองไปข้างหน้า โดยที่เขาไม่ทันสังเกตว่าเธอหน้าม้านเพียงใด เพราะสายตาคู่นั้นก็ทอดไกลออกไปเช่นกัน

            เขาเดินเข้ามายืนกอดอกอยู่ข้างๆ จนเธอได้กลิ่นกระเทียมเจียว คงแอบลุกขึ้นมาทำอาหารรอเพื่อนๆนั่นเอง เมื่อชำเลืองมองที่มือของเขาเธอก็ใจเต้น เพราะมีดอกกุหลาบสีแดงอยู่ในมือ

            เจี๊ยบครับ เขาหันมาทางเธอ แต่เธอไม่กล้าที่จะหันกลับไปมอง 

            คะ เธอยังคงก้มหน้า ตอบสั้นๆ และใจยังสั่นอยู่

            พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับเจี๊ยบน่ะครับ หันมาทางนี้สิครับ น้ำเสียงอ่อนโยนจนเธอรู้สึกอ่อนไหว

            ครั้นหันมองเขาก็พบว่าดอกกุหลาบดอกนั้น.เขาโยนทิ้งขยะที่อยู่ข้างๆไปเสียแล้ว

            มีอะไรเหรอคะ เธอถามอย่างประหม่า ไม่กล้าแม้จะมองดวงตาใสซื่อคู่นั้น 

            เจี๊ยบคงไม่ว่าพี่นะครับเอ่อ คือ ความจริงเราสองคนก็รู้จักกันมานานพอสมควร และคงสามารถทำให้เจี๊ยบเชื่อใจ และไว้วางใจพี่ได้คือว่าเจี๊ยบครับ 

             เขาหยุดนิ่งไปพักหนึ่งคล้ายตัดสินใจในบางสิ่ง ส่วนเธอสิ ใจนั้นรัวเหมือนกลองดังก้องแทบควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องกัดลิ้นไก่ไว้เป็นเชิงเพื่อข่มความรู้สึก 

            คือว่า เอ่อ.พอดีกระเป๋าสตางค์พี่หาย  พร้อมค่ากับข้าวของพวกเราเช้านี้ด้วย เอ่อไม่ทราบเจี๊ยบพอจะมีให้พี่รบกวนยืมก่อนสัก 500 รึเปล่าครับ 

            เขาเอ่ยไม่สู้จะเต็มเสียงนัก เธอหุบยิ้มทันควัน พร้อมความรู้สึกแอบลุ้นดับวูบ

            เอ่อได้..ได้ ค่ะตามมาสิค่ะเดี๋ยวเจี๊ยบไปเอาที่ห้องให้ค่ะ

            เธอข่มเสียงให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ภายในรู้สึกเดือดดาลอย่างไม่รู้สาเหตุ ว่าแล้วก็จ้ำเท้าพรวดๆ ไปที่บ้านพักอย่างรวดเร็ว คล้ายจะผละให้ไกลจากความรู้สึกเมื่อครู่ 

            ปล่อยให้ไอ้หนุ่มผมยาวก้าวเท้าตามแทบไม่ทัน


* * * * * * * * * *				
16 มิถุนายน 2549 13:41 น.

เรื่องสั้นซาบซึ้ง...“แม้ฝันวันนี้...ไม่มีเธอ”

ทิวสน

โดย ::: ทิวสน ชลนรา
tewson7@hotmail.com


นพพล แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ว่าเขาเคยทิ้งบ้านหลังงามที่ตั้งอยู่ตรงหน้า อันเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองไป และไม่ย้อนกลับมาดูแลอีกเลยเป็นเวลากว่า 4 ปี ทั้งที่เมื่อแรกได้มา เขารักมันมาก แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขาเด็ดเดี่ยวและกล้าตัดสินใจจากไปในเวลานั้น..

กว่าจะปัดฝุ่นกวาดหยากไย่พร้อมจัดแจงทุกอย่างภายในบ้านให้เข้าที่ดังเดิม ดวงตะวันสีส้มกลมโตก็เริ่มคล้อยต่ำจวนจะลับทิวสนหน้าบ้านไปแล้ว

ชายหนุ่มทอดกายกึ่งนั่งบนเก้าอี้หวายตัวโปรดอย่างโรยแรง ชามะนาวเย็นได้ไล่ผ่านความแห้งผากในลำคอ เรียกความสดชื่นคืนกลับมาอีกครั้ง

ลำแสงสีส้มเริ่มจางลงทุกขณะ เขาปล่อยอารมณ์ตามสบาย นอนมองทิวสนโอนเอนตามสายลมยามเย็นที่โชยพัดมาบางเบา คละกลิ่นหอมเย็นจากซุ้มดอกแก้วโชยมาตรึงจมูก ช่างเป็นสุขแท้ ที่ได้กลับมาสู่บรรยากาศเช่นนี้อีกครั้ง พลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีจดหมายตกค้างยังไม่ได้เปิดอ่านอยู่ 4-5 ฉบับ เขาไปนำมันมาเปิดออกอ่านทีละฉบับ ซึ่งล้วนแต่เป็นจดหมายจากเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยทั้งสิ้นเว้นแต่การ์ดอวยพรใบนั้น

มันเป็นการ์ดอวยพรตกค้างมาตั้งแต่เทศกาลวาเลนไทน์เมื่อปีที่แล้ว การ์ดใบโตรูปดอกกุหลาบสีแดงสด

เขาค่อยๆ เปิดอ่านเนื้อความด้านในด้วยใคร่อยากรู้ว่าใครหนออุตส่าห์ส่งการ์ดอวยพรประเภทนี้มาให้ เพราะตั้งแต่เรื่องราวคราวนั้นเขาก็ไม่ใส่ใจกับเทศกาลนี้เท่าใดนัก

ครั้นอ่านข้อความ ใบหน้าถึงกับร้อนผ่าว มันเป็นความรู้สึกที่สับสนอย่างบอกไม่ถูกและไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับมันดี

* * * * *

อาจเป็นเพราะการ์ดใบโตรูปดอกกุหลาบสีแดงสดใบนั้นก็เป็นได้ ที่ทำให้เขากระสับกระส่ายว้าวุ่นใจจนนอนไม่หลับ มันเป็นการ์ดอวยพรวันวาเลนไทน์ ซึ่งนับเป็นใบเดียวจริงๆ ที่เขาได้รับในตลอดช่วงที่ผ่านมา และเขาคงไม่สนใจใส่ใจกับมันมากนัก หากผู้ที่ส่งมาให้ไม่ใช่ สุพร ..ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะอ่อนเดียงสา แต่ก็เธอมิใช่หรือที่ได้ฝากความเจ็บปวดอย่างสากรรจ์ประทับไว้ในใจของเขาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

* * * * *

แม้จะดับไฟที่หัวเตียงไปครู่ใหญ่แล้วและพยายามข่มตาจะให้หลับ แต่ทว่า บางสิ่งที่ยังฝังลึกในความคำนึงของชายหนุ่ม กลับรุกเร้าภายในให้ย้อนรำลึกถึงภาพเหตุการณ์แต่หนหลังระหว่างเขาและเธอเมื่อครั้งยังหวานซึ้งโลดแล่นอยู่ในห้วงแห่งความรัก ยิ่งเห็นภาพกลับยิ่งทุกข์ทรมานใจ เหมือนสะกิดรอยแผลเก่าให้รวดร้าวยิ่งนัก เขาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพื่อจะพอบรรเทาความหนักอึ้งในสมองให้คลายลงบ้างแต่ดูเหมือนว่ามันไม่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นแม้สักนิด เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดไฟ ไขกุญแจตู้เก็บสมุดไดอารี่โดยเลือกเล่มที่บันทึกไว้เมื่อปี ค.ศ. 2000 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 

วันนั้น เป็นวันที่เขาได้บันทึกความรู้สึกอันเนื่องมาจากการตัดสินใจครั้งสำคัญเอาไว้.ความเงียบงันของราตรีกาลทำให้เขาเริ่มต้นอ่านบันทึกได้อย่างมีสมาธิ

* * * * *

14 กุมภาพันธ์ 2000 / 23.00 น.

สุพร ยอดดวงใจที่ทำให้ผมเหมือนฝันในวันวาน

ในวันที่เราพบกันครั้งแรก ผมร้องเพลงคลอเสียงกีตาร์ที่ผับแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท ผมเล่นดนตรีที่นั่นทุกคืน คุณมาที่ผับแห่งนั้นพร้อมเพื่อน 4-5 คน คุณโดดเด่นที่สุดในกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน คุณไม่ใช่คนที่สวย.แต่คุณน่ารักน่ารักกว่าใครๆ ที่ผมเคยพบมา

คุณขอให้ผมร้อง เพลง UNCHANGE MELODY พร้อมส่งยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋มน่ารักนั่น ทำเอาผมหวั่นไหวอยู่ไม่น้อยขณะที่ร้องเพลง ผมลอบแอบมองคุณอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งผมก็ได้พบกับรอยยิ้มแสนหวานกับดวงตาน่ารักคู่นั้น มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกแปลบปลาบขึ้นมาลึกๆ ในใจ

คุณถูกเพื่อนแซวเพราะจ้องมองผมอย่างลืมตัว ผมยอมรับว่าไม่เคยพบใครที่ไหน เขินอายได้น่ารักเท่าคุณเลย

คืนนั้น ผมไม่มีสมาธิในการเล่นดนตรีเท่าที่ควร กระทั่งคุณกลับไปพร้อมรอยยิ้มสุดท้าย ก่อนจะลับหายไปหลังม่านด้านหน้าของผับ

จากวันนั้น ผมไม่เคยพบคุณที่นั่นอีกเลย มันเป็นเหมือนความฝันที่ผ่านมาเพียงชั่วคืน แต่ผมก็รู้สึกประทับใจในความฝันของคืนนั้นและเก็บมารำลึกถึงอยู่เสมอ.

แล้ววันหนึ่งผมต้องตกใจและดีใจเป็นที่สุด ผมพบคุณอีกครั้งขณะกำลังซ้อมเทนนิสที่คอร์ต ของมหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมแข่งกีฬามหาวิทยาลัย คุณกับเพื่อนชายอีก 2-3 คน กำลังนั่งดูผมซ้อมที่เก้าอี้ข้างๆ สนาม ผมยิ้มให้คุณพร้อมกับการยิ้มรับของคุณ

ผมหยุดซ้อมออกมานั่งทักทายพูดคุย น่าแปลก..ทั้งที่ เป็นครั้งแรกที่เราได้พูดคุยกัน แต่เรากลับไม่รู้สึกเขินอาย คล้ายว่าสนิทสนมกันมานานปี และผมได้ทราบว่าคุณเป็นน้องใหม่คณะเดียวกับผมเมื่อไม่นานมานี้เอง

จากวันนั้น... มันคือจุดเริ่มต้นของความคุ้นเคยที่เรามีต่อกัน เราได้พูดคุย และนัดพบกันบ่อยครั้ง เวลาที่ผมอยู่ใกล้คุณ แววตาและรอยยิ้มแจ่มใสน่ารักนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสดใสและเป็นสุขเหลือเกิน คุณเป็นเสมือนผู้ขจัดความทุกข์ให้ผมอยู่เสมอ

และแล้วคืนนั้นที่ริมทะแลภายใต้เงาจันทร์ ผมได้สารภาพว่า ผมรักคุณ คุณก้มหน้านิ่งอย่างขวยอาย ปล่อยให้ผมกุมมือนุ่มของคุณไว้มั่น คืนนั้นคุณอิงซบไหล่ผมชมจันทร์ฟังเสียงคลื่นลม จนเกือบจะค่อนคืน มันเป็นคืนที่ผมมีความสุขเป็นที่สุด

วันเวลาผ่านไป.ผ่านไป.จนผมเรียนจบ แล้วยึดอาชีพเล่นดนตรีในตอนกลางคืนอย่างจริงจัง ส่วนกลางวันผมเป็นอาจารย์สอนวิชาดนตรีสากลให้กับสถาบันแห่งหนึ่งเรายังคงรักกันเหมือนเดิม

กระทั่งช่วงที่คุณเรียนปี 4 ผมก็ได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับคุณ และเพื่อนชายคนหนึ่ง! ผมพยายามไม่เก็บมันมาใส่ใจ เพราะผมเชื่อมั่นในตัวคุณเสมอ แต่ระยะหลัง เรากลับห่างเหินกันไปโดยที่ผมไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นเพราะคุณกำลังตื่นเต้นกับการเป็นซีเนียร์อยู่กระมัง...ผมคิดเช่นนั้น

ทุกครั้งที่เจอกัน คุณไม่สดใสเหมือนก่อน คุณคุยน้อย โมโหง่าย ผมไม่คิดว่ามันเป็นความผิดของคุณหรอก คุณอาจเหนื่อยกับการเรียน และรับสอนพิเศษในตอนเย็นก็เป็นได้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมผมถึงได้มองคุณในแง่ดีเสมอ

ความรู้สึกที่มีต่อคุณ ก่อนนั้นเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง...

คุณเงียบหายไปนานจนผิดสังเกต ไม่โทร. มาหาผมเหมือนก่อน ผมพยายามโทร. นัดคุณทานข้าว แต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงอยู่เสมอ ดูช่างหมางเมินและห่างเหินเหลือเกินความโกรธแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ เราทะเลาะกันทางโทรศัพท์ในวันนั้น.!!

คุณโกรธผมมาก คุณตำหนิผมว่า ไร้เหตุผล...น่ารำคาญ... และคุณยังบอกผมอีกว่า คุณเบื่อผม!!

ควรค่าแล้วหรือกับความกระวนกระวายที่ผมอยากพบคุณ...? น้ำตาลูกผู้ชายแทบจะทำลายทำนบเอ่อไหล อวดอ้างความอ่อนแอ ทว่ามันได้ไหลย้อนกลับสู่ภายในให้รวดร้าวยิ่งนัก

ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าผมจะต้องสูญเสียคุณไปสักวัน.

และแล้ว เย็นวันหนึ่งคุณได้โทร.มาหาผม และบอกว่า ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะคุยกันให้รู้เรื่องเสียที! 

คุณสารภาพกับผมว่าคุณรักเพื่อนชายที่เรียนคณะเดียวกับคุณคนนั้นคุณบอกผมว่า ผมห่างเหินจากคุณ คุณขาดความอบอุ่นจากผม

นี่น่ะหรือ คือเหตุผล.?

คุณบอกว่า เขามีอะไรหลายอย่างที่ผมไม่เคยมีให้คุณเหนือกว่าด้วยฐานะ อนาคตไกล มาดแมน และคุณยังบอกผมอีกว่า ผมเป็นผู้ชายที่อ่อนไหวจนเกินไป

ผมยังคงนั่งนิ่งมองคุณคุณไม่เห็นผมพูดอะไรจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่น ต่ำ ห้าวว่า คุณยังคงรักผมอยู่เสมอ แต่ความรักที่มีให้ผมนั้นมันเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ความรักแบบคู่รักที่เคยมีต่อกันแล้ว คุณขอให้ผมเป็นเพียงพี่ชายที่คุณยังรักและนับถือได้ไหม..?

ผมยังคงนั่งนิ่งเงียบเงียบจนคุณมองผมอย่างพรั่นพรึง และหวาดหวั่น คุณกระซิบผมอย่างร้อนรนว่า
คุณเข้าใจพรใช่มั้ย คุณเคยเข้าใจพรตลอดมา ขอให้คุณเป็นเพียงพี่ชายเถอะ...นะ

ผมฝืนยิ้มออกมาอย่างยากเย็น มันทั้งแห้งแล้งและห่อเหี่ยว พลางกล่าวว่า
ครับ...ผมเข้าใจ ขอให้คุณพบแต่สิ่งที่ดีต่อไปนี้ผมเป็นเพียงพี่ชายขอบคุณสำหรับความรู้สึกที่ดีความปรารถนาดี และทุกสิ่งที่เคยมีให้ผม...ขอบคุณมากครับ...

คุณยิ้มออกมาอย่างพึงใจพร้อมกล่าวขอบคุณ มันเสมือนรอยยิ้มสุดท้ายที่ผมได้รับจากคุณ..แล้วคุณก็ลุกเดินจากไปเงียบๆ พร้อมกับเวลาที่ผมรู้สึกเหมือนหัวใจมันหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น 

ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงง่ายๆ อย่างนี้เองน่ะหรือ กับความรักที่ก่อร่างสร้างขึ้นมา มิใช่เพียงแค่วันหรือเดือน แต่มันใช้เวลาแรมปีที่ผมอุตส่าห์ทะนุถนอมมอบความเข้าใจที่ใครหลายคน แม้แต่เพื่อนรอบข้างไม่เคยมีให้คุณ....

แม้น้ำตามิเคยจะเอ่อไหล แต่หัวใจผมสิมันกำลังร่ำไห้ มันคล้ายกับผมได้ฝันไป หากมันเป็นเพียงความฝัน ผมคงไม่เสียใจถึงเพียงนี้กระมัง

ต่อไปนี้ผมจะไม่มีคุณอีกแล้ว คุณได้เดินออกไปจากชีวิตของผมแล้วทั้งบัดนี้และตลอดไป.

หลังจากวันนั้น คุณคงแปลกใจที่ไม่พบผมอีกเลย แม้แต่ที่บ้านหรือที่ทำงาน ผมได้จากมาแล้ว จากงานที่ผมรัก จากบ้านที่ผมหวงแหน และได้จากในทุกสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงคุณ

ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน นอกจากตัวผมและเพื่อนใหม่กลุ่มหนึ่งที่นี่แล้ว คงไม่มีใครรู้

ขอให้คุณรู้แต่เพียงว่า ตอนนี้ผมได้พบแล้วกับความรักแท้ มันคือความรักที่ผมแสวงหามานาน และตอนนี้คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าที่ผมจะกล่าวว่า


(จากบรรทัดนี้ เลือกจบได้ตามแบบของคุณ)

แบบที่ 1 แบบศรัทธาในศาสนา-ความเชื่อ

ขอบคุณพระเจ้า

* * * * *

แบบที่ 2 แบบเกินคาด

ขอบคุณมินตรา...หญิงสาวผู้อ่อนหวาน ผู้เป็นเจ้าของหัวใจของผม และทำให้ผมได้หูตาสว่างขึ้น มีทัศนะมุมมองที่ถูกต้องยิ่งขึ้น...."

"เธอคือ หญิงแท้ที่ทำให้ผมตระหนักว่า....เพศทางเลือกเช่นคุณ ไม่อาจทำให้ผมมีครอบครัวที่สมบูรณ์ได้... เพราะหากยังคงคบกัน ถึงขั้นผูกพันเป็นครอบครัว แม้เราจะขอเด็กมาเลี้ยงเป็นลูก แต่ผมคงลำบากใจและตอบลูกไม่ได้ว่า...

ทำไมลูกจึงไม่มีแม่... แต่มีพ่อถึง 2 คน!!!


* * * * * * * * * *				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิวสน
Lovings  ทิวสน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิวสน
Lovings  ทิวสน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิวสน
Lovings  ทิวสน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงทิวสน