9 มีนาคม 2548 16:22 น.

บันทึก

ทิว รวงทอง

ผมได้มีโอกาสเปิดดูรูปภาพ ที่น้อง ๆ ที่ทำงานส่งมาให้ทางอีเมล น้องเขาเล่าให้ฟังว่า เนี่ยพี่ น้องที่บ้านส่งรูปมาให้ดูตอนไปเที่ยว ผมก็เปิดดูตามที่น้องเค้าคะยั้นคะยอให้เปิด (ผมไม่แน่ใจว่าสะกดถูกไหม) 
สิ่งที่เห็นคือ ภาพเด็กสองคน ยืนบนหลังควาย ต่างตั้งท่า ทำทางใส่กล้อง ท่ามกลางบรรยากาศล้อมรอบด้วยทุ่งนาเขียวขจี  ควายกำลังเล็มหญ้าอย่างสบายใจ ผมนั่งนิ่งไปชั่วครู่ขณะ ความรู้สึกหนึ่งวาบเข้ามาสู่สมองสองซีก นัยจะเป็นการปลุกวิญญาณที่ล่องลอยของผมกลับมาสู่ตัวตน
นานเหลือเกินนะ กับเรื่องราวที่เคยขับขาน ชีวิตที่เคยผ่าน ผลัดใบกี่ฤดูมาแล้ว ท้องนาเขียวชอุ่ม ที่ที่มีใบข้าวปลิวไหวไปตามสายลม มีเสียงกบเขียดร้องกันระงมยามที่ฝนตก ใช่แล้ว ความรู้สึกนี้ผมเคยได้รับรู้มา ชีวิตบนหลังควาย ที่เด็กบ้านนอกทุกคน ต้องเคยผ่าน ท่ามกลางวันเวลาที่หมุนเวียน  ผมลืมมันไปเสียสนิท ไม่มีแม้โอกาสได้เห็นเพื่อนเที่ยวที่เคยรู้ใจอย่างมัน ซึ่งตอนนี้ มันได้จากผมไปแล้ว
ถึงวันนี้  คุณลบเพื่อนไปจากความทรงจำสักกี่คนกัน				
7 มีนาคม 2548 17:32 น.

แสงส่องใจ

ทิว รวงทอง

แสงไฟในเมืองใหญ่ คงจะส่องลงไปไม่ถึงใจคนเมือง

ครั้งหนึ่งในเมืองที่เรียกตัวเองว่าเจริญ ผู้คนที่เรียกตัวเองว่าคนเมือง อาจจะลืมไปว่า แสงไฟในค่ำคืนที่สวยงามนั้น ช่างมืดมนในห้วงหนึ่งของความรู้สึก ผมก็อยู่ใต้แสงนั้น..
จำได้ว่า เมื่อครั้งที่ผมเข้ามาในเมืองหลวงของประเทศไทย เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. 2546 เพื่อทำตามกระบวนการของภาคการศึกษาของรัฐ ที่ขีดเส้นทางให้ผมต้องเดินตามโดยไม่มีข้อแม้ ครั้งนั้น ผมเข้ามาเพื่อฝึกงานในวิชาชีพที่ได้ร่ำเรียนมา 3-4 ปี ครั้งแรกของชีวิตชนบทคนหนึ่ง ไม่ต่างเลยกับหนังหรือละครที่เคยดู ในยุคที่เทคโนโลยี (เค้าเรียนกันว่าความเจริญ) กำลังพัดพาวิถีชีวิตเดิม ๆ ของผมไป ที่ต้องอยู่ท่ามกลาง สังคมแห่งการใช้ชีวิต นี่ผมไม่ได้โป้ปด เป็นครั้งแรกที่ผมต้องค้างพักแรมในเขตเมืองหลวง เป็นระยะเวลานานถึงเกือบ 2 เดือนเป็นครั้งแรก
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในเมืองหลวงของประเทศนะ ผมเคยเข้ามาครั้งแรกเลยจริง ๆ ประมาณ ปี 2534-35 ตอนนั้นเกิดบ้าบอ อยากเป็นทหารนายร้อยประดับยศ ตำแหน่ง ก็เลยด้นดั้นเข้ามาสอบกับเพื่อน ๆ เขา บุญมาแต่วาสนาไม่ส่ง แม่อุตส่าห์ตักข้าวในเล้า(ภาษาอิสาน แปลว่ายุ้งฉางครับ)ไปขาย ได้ค่ารถส่งลูกชายแล้ว แต่ผมดันเจอพิษเมืองหลวง ทั้งฝุ่นทั้งควันเข้าตา จนผมเป็นตาแดงไปสอบ  โถชีวิต..
ต่างกันนะ ที่บ้านเพิ่งมีไฟฟ้าเข้ามาให้ได้เห็นหลอดไส้ หลอดนีออน เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง สมัยเด็กจะได้เห็นไฟแสงสี ก็ต่อเมื่อมีงานวัดหรือมีงานดนตรี รำวงอะไรเทือกนั้น ได้ยินเสียงเครื่องปั้นไฟแล้วใจก็อดน้ำตาซึมไมได้ พ่ออุ้มผมและจูงน้องชายไปที่วัด เพื่อไปดูเครื่องปั่นไฟ ที่ผู้ใหญ่บ้านของบมาจากทางราชการมาได้ ผมจ้องดูด้วยความตื่นเต้น พ่อบอกว่า พ่อเคยเห็นตอนไปเที่ยวงานรำวงที่เขาเดินสาย ไม่อยากเชื่อเลยว่า บ้านเราจะมี ไม่ทันไร พอพวกลุง ๆ พากันติดเครื่องปั่นไฟขึ้นเท่านั้น แสงจากหลอดไฟก็วาบเข้ากระทบสายตา พร้อมกันกับเสียงเฮโลของชาวบ้าน บ้างพากันร้อง และเต้นระบำกันรอบหลอดไฟ เสียงเครื่องปั่นไฟกับจังหวะการเต้นเข้ากับเสียงแคนของพ่อลุงจาน ช่างจับใจของผมนัก 
ค่ำคืนนั้น ผมนั่งมองผ่านระเบียงหอพัก แสงดาวดวงเดิมที่เคยมองที่บ้าน ทานแสงไฟของเมืองหลวงไม่ไหวแล้ว เหมือนกับใจคนนัก แสงไฟในเมืองใหญ่ คงจะส่องลงไปไม่ถึงใจคนเมือง				
7 มีนาคม 2548 14:21 น.

เธอเห็นฉันไหม

ทิว รวงทอง

ถ้าผมไม่บอกว่า ผมเป็นใครมาจากไหน.. ก็คงพอจะเดากันได้ ชื่อนามปากกานี้ ผมไม่แน่ใจว่า มีใครที่ผ่านความรู้สึกเดียวกัน และคว้าเอาความรู้สึกนั้นมาเป็นชื่อนามปากกาหรือเปล่า ส่วนผมนั้น ขอใช้ชื่อที่แทนเรื่องราวของของชีวิต ชีวิตของท้องทุ่งที่ผมมี แต่เหมือนไม่มีตัวตนในเวลาเดียวกัน แล้วตอนนี้เธอเห็นฉันไหม เจ้าท้องทุ่ง กระซิบข้าง ๆ หูผมอยู่ตลอดเวลา
เรื่องราวที่ผมจะนำมาเล่า จึงวนเวียนอยู่ท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนและก้าวผ่านอย่างรวดเร็ว เร็วพอ ๆ กับความรู้สึกนึกคิดของผู้คนจากรุ่น สู่รุ่น แล้วเธอเห็นมันไหม

อีกไม่นาน เรื่องราวต่าง ๆ จะถูกไขคำตอบทีละน้อย จนกว่าเธอจะหยุดถามว่า เธอเห็นฉันไหม				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิว รวงทอง
Lovings  ทิว รวงทอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิว รวงทอง
Lovings  ทิว รวงทอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิว รวงทอง
Lovings  ทิว รวงทอง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงทิว รวงทอง