21 พฤศจิกายน 2553 05:53 น.
ทรายกะทะเล
ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า "พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน
ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า
ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฎในหนังสือนางนพมาศที่ว่า
"ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..."
เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า "ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน" พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า "เรือลอยประทีป" ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย
เหตุผลและความเชื่อของการลอยกระทง
สาเหตุที่มีประเพณีลอยกระทงขึ้นนั้น เกิดจากความเชื่อหลาย ๆ ประการของแต่ละท้องที่ ได้แก่
1.เพื่อแสดงความสำนึกถึงบุญคุณของแม่น้ำที่ให้เราได้อาศัยน้ำกิน น้ำใช้ ตลอดจนเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงไปในน้ำ อันเป็นสาเหตุให้แหล่งน้ำไม่สะอาด
2.เพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ และได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนหาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุทท
3.เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เพราะการลอยกระทงเปรียบเหมือนการลอยความทุกข์ ความโศกเศร้า โรคภัยไข้เจ็บ และสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ให้ลอยตามแม่น้ำไปกับกระทง คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์
4.เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุต ที่ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล โดยมีตำนานเล่าว่าพระอุปคุตเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถปราบพญามารได้
5.เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
6.เพื่อความบันเทิงเริงใจ เนื่องจากการลอยกระทงเป็นการนัดพบปะสังสรรค์กันในหมู่ผู้ไปร่วมงาน
7.เพื่อส่งเสริมงานฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ เพราะเมื่อมีเทศกาลลอยกระทง มักจะมีการประกวดกระทงแข่งกัน ทำให้ผู้เข้าร่วมได้เกิดความคิดแปลกใหม่ และยังรักษาภูมิปัญหาพื้นบ้านไว้อีกด้วย
ประเพณีลอยกระทงในแต่ละภาค
ลักษณะการจัดงานลอยกระทงของแต่ละจังหวัด และแต่ละภาคจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันคือ
17 พฤศจิกายน 2553 05:55 น.
ทรายกะทะเล
ขอถอดแหวนที่นิ้วยางทางข้างซ้าย
เธออยู่ไกลทั้งที่ใกล้ จะเอ่ยถึง
ทุกเช้าเธอออกบ้านไปไม่รำพึง
ไม่นึกถึงคนนอนป่วยอยู่เคียงน้ำตา
ขอถอแหวนที่นิ้วนางทางข้างซ้าย
แม้นเธอไปหาใครใจเธอหา
ให้ฉันอยู่ลำพังพายุพัดทั้งน้ำตา
ถอดแหวน วาง ที่แล้วหนา เราสองไม่คู่ควร...........
17 พฤศจิกายน 2553 05:41 น.
ทรายกะทะเล
สี่ปี.....ที่ผ่านมา...... ทำเอาเราแทบหมดตัว
ยังดีที่มีแผนที่ในการเดินทาง........
ไม่งั้นคงหลงทาง..........
อยากบอกคนที่..........ยามเราไม่มีใครแล้วเค้านั่งเช็ดน้ำตาให้เรา เค้าเป็นคนคนเดียว ที่เรา.......เห็นคุณค่าเค้าทั้งหมด......แม้นเค้าจะไม่ได้เป็นคนหน้าตาพระเอกยังไง.........แต่ใจ....เค้าเท่านั้น...........ที่เราเห็นว่า......ใจเค้าดีกับเรายามที่เรา...........ไม่มีใครเลย
17 พฤศจิกายน 2553 05:29 น.
ทรายกะทะเล
ที่ผ่านมา..... ยังไม่เข็ดอีกหรือ
ที่เค้าเฝ้ามาหลอกลวงเรา จนเราต้องหลวมตัวแต่งงานด้วย
เรื่องการเรียน ก็ทำเอาแทบบ้าตาย ที่ เรียน ต่อเพิ่มเติมโดยไม่เปิดเผยนั้นเป็นเพราะคำที่พ่อเคยบอกว่า การศึกษานั้นสำคัญนะ
แล้วเค้าให้อะไรกับเราบ้าง........ ให้แต่มี น้ำตา ทุกวัน
ถามว่า...การที่เราได้รับคนที่ดีมีเมตตา มา ช่วย จนเราได้มีโอกาส ช่วยที่บ้าน ในการ จ่ายค่าใช้จ่าย เซนลายเซนว่า เราเป็นคนทำงานในรัฐ เพื่อเบิกทางให้ทางพวกเค้านั้น ได้มีโอกาส เติบใหญ่ พ่อหาเงินมาแม้นชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด กลับกลายมาเป็นต้องเดือดร้อนทีหลัง.....
พ่อ ซึ่งเรารักมาที่สุด ...... เห็นใจเรา แต่ก้ไม่น่า มาทำให้เราต้อง ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า...เราเข้าใจแม่ดี....ว่าทำไมแม่ต้องเป็นแบบนี้.....
แล้วที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะทำงานหนักเหรอ ทุ่มทั้งกายใจที่ ผู้มีความเมตตา เปิดโอกาสให้มีทั้งอำนาจ ให้ดาบไปทำงาน เป็นอาวุธ....พี่สาว ตัวเอง เลยนึกว่าตัวเอง จะทำมั่ง กลับร้ายใส่เรา มาถึงห้องนอนเอาเอกสารที่เรารักษาไว้ ไป ทำให้เราทำอะไรไม่ได้.....กลับกลายเป็นเราต้อง..ใช้วิธีอื่นมาเรียกความเป็นสิทธิที่จะได้เงินคืนจากพี่สาวพ่อที่เคยยืมเงินพ่อเราไป....เราเหนื่อย....ไม่อยากเกิดอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไง ถึงไปนิพพานสักที ทั้งที่ ใจก็รู้ว่า ชาตินี้ ขอให้เป็น....ชาติที่...รู้บุญ รู้กรรม....
ลูกที่เราต้องอุ้มท้องมา กว่าสองคน.... หลายเดือนเหลือเกิน..... เกิดมาแล้วเราก็เลี้ยงพวกเค้าอย่างดี แต่พวกเค้ากลับไม่เห็นว่าเราทำดีกลับเค้าแล้ว.......
แล้วมีอย่างที่ไหน....ที่...พ่อสามี...ขึ้นชื่อว่าลูกสะไภ้ต้องให้ความเคารพ แต่เค้ากลับ ทำมิดีมิร้ายกับเรา...ทั้งครอบครัวเค้า... พูดกันเอง...และรู้กันทั้งหมด....แทบไม่เชื่อหากเป็นคนอื่นคงบ้าไปแล้ว แต่..ด้วยความที่เห็น..พ่อ แม่ มีปัญหามาตั้งแต่เด็ก...ก็ขอให้พระเป็นผู้สั่งสอนเรา....ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไร แต่ขอให้ใจสะอาด ไม่คิดร้ายกับใครนั้น..เป็นการดี...คนที่ทำร้ายกับเราที่ผ่านมา เราอโหสิกรรมและอภัยให้ได้เสมอ...ส่วนคนที่เรา ไปทำร้าย...แม้นว่าจะไม่รู้ตัวก็ดี หรือรู้ตัวก็ดี เราขอ ตั้งจิตอธิษฐานว่า.... ให้อภัยกับเราด้วยเพราะสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรานั้น มันร้ายกาจเหลือเกิน......
ก็ช่างเถอะ........
ขอไปทำบุญ......ไปรดน้ำมนต์...สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนว่า.... แม้นโอกาส ยังมีน้อยนิด แต่ก็ต้องสร้างให้เป็น....ทางเดินที่เราได้เลือกของเราเอง และ เราจะไม่โทษใคร เพราะต่อไป เราต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของใคร อยากเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด เห็น คนในโลกนี้แล้ว รู้สึก อยากเดินไปในที่ที่นึง แล้วอยู่เงียบๆคนเดียวสักพัก.....แม้นจะวิเวก เหงาหรืออะไรก็ตาม แต่ก็ได้มีสติ ทบทวน และ คิดว่าจะทำอะไรกับตัวเรา...แม้นตาย..........ก็ขอตาย อย่างมี สติ................
16 พฤศจิกายน 2553 00:03 น.
ทรายกะทะเล
ถึงแม้นกายหมายต้องจ้องอยู่ห่าง
ยังคงรักไม่จืดจางไม่ห่างหาย
ถึงแม้นสวมแหวนนี้วนางที่ข้างซ้าย
นั่นก็แค่นอกกาย ไม่ใช่ ของของใคร
ฉันเป็นคน ไม่ใช่เป็นสิ่งของ
ใครมาครองรักได้ ไม่สมหมาย
ไม่มีใครดูแลอยู่ข้างกาย
ไม่มีความหมาย แม้นอยู่ห่าง ใจมีเธอ..........