11 ตุลาคม 2550 16:51 น.
ทาสกวีแลเทพธิดากวี
อรุณรุ่งแห่งราชสีห์
แสงอบอุ่นทาบทาจากนอกหน้าต่าง ม่านไหมอ่อนบางสีนวลช่วยลดแสงจ้าแห่งดวงตะวันไม่ให้รวบกวนนางที่กำลังขยับตัวอย่างเกียจคร้าน เช้านี้อากาศหนาวเกินไปที่จะรีบตื่น
เสียงประตูดังขึ้นเบาๆ คงจะเป็น มิร์เรน
...เช้าแล้วเพคะ ทรงตื่นบรรทมเถิด หม่อมฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ทรงสรงแล้วเพคะ...
...อืม... นางตอบรับเบาๆ
วันนี้พระราชาจะเสด็จออกรับราชทูตในท้องพระโรงนะเพคะ พระองค์ต้องทรงฉลองพระองค์พิธีการเต็มชุด ถ้าไม่ทรงรีบอาจสายได้นะเพคะ หาไม่หม่อมฉันต้องรับโทษหนักเป็นแน่... มิร์เรนกล่าวขณะเลิกม่านตามหน้าต่างแต่ละบาน แสงอุ่นทาบทอบนผนังห้องสีขาวนวลระเรื่อ ลมอุษาพลิ้วเบาเข้ามาทางหน้าต่าง ระบัดม่านเตียงของนางอย่างอ่อนโยน ...หนาวเกินไป นางกระชับผ้าห่มให้แน่นขึ้น
...อืม... นางเอาผ้าห่มคลุมใบหน้าไว้ เสียงของมิร์เรนเช้านี้น่ารำคาญเหลือเกิน วันนี้อากาศหนาวเกินไปที่จะเข้าเฝ้าในท้องพระโรง หินอ่อนที่นั่นเย็นเกินไป...
...พระองค์หญิงเพคะ...ตื่นได้แล้วเพคะ มิร์เรนมาหยุดอยู่ปลายเตียงแล้ว นางคงเรียกไม่หยุดแน่ถ้าไม่ตื่น
...รู้แล้วๆ... ข้าตื่นแล้ว... นางลุกขึ้นนั่งบนเตียงและบิดตัวคลายความเมื่อยล้าจากนิทรา เส้นผมสีดำสนิทสลวยปรกลงบนบ่าแน่งน้อย นางค่อยๆใช้นิ้วเรียวยาวราวไม้แตกหน่อใหม่ในฤดูฝนนวดเปลือกตา ไรคิ้วคมขลับดังเส้นไหมชั้นดีจากเมฟิเจีย โค้งคมได้รูปประทับเหนือเนตรทั้งสองข้าง สีขาวนวลของห้องยามต้องแสงกระจ่างแห่งอุษากลับเลือนพร่าหมองไปหมดสิ้นเมื่อต้องพรรณแห่งผิวอันผุดผ่องนวลยิ่งกว่าแสงมุกนับหมื่นในคลังมหาสมบัติของกษัตริย์เอโยจแห่งทะเลใต้ เรียวคอรอยคิ้วเรียวคางดุจสลักเสลาด้วยฝีมือแห่งเทพเจ้าเมื่อครั้งบุราณ ยากจะพบพานความงามบริบูรณ์เยี่ยงนี้ไม่ว่าในแผ่นดินทั้งสามหรือหมู่เกาะทั้งแปด เมื่อนางลืมดวงเนตรขึ้น แสงสว่างใดๆในโลกดูจะดับมืดลงชั่วขณะด้วยไม่อาจสู้แสงอันระยิบระยับจากดวงตาสีน้ำเงินเข้มได้ เรียวปากอวบอิ่มมีสี
ดังดอกกุหลาบชั่วเมื่อต้องแสงอาทิตย์ใกล้จะลับลาโลก
นางนี้นับค่าควรเมือง...
...พระมารดาทรงกำชับให้หม่อมฉันนำพระองค์หญิงไปเข้าเฝ้าก่อนยามเจ็ดเพคะ...พระองค์ต้องสรงน้ำแล้วเพคะ...
...อืม... นางตอบรับพร้อมลุกจากเตียง
เมื่อร่างของนางพ้นออกจากพันธนาการแห่งผ้าห่ม เผยให้เห็นเรือนร่างอรชรในชุดแพรสีขาวเบาบางดุจดั่งนางสวรรค์แห่ง เอริวัลดิน
...มิได้... หากจะเปรียบความงามอันเป็นเลิศของนางคงต้องอ้างเอาพระสิริโฉมตามตำนานแห่งพระแม่เจ้า เอเลดริม ผู้เป็นมารดาแห่งโลก ผู้งามสยบเสียทุกแหล่งหล้า ยามเมื่อร่างอันสะโอดสะองก้าวย่าง แสนอ่อนช้อยดุจดั่งเทวลีลาในจิตรกรรมแห่งจิตรกรชั้นครูชาวคาร์เธเซีย
นางลงสรงน้ำในสระขนาดเล็กลอยกลีบกุหลาบและเครื่องหอมประทินผิวมากมาย มิร์เรนนั่งอยู่ข้างสระ คอยเอาฟองน้ำอ่อนนุ่มลูบไล้ตามผิวขาวนวลของนาง ชั่วเมื่อน้ำเย็นลง นางจึงขึ้นจากสระ ร่างราวประติมาเต็มไปด้วยหยดน้ำเกาะตามส่วนต่างๆ
มิร์เรนผจงใช้ผ้าอ่อนเช็ดตามเนื้อตัวของนางให้แห้ง นางหลับตาพริ้ม ร่างกายสั่นระริกด้วยความหนาว ใจนึกอยากให้มิร์เรนเร่งเอาชุดหนาหนักนั้นมาสวมเสียที
มิร์เรนเดินออกจากห้องสรงน้ำ ทิ้งนางไว้ลำพังกับผ้าห่อตัว วันนี้คงยืดยาดน่าเบื่อเป็นแน่ นางไม่เคยชอบพิธีการในท้องพระโรง ฟุ่มเฟือยและน่ารำคาญ หลังขดหลังแข็งหลายชั่วยามเพื่อฟังคำสรรเสริญพระเกียรติจากเหล่าบรรดามนตรีทั้งหลาย การประชุมเดือนละครั้งดูจะมากเกินไปด้วยซ้ำ...
นางหวนคิดถึงพี่ชาย ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ อากาศที่ ฟิเรเน่ หนาวกว่าที่นี่นัก พระองค์จะอยู่เป็นสุขสบายดีหรือไม่ ในวังอันโอฬารเราสองพี่น้องมีเพียงกันและกัน แต่ต้องมาห่างกันไปเช่นนี้ หัวใจของนางเหงาเหลือเกิน...
...ฉลองพระองค์เพคะ... มิร์เรนเข้ามาพร้อมกับชุดสีขาวยาวลากพื้น นางไม่เคยชอบชุดนี้เลย มันทั้งรัดและหนัก เกียรติยศนี้ดูจะถ่วงนางไว้มากกว่าที่จะเชิดชูราชศักดิ์
มิร์เรนเริ่มสวมชุดให้นางอย่างชำนาญ ผ้าที่พันชั้นแล้วชั้นเล่า บีบรัดนางจนแทบหายในไม่ออก จนชั้นสุดท้าย ชุดกระโปรงสีขาวลากพื้น ปักดิ้นทองและเงิน บนหน้าอกมีตราดอกกุหลาบสีแดงปักไว้ นางสวมรัดเกล้าสีทองประดับทับทิมเม็ดใหญ่ที่เจียรนัยอย่างดี งามด้อยก็เพียงแต่ดวงตาของนางเท่านั้น
มิร์เรนนำนางออกจากห้องบรรทม สู่โถงใหญ่ของวัง พระมารดาของนางนั่งรออยู่ที่นั่นในชุดพิธีการเต็มยศเช่นกัน นางมีสีหน้าเรียบเฉยเยือกเย็นดุจหิมะบนยอดเขา คูยโย ในหน้าหนาว พระองค์ไม่เคยยิ้ม อย่างน้อยก็ไม่เคยตั้งแต่พี่ชายของนางจากไป...
นางโค้งคำนับเยี่ยงธรรมเนียมราชสำนักคาร์เธเซีย
พระมารดาผงกศรีษะรับเล็กน้อยโดยมิได้เอ่ยสิ่งใด แล้วนางจึงลุกขึ้นเดินไปสู่ห้องเสวย โดยมีนาง มิร์เรนและนางกำนัลอีกสองคนเดินตามมาห่างๆ
พระมารดานั่งลงที่หัวโต๊ะยาวที่จัดไว้อย่างเรียบร้อย ชุดจานสองชุดเตรียมไว้แล้ว
นางนั่งลงด้านข้าง ไม่นานนางกำนัลชาววิเสทยกสำหรับอาหารออกมา ทั้งสองเสวยอย่างเงียบๆ ไม่มีการพูดคุย รสชาติอาหารมื้อนี้จืดชืดเหมือนทุกๆวันแม้ว่าพ่อครัวหลวงจะพยายามปรุงอย่างไรก็ตาม นางไม่เคยเสวยอาหารอย่างมีรสชาตินานแล้ว
ทั้งสองหยุดเสวย
นางกำนัลเก็บสำรับ
พระมารดาลุกขึ้น เดินออกไป นางเดินตามพร้อมกับมิร์เรนมุ่งสู่ท้องพระโรงกลางที่กำลังคึกคัก... (ติดตามตอนต่อไป)
11 ตุลาคม 2550 16:43 น.
ทาสกวีแลเทพธิดากวี
บทนำ
เอเลนน่า กำลังร้องไห้ แต่ดวงตาแห้งผาก
พื้นหินดำมะเมื่อม เย็นเฉียบดูเหมือนจะดูดกลืนน้ำตานางไปสิ้น
ขอบตาเอ่อท้นด้วยความโศกเศร้า เสียงสะอึกสะอื้นแหบแห้งราวผืนดินแตกระแหง
ทุกสิ่งสูญสิ้นแล้ว...
เครอส ตายแล้ว...
พระเพลิงกำลังเผาผลาญ ลุกโหมขึ้นเหนือแนวฟ้า ย้อมนภายามราตรีด้วยแสงสีแดงเลือด ดุดันดั่งจะช่วงชิงเอาชนม์ชีพของนางไป
เครื่องทรงสูงศักดิ์ทั้งหลาย สูญความหมายไปสิ้น ตราราชสีห์ครามดูซีดจาง ลางเลือนด้วยคราบโลหิตเกรอะกรัง
โลหะมันวาวในมือนางกระตุกตามสิ่งที่ฝังไว้ ความอบอุ่นค่อยๆถูกกระชากตามร่องรอยที่ฉาบด้วยของเหลวสีแดงชาด ลมหายใจรวยรินกำลังเหือดหาย
...เอเลนน่..า..า... น้ำเสียงโศกเศร้าแหบพร่าขานเรียกนางจากที่แสนไกล
...ท่านพ่อ... นางตอบรับอย่างขมขื่นและยากลำบาก
ร่างเบื้องหน้านางกำลังจะตายด้วยพิษบาดแผล แต่นางกำลังจะตายด้วยพิษแห่งความทรมานที่กัดกร่อนหัวใจของนางอยู่บัดนี้
เบื้องนอก เสียงคำรามราวปิศาจกำลังร่ำร้อง เสียงโลหะปะทะกันกำลังเสียดแทง
ไปในทุกขั้วหัวใจแห่ง วิฮิลยา
นางแพ้แล้ว